ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560
ศาสตร์ทุกข์เพื่อสุข
หลวงพ่อนิพนธ์ เล่าอดีตครั้งถ้ำกระบอก เมื่อเทียบกับคนในปัจจุบัน ให้เห็นว่า ยุคของถ้ำกระบอกนั้น เมื่อพิจารณาคนป่วยที่เวียนว่ายเข้ามาหาท่าน นับพันนับหมื่นในสมัยนั้น สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ยากนั่นคือ คนจน หรือ ชาวนา ชาวไร่
พูดให้ฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า คนส่วนใหญ่ที่มา ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่กินดี อยู่ดี ไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นภาพว่า คนบ้านนอก เช่นตามี อยากไปหาตามา เพื่อคุยธุระ ก็ต้องเดินข้ามทุ่ง ทุกวันก็ต้องไถนา เดินตามวัวตามควาย แม้นแต่ชาวไร่ ก็ต้องฟันจอบนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะหมดไร่ ยืนตากแดดตากฝน เพื่อความอยู่รอด
ผลแห่งการทำเช่นนั้น ดูแล้วทุกข์ยากแสนเข็ญ เทียบกับคนในเมือง หรือคนที่ไม่เคยตากแดด นอนห้องแอร์ทั้งชีวิต คนที่เราท่านมองว่าลำบาก กลับกลายเป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรง ส่วนคนที่เราท่านอยากเป็น คือผู้ที่เป็นโรคเวียนว่ายมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเอง มากมายผู้คน มากมายโรคภัย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงอรรถาธิบาย หลักธรรมชาติ เมื่อเราท่านทุกข์ ผลก็คือ ร่างกายก็ต้องปรับสภาพ ต่อสู้ดิ้นรน สร้างความแข็งแกร่งขึ้นมาต่อสู้ ผลที่ได้ ก็คือ ภูมิ ที่ใช้สร้างความแข็งแกร่ง ทำให้ทนต่อสภาวะต่างๆได้ดี
ฉันใดก็ฉันนั้น หลักของพระภูมี เห็นความจริงของธรรมชาติข้อนี้ และถูกนำมาใช้เป็นหลักในศาสตร์ของสมุนไพร
คนทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่รอยารักษาโรค อยากหายโรคโดยสบายๆ หลายคนเห็นโอกาส ก็อวดอ้างว่า ตนนั้นมียาดี รักษาโรคได้ ไม่ว่าจะเป็นหมอแบบไหนๆ ลงท้ายความจริงก็ปรากฎว่า ยารักษาโรคนั้น จักใช้ได้ก็เฉพาะโรคกรรมผ่าน เป็นแล้วก็ผ่านไป หากแต่เป็นกรรมตาย คือ โรคที่มาเพื่อดับชีวิต ค้นคว้าเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางเจอ
ก็เพราะคนที่คิดค้น คือ คนที่อยู่ใต้กรรม จะมีความคิด เหนือกรรม เอาชนะกรรมได้โดยวิธีใด เป็นไปไม่ได้ นั่นเอง
แม้นแต่ศาสตร์ของพระภูมี ก็ไม่มีไว้เพื่อรักษาโรค หากแต่ยิ่งไปกว่านั้น ยังสอนให้ยอมรับในกรรมที่ทำมาอีกต่างหาก
ศาสตร์สมุนไพร ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมุ่งเน้นที่การสร้างเสริมความแข็งแกร่งของอวัยวะ ๓๒ เป็นสำคัญ และฟื้นฟูสร้างภูมิ ให้กลับมาแข็งแกร่ง เมื่ออวัยวะแข็งแกร่ง มีสารอาหารจากการทานครบทั้ง ๕ หมู่แล้ว ร่างกายก็จะก่อกวนโรค ให้เกิดอาการ ในขณะที่สภาวะของโรคนั้น ยังไม่แก่ตัวเต็มที่
ผลก็คือ โรคจะกำเริบก่อน ทำให้อาการที่เกิดไม่รุนแรง เสมือนหนึ่งอยู่ในสภาพวัคซีน ฉีดเข้าร่างกาย แล้วเกิดอาการ ด้วยเชื้อที่อ่อนฤทธิ์ ภูมิของร่างกาย และสภาวะของอวัยวะที่ถูกฟื้นฟู ก็จะถูกกระตุ้นให้ต่อสู้ ด้วยฤทธิ์ที่ยังอ่อนนี้เอง จึงทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้ได้ และแข็งแกร่งมากขึ้น จนในที่สุด ก็สามารถขจัดโรคออกจากร่างกายได้
สภาวะการฟื้นฟูด้วยศาสตร์สมุนไพร จึงมีความแตกต่างจากพวกหายารักษาโรค ที่มุ่งหมายที่จะเดินหน้าฆ่าลูกเดียว ให้โรคร้ายตายไป แต่ศาสตร์พระภูมี กลับมิทำเช่นนั้น เตรียมร่างกายและสารอาหารให้พร้อม กระตุ้นให้โรคกำเริบ แล้วใช้วิกฤตนี้ สร้างภูมิ อวัยวะ จนแข็งแกร่ง สามารถเบียดพื้นที่ หรือ เอาพื้นที่คืนจากโรค ทำให้โรคร้าย ถูกรุกไล่ และขับออกจากร่างกายไปในที่สุด
ภาพที่ปรากฎตลอดระยะเวลาของกระบวนการฟื้นฟูด้วยศาสตร์สมุนไพร จึงเห็นได้ชัดว่า ทุกข์ไปตลอดทาง ด้วยอาการของโรค เราท่านก็ทำได้แต่เพียงรอ และอดทน ให้ร่างกายฟื้นฟู ต่อสู้ จนเอาชนะได้ อาการต่างๆจึงหาย และนั่นคือการหายโรค
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสตร์นี้จึงเรียกว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" เชิญชวนให้เข้ากระโจม ร้อนมากมายนัก หากแต่ถ้าทนได้ ร่างกายก็จักสร้างภูมิที่ทนต่อความร้อนสูงในกระโจม ที่สูงกว่า ๕๐ องศาได้ ผลก็คือ วันใดที่อาการของโรค ทำให้เราท่านเป็นไข้ นั่นคือ อุณหภูมิที่สมอง ประมาณ ๔๐ องศา ร่างกายก็จักทนได้ สมองไม่เสียหาย ด้วยพิษไข้
ศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงยืนอยู่บนหลักความจริง มิใช่ปาหี่ หลอกขายฝัน กว่าจะรู้ตัว ฝาโลงก็แย้มให้เห็น กรรมเราท่านทำมา จะปฏิเสธสักฉันใด ก็ไม่พ้น ศาสตร์ของพระภูมี ผู้ที่จะประสพผล คือคนจริง เมื่อเราท่านทำไว้แล้ว ก็ต้องรับ มีสมุนไพรเป็นพี่เลี้ยง มีความเข้าใจ ก็ต้องสร้าง ขันติ อดทน ในอาการที่พึงเกิด มีสติ ไม่ใจตก หรือ กลัวจนเกินเหตุ มีสติที่จะต่อสู้
ท้ายสุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า การที่เราท่านมาใช้ศาสตร์นี้ ก็เสมือนหนึ่งกำลังแข่งกัน ว่า อะไรจะอึดกว่ากัน ระหว่างโรค กับร่างกายเรา ถ้าสามารถยืนระยะ ทำให้ระบบร่างกายของเราท่าน ยังดำรงอยู่ได้ โดยที่โรคหมดอายุขัย ตายก่อน นั่นแลหายโรค เราท่านก็จะพ้นลิขิต โรคตาย อันหมายถึง โรคกับเรา ตายไปพร้อมกัน
เมื่อเอาชนะได้แล้ว จะเกิดภูมิในตน นั่นก็หมายความว่า เราท่านจะไม่เป็นโรคนั้นอีกต่อไปในภายภาคหน้า ส่วนคนที่มีอาการโรคหวน แสดงว่า โรคแค่สงบไปเท่านั้นเอง
ดังนั้น อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนที่หายโรค หากไม่เปลี่ยนนิสัย การตายของคนผู้นั้น มักจะเกิดโรคใหม่ ทำให้ตาย ... การหายโรค จึงไม่ใช่ที่สุด และไม่ใช่เป้าหมายของแม่ชีเมี้ยน ที่ส่งศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีให้ แต่การหายที่แท้จริง คือ ทำตนให้มีนิสัยพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่าง ทำตนเป็นคนที่มีที่เว้น สร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ผู้ใดทำได้ มิเพียงหายจากโรคเดิม แม้นแต่โรคใหม่ ก็ไม่มีกรรมทำให้เกิดเช่นกัน
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า อย่าท้อใจ" แลสุขที่ได้ ก็จักติดตัวไปทุกภพทุกชาติ เพราะเป็นสุขนิสัย ของพระพุทธเจ้าที่มีนั่นเอง