ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ชักศึกเข้าบ้าน
ความน่าหอมหวานยิ่งนัก เมื่อเห็นตัวเลขอันมหาศาลของปริมาณยาเคมี ที่คนไทยใช้ในแต่ละปี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมความโลภมันจึงเข้าบดบัง คุณธรรม ที่พึงมี ของคนได้
ความรู้ ที่ถูกถ่ายทอด มาให้คนทั่วไป มันจึงบิดเบี้ยว จุดประสงค์เดิม แห่งศาสตร์การแพทย์ ไม่ว่าแบบไหน ที่มุ่งหมายเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์เป็นสำคัญ ก็ถูกบดบัง กลายเป็น จุดประสงค์หลักคือ ความร่ำรวย กับการค้าชีวิตมนุษย์แทน
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นตัวอย่าง กรณีของคนที่มีโอกาสจะเป็นโรคเบาหวาน ในขณะที่เริ่ม ก็จะมีช่วงที่น้ำตาลในกระแสเลือด มีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน และบังเอิญ พาตนไปพบแพทย์ในเวลานั้นพอดี
แทนที่จะให้โอกาสร่างกาย ในการฟื้นฟูตน ด้วยการแนะนำในการออกกำลังกาย ดูแลกวดขันวินัย การกิน การอยู่ เวลาพักผ่อน ให้เหมาะสม ลองดูสักระยะ ว่าร่างกายสามารถฟื้นคืนกลับเป็นปกติได้ไหม สักพักหนึ่ง แต่โลกทุกวันนี้ เมื่อค่าน้ำตาลในกระแสเลือดสูง คำแนะนำก็คือ คำขู่ ที่ถูกใช้เป็นอมตะ "หากไม่รีบรักษา อาการอาจรุนแรง และทำให้ตายได้"
แล้วก็ให้ยาเคมีมาทาน แล้วก็ดีใจกับค่าน้ำตาลที่ลดลง กลับมาอยู่ในเกณฑ์ของหมอ ในวันนี้
การทำเช่นนั้น ย่อมหมายถึง การทำลายสัญญาณเตือนของร่างกาย ว่าระบบมีปัญหาแล้ว ต้องแก้ไข กลายเป็นว่า หลอกร่างกายว่าปกติ ไม่มีปัญหา ไม่ต้องแก้ไขใดๆ ที่สำคัญ การทานยาเคมี มีผลที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ ทำลายระบบการฟื้นฟูร่างกายของตนธรรมชาติลง นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า "ภูมิ" ทีละน้อย
๗ หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาภูมิเสมือนกองทัพ เหล่าทหารที่ไม่เคยได้รบเลย แม้นแต่ศึกเล็ก ศึกน้อย ด้วยสัญญาณที่บอกกล่าวว่ามีข้าศึก ไม่เคยเลยที่จะดัง ด้วยการใช้ยาเคมี
สิ่งที่ทุกคนจะประสพ จึงเข้าข่าย "สุขวันนี้ ทุกข์วันหน้า" คือวันที่ยาเคมีเอาไม่อยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ผลแห่งการทานยาเคมี ก็ทำลายภูมิของตนไปมากมาย พอเจออีกที ทีนี้ ก็เข้าขั้นตรีทูต สัญญาณดัง มิใช่ข้าศึกบุก แต่เป็นข้าศึกยึดเมืองได้แล้ว นั่นก็คือ อาการเบาหวาน ขั้นรุนแรง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า การหลอกร่างกายด้วยยาเคมี จึงไม่ต่างอะไรกับการมีพฤติกรรม ที่กำลังฆ่าตนเองทีละน้อย ฉันใดฉันนั้น เป็นการชักศึกเข้าบ้าน ส่งผลให้ พรหมลิขิตหักกลาง แทนที่จะมีแต่กรรมเดิม ที่แม้นเป็นก็ยังอยู่ได้จนครบพรหมลิขิต แต่กรรมอันนี้ ตกในฐานะ "เจตนาฆ่าตนเอง" กรรมอันนี้ร้ายแรงนัก ผลก็คือ เราท่านอยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต
จึงไม่ต้องสงสัย หากจะใช้ศาสตร์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ช่องว่า ต้องลดคู่ต่อสู้ที่มาทำลายเราท่านลง จากศึกหลายด้าน ก็ลดให้เหลือหน้าเดียว คือ โรค เราท่านจึงจำเป็นต้องเลิก ยาเคมี ให้เร็วที่สุด
กระบวนการต่อมา ก็ลดอารมณ์ นิสัย .... ที่ซึ่งหากไปดูตำราทางการแพทย์ไม่ว่าศาสตร์แบบไหน ก็จักเห็นได้ชัดว่า อารมณ์มีผลต่อร่างกายมหาศาล ยิ่งตอนป่วยด้วยแล้ว ใครนึกภาพไม่ออก ก็ไปดูสามก๊ก ตอนจิวยี่ถูกธนูอาบยาพิษนั่นแล ยามใดที่โกรธ พิษก็จะกำเริบ ยามใดที่ควบคุมจิตใจได้ อาการก็ดีขึ้นรวดเร็ว
ใครจะบอกว่า รักษาโรคไม่เกี่ยวกับนิสัย ... ก็ไม่ว่ากัน แต่แม่ชีเมี้ยนชี้ชัดว่า การฟื้นฟูตน โดยเฉพาะด้วยศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีด้วยแล้ว ตัวชี้ขาด คือ นิสัย
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เมื่อคนใดฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำนิสัย ตามบัญญัติคำสอน ไม่ว่าโรคใด ที่หมอทั้งโลกบอก ไม่มีวันหาย ก็สามารถพบปาฏิหารย์ หายโรคได้ ด้วยการทำนิสัย ทำให้ลดการทำลายตน เหลือแต่โรคหน้าเดียว ก็เป็นงานง่ายสำหรับสมุนไพรแล้ว หากทานแต่สมุนไพร ก็ยากจะคำนวนว่า ส่วนที่ฟื้นฟู มันจะทันส่วนที่ถูกทำลายหรือไม่ ... ผลของการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้