เราเคยถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ในเมื่อศาสนาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นสิ่งที่เรียกว่า วิเศษสุด สามารถช่วยคนได้ หากคนผู้นั้นได้มาเจอ ฟัง พิจารณา แล้วเกิดความเชื่อ ทำตามคำสอน ก็จักเปลี่ยนพรหมลิขิตของตน ตามที่ตนปรารถนาได้ นั่นก็หมายความว่า ต้องเป็นที่นิยม ต้องมีคนมาหามากมายมหาศาล หรือ ล้นหลามสนามแตก เหมือนดั่งคนอยากไปดูฟุตบอล ที่ชื่นชอม หรือ คอนเสริตท์ของนักร้องที่ตนชอบ เช่นนั้นแน่
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะศาสนาเป็นของนอกโลก ปกติวิสัยจะไม่มีในโลก ยกเว้นก็แต่เฉพะาช่วงเวลา ที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะอุบัติ เพื่อสานต่อองค์เก่า มีระยะเวลาสั้นๆ ในวงรอบของ ๒๕๐๐ ปี เท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงเป็นของที่คนทั้งหลายทั้งปวง ย่อมไม่คุ้นเคย ด้วยภพชาติที่ผ่าน ก็อาจไม่ได้เจอศาสนาทุกครั้งที่พระพุทธเจ้าอุบัติ นั่นยิ่งต้องอยู่ในนิสัยกรรม จึงคุ้นเคยกับ การสร้าง กรรมดี กรรมชั่ว แต่ศาสนาไม่สอนให้สร้างสิ่งเหล่านั้น การทำตามศาสนา ผลตอบแทน คือ "บุญ"
คนที่จะมาหาศาสนา จึงมักเป็นผลจากอดีต นั่นคือ เคยมีการกระทำ กับพระพุทธเจ้าองค์เก่า หรือ สาวก ไม่ว่าทางหนึ่งทางใด หากย้อนไปยุคพระโคดม ก็ทราบกันดีว่า มีสาวก ประมาณเกือบแสนองค์ หากแต่บุคคลที่ไม่อยากไป ขอแค่ฝึกนิสัย หรือ ฆราวาส ก็ประมาณสามแสนคนเท่านั้นเอง คนเหล่านี้แหละที่จะเวียนว่ายมา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ดูคนที่อยู่ข้างมูลนิธิสิ แม้นจะใกล้ติดกัน สิ่งที่เป็นก็เหมือนเช่นคนอื่น คือ มีโรค แต่เขาก็ไม่มา ไม่สนใจ นั่นคือ เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของเฉพาะกลุ่ม .... ยิ่งไปกว่านั้น คือ กลุ่มคนน้อยๆ ย้อนไปอินเดีย กลุ่มของพระโคดม ก็แค่หลัก ครึ่งล้านคน เฉพาะในอินเดียยุคนั้น ก็มีคนเป็นหลักร้อยล้านคนแล้ว หากยิ่งเทียบกับคนทั้งโลก ยิ่งน้อยกว่าน้อย
การได้มาถึง จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นี่แหละด้วยตัวกระทำของคนเหล่านั้นในอดีต อุปมาเสมือนมาทวงหนี้ที่มีต่อศาสนา จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมคนทั้งหลายที่มา เราท่านอาจเห็นคนบางคน อาจจะเป็นต่างชาติ ต่างศาสนา มาทานสมุนไพร แล้วไม่ต้องทำอะไรก็หายได้ เรียกว่ากินบุญเก่า ก็ได้ประมาณนั้น หากแต่บุญนั้น มีมากน้อยต่างกัน เมื่อบวกกับกรรมที่สร้าง มากน้อยไม่เท่ากัน ศาสตร์สมุนไพร จึงเอาเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย เพราะต่างกรรม ต่างวาระ
แล้วศาสนาดึงคนเหล่านั้นมาทำไม คนที่เวียนว่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ชี้ว่า ประการแรก ศาสนา ก็ต้องใช้หนี้ ที่คนเหล่านั้นทำให้ ในยุคพระโคดม ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมที่นี่จึงให้โอกาสทุกคนที่มา ในทุกโรค ทุกอาการ และก็ยิ่งไม่ต้องแปลกใจว่า คนที่มาเมื่อทานสมุนไพร ย่อมไม่มีผลเสีย มีแต่ผลดี แต่อาจจะมากน้อยต่างกัน ไปตามแต่ละบุคคล
ประการที่สอง หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า การมา คือ การที่ศาสนาให้โอกาส หรือให้คนผู้นั้นชั่งใจว่า จะมีการกระทำต่อ หรือ ตัด ไม่กระทำ ตามคำสอนของศาสนาอีก เพื่อผลในภายภาคหน้าต่อไป หลังจากใช้ของเดิมที่ทำมาหมดลงไปแล้ว
นี่แหละคือใจความสำคัญ หรือ จุดประสงค์ของการมีมูลนิธิ คือ เพื่อให้เราท่านทั้งหลาย ได้มีการกระทำ มีนิสัยของพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่งของตนต่อไปในภายภาคหน้านั่นเอง หลังจากการห่างหายจากศาสนา เมื่อสิ้นยุคของพระโคดม กว่าสองพันปี ล้วนแล้วแต่อยู่ในนิสัยกรรม นิสัยกรรมก็หล่อหลอม กลืนนิสัยธรรม ก่อให้เกิดทุกข์แก่ตน มากขึ้น ตามความห่างนั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า ศาสนาเป็นแต่เพียงผู้ชี้ สอนเหตุและผลให้พิจารณา ช่วยใครไม่ได้เลย คนที่มา แลได้ผล ก็ด้วยตัวกระทำเก่า และตัวกระทำใหม่ ที่เสมือนบังคับให้ทำ คือ การสวดมนต์ และฟังคำสอน แต่ของเดิมเมื่อใช้ย่อมหมด จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทุกคนมาทานแล้วย่อมดีขึ้น บางคนก็ด้วยตัวกระทำเดิม เพียงพอให้หายโรคได้ แต่นั่นก็แค่มาหา ยังมาไม่ถึง คนที่ถึง ก็คือคนที่เมื่อได้สัมผัส แล้วพิจารณา เกิดปัญญา จึงนำคำสอนไปเปลี่ยนแปลงนิสัยตน คือ นิสัยกรรมให้ลดลง เพิ่มนิสัยธรรม ให้มากขึ้น เพื่อเป็นที่พึ่งแห่งตนในภายภาคหน้า
บทสุดท้าย หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า คนที่มาแล้วถึง จึงมีเฉพาะคนที่มาแล้วเปลี่ยนการกระทำของตน ตามรอยของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สถานะของตนจึงปลอดภัย คือ ถึงสุขที่แท้จริง ที่ กินได้ นอนหลับ ไม่มีโรค ไม่มีอุบัติภัย แต่หลายคนก็หยุดแค่เพียงการดีขึ้น หรือ หายโรค ไม่สนนิสัย ... โดยหารู้ไม่ว่า นั่นเป็นการกินบุญเก่า ช้าเร็วก็ต้องหมด
อย่าแปลกใจเลย หากสงสัยว่า ฉันมาตั้งนาน ทานสมุนไพรแรกๆก็ดีขึ้น บ้างก็มาเป็นจิตอาสา ก็ดีขึ้นอีกระดับ หรือ โชคดี หายโรค แต่ครั้นนานวันเข้า ทานสักฉันใด เป็นจิตอาสา สักฉันใด โรคก็ไม่ดีขึ้น หรือ หนักกว่าเก่า หรือ โรคเก่าไป โรคใหม่มา ก็นิสัยกรรมของเราท่านยังอยู่ครบ ผลบุญหมดวันไหน ไม่มีใครรู้ มันก็ย้อนกลับมาเล่นเราท่าน ทีนี้ อะไรก็หยุดไม่อยู่ เพราะการมาของเราท่าน ไปไม่ถึงซึ่ง "นิสัยของพระพุทธเจ้า" พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า เมื่อมีวันเวลา ไม่รู้จักสร้างร่มของตน ไม่มีใครคนไหน ที่จะมาพักในร่มของศาสนา ถึงเวลาก็จากไป แต่ครั้นมีร่มของศาสนา ก็เพลิดเพลินเจริญใจ ไม่ทำตน ถึงเวลาต้องไป ก้าวพ้นปุ๊บเจอแดดแรงปั๊บ ร่มของตนไม่มี นั่นแลเจอตอแล้ว
คำเตือนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่มักกล่าวให้ฟังเสมอว่า เมื่อเป็นบุญเก่า ใช้ก็หมด นั่นหมายความว่า ศาสตร์สมุนไพร หากจะใช้ให้ได้ผล อุปมาตีงู ต้องตีให้ตายในครั้งเดียว เมื่ออาศัยบุญเก่า และการกระทำที่สอดคล้อง ทำให้มีกำลังฟื้นฟูตนขึ้นมา ก็ต้องเร่งรีบ ไปให้ถึงที่หมาย คือ สร้างร่มของตนเป็นที่พึ่ง คือ นิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่น ให้มีแก่ตนให้จงได้ แลลดนิสัยสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นมากที่สุด มิฉะนั้น เมื่อถึงเวลา ต้องออกจากร่ม เจอแตดแรง ช้าเร็วก็ต้องล้ม ทีนี้ จะมาใช้แบบเดิม บุญเก่าก็ถลุงซะเกลี้ยงคลัง ของใหม่ ก็สร้างไม่เป็น หรือ ทำไม่ได้ .... การได้พบศาสนา ในชาตินี้ ก็ไร้ค่า ช่วยตนไม่ได้
สิ่งที่เรากลัว แต่คนอื่นอาจไม่กลัว นั่นคือ เชื่อหรือ ว่าจะมีพรหมลิขิต ได้เจอศาสนาอีก .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า กรรมดี มันล้างกรรมชั่วไม่ได้ วันนี้ จึงไม่ควรประมาท ทำไว้ให้มากที่สุด ยิ่งพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ จะอุบัติในพม่า แม้นจะมีองค์บุญให้ทำ แต่มั่นใจหรือ จะเข้าถึง สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ทุกเวลานาที คือโอกาสทอง วันใดที่พระพุทธเจ้าประกาศตน อำนาจบุญ ก็จักต้องกลับไปรวมศูนย์ที่พระพุทธเจ้า ทีนี้ อยากได้บุญ อยากพบพระพุทธเจ้า อยากทำสัจจะ ก็ไปรอต่อคิว .... แล้วนึกหรือ ว่า มีเราท่านแค่นั้น ที่อยากเจอพระพุทธเจ้า ที่สำคัญ พระพุทธเจ้าจะให้เราท่านเจอหรือเปล่า
สิ่งที่แม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่จบที่สมุนไพร หรือ การหายโรค แต่คือการสร้างนิสัยพระพุทธเจ้า เป็นบางสิ่งบางอย่าง เป็นสัญญา ต่อจากของเดิม ที่หมดลงเมื่อพามาพบศาสนาในวันนี้ นิสัยหรือสัญญานี้แหละ ที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า เป็นใบเบิกทางที่จะทำให้เราท่านได้พบพระพุทธเจ้า ในวันหน้า
หลายคนกังวลว่า เมื่อไหร่จะหายโรค ช่างน่าเสียดายวันเวลานัก สิ่งที่น่ากังวลคือ เมื่อไหร่ตนจะมีนิสัยพระพุทธเจ้าบ้างต่างหาก หากฟังคำสอน พิจารณา เชื่อ แล้วทำตามได้ วันใดที่มีนิสัยของพระพุทธเจ้าเกิดในตัว นั่นคือ วิญญาณของของตนอยู่ที่สูงแล้ว เพราะฝากไว้กับศาสนาที่เป็นของสูง โรคที่เป็นมันก็หายได้เหมือนปาฏิหารย์ ด้วยวิญญาณสูง กายย่อมสูงตาม จะเป็นโรคอยู่ได้อย่างไร หากไม่มี แล้วบุญหมด แต่กลียุคก่อนพระพุทธเจ้าประกาศตน ต้องมาแน่ ไม่ต้องรอตายด้วยโรค จะหนีกลียุค ภัยพิบัติร้ายแรงนั้น ได้หรือไม่ ถึงหายโรค ก็ไม่ได้บอกว่าจะรอดภัยอันนี้ การมาของท่าน ก็ไม่ถึงที่พึ่งแห่งตน ทำตนช่วยตนไม่ได้ ... แม้นจะมา ได้พบ ได้เจอ ... การมาก็เสียเปล่า
วันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าคนบ้าสองจำพวก หนึ่งบ้าทำตามโลก ทำตามนิสัยตน กับหนึ่ง บ้าทำตามแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์ ทำนิสัยพระพุทธเจ้า ... กลุ่มแรกหัวเราะก่อนในวันนี้ กลุ่มหลัง จะหัวเราะดังกว่าในทีหลัง ... เพราะยังมีชีวิต มีสุข มีเสียงหัวเราะได้ ...