วิทยากรมักกล่าวเสมอว่า การทานสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น ควรที่จะหยุดหรือลดการทานยาเคมีไปพร้อมกัน
แต่หาใช่การปฏิเสธ หรือ ไม่ยอมรับว่า วิทยาการของการแพทย์ในปัจจุบันนั้นไร้ค่า หรือ ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะในขณะที่คนป่วยยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้เหมือนคนทั่วไป
คนป่วยที่มีปัญหาในการทานอาหาร หรือ ร่างกายขาดเลือด ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็ง หรือ โรคเลือด ผู้ป่วยที่หายใจด้วยตนเองยังไม่ได้ ... กรณีเหล่านี้ ความทันสมัยของเครื่องมือแพทย์ในปัจจุบัน สามารถช่วยได้อย่างดี
ดังนั้น เมื่อเกิดอาการดังกล่าว อย่าปล่อยให้ร่างกายคนป่วยทรุด เนื่องจากการขาดอาหาร หรือ ขาดเลือด เมื่อทานไม่ได้ ไม่มีแรง ก็ไปอาศัยน้ำเกลือ จนพ้นวิกฤต ... ทั้งนี้เพราะสมุนไพรต้องใช้เวลา
หากแต่ในกรณีที่คนป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย การอาศัยความทันสมัยของเครื่องมือ และทานสมนไพรไป ก็อาจจะให้ผลที่น่าพอใจ อาทิ คุณยายท่านหนึ่งที่เป็นโรคมะเร็ง ระยะสุดท้าย นอนในโรงพยาบาล ลูกก็นำสมุนไพรไปให้ทาน เพราะหมอแจ้งว่า คนป่วยไม่มีโอกาสแล้ว การรักษาก็เป็นไปตามอาการ
การได้อยู่ในโรงพยาบาล ก็ทำให้คนป่วยมีอุปกรณ์ช่วยเหลือ ด้านการหายใจ การดูดเสมหะ แม้นจะหยุดยาเคมี เปลี่ยนมาทานสมุนไพร อาการของคุณยายก็ยังคงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ ตอนนี้ เท้าเริ่มบวม และลามขึ้นมาเรื่อยๆ
แต่เมื่อลูกๆถาม คุณยายตอบว่า ก็ยังพอทานข้าวได้ มีอาการแน่นท้องนิดหน่อย หากสิ่งที่กังวลนั่นคือ อาการปวด คุณยายบอกว่า ดีที่มันไม่มีอาการปวดเลย ทำให้ทั้งคนป่วยและลูกก็ยินดี รับได้กับสภาพที่เกิด แม้นรู้ดีว่า โอกาสในการหายหรือรอด ไม่มีแล้วก็ตาม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า การทานสมุนไพร หากได้รับการสนับสนุนจากการแพทย์สมัยใหม่ ก็จะดียิ่งขึ้น ... โดยเฉพาะคนป่วยที่ร่างกายยังช่วยตนไม่ได้ การฟื้นฟูด้วยสมุนไพรเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ทันการ