ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560
สุข
จิตอาสาท่านหนึ่งกล่าวกับเราว่า ชีวิตเขาทุกวันนี้ ไม่มีอะไร รอแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงวันที่เขาจะได้มามูลนิธิ
ถามว่า ทำไมจึงมีความคิดเช่นนี้ คำตอบที่ได้ก็คือ มันทำให้เขารู้สึกว่า ชีวิตมีความหมาย เมื่อได้ทำให้ผู้อื่น ได้เห็นผู้อื่นพ้นทุกข์ เขาก็รู้สึกว่า การกระทำของตน มีค่า ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความสุข ด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา ล้วนทำเพื่อตนเอง แม้นจะมีทุกสิ่งอย่าง แต่กลับขาดซึ่งความสุข
พระภูมี สอนให้เราท่าน "ให้สุขแก่ผู้อื่น แล้วสุขนั้นจักย้อนมายังตน" แค่ความรู้แต่เพียงนี้ ก็เพียงพอที่จะเป็นแสงสว่างให้เราท่านได้เห็นช่องว่า ทำไมการหายโรค หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเป็นเรื่องกระจอก
แลด้วยความรู้ที่ท่านอาสิ เน้นย้ำให้ฟังเสมอทุกครั้ง ว่า ศาสนาชี้ให้เห็นว่า "ตัวกระทำไม่ตาย ทำอย่างไรได้อย่างนั้น"
เมื่อมีคนมาถามหลวงพ่อนิพนธ์ในอดีต เนื่องด้วยอาการเบาหวานของตน เริ่มจะขึ้นตา แลหมอก็บอกกับเขาว่า ในไม่ช้าคงต้องเสียตาไป เขาควรจะทำอย่างไร
ก็ทำอย่างไรได้อย่างนั้น คำตอบของหลวงพ่อนิพนธ์ จะมามัวแต่รักษาตาตนนั้นไม่ควร ควรที่จะไปหาตัวกระทำให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ให้มองเห็น คำแนะนำของหลวงพ่อนิพนธ์ในวันนั้น จึงแนะนำว่า พระของท่านอยู่ที่ ศรีสวัสดิ์ ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ก็ให้ไปทำเครื่องไฟ และเดินไฟให้ท่านได้มีแสงสว่าง ในการทำกิจยามค่ำคืนสิ
ชายผู้นั้นก็ทำตาม แลรักษาดวงตาของเขาเอาไว้ได้มาจนทุกวันนี้
กระบวนการย้อนรอยอันนี้ของศาสนา เราได้เห็นหลวงพ่อนิพนธ์ใช้มามากมาย แม้นกระทั่งคุณปรียานุช ปานประดับ หากใครได้ไปอ่านหนังสือ ก็จักพบว่า ทำไมเธอจึงมาทำห้องน้ำแลดูแล ให้คนป่วยได้มาใช้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม มาเพื่อสร้างทุกข์ ก็ทุกข์อันนี้ จะปรารถนาให้หายไป โดยไม่ทำอะไร กรรมเขายอมหรือ ทำไมไม่ไปสร้างสุขให้ผู้อื่น ในสิ่งที่สร้างทุกข์ให้แก่ตนเล่า อันเป็นช่องที่ศาสนาเขาเปิดให้ ศาสนาเขาดึงคนทุกข์มาแล้ว ก็ไปทำให้คนเหล่านั้นมีสุข แล้วสุขก็จักย้อนมาหาเรา ให้หายโรค มิใช่มัวแต่จ้อง เอาแต่ตน เหมือนทั้งโลกทำ แล้วมีใครในโลกที่หายบ้าง ไม่มี
เป็นโรคกระดูก ไยไม่เอาขาตั็งมาทำให้คนที่เป็นโรคกระดูกทานเล่า กระดูกคนอื่นหาย มันก็จักย้อนมาให้กระดูกเราหาย เป็นมะเร็ง ทำไมไม่เอาสมุนไพรที่คนเป็นมะเร็งทานมาให้ เพื่อให้เขาหายมะเร็ง เราก็จะได้หายด้วย
อยากมีสุข ไม่มีโรคมะเร็ง ไม่มีโรคกระดูก ไม่มีเบาหวาน ทำไมไม่ทำตน ช่วยคนเหล่านั้นที่เป็นโรคเล่า เราจะได้ไม่ต้องไปเป็นอย่างเขา ... เพราะตัวกระทำสร้างสุขให้เขา มันจักย้อนมาหาเรา ทำให้ไม่ต้องไปเป็นโรคนั้น
มัวแต่ทำตัว ธุระไม่ใช่ มันเดินไม่สะดวกเรื่องของมัน กูรีบ กูต้องออกก่อนใคร รอสักนิด ช้าสักหน่อย ช่วยประคองดูแลผู้ที่ด้อยกว่า ไม่ได้เลย จะเอาแต่ตน เอาแต่สมุนไพร ... .. ทำเช่นนั้น ... ทำตามใครสอน พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนเช่นนั้นเลย
อยากได้สุข มีแต่ต้องให้สุขผู้อื่นก่อน อยากหายโรค ถามใจตนสิ ดูการกระทำตนสิ ให้สุขผู้ใด ไปเที่ยว กินเหล้า ตีกอฟล์ หมดเท่าไหร่ไม่ว่ากัน แต่พริกไทย ๑ ขีด มะพร้าวสักลูก บอกเสียดายเงิน ... นี่แหละอำนาจกรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงว่า ทำให้เราอยู่ในฐานะ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
คนสมัยก่อน ถึงวันโกนวันพระ กุลีกุจอ เตรียมข้าวปลาอาหาร ถวายพระ ดีใจที่จะไปไปทำบุญ สร้างสุข รอตนในวันข้างหน้า ... มาวันนี้ กลับรอว่า เมื่อไหร่จะได้กลับ ...จะได้ไปทำตามใจตนเสียที .... แต่อย่างนัอย ได้ยินจิตอาสาคนนี้พูด ก็ยังดีใจว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้าง ยังมีคนยินดี ทำได้ และมีสุข ที่ได้ให้สุขแก่ผู้อื่น
ฝันถึงสุข แต่ไม่สร้างสุขให้ผู้อื่น ไม่มีวันถึงสุขได้อย่างแน่นอน ก็ตอนสร้างกรรม ยังเอามือ เอากายไปทำ จะมาเอาสุข เก็บมือ เก็บกาย ซะงั้น