หลวงพ่อนิพนธ์สอนพระในสมัยที่เราบวชอยู่ว่า ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ไม่ว่าท่านจึงไม่มีความจำเป็นที่จักต้องมาเฝ้าดู พฤติกรรมของพระที่มาบวช ว่าทำตามบัญญัติของพระพุทธเจ้าหรือไม่
การมาหาพระของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็อาจจะอาทิตย์ละครั้ง หรือ ครึ่งเดือนครั้ง ก็ตามที ท่านจึงบอกว่า ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไหน ทำอย่างไร ก็ดูที่ผลที่ปรากฎนั่นเอง ดูสภาพของพระ ก็จักฟ้องเองว่า สิ่งที่ทำถูกหรือผิด
พระในยุคนั้น กว่าสามสิบรูป มีพระป่วยกว่าค่อน และเฉพาะที่เป็นเอดส์ ก็หลายองค์อยู่ ไหนจะมะเร็งสมองอีก โรคจิปาถะมากมาย เรียกว่า เป็นโรคสาหัสเกือบทุกองค์
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็จึงชี้ว่า นิสัยมนุษย์ก็เหมือนลิง ทำตัวหลอกเจ้า พอเจ้ามาก็สงบเสงียม ทำตัวดี ครั้นลับหลัง ก็ใช้นิสัยตนบรรเลง เป็นธรรมดา
ศาสตร์ของศาสนา ไม่ว่าวินัยธรรม หรือสมุนไพร ผลที่จะบังเกิดมิใช่อยู่ที่การทำตาม เพียงอย่างเดียว หากแต่ปัจจัยสำคัญ คือ คุณสมบัติ ต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เรื่องของศาสตร์ ไม่ใช่ของตาย ไม่ใช่วัตถุ เหมือนทานยาแก้ปวด ใครทานก็ให้ผล แต่เป็นเรื่องของอำนาจ ที่ศาสนามีแลให้แก่ผู้ที่มีคุณสมบัติ ต่างหาก
ดังนั้น การจะได้มาซึ่งอำนาจ หรือปาฏิหารย์ใดๆ ย่อมต้องขึ้นอยู่กับคนผู้นั้น ทำตนเป็นภาชนะรองรับอำนาจได้ มากน้อยเพียงใด นี่แลจึงกล่าวว่า เรื่องของศาสนา ใครทำ ใครได้ ทำได้แค่ไหน ได้แค่นั้น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา คนที่เชื่อ ทำตามทุกสิ่งอย่าง สำเร็จเป็นอรหันต์ ทำตามบางสิ่งบางอย่าง ได้มนุษย์สมบัติ คือ ความไม่มีโรค คนที่ไม่ทำตาม แม้นจะดูเหมือนทำทุกสิ่งอย่าง อาทิ เทวทัตและสาวก มิเพียงไม่ได้สัมผัส อำนาจธรรม แต่ยังถูกธรณีสูบอีกด้วย ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ไม่ทำ นั้นมีมากกว่ามากเสียอีก ก็อยู่เวียนว่ายไปตามกรรมดีกรรมขั่วของตนที่ทำมา ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน
คนที่ไม่ทำ เขาชอบศาสนาขอ แต่ขอจนตาย ก็ไร้ผล เพียงแต่ชอบมั่วกัน เพราะกล่าวอ้าง ขอแล้วได้ ที่ซึ่งเป็นผลแห่งกรรมดีของตนที่ทำไว้แล้วต่างหาก
บทสรุป สถานที่นี้ ดั่งที่อาสิชี้ ไม่กะเกณฑ์ให้ต้องทำ แล้วก็ไม่รับรองว่า มาทานสมุนไพรแล้วจะหาย หากแต่ผู้ใดได้มาฟัง พิจารณา เชื่อแล้วทำตาม ในศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา และหลวงพ่อนิพนธ์มาถ่ายทอด สร้างคุณสมบัติให้เกิดแก่ตนได้ อำนาจธรรมเขาก็จักเกื้อกูล แล้วจักพบปาฏิหารย์ คือความไม่มีโรคได้
พระในยุคที่เราบวช โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคสาหัส หมอไม่รับ ก็เฉกเช่นกัน บางองค์เป็นเอดส์ ทำได้ ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด หายกลับไปแต่งงานมีลูก ก็เห็นมาแล้ว บางคนฉลาดแกมโกง ทำดีต่อหน้า แม้นอาการดูเบากว่า ตายเฉย ก็เห็นมาแล้ว
ดูอย่างท่านตอง มะเร็งสมองมาตอนอายุห้าสิบ ทำตามได้ อยู่จนกลายเป็นราษฎรอาวุโส และราษฎรดีเด่น ของเขาค้อ จวบจนสิ้นอายุขัยในวัยแปดสิบกว่า แต่บางองค์ แค่โรคมะเร็งเบาๆ อายุก็แค่สามสิบ สอนสักเท่าไหร่ ก็ไม่ทำ ตายซะงั้น
เราจึงอยากเตือนว่า หากคิดว่าตนฉลาด สวดมนต์ก็ไม่เอา ฟังก็ไม่ชอบ ให้สุขแก่ผู้อื่น ก็ไม่ยอมทำ ... หลบซ้าย หลบขวา เอาแต่สมุนไพร นั่นมันคนโง่ เห็นแก่ความสุขเล็กน้อย หากแต่แลกด้วยชีวิตตน คุ้มกันหรือ
หากมาแล้วไม่คิดทำ ไปอยู่ในพรหมลิขิตของตนเองเฉยๆดีกว่า เพราะจะได้ไม่มีตัวกระทำที่ลบหลู่ศาสนา เป็นกรรมมาซ้ำเติบตน ก็สามารถดำเนินชีวิตไปเหมือนคนทั่วไป หากแต่มาแต่ไม่ทำตน หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติพระเสมอในยุคนั้นว่า "ตีนกรรมน่ะพอไหว แต่ถ้าตีนฟ้าที่เขาหมั่นไส้ มาทำตนไม่ดีในศาสนา อันนี้ แม้นแต่ธรณีก็รับไม่ไหว เหมือนเทวทัต"