ทำไมหลักของพระภูมีจึงต้องเน้นนิสัย พฤติกรรม เป็นหลัก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ลำพังโรคที่เป็น เกิดในคนใด อย่างมากก็สิ้นสุดที่ความตายของคนผู้นั้น
หากแต่ความเชื่อ ความคิด นิสัย ที่ผิด หากเกิดกับผู้ใดแล้ว ผลที่เกิด อาจจะมากมายประเมินไม่ได้เลย
โลกมีแค่ฮิตเลอร์คนเดียว ก็ป่วนไปทั้งโลก เกิดสงคราม ความทุกข์ยาก ความสูญเสีย เหลือคณานับ ..
โศกนาฎกรรมที่เนปาลในวันนี้ ดูผิวเผินก็น่าสงสาร น่าเวทนายิ่งนัก หากมองในรายละเอียด กลับเป็นกลุ่มคนที่มีนิสัย มีพฤติกรรม มีความเชื่อ ในสิ่งหนึ่ง
คนกลุ่มนี้ประมาณครึ่งปีก่อน มารวมตัวกันตามความเชื่อ กว่าล้านคน เพื่อทำตามความเชื่อ แลความเชื่อนั้น ก่อให้เกิดการฆ่าหมู่เหล่าสรรพสัตว์ ประมาณครึ่งล้านตัว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า โรคที่เราท่านเป็น ไม่ได้น่ากลัว แค่มีวันเวลา และทำตัวเป็นมาตรฐาน ทานสมุนไพรไป สักวันก็ต้องจบ หากแต่นิสัยนี่สิ มันเลวร้าย หากยังมีพฤติกรรมสร้างกรรม สร้างทุกข์ให้แก่สรรพสัตว์ ทุกข์อันนั้นมันจะไปไหน
ในเมื่อคำสอนบ่งชี้ชัดว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นก็ถึงตัว
กลวิธีที่คนโบราณ อยากให้ลูกหลานเป็นคนดี จึงมีใช่ได้จากการเรียนรู้ อ่าน ท่อง ฟัง ธรรม ... เป็น หากแต่ส่งลูกหลาน เข้าไปปฏิบัติธรรม เพราะสิ่งเหล่านั้น อาจทำให้พลั้งเผลอ ยิ่งรู้มาก ยิ่งคุยมาก ก็ยิ่งมีโอกาสผิดมาก เพราะธรรมที่ได้มา ได้มาจากการเรียน การจำ หาใช่การปฏิบัติไม่ ... จึงได้แค่รู้ แต่ทำไม่ได้
ใครว่าซวยที่เป็นโรคร้ายแรง แต่เรามองว่า อาศัยเหตุแห่งโรค ทำให้เราได้ฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยการบวชเดินตามรอยพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเหมือนพุทธกาล จะทำให้ได้รู้ ได้ปฏิบัติ ว่าคนดี ต้องเป็นอย่างไร
สิ่งสำคัญ ทำให้แยกแยะได้ว่า สมมุติสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าใช้เรียก สงฆ์ที่ห่มผ้าเหลืองแต่ไม่เอาธรรมวินัยของท่าน กับขันติสงฆ์ ที่เป็นสงฆ์สาวก ทำตามคำสอน ตามวินัย มันแตกต่างกันอย่างไร และที่สำคัญที่สุด บุญของพระพุทธเจ้าแท้จริงทำฉันใด ...
เนปาล ก็แค่โหมโรง ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงพูดในวันปีใหม่ว่า ระวังน่ะ ปีนี้มันแรง ลำพังสมุนไพรก็ยากจะเอาอยู่ ต้องเอานิสัยของพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่างมานำตนบ้าง จึงมีโอกาสพ้นภัย