อ.อร่าม มักกล่าวเสมอในเมื่อจบการบรรยาย ด้วยคำที่ว่า บุญพามา จึงมาถึงที่แห่งนี้ได้
ก็แล้วบุญแต่ปางไหนเล่า .. จึงดลจิตดลใจ ให้พากายมาถึง ณ.ที่นี้ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ได้อรรถาธิบายให้ฟังว่า ก็ตัวกระทำมันไม่ตาย เมื่อทำแล้ว ก็ย่อมเกิดเป็นผลรอเราในชาติหน้า
เราท่านทั้งหลาย หากมองไปในอดีต ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เกิดในอินเดีย หรือ เกิดในแผ่นดินที่พระพุทธเจ้าแลสาวก ได้เดินย่างกรายไปนั่นเอง
หากพิจารณาอย่างง่ายๆ พระอรหันต์แสนรูปในยุคพระโคดม ต้องปฏิบัติกิจตามอายุขัยเฉลี่ยคนละสามสิบปี
นั่นหมายความว่า หากทุกองค์ต้องทานข้าวเฉลี่ยวันละห้าทัพพี นั่นคือ กว่าจะลาสังขารแต่ละองค์ก็ต้องทานข้าวถึงประมาณห้าหมื่นทัพพี ทั้งหมดประมาณแสนองค์ ปริมาณข้าวที่ต้องใช้ ก็ประมาณ ห้าพันล้านทัพพี จึงสิ้นสุดสาวกองค์สุดท้าย
ข้าวจำนวนนี้มาจากไหน มาจากคนจำนวนเท่าใด ใครเป็นผู้ใส่บาตรให้
นี่แลคืออีกสิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องสร้างเอาไว้ให้ นั่นคือ ผู้ที่จะเวียนว่ายมาหาศาสนา ในยามที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ หรือเรียกง่ายๆว่าสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปนั่นเอง
สิ่งเหล่านี้ไม่มีในพระไตรปิฏก ไม่มีในคำสอนที่ใดๆ
นั่นหมายความว่า เราท่าน ก็คือผู้ที่เคยใส่บาตร อันเป็นตัวกระทำในอดีต แก่พระพุทธเจ้าหรือสงฆ์สาวกของท่าน อันเป็นตัวกระทำที่ทำให้เราท่านได้มาสถานที่นี้ในวันนี้
มาทำไม ก็มารับสมุนไพร ทวงหนี้ข้าวนั้นนั่นเอง ที่เคยใส่บาตรไป จึงไม่ต้องแปลกใจ คนที่มาที่นี่ เมื่อได้ทานสมุนไพร ทุกผู้คนล้วนแล้วแต่มีอาการ หรือ สภาพที่ดีขึ้น อย่างแน่นอน
หากแต่ข้าวที่ตัก เป็นสื่อให้เวียนมาหาศาสนาอีกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า ก็ผ่านมาอีกสองพันกว่าปี ยุคของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่กำลังจะอุบัติ จะมาเอาแค่หนี้หรือ ทำไมไม่เอาของที่ดีกว่านั้น นั่นคือธรรมคำสอน ที่ให้ผลอันมหาศาลกว่านัก
มีแค่สมุนไพร ก็ใช่ว่าชีวิตจะปลอดภัย อาจหายจากโรค แต่ก็ต้องไปตายด้วยอุบัติเหตุ ... ทำไมไม่ทำให้รอดทั้งสองอย่าง
เดินเลยสมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า พระภูมีให้เป็นของแถม เดินไปยังธรรมของพระภูมี แล้วน้อมนำมาบางสิ่งบางอย่าง มานำตน ทำตนเป็นคนดี มีนิสัยของพระพุทธเจ้า เป็นคนกลัวกรรม
สมุนไพรเขาสนับสนุนคน ที่อยากจะทำตนเป็นคนดี มีนิสัยของพระพุทธเจ้า .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงมันกล่าวสอนเสมอว่า ไม่ต้องมาพูดเรื่องโรคหรอก พูดกันเรื่องนิสัยดีกว่า เปลี่ยนได้ไหม
หลายคนก็คิดว่า ก็เห็นคนบางคน เป็นโรคหนัก มาที่นี่ไม่เห็นต้องทำอะไร เอาแต่ทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็ดีวันดีคืน ... นั่นมันของเก่าในอดีตเขาทำมา ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง ... คนเราต่างกรรม ต่างวาระ เอาเหมือนกันไม่ได้
เขาทำของเขามา เมื่อเขาหายโรค เขาก็ไป แต่เมื่อเขาไม่เปลี่ยนนิสัย เขาอาจพ้นเสือได้ สักวันเขาก็ต้องเจอจระเข้
คนบางคนบอกเป็นโรคไม่ดี ... หากแต่สิ่งนี้แหละที่นำเราท่านกลับมาหาศาสนา หาแม่ชีเมี้ยน ได้พบหลวงพ่อนิพนธ์ ได้เจอธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้มีโอกาสได้ทำตนเป็นคนดี ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าอีกครั้ง ... ใครว่าเป็นโรคไม่ดี ... เราว่าดี
เมื่ออดีตเราท่านทำมาน้อย ... ก็ไม่เป็นไร โรคที่เป็นอาจจะต้องใช้วิริยะ มานะ ขันติ อดทน และการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์มากกว่าผู้อื่น แต่ผู้ที่เชื่อ และศรัทธา ทำตาม ก็ย่อมต้องประสพผลอย่างแน่นอน ...
ผลแห่งการมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่่า ควรจบที่การเป็นคนดี ไม่โกรธผู้อื่น ไม่ติผู้อื่น ไม่เห็นผู้อื่นผิด เป็นคนมักน้อย สันโดษ สิ่งที่ได้ ก็คือ การยกระดับจิตใจ แลความมั่นคงของชีวิต ได้ความไม่มีโรคเป็นของแถม ยิ่งไปกว่านัน นี่จะเป็นสมบัติที่ติดไปทุกภพทุกชาติ
ก็ข้าวที่ใส่เมื่อสองพันปีก่อน ... ยังมีผลถึงวันนี้ ... ไม่เชื่อหรือ นี่คือตัวกระทำ ที่แม่ชีเมี้ยนตรัสสอน และย้ำว่า ตัวกระทำ ไม่ตาย เมื่อทำแล้ว มันจะไปรอเราท่านอยู่ในวันข้างหน้า ...
ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงเน้นย้ำว่า ใครที่บอกว่า คนเราเลือกเกิดเลือกที่จะเป็นอะไรไม่ได้ เพราะคนผู้นั้นไม่รู้เรื่องศาสนา หากเขารู้ เขาอยากเป็นอะไร ก็สร้างตัวกระทำที่อยากเป็นไว้ เมื่อทำได้เป็นตน ตัวกระทำนี้ก็รอเราอยู่วันข้างหน้า ตามที่เราเลือกและทำไว้อย่างแน่นอน
การมาทานสมุนไพร ก็สร้างตัวกระทำไม่มีโรคไว้ เกิดชาติหน้าฉันใด สิ่งนี้ก็เป็นสมบัติติดวิญญาณ เป็นคนไม่มีโรค
การกระทำตาม จึงมีความหมายแก่ชีวิต ทำสมบัติอื่นใดในโลก ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ แต่ทำตามคำสอนของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา และหลวงพ่อนิพนธ์มาถ่ายทอดให้ ... สมบัติอันนี้ พกติดวิญญาณไปได้ ทุกภพทุกชาติ ...
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมคนที่ไม่ให้ความสำคัญในการมา จึงไม่ควรคบ ก็คนที่เห็นสิ่งอืนใดมีค่ากว่าชีวิตตน เลือกกระทำสิ่งอื่นก่อน การกระทำเพื่อช่วยชีวิตตน นั่นหมายความว่า ชีวิตของคนผุ้นั้นไร้ค่า มีราคาต่ำกว่าการกระทำนั้นๆ
แม้นแต่ชีวิตตน ยังไม่ให้ค่า คนแบบนี้ จะเห็นคาของชีวิตผู้อื่นได้อย่างไร
อย่าให้ข้าวถ้วยแกงขัน ของเราท่านสูญเปล่า ... มาถึงที่แล้ว เดินก้าวเข้ามาอีกนิด จากคนที่เคยเลื่อมใส ศรัทธา จนนำข้าวมาใส่บาตร เลื่อนฐานะมาเป็นคนดี มีนิสัยของพระพุทธเจ้า ใกล้ท่านเข้าไปอีกนิด แม้นชาตินี้ พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ อาจจะยังไม่ได้ไป อีกสองพันห้าร้อยปีข้างหน้า ก็ยังมีโอกาสไปกับเขามั่ง
ไม่ต้องพูดเรื่องโรค พูดกันว่า ตอนนี้เราท่านมาเจอกิ่งทองของแท้แล้ว ... เราท่านจะทำตัวเป็นใบหยก ประดับกิ่งทองนั้นได้หรือไม่ ... หากทำได้ ... โรคอะไร หนักแค่ไหน ก็กระจอก ทานบุญญาบารมีของคนมีธรรมไม่ได้หรอก ..
เพราะสัญลักษณ์ของบุญคือความสุข สัญลักษณ์ของกรรมคือความทุกข์ คนที่มีธรรม ก็ย่อมสร้างแต่บุญ จะต้องตกอยู่ในทุกขเวทนา ด้วยการเป็นโรค ... เป็นไปไม่ได้
คำถามที่ว่า มาที่นี่ทำไม ... หากคำตอบที่ได้รับ คือ มารับสมุนไพร ... ได้ยินแล้วห่อเหี่ยว ... ก็มาทวงหนี้อย่างเดียว หากแม้นคำคอบคือ มารับคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อที่จะน้อมนำนิสัยของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนทรงนำมา ไปนำตน พัฒนาตน แลชีวิต ... นี่แลใบหยก .. เอาหายโรคเป็นของแถมไปเลย
ใครถามว่า หลวงพ่อนิพนธ์กำลังทำอะไร ก็ทำหน้าที่ปลุกปั่น ชาวประชาผองไทย ... ให้มาเดินตามพระพุทธเจ้ากันไง ได้ความไม่มีโรคเป็นของแถม ได้ชีวิตที่ปลอดภัย ... ได้สมบัติติดวิญญาณ ได้คุณสมบัติ วันหน้ามีโอกาสได้รับธรรมจากพระพุทธเจ้า ปรารถนาที่กล่าว ... ขอบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ก็จะได้เป็นจริง
คำตรัสที่แม่ชีเมี้ยนทรงสอนย้ำให้จำไว้ในอดีต ... จำไว้น่ะ ตัวกระทำไม่ตาย จะทำสักฉันใดไม่ตายเลย มันจะไปรอเราในภายภาคหน้า
คำอรรถาธิบายของหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้หายสงสัยเลยว่า ทำไมศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาเดียวที่เดินขอข้าว แลมีคนใส่บาตรให้ แถมชวนลูกชวนหลานมาใส่บาตรกัน