วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รู้ทำ

หากจะถามคนทั้งหลายที่เราท่านพบในแต่ละวัน ที่นับถือพุทธศาสนา ว่า คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่สอนนั้น มีอะไรบ้าง

เสมือนครั้งหนึ่ง เราเคยสมัครงานในบริษัทหนึ่ง เจ้าของถามเราว่า งานอดิเรกคืออะไร เราตอบว่าไปวัด ท่านก็ใจดี ร่ายยาวว่า เรื่องพุทธศาสนา ท่านรู้แจ้งเห็นจริง พูดเล่าให้เราฟัง เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เกือบครึ่งชั่วโมงได้

ก็ไม่น่าแปลก ที่จะมีคนรู้มากมาย เต็มประเทศไปหมด เพราะหากนับเฉพาะพระ ในประเทศไทย ก็ประมาณสามแสนรูปแล้ว นั่นเอง

หากแต่เมื่อมองย้อนกลับไปที่ผลเล่า ทำไมคนที่รู้ทั้งหลาย จึงตกในสถานะ ที่ช่วยตนไม่ได้เลย พระก็ยังต้องไปพึ่งโรงพยาบาลพระ คนทั้งหลายที่พูดเรื่องศาสนาเป็นต่อยหอย ก็ยังต้องไปพึ่งโรงพยาบาล มันต้องมีอะไรผิดพลาดไม่ใช่หรือ

ท่านอาสิก็ชี้ให้เราท่านเห็นว่า เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องรู้ทำ นั่นคือ เมื่อฟัง แล้วรู้ ก็นำไปปฏิบัติในสิ่งที่ตนพอทำได้ ความรู้ของศาสนาไม่จำเป็นต้องรู้มากมาย รู้ทั้งหมด หากแต่ต้องรู้จริง ว่ารอยของพระพุทธเจ้านั้นทำเช่นไร โดยพิจารณา เหตุและผล ในความรู้นั้น และสิ่งใดทำได้ ก็นำมาปฏิบัติ เพื่อช่วยตน

ความผิดพลาดที่ท่านอาสิชี้ให้พิจารณา ในความรู้นั้นก็คือ การไม่มองผลแห่งการกระทำนั้นๆ หยุดแค่เพียงทำตาม สิ่งที่ตนได้ยินได้ฟัง หรือ เชื่อ ไม่ว่าจะเชื่อด้วยสถานะของผู้พูด หรือ จาก ตำรา หรือ เขาเล่าว่า นี่แหละปัญหาใหญ่ เมื่อสิ่งใดทำแล้ว ผลไม่เกิด ไม่ให้สุขแก่ผู้ใด หรือให้แต่น้อยนิด แล้วจะผลที่ไหนมาให้สุขแก่ตน การกระทำของตน ที่ดูยิ่งใหญ่ จึงไร้ค่า ช่วยตนไม่ได้

สิ่งที่บัญญัติ แล้วเราท่านต้องพิจารณาให้หนัก นั่นคือ "ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นก็ถึงตัว" การกระทำใดที่รู้ จึงต้องสาว ว่า ให้ทุกข์ให้สุขแก่ผู้ใด เป็นสำคัญ นี่แลหลักปราชญ์ แลปราชญ์ ก็เลือกการกระทำที่ให้สุขแก่ผู้อื่น

เมื่อรู้ว่า ต้องให้สุขผู้อื่น ก็จึงทำ การกระทำให้ผู้อื่นมีสุข ย่อมต้องแสวงหาผู้ทุกข์ จึงให้สุขได้ นี่แล แผ่นดินศาสนา จึงมีไว้เป็นที่รวมของคนทุกข์ ผู้ใดปรารถนาสุข จะได้มาให้สุขแก่ผู้ทุกข์เหล่านี้ เพื่อสุขจักย้อนมายังตน มิใช่มีน้ำขวดหนึ่งในมือ ดันไปยื่นให้คนทั่วไป ที่คนเหล่านั้น ก็มีน้ำสำหรับตนมากมาย น้ำขวดนั้น จะมีค่าเท่าใดหรือ แก่คนเหล่านั้น บางทีปาทิ้งอีกต่างหาก แต่หากน้ำขวดนั้น ยื่นให้แก่คนที่เดินทางไกลมา กระหายสุดๆ น้ำนั้นย่อมมีค่าหมายถึงชีวิตคนผู้นั้นเลยก็ว่าได้

ศาสนาพุทธจึงเป็นหลักปราชญ์ สอนให้ฟัง ให้รู้ก่อน แล้วจักทำสิ่งใด ให้พิจารณา มิใช่ เอาง่าย อ้างว่าฉันให้น้ำแก่คนไปแล้ว ฉันต้องได้ ดั่งคนทั้งหลาย ที่บอกรู้ ในเรื่องศาสนา แต่เวลาทำ ไม่เคยพิจารณาอันใด หยอดเงินลงตู้ ก็อ้างฉันทำแล้ว

ยทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เราท่านทั้งหลายแท้จริง ยังไม่รู้เรื่องศาสนาเลยแม้นแต่น้อย เมื่อเวียนว่ายมา จึงจำต้องฟัง แล้วพิจารณา เพื่อให้รู้ รู้แล้วจึงทำ ทำใน่สิ่งที่ตนพอทำได้ ไม่จำเป็นต้องรู้เยอะ รู้ทั้งหมด แต่ควรรู้ในสิ่งที่จะพึงช่วยตน เป็นสำคัญ

เมื่อรู้แล้ว ก็ทำ ... เพราะถ้ารู้แล้วไม่ทำ ก็ไร้ค่า มีแต่ปรารถนา อยากได้ ก็ได้ฝัน ที่ไม่มีวันเป็นจริง เรื่องของศาสน์ "อยากได้ ต้องทำเอง"

ที่สำคัญ เมื่อทำแล้วต้องให้เกิดผล หาไม่แล้ว การกระทำนั้นก็ไร้ค่า อุปมาเหมือนปลูกมะม่วงโตใหญ่ ใบงาม แต่ไร้ผล การกระทำนั้นก็เสียเปล่า อาทิเช่น จะนำสมุนไพรมา แต่ไม่พิจารณาว่า สมุนไพรชนิดนั้น มีมากเกินไปหรือเปล่า เมื่อนำมาจนล้น ทำไม่ทัน สมุนไพรที่เรานำมา ก็ไม่ถูกใช้ ปล่อยเน่าทิ้งเสีย การกระทำของเราก็ไร้ผล หากแต่ถ้าเราใส่ใจรายละเอียด ดูสิสิ่งที่เรามี อันไหนมูลนิธิเขาขาด แล้วเราก็นำมา ของที่เรานำมาก็ถูกนำไปใช้ ให้สุขแก่คน เกิดดอก เกิดผล นั่นแล ผลจึงย้อนมาหาตน

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเตือนพระเสมอว่า เรื่องของศาสนา อย่ามักง่าย สักแต่ว่าทำ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44