อุปสรรคใหญ่ประการหนึ่ง ที่เรามองเห็นว่า เป็นกำแพงกรรม ที่น้อยคนจะฝ่าฟัน ผ่านพ้นได้ นั่นคือ ทิฐิมานะของตน
นับแต่ยุคถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยนตรัสสอนสงฆ์ เมื่อเห็นว่า การกระทำของสงฆ์ มีการกระทำที่ ไม่ถูกต้อง หรือ ล่าช้า ด้วยเหตุอันใดก็ตาม คำที่ใช้ในการเตือนสติ เพื่อให้พิจารณา แล้วกลับมาเดินอยู่ในรอยของพระภูมี ฟังแล้วก็คล้ายคำ ต่อว่า หรือ ประสงค์จะผลักให้ล้ม ก็ปานนั้น
เฉกเช่นคำที่ท่านอาสิสอนในปัจจุบัน หลายคนฟัง แล้วก็เกิดรู้สึกว่า เหมือนว่าตน อย่างไรอย่างนั้น จึงไม่แปลกที่คนฟัง จะเกิดทิฐิมานะ รวมถึงสงฆ์ในยุคถ้ำกระบอก ที่จะไม่อยากอยู่หรือเบื่อหน่ายผู้พูด เป็นธรรมดา
หากแต่ คำสอนเหล่านั้น แท้จริงแล้ว มีให้เพื่อพิจารณา และไตร่ตรองว่า สิ่งที่เราท่านมาทำกันในทุกวันนี้ เพื่ออะไร แล้วพฤติกรรมที่ทำ จะนำไปสู่สิ่งที่หวังได้หรือไม่ ถ้าหากพิจารณาแล้ว เห็นว่าคนทัก เขากล่าวถูกต้อง สอนให้เราท่านได้สติ เพื่อจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้กลับมาทำในสิ่งที่ช่วยตนได้ ความรู้สึกที่มีต่อคำสอน ฟังเหมือนตนโดนด่าว่า ก็จักกลายเป็นคำสอนที่ช่วยยกตนให้พ้นหล่ม แลถึงจุดหมายได้ไว
หลวงพ่อนิพนธ์ มักชี้ให้เห็นว่า ยามเมื่อเราท่านสร้างกรรม ก็ต้องมีองค์ประกอบ คือ กาย วาจา ใจ ... ครั้นจะมาสร้างบุญ หรือ พฤติกรรมตามศาสนา เพื่อช่วยตน มันก็ต้องอาศัยองค์ประกอบเดียวกัน นั่นเอง
บทสรุป ดั่งคำโบราณ ยาดีรสขม คำที่ฟังไม่รื่นหู มักมาจากผู้หวังดี คำสอนของท่านอาสิ เราจึงอยากให้มองเนื้อหา เอาเหตุเอาผล หากก้าวข้ามกำแพงของตนได้ พิจารณา แล้วทำตาม ผลก็จักเกิดกับตนมหาศาล
เชื่อเถอะ สถานที่นี้ มีไว้สร้างชีวิต มิใช่ทำลายชีวิต .. ฟังคำสอนอาจไม่ถูกใจ แต่ถูกต้องแน่นอน