เมื่อครั้งหลวงพ่อนิพนธ์ยังเปิดสำนัก นั่นหมายถึงรับคนที่เป็นโรค หรือหายโรคแล้ว เข้ามาบวช ตามหลักพุทธกาล สมัยนั้น ก็มีพระประมาณสามสิบรูป
หลายรูปในขณะนั้น เป็นโรคร้ายแรงที่คนทั้งโลกกลัว หมอส่ายหน้า นั่นคือ โรคเอดส์
กิจกรรมของพระแน่นอน นั่นคือ การปลงผม
วงสงฆ์นับแต่เจ้าอาวาส ก็หวั่นวิตก เพราะในขณะนั้น ทั้งสำนักมีมีดโกนด้ามเดียว และใบก็มีเพียงไม่กี่ใบ นั่นหมายความว่า ยากที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ใบมีดโกนร่วมกันได้กับพระที่เป็นโรคเอดส์เหล่านั้น ซึ่งมีหลายองค์
หลวงพ่อนิพนธ์ทราบความในใจ เมื่อครั้งมาหา จึงกล่าวสอนพระว่า ท่านเชื่อในความดี ในบุญของพระพุทธเจ้าหรือไม่ คนทั้งหลายเชื่อในวิทยาศาสตร์ กล่าวกันว่า โรคเป็นเพราะการนำมาติด หากแต่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า โรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม เมื่อไม่มีกรรม ทำอย่างไรมันก็ไม่เป็น
ด้วยคำสอนนี้เอง พระทุกรูปจึงปลงผมกันอย่างสบายใจ อันแสดงให้เห็นว่า คนดีตามครรลองของพระภูมี หรือคนมีบุญ โรคมันไม่เกาะอย่างแน่นอน
ผ่านมาหลายสิบปี ไม่ว่าพระที่เป็นเอดส์ สึกไปบางคนตอนนี้หอบหิ้วลูกมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่มีเชื้อทั้งพ่อแม่ลูก แลพระทุกรูปในยุคนั้น ก็ไม่เห็นปรากฎว่ามีองค์ใดเป็นโรคเอดส์กันเลยสักองค์
จึงไม่แปลกที่เราท่านได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวบ่อยๆ ใครเขาจะบ้าวิทยาศาสตร์ บ้าโน่นบ้านี่ก็บ้าไป แต่ท่านบ้าพระพุทธเจ้า สร้างบุญตามบัญญัติ ธรรมคำสอน นี่แหละชีวิตปลอดภัยที่สุด
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
มองข้ามโรค แล้วให้มองไปไหน
หลักของพระภูมี คือหลักตนพึ่งตน สิ่งที่มองหาจึงไม่มี เพราะไม่มีหมอที่ไหนมาช่วยตนของเราท่านได้ นอกจากตัวของเราท่านเอง สมุนไพรจึงเป็นเพียงวัตถุดิบ ดุจดั่งอาหาร เพียงแต่ทำหน้าที่ต่างกัน นั่นคือ ใช้ในการฟื้นฟูร่างกาย และที่ต่างจากอาหาร นั่นคือ การทาน การทำ การได้มา ต้องเป็นไปตามบัญญัติของฟ้าดิน ด้วยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ
บัญญัติที่ว่านี้ จัดเป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี ที่ทรงตรัสรู้ และทิ้งไว้ให้ ประเด็นที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น ความสำคัญของสมุนไพร มีไว้ทำไม เพราะโลกนี้แม้นไม่มีสมุนไพร ไม่มียารักษาโรค มนุษย์ก็มีพรหมลิขิต ดูแลปกป้องตัวเองอยู่แล้ว นั่นหมายถึง ทุกผู้ทุกนามล้วนดำรงตนอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งศาสนา
แต่ก็มีมนุษย์จำพวกหนึ่ง แม้นยังไม่เบื่อโลก หากแต่ก็เบื่อ ไม่อยากเจ็บ นี่แหละคือความสำคัญ ของสมุนไพร
เพราะเมื่อมนุษย์สร้างกรรม กรรมก็ให้ทุกข์ เมื่อมนุษย์อยากจะพ้นกรรม หรือมีสุข หลวงพ่อนิพนธ์วงเล็บว่า สุขในที่นี้คือสุขของวิญญาณ นั่นจึงต้องพึ่งธรรมคำสอนของพระภูมี เพียงอย่างเดียว จึงจักประสพความสำเร็จ
สัจจะธรรมที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าว คนเราไม่ซึ้งในเรื่องของกรรม ตราบใดที่ยังไม่รู้รส นั่นคือ ยากปกติก็เริงร่า ทำในสิ่งต่างๆ ตามนิสัยสันดานของตน ปล่อยไปตามกิเลสความชอบของตน ปฏิเสธที่จะรับรู้เรื่องกรรม จนวันหนึ่งเมื่อกรรมมันอุบัติเป็นรูปธรรม นั่นคือ โรค ความเจ็บบังเกิด ก็ดิ้นรนแสวงหาหนทางให้พ้นกรรมอันนั้น ยิ่งดิ้นก็ยิ่งพัน เหมือนลิงแก้แห สุดท้ายก็รู้ว่าไม่มีอะไรช่วยตนของตนได้เลย ไม่ว่าเงินทอง เกียรติยศ ลาภ สรรเสริญ ที่แสวงหามาตลอดชีวิต เมื่อนั้นแลก็จะหวนมาหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แลหนึ่งเดียวที่ปรากฎรูปธรรมในการเอาชนะกรรม ก็คือ พระพุทธเจ้า ที่ทรงใช้ธรรม ให้ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับว่า สามารถเอาชนะกรรมได้จริง และยิ่งไปกว่านั้น หนีกรรมไปนิพพานได้
โจทย์ใหญ่ในเรื่องของศาสนา หลวงพ่อนิพนธ์จึงจำกัดความว่า เป็นเรื่องสุขของวิญญาณ นั่นจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมให้มองข้ามโรคไป เพราะนั่นเป็นเรื่องของสังขาร เป็นเพียงบริวารกรรม ให้มองเลยไป คือต้นกำเนิด นั่นคือ กรรม อันหมายถึงนิสัยของเราท่านนั่นเอง
การมาหาแม่ชีเมี้ยน หาพระพุทธเจ้า มายังสถานที่นี้ เป้าหมายที่แท้จริง จึงมาเพื่อหาสุขของวิญญาณ มิเพียงชาตินี้ แต่ยังมุ่งไปยังชาติต่อๆ ไปอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อต้นเหตุอยู่ที่นิสัย สันดาน ความคิด สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ใช้เป็นเครื่องมือ ในการช่วยเราท่าน จึงเป็นองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนิสัย เป็นบางสิ่งบางอย่าง ตามบัญญัติของพระภูมี อุปมาเหมือนเปลี่ยนกระแสน้ำที่ไหลผ่าน จากกระแสกรรม เป็นกระแสธรรม
นั่นคือ สร้างนิสัยธรรม ให้เป็นน้ำดี เมื่อไหลมายังเราท่าน ช้าเร็ว สิ่งสกปรกที่มี ก็ต้องหมดไป โรคมันจะมาเหลืออะไร
ปัญหาที่พระภูมีเล็งเห็น นั่นก็คือ เราท่านจะทำนิสัยธรรมได้อย่างไร ในขณะที่ความเจ็บ ความปวด ความทรมาน มันเกาะติดตัวอยู่ทุกนาที นี่แหละจึงมีบัญญัติสมุนไพร มาเพื่อช่่วยให้เราท่านได้มีโอกาส มีวันเวลา ในการสร้างนิสัยธรรม เป็นน้ำดีมาหล่อเลี้ยง แทนนิสัยเดิม ที่เป็นน้ำคลำ ที่เน่าเหม็นจนวิญญาณทนไม่ไหวทุกข์แสนสาหัสในวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลายคนอาจมองโรคเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ในทางกลับกัน หากไม่มีโรคที่ร้ายแรงเหล่านี้ เราท่านจะหยุดการกระทำ แล้วค้นหาจนมาพบแม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้าหรือ และจะได้เริ่มการกระทำที่ถูกให้แก่วิญญาณกระนั้นหรือ
หน้าที่ของสมุนไพร ที่แท้จริง คือ ให้โอกาส ให้วันเวลา ในการประพฤติปฏิบัติ ทำให้เราสงบและมีโอกาสได้ฟังคำสอน มาพิจารณา แล้วเดินตาม
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเสมอว่า ผลแห่งความสำเร็จอยู่ที่พฤติกรรม หาใช่อยู่ที่สมุนไพรไม่ ผู้ที่จะบรรลุมรรคผลของธรรมหมวดนี้ บทสรุปหรือทางเดิน มีเพียงสายเดียว นั่นคือ ต้องปรับเปลี่ยนตนของตน เป็นคนดี ตามบัญญัติของพระภูมี เท่านั้น ไม่มีสายอื่นให้เลือกเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สุขของวิญญาณ ไม่ได้อยู่ที่การหายโรค หลายคนโชคดีทานสมุนไพรอาจหายจากโรคที่เป็น แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีว่า วิญญาณจะปลอดภัย ชีวิตจะปลอดภัย ในเมื่อกรรมยังอยุ่ นิสัยเดิมยังอยู่ เมื่อกรรมก่อให้เกิดโรคตายไม่ได้ ก็ดลบันดาลให้เกิดอุบัติเหตุตายได้ นั่นมันก็ตายเหมือนกัน นี่แหละจึงเรียกว่า หนีไม่พ้น ดั่งภาษิต หนีเสือปะจรเข้
ก็ถ้าหากทานสมุนไพรอย่างเดียวช่วยได้ ไม่ต้องทำอะไรเลย หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ไม่ต้องลำบากเราท่านหรอก นอนกับบ้านเฉยๆ ท่านจะทำสมุนไพรไปส่งให้ถึงกระไดบ้านเลย
ใครอยากรู้ว่ารักษาโรคตนโดยวิธีใด หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังง่ายๆ นั่นคือ จับตนค้นตน แล้วจะพ้นทุกข์
อันหมายความว่า เมื่อเราสงบ พิจารณานิสัยสร้างกรรมที่ตนมี แล้วคุมนิสัยนั้น โดยเอานิสัยธรรมไปบังคับตน เมื่อทำได้ ผลจากน้ำดีอันนี้แล จะหล่อเลี้ยงชีวิตตนของเรา หาใช่พรที่นั่งขอไม่ ขอให้ตายก็ไม่ได้พรอันนั้นหรอก เพราะพระภูมีบํญญัติ อาตมามีธรรม พรที่โยมขอ จักพึงสำเร็จทุกประการ ก็ด้วยอาศัยธรรมที่สอน นำไปปฏิบัติจนเกิดผล จึงจักได้พรนั้นๆ
การฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะจะได้ค่อยๆ เรียนรู้ว่า อ้ายสิ่งที่เราท่านทำแล้วว่าดี แต่ผลที่เกิดมันเลวร้าย กลายเป็นโรคเกาะกินตัวอยู่ทุกวันนี้ เพราะเหตุใด แลจักแก้โดยวิธีใด ใช้เหตุและผลที่ฟัง มาเป็นน้ำหนัก จึงจักเกิดสติที่คอยควบคุมตัว ไม่ให้ทำผิดอย่างนั้นอีก
ฝึกไปทีละนิด ทีละหน่อย ทำไปเรื่อยๆ เมื่อสติโตขึ้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า มันจะกลายเป็นสัญชาติญาน ทำให้เราท่านไม่สร้างกรรมดังเช่นอดีตอีก เมื่อเป็นคนดีของพระภูมีได้เมื่อไหร่ นั่นแลสุขที่แท้จริง คือสุขของวิญญาณรออยู่ แลคนดีเยี่ยงนี้ ในโลกเขาไม่ทำกัน เอกลักษณ์ของคนดีของพระภูมีจึงแตกต่างจากคนทั้งโรค นั่นคือ ได้ลาภอันประเสริฐ อันได้แก่ความไม่มีโรค ... โรคเป็นตัวแทนแห่งบาป ไม่อยู่กับคนดีหรอก
ใครมาที่นี่ มุ่งมั่นมาเอาสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ช่างน่าเสียดาย เพราะนั่นมันหางกระทิ เป็นของแถมที่แม่ชีเมี้ยน พระภูมีให้อยู่แล้ว แต่หัวกระทิ นั่นคือ นิสัยแห่งบุญ เวลาแห่งบุญ มาเพื่อกอบโกยสิ่งนี้ต่างหาก กลับไม่เอา เสียเวลามาแล้ว กลับไปมือเปล่า ช่างน่าเสียดายนัก
ไม่เรียน ไม่ฟัง จักรู้ได้โดยวิธีใด คำสอนจึงสำคัญด้วยประการฉะนี้ ... ใครบอกตัวเองโชคร้ายที่เป็นโรคแบบนี้แบบนั้น เราว่า โชคดีต่างหาก หาไม่แล้วคงไม่มีโอกาสดีๆ ใกล้พระพุทธศาสนาที่แท้จริงเช่นนี้เป็นแน่แท้ ต้องถูกพวกนอกรีตหลอกไปจนตายยังไม่รู้ตัว
วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
หายโรคง่ายไหม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ตัวท่านก็ไม่รู้ ดังนั้นเรื่องของศาสนาจึงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่คุ้นเคย เพราะถูกมอมเมาจากพวกแอบอ้างจนยึดติด พอมาเจอของจริง บางคนอาจรับไม่ได้
ก็เพราะหลักของพระภูมี เป็นศาสนาทำ คือ ต้องพึ่งตนเอง ส่วนของพวกแอบอ้างนั้น ก็เด่นชัด ไม่ต้องทำอยากได้อะไรก็ขอ
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นความแตกต่างอย่างเด่นชัดนั่นคือบุญที่จักพึงได้จากความเชื่อนั้นๆ เมื่อวันเวลามาถึงนั่นคือกรรมที่ทำมาตามทัน สิ่งที่ทำที่กล่าวอ้างว่าเป็นบุญช่วยตนของตนได้หรือไม่ คือคำตอบว่าการที่ทำมีผลบุญย้อนมาไหม
ภาพล่าสุดที่เราเห็น ประจักษ์ในคำสอน ว่าผลแห่งการมาทำให้หลบเลี่ยงกรรมเลี่ยงเคราะห์ได้ ก็ดูจากคนไข้กลุ่มชุมพร ที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ และอาศัยไปพักในม๊อบระหว่างนี้ เมื่อถึงเวลาก็มารับสมุนไพร
ส่วนใหญ่ก็มาปกติ มีกลุ่มเล็กๆ ที่บอกเหนื่อยขอพักรออยู่ที่ม๊อบ และสองคนในกลุ่มนั้นก็โดนระเบิดตายตามที่เป็นข่าว
บางคนอาจเสียดายเวลา เสียดายเงินในการมาที่นี่ แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ สิ่งนี้ทำให้พ้นเคราะห์ได้ แต่ก็นั่นแหละไม่มีใครรู้ จึงไม่ซึ้ง
ความต่างของคำสอน จึงอยู่ที่พฤติกรรม นี่แหละจึงเป็นจุดอ่อนของกรรมที่พระภูมีเห็นและนำมาสอนสาวกให้พ้นกรรม
เอกลักษณ์ของธรรม คือความสงบ จึงเป็นพฤติกรรมที่ผู้ปฎิบัติธรรม ใช้เป็นพื้นฐานในการสู้กับกรรมเวร โดยเฉพาะในช่วงพิธีกรรมแห่งชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงพยายามฝึกให้เราท่านมีสติรักษาความสงบ โดยเฉพาะเวลาแห่งชีวิตทั้งสาม ต้องรักษากรรมฐานอันนี้ไว้ให้มั่น อันได้แก่ เวลาที่อยู่ในห้องสวดมนต์ เวลาทานสมุนไพรหรือเข้ากระโจม และเวลารับสมุนไพร
ช่วงเวลานี้พฤติกรรมต้องแตกต่างจากเวลาอื่น ต้องบังคับตนมีสติ ไม่ร้อนรนไปตามนิสัย อันจะเห็นว่าถ้าหลวงพ่อนิพนธ์เห็นเราท่านหงุดหงิด กระสับกระส่ายในการนั่งฟังหรือรับสมุนไพรท่านก็จะยืดเวลาออกไป เพราะนั่นแสดงว่านิสัยเราท่านมันนำตน หากเราท่านสงบนั่นหมายถึงธรรมมานำเราท่าน
ด้วยเห็นจุดอ่อนของกรรมข้อนี้ การรักษาโรคของเราท่าน จึงไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องโรคสักเท่าใด ให้เป็นหน้าที่ของหมอใหญ่คือร่างกาย ส่งวัตถุดิบให้คือสมุนไพร แต่ตัวแปรที่สำคัญที่ทำให้ผลเกิดหรือไม่เพียงใดขึ้นกับพฤติกรรมที่ทำเป็นสำคัญ
ได้ฟังอย่างนี้รู้ได้เลยว่า การหายโรคง่ายนิดเดียว ไม่มีใครรักษาใครได้ หายช้าหายเร็ว ปัจจัยสำคัญคือตัวของเราท่านนั่นเอง เป็นผู้ตัดสิน
ความจริงข้อนี้ จึงเป็นเหตุให้กล่าวได้เต็มปากว่า หากเป็นโรคตาย คือโรคที่เป็นแล้วทำให้ตายได้ โลกนี้ไม่มียารักษาอย่างแน่นอน เพราะกรรมมันไม่กลัว
และมนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งศาสนาของพระภูมี เพราะทุกคนมีพรหมลิขิตเกื้อหนุนอยู่แล้ว คนที่มาพึ่งจึงเป็นคนที่อยากหนีเจ็บ ไม่เฉพาะชาตินี้ แต่เพื่ออนาคตชาติต่อไปด้วย เพราะเล็งเห็นแล้วเชื่ว่าตายแล้วต้องเกิดนั่นเอง
ถามใจดู หากไม่คิดเปลี่ยนพฤติกรรมทางสายนี้ก็ตันไม่ก่อเกิดผลอันใด จะทานเยอะทานนานก็ไม่มีวันประสพผล อย่างดีก็แค่ยืด หากอยากเป็นคนดี ทำตามธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่างพวกอัมพฤกต์ แค่มีจิตใจไม่อยากเบียดเบียนผู้อื่น อยากช่วยตนเอง แค่นี้ก็หายไปครึ่งแล้ว ไม่ใช่ทานสมุนไพรไป ใช้นิสัยไป ใครทำอะไรไม่ทันใจก็น้อยใจ ด่าว่า อ้างแต่บุญคุณกับลูกหลาน มึงไม่รักกู
ก็ขนาดคนไข้มะเร็งกระดูก หมอบอกต้องตัดเท้าทั้งสองข้างอย่างเดียว แล้วเข้าคอร์สคีโม ฉายแสง ฟังเข้าใจ แล้วทำ ไม่เคยสนใครเพราะสามีเป็นนายทหาร กลับมากระตือรือล้นวิ่งหามะพร้าวราคาถูกให้ เป็นจิตอาสา ไม่ถึงครึ่งปี หมอบอกว่าไม่ต้องตัดแล้ว เชื้อมะเร็งฝ่อตัวเล็กลงจนแทบปกติ
ทานสมุนไพรมานานๆ แล้วบอกว่าดีขึ้นแต่ไม่หายสักที ลองถามตัวเองดูซิ เดินผ่านก๊อกน้ำ สวิทช์ไฟ พัดลม เคยหันไปมองแล้วปิดให้หลวงพ่อนิพนธ์ เป็นการตอบแทนค่ายาหยอดตาไหม
หายโรคจึงง่ายนิดเดียว ขอเพียงมีความคิดให้สุขแก่ผู้อื่น เริ่มจากแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ ครูบาอาจารย์ ทานสมุนไพร มีสติรักษากรรมฐาน และใช้สิ่งที่ได้คืนมา ฝึกระลึกคุณด้วยการเป็นหูเป็นตา ทำให้โดยไม่หวังผลบ้างตามกำลัง
เมื่อคุณคือคนดี เดินตามรอยธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า คนเหล่านี้ทำสิ่งที่แตกต่างจากคนทั้งโลก เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วทำ อยากรู้นัก ขนาดกรรมยังกลัว แล้วโรคอะไรจะมาเหลือ ต่อให้โรคเอดส์ที่คนทั้งโรคกลัวกันนักกันหนา ถ้าคนผู้นั้นทำได้ ก็ต้องเผ่นป่าราบ
ความยาก จึงอยู่ที่การทำแล้วไม่เห็นผลจากสิ่งที่ทำ อุปมาซื้อกล้วย จ่ายตังค์ได้กล้วย แต่ซื้อมะพร้าวมาทำสมุนไพรให้คนอื่นกิน ซื้อแล้วเดินตัวเปล่ากลับบ้านมันทำใจยาก
เรื่องของโรค และสมุนไพร เน้นตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน เกิดวิกฤตเท่านั้น เพื่อให้มีเวลาในการสร้างพฤติกรรม แล้วเอาผลการกระทำแห่งบุญมาหล่อเลี้ยงชีวิต
วันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
แค่เสี้ยวเดียว
หลายคนมาเห็นแต่สมุนไพรเดิมๆ ก็คิดว่ามันก็มีแค่นี้ไม่กี่ตัว
หากแต่ความเป็นจริงสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนมีหลากหลาย มีฤทธิ์หลายระดับ แล้วทำไมไม่ทำหล่ะ คนป่วยจะได้หายเร็วขึ้น
คำตอบง่ายๆ ใครจะทำ แลวัตถุดิบจะมาจากไหน ก็ขนาดปัจจุบัน ยังขาดเลย ทั้งคนทั้งของ ได้สมุนไพรปุ๊บเดินไม่เหลียวหลัง ไม่สนขยะ ไม่สนเก้าอี้ สถานที่ว่าจะเป็นเช่นไร ไฟเปิดพัดลมเปิด ก็ไม่สน ตัวใครตัวมัน
หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่าง คนที่เป็นโรคปอดมีอาการไอ ตอนนี้ก็ได้แค่ยามะนาว ดีมาหน่อยก็มะขามป้อมหรือสมอภิเพกเท่านั้นเอง
หากแต่ในอดีตถ้ำกระบอก อาการของปอดถ้าจะหยุดให้ได้ชงัด แบบทานแล้วไม่ได้ยินเสียงไออีกเลย ต้องใช้สมุนไพรประมาณสิบชนิด ตั้งเตาเหล็กบนเตาจนกระทะแดง แล้วนำสมุนไพรแต่ละชนิด เช่นมะนาวเป็นลูกมาคั่วบนกระทะจนไหม้เกรียมทั้งลูก ดีปลีก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างเหมือนกันแล้วนำมาผสมตามสัดส่วนกลายเป็นสมุนไพรแก้อาการของปอดที่ชะงัด
หากแต่การจะได้มา ผู้ทำก็ต้องมือพองแล้วพองอีก ได้มาหน่อยนึงนั่งสิบสองชั่วโมง ท่านจึงบอกว่าวันนั้นเป็นพระเวลาเยอะ มาวันนี้คนทานก็เยอะ เวลาก็น้อย มองซ้ายมองขวา รับยาปุ๊บมันก็เปิดแนบกันหมด จะทำได้อย่างไร
ขอสมุนไพรเท่าที่ทำยังหืดขึ้นคอ ขืนขอเพิ่ม ? ทางเดียวก็คือ คัดกรองคนให้เหลือน้อยๆ หน่อย ให้มีแต่คนอยากได้อยากหาย แล้วทุกคนก็มาร่วมช่วยกันทำ ช่วยกันหาย
อย่างอัมพฤกต์ มีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ให้น้ำมัน เมื่อนำมานวดจะทำให้ฟื้นฟูเร็ว หากแต่คั่วจนไหม้เป็นวันได้น้ำมันมาสองหยด กว่าจะได้เป็นขวดพอคนหนึ่งใช้ วันนี้จะให้ใครทำ
ในไม่ช้า เมื่อคัดกรองเสร็จ ก็มาช่วยกัน เราท่านจะได้เห็นสมุนไพรอีกมากมายที่มีฤทธิ์เฉียบพลัน
นั่นหมายความว่าช่วงเวลาในการง้อคน อยากให้มาลองทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนกำลังจะหมดลง อีกไม่นานก็ถึงบทคนมารอคิวเพื่อฟื้นฟูตน เมื่อผลของความสำเร็จออกสู่สายตาสังคมโลก
ปรับตัวซะ ก่อนที่จะกลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์
ถึงจะยาก จะลำบาก แต่ก็มีคนทำได้ ทำให้เห็น คุณไม่ใช่คนแรก ไม่ใช่หนูลองยา
หากแต่ความเป็นจริงสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนมีหลากหลาย มีฤทธิ์หลายระดับ แล้วทำไมไม่ทำหล่ะ คนป่วยจะได้หายเร็วขึ้น
คำตอบง่ายๆ ใครจะทำ แลวัตถุดิบจะมาจากไหน ก็ขนาดปัจจุบัน ยังขาดเลย ทั้งคนทั้งของ ได้สมุนไพรปุ๊บเดินไม่เหลียวหลัง ไม่สนขยะ ไม่สนเก้าอี้ สถานที่ว่าจะเป็นเช่นไร ไฟเปิดพัดลมเปิด ก็ไม่สน ตัวใครตัวมัน
หลวงพ่อนิพนธ์ยกตัวอย่าง คนที่เป็นโรคปอดมีอาการไอ ตอนนี้ก็ได้แค่ยามะนาว ดีมาหน่อยก็มะขามป้อมหรือสมอภิเพกเท่านั้นเอง
หากแต่ในอดีตถ้ำกระบอก อาการของปอดถ้าจะหยุดให้ได้ชงัด แบบทานแล้วไม่ได้ยินเสียงไออีกเลย ต้องใช้สมุนไพรประมาณสิบชนิด ตั้งเตาเหล็กบนเตาจนกระทะแดง แล้วนำสมุนไพรแต่ละชนิด เช่นมะนาวเป็นลูกมาคั่วบนกระทะจนไหม้เกรียมทั้งลูก ดีปลีก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างเหมือนกันแล้วนำมาผสมตามสัดส่วนกลายเป็นสมุนไพรแก้อาการของปอดที่ชะงัด
หากแต่การจะได้มา ผู้ทำก็ต้องมือพองแล้วพองอีก ได้มาหน่อยนึงนั่งสิบสองชั่วโมง ท่านจึงบอกว่าวันนั้นเป็นพระเวลาเยอะ มาวันนี้คนทานก็เยอะ เวลาก็น้อย มองซ้ายมองขวา รับยาปุ๊บมันก็เปิดแนบกันหมด จะทำได้อย่างไร
ขอสมุนไพรเท่าที่ทำยังหืดขึ้นคอ ขืนขอเพิ่ม ? ทางเดียวก็คือ คัดกรองคนให้เหลือน้อยๆ หน่อย ให้มีแต่คนอยากได้อยากหาย แล้วทุกคนก็มาร่วมช่วยกันทำ ช่วยกันหาย
อย่างอัมพฤกต์ มีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ให้น้ำมัน เมื่อนำมานวดจะทำให้ฟื้นฟูเร็ว หากแต่คั่วจนไหม้เป็นวันได้น้ำมันมาสองหยด กว่าจะได้เป็นขวดพอคนหนึ่งใช้ วันนี้จะให้ใครทำ
ในไม่ช้า เมื่อคัดกรองเสร็จ ก็มาช่วยกัน เราท่านจะได้เห็นสมุนไพรอีกมากมายที่มีฤทธิ์เฉียบพลัน
นั่นหมายความว่าช่วงเวลาในการง้อคน อยากให้มาลองทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนกำลังจะหมดลง อีกไม่นานก็ถึงบทคนมารอคิวเพื่อฟื้นฟูตน เมื่อผลของความสำเร็จออกสู่สายตาสังคมโลก
ปรับตัวซะ ก่อนที่จะกลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์
ถึงจะยาก จะลำบาก แต่ก็มีคนทำได้ ทำให้เห็น คุณไม่ใช่คนแรก ไม่ใช่หนูลองยา
เริ่มแล้ว
ช่วงนี้ สิ่งที่เริ่มเปลี่ยนให้เห็น คือการเพิ่มสมุนไพร ให้ทุกคน เพื่อที่จะทำให้มีวัตถุดิบส่งต่อร่างกาย ในการต่อสู้กับอาการที่เป็น
กระนั้นก็ตาม อรรถาธิบายที่มีตอนหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เราท่านกำลังสู้ หรือคู่ต่อสู้ของเราท่าน ไม่ใช่โรค หากแต่ต้นตอของมันคือกรรม ยิ่งไปกว่านั้น องค์ประกอบที่เป็นอุปสรรค ที่ทำให้แต่ละบุคคลยากจะประสพผล นั่นคือ ทิฐิมานะ และนิสัย
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเราท่านไม่ยอมคิดพิจารณา ไม่ฟังคำสอน นั่นคือไม่ยอมที่จะเปลี่ยนอะไรเลย พูดง่ายๆ ไม่ยอมเป็นคนดีของพระภูมี การมาจึงมากินเล่น ได้ก็เอา ไม่ได้ก็วิ่งกลับไปหาหมอ
สิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน แต่ช้าเร็วก็ต้องมา นั่นคือ การประกาศของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่จะไม่ยอมให้การสิ้นเปลืองกับคนเหล่านี้อีกต่อไป
นั่นหมายถึงผู้ที่มาแล้วไม่ทำ ท่านกล่าวว่าไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ อธิษฐานฟ้าดินออกอากาศเลย เพราะเป็นการเสียเปล่าทั้งสองฝ่าย
การเปลี่ยนแปลงให้เข้ารูปรอย เริ่มกระชั้นขึ้น เพื่อรองรับวิกฤตที่กำลังจะเกิด และปรับตัวให้เข้ากับกฏเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติ นั่นคือการเอาตัวรอดเมื่อภัยมาถึง
ใครไม่เอา ใครไม่เชื่อ ใครไม่ทำ ก็ถอยไป ไปทำในสิ่งที่ชอบ เหลือคนกลุ่มน้อยๆ ที่เชื่อแม่ชีเมี้ยน ฟังหลวงพ่อนิพนธ์แล้วทำตาม วันนี้อาจถูกกล่าวหาว่าบ้างมงาย แต่วันเวลาจะพิสฟูจน์ ว่าใครที่งมงายเชื่อในสิ่งที่ไร้สาระกันแน่ หัวเราะทีหลังดังกว่า แต่วันนี้ต้องก้มหน้าทำด้วยตนเองก่อน
แล้วมาดูกันว่า สถานที่นี้จะเหมือนโรงพยาบาลหรือที่อื่นใด ที่เดินเขาแล้วหามออก ไม่มีดอก สำหรับคนทำได้ ที่นี่หามมาแล้วเดินออกไปด้วยความไม่มีโรค และไม่กลัวโรค กลัวแต่กรรม พร้อมกับการไม่ประมาทด้วยการเปลี่ยนเป็นคนดี คิดแต่จะให้สุขผู้อื่น
นี่แหละแม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่าสิ่งนี้มีไว้ตอบแทนคุณแผ่นดิน
บทสรุปที่ล้ำค่า หายไม่หายอยู่ที่คนกิน หายเร็วหายช้าอยู่ที่พฤติกรรมที่ทำได้
คำสอนนับแต่นี้ เนื้อๆ เน้นๆ ใครไม่ฟังช่างน่าเสียดายยิ่ง ล้ำค่ากว่าทอง เพราะฟังแล้วมาทำช่วยตนได้
วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
สมุนไพรแน่ๆ เลย
ผ่านมาหลายปี ฟังจนหูชา กับคำถามอมตะ ที่ว่า ... อาการนี้ไม่เคยเป็น ทำไมทานสมุนไพรแล้วเกิดอาการขึ้นมาเพราะสมุนไพรใช่ไหม ทำไมถ่ายบ่อย ปัสสาวะบ่อย ทำไม ทำไม .... สรุป อาการที่ไม่ดี ไม่ชอบ ต้องมาจากสมุนไพรแน่ๆ เลย ว่าไหม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงพูดเสมอว่า โรคที่เราท่านเป็นไม่น่ากลัว นิสัย ความคิด พฤติกรรมต่างหากที่น่ากลัว ยิ่งคนที่ไม่ยอมฟัง แล้วพิจารณา เมื่อวันเวลานี้มาถึง สิ่งสูงและเป็นมงคลยิ่งจึงถูกดึงต่ำ จากพระเจ้าที่ช่วยชีวิต กลายมาเป็นจำเลย หรือ ปีศาจร้าย ที่ให้ทุกข์เวทนาแก่คนคนนั้น
สิ่งที่ไม่เคยปรากฎ ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ไม่เป็น อาจจะเพียงแค่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง
เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ผ่านการใช้เคมีจนครบทุกโรงพยาบาลดังที่มีในประเทศไทย รู้จักหมอชื่อดังในสาขานี้หมดทุกตัวคน เรียกว่า ไปหาหมอจนกระทั่งมีคิวพิเศษ ในกรณีเร่งด่วน ที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการของโรงพยาบาล โทรไปปุ๊บ ไปถึงมีห้องรอ หมอมาปั๊บเลยประมาณนั้น
ไปจนหมอบอก เลิกเถอะ หนทางสายนี้สำหรับคุณ ไม่ว่าจะทุ่มเงินอีกเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์ บังเอิญได้มาเดินในเส้นทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน
อยู่กับหมอ ใช้ยาเคมีช่วยกดอาการปวด เมื่อมาใช้แนวทางสมุนไพร ไม่มีตัวช่วย วันดีคืนดี ก็ปวดร้าวไขสันหลัง ลงขา แทบขยับไม่ได้
ก็ไม่เคยเป็น ทำไมมาทานสมุนไพรจึงมีอาการเช่นนี้ คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้คือ ก็ยาเคมีมันน็อคประสาทจนชาด้าน ไม่รู้สึกแล้วนั่นเอง เมื่อทานสมุนไพร ร่างกายเริ่มมีความสามารถ ในการศัลยกรรมตัวเอง เริ่มแก้ไขตัวเอง ประสาทเริ่มฟื้น เมื่อฟื้นมักก็รู้สึก เมื่อรู้สึกก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา เพราะการเจ็บคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า ร่างกายส่วนนั้นมีปัญหา ต้องการการแก้ไข
ก็ต้องทนปวดไป ทานสมุนไพรช่วย แต่จะไม่ปวดเลยเป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากหายก็ต้องทน อาการปวดคืออาการของโรคที่เป็น ไม่ใช่สมุนไพรทำให้ปวด ทนจนกว่าร่างกายจะแก้ไขเสร็จ เมื่อหายปวดโดยไม่พึ่งเคมี นั่นแหละคือการหาย
หรืออย่างนักตรวจบัญชีใหญ่ ผู้ซึ่งตั้งแต่เกิดไม่เคยได้กลิ่นอะไรเลย เพราะปัญหาทางโรคจมูก ใครจะใช้น้ำหอมอะไร สูบบุหรี่อย่างไร ก็ไม่รู้สึก ไม่เหม็น อยู่้มาวันหนึ่ง แค่กลิ่นเหล่านี้โชยมาแต่ไกล ก็ทนไม่ไหว โวยวายกับหลวงพ่อนิพนธ์ในอาการที่เป็น นึกว่าระบบของตนเสีย ทั้งที่จริงมันเสียอยู่แล้ว และกำลังกลับมาดี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้จุดนี้ให้เห็นว่า เมื่อร่างกายมีความสามารถ ฟื้นฟูระบบได้ ไล่ของเสียได้ สิ่งที่เป็นอยู่ก็จะปรากฎอาการ จมูกที่ไม่เคยได้กลิ่น เริ่มฟื้นเหมือนเด็กอ่อน จึงทนอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะฟื้นฟูเต็มที่
ของเสียในระบบเลือด น้ำเหลือง ที่เป็นพิษ และฝังตัว ถูกดึงออกและขับออกทางผิว เกิดอาการตุ่ม คัน เป็นจุด เป็นหนอง ... จึงเกิดให้เห็นเป็นปกติ
สมุนไพรมีแต่คุณ ไม่มีโทษ สิ่งที่เป็นของเราท่าน ไม่เคยมี ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่โรคมันยังอ่อน ไม่แก่ตัวจนปรากฎอาการเท่านั้น
ความสงบ ยอมรับในกรรมที่ทำมา จึงเป็นหนทางที่จะช่วยตน รักษากรรมฐาน ยืนหยัดทานสมุนไพร และทนต่ออาการได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม กรรม มันจึงกลัวความสงบ
การฝึกรักษาความสงบ ฝืนนิสัย ในห้องสวดมนต์ กระโจม แม้นกระทั่งเวลารับสมุนไพร จึงเป็นพื้นฐานในการรักษากรรมฐานของเราท่าน
หากแค่นี้ยังสอบตก เมื่ออาการของโรคปรากฎ ก็ยากยิ่งที่จะรักษาความสงบได้ กลายเป็นกระต่ายตื่นตูม วิ่งไปหาหมอแทบไม่ทัน ... ผลก็คือ ไม่ได้ตายด้วยโรค แต่ตายเพราะการตื่นตูมนั้นๆ ...
หากสมุนไพรของพระภูมีที่ทิ้งไว้ให้ มีโทษแม้นแต่เพียงน้อยนิด พระภูมีย่อมต้องตกเป็นจำเลยแห่งกรรม จากบัญญัติของตน จะไปนิพพานได้อย่างไร
จึงไม่แปลก ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่านเสมอ คนที่มาทำเล่น มองทางวงจรปิด เห็นนั่งคุยบ้าง อ่านหนังสือบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง คนเหล่านี้ ไม่มีทางประสพผลในการช่วยตนอย่างแน่นอน อุปมาเหมือนนักกีฬาที่ไม่ฝึกฝน ยามแข่งขัน ย่อมไม่มีทางชนะ มาเสียเวลาเปล่า อย่ามาเลย แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
เพราะคนเหล่านั้นประมาทคู่ต่อสู้ ทั้งๆ ที่คู่ต่อสู้คือ กรรม มีอำนาจปกครองโลก ไม่เคยแพ้ใคร อะไร หรือหน้าไหน ในโลกนี้ จะมีเพียงอย่างเดียวก็คือ ความสงบ อันเกิดจากธรรมของพระภูมี
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสเสมอๆ ว่า ขันติสงฆ์ กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่งแล้วเป็นทุกข์ แล้วคนเหล่านั้นเป็นใคร มีพฤติกรรมท้าทายกรรม ท้าทายธรรม แล้วจักประสพผลโดยวิธีใด
หากจะมาทำเล่น พูดหยาบๆก็ต้องว่า มึงแน่มาจากไหน เมื่อมึงไม่กลัวกรรม ก็ไปที่อื่น ที่นี่เขากลัวกรรม เขาจึงมาหาธรรมเป็นที่พึ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงพูดเสมอว่า โรคที่เราท่านเป็นไม่น่ากลัว นิสัย ความคิด พฤติกรรมต่างหากที่น่ากลัว ยิ่งคนที่ไม่ยอมฟัง แล้วพิจารณา เมื่อวันเวลานี้มาถึง สิ่งสูงและเป็นมงคลยิ่งจึงถูกดึงต่ำ จากพระเจ้าที่ช่วยชีวิต กลายมาเป็นจำเลย หรือ ปีศาจร้าย ที่ให้ทุกข์เวทนาแก่คนคนนั้น
สิ่งที่ไม่เคยปรากฎ ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ไม่เป็น อาจจะเพียงแค่มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง
เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง ผ่านการใช้เคมีจนครบทุกโรงพยาบาลดังที่มีในประเทศไทย รู้จักหมอชื่อดังในสาขานี้หมดทุกตัวคน เรียกว่า ไปหาหมอจนกระทั่งมีคิวพิเศษ ในกรณีเร่งด่วน ที่ไม่ต้องผ่านกระบวนการของโรงพยาบาล โทรไปปุ๊บ ไปถึงมีห้องรอ หมอมาปั๊บเลยประมาณนั้น
ไปจนหมอบอก เลิกเถอะ หนทางสายนี้สำหรับคุณ ไม่ว่าจะทุ่มเงินอีกเท่าไหร่ ก็ไม่มีประโยชน์ บังเอิญได้มาเดินในเส้นทางเลือกสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน
อยู่กับหมอ ใช้ยาเคมีช่วยกดอาการปวด เมื่อมาใช้แนวทางสมุนไพร ไม่มีตัวช่วย วันดีคืนดี ก็ปวดร้าวไขสันหลัง ลงขา แทบขยับไม่ได้
ก็ไม่เคยเป็น ทำไมมาทานสมุนไพรจึงมีอาการเช่นนี้ คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้คือ ก็ยาเคมีมันน็อคประสาทจนชาด้าน ไม่รู้สึกแล้วนั่นเอง เมื่อทานสมุนไพร ร่างกายเริ่มมีความสามารถ ในการศัลยกรรมตัวเอง เริ่มแก้ไขตัวเอง ประสาทเริ่มฟื้น เมื่อฟื้นมักก็รู้สึก เมื่อรู้สึกก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา เพราะการเจ็บคือสัญญาณที่บ่งบอกว่า ร่างกายส่วนนั้นมีปัญหา ต้องการการแก้ไข
ก็ต้องทนปวดไป ทานสมุนไพรช่วย แต่จะไม่ปวดเลยเป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากหายก็ต้องทน อาการปวดคืออาการของโรคที่เป็น ไม่ใช่สมุนไพรทำให้ปวด ทนจนกว่าร่างกายจะแก้ไขเสร็จ เมื่อหายปวดโดยไม่พึ่งเคมี นั่นแหละคือการหาย
หรืออย่างนักตรวจบัญชีใหญ่ ผู้ซึ่งตั้งแต่เกิดไม่เคยได้กลิ่นอะไรเลย เพราะปัญหาทางโรคจมูก ใครจะใช้น้ำหอมอะไร สูบบุหรี่อย่างไร ก็ไม่รู้สึก ไม่เหม็น อยู่้มาวันหนึ่ง แค่กลิ่นเหล่านี้โชยมาแต่ไกล ก็ทนไม่ไหว โวยวายกับหลวงพ่อนิพนธ์ในอาการที่เป็น นึกว่าระบบของตนเสีย ทั้งที่จริงมันเสียอยู่แล้ว และกำลังกลับมาดี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้จุดนี้ให้เห็นว่า เมื่อร่างกายมีความสามารถ ฟื้นฟูระบบได้ ไล่ของเสียได้ สิ่งที่เป็นอยู่ก็จะปรากฎอาการ จมูกที่ไม่เคยได้กลิ่น เริ่มฟื้นเหมือนเด็กอ่อน จึงทนอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะฟื้นฟูเต็มที่
ของเสียในระบบเลือด น้ำเหลือง ที่เป็นพิษ และฝังตัว ถูกดึงออกและขับออกทางผิว เกิดอาการตุ่ม คัน เป็นจุด เป็นหนอง ... จึงเกิดให้เห็นเป็นปกติ
สมุนไพรมีแต่คุณ ไม่มีโทษ สิ่งที่เป็นของเราท่าน ไม่เคยมี ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่โรคมันยังอ่อน ไม่แก่ตัวจนปรากฎอาการเท่านั้น
ความสงบ ยอมรับในกรรมที่ทำมา จึงเป็นหนทางที่จะช่วยตน รักษากรรมฐาน ยืนหยัดทานสมุนไพร และทนต่ออาการได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม กรรม มันจึงกลัวความสงบ
การฝึกรักษาความสงบ ฝืนนิสัย ในห้องสวดมนต์ กระโจม แม้นกระทั่งเวลารับสมุนไพร จึงเป็นพื้นฐานในการรักษากรรมฐานของเราท่าน
หากแค่นี้ยังสอบตก เมื่ออาการของโรคปรากฎ ก็ยากยิ่งที่จะรักษาความสงบได้ กลายเป็นกระต่ายตื่นตูม วิ่งไปหาหมอแทบไม่ทัน ... ผลก็คือ ไม่ได้ตายด้วยโรค แต่ตายเพราะการตื่นตูมนั้นๆ ...
หากสมุนไพรของพระภูมีที่ทิ้งไว้ให้ มีโทษแม้นแต่เพียงน้อยนิด พระภูมีย่อมต้องตกเป็นจำเลยแห่งกรรม จากบัญญัติของตน จะไปนิพพานได้อย่างไร
จึงไม่แปลก ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่านเสมอ คนที่มาทำเล่น มองทางวงจรปิด เห็นนั่งคุยบ้าง อ่านหนังสือบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้าง คนเหล่านี้ ไม่มีทางประสพผลในการช่วยตนอย่างแน่นอน อุปมาเหมือนนักกีฬาที่ไม่ฝึกฝน ยามแข่งขัน ย่อมไม่มีทางชนะ มาเสียเวลาเปล่า อย่ามาเลย แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง
เพราะคนเหล่านั้นประมาทคู่ต่อสู้ ทั้งๆ ที่คู่ต่อสู้คือ กรรม มีอำนาจปกครองโลก ไม่เคยแพ้ใคร อะไร หรือหน้าไหน ในโลกนี้ จะมีเพียงอย่างเดียวก็คือ ความสงบ อันเกิดจากธรรมของพระภูมี
แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสเสมอๆ ว่า ขันติสงฆ์ กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่งแล้วเป็นทุกข์ แล้วคนเหล่านั้นเป็นใคร มีพฤติกรรมท้าทายกรรม ท้าทายธรรม แล้วจักประสพผลโดยวิธีใด
หากจะมาทำเล่น พูดหยาบๆก็ต้องว่า มึงแน่มาจากไหน เมื่อมึงไม่กลัวกรรม ก็ไปที่อื่น ที่นี่เขากลัวกรรม เขาจึงมาหาธรรมเป็นที่พึ่ง
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
น่าเสียดาย
สิ่งที่แราแปลกใจ นั่นคือ ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์จักพูดสักฉันใด โรงสมุนไพร ก็ไม่โอกาสที่จักเต็มให้เห็นสักครา
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนป่วยโรคมะเร็ง สมุนไพรหนึ่งที่มีผลต่อคนไข้เหล่านี้มาก นั่นก็คือ สมุนไพรมะนาว
ด้วยเหตุที่สารในมะนาว มีฤทธิ์ในการต่อต้านเซลล์มะเร็ง สูงมาก จนเมื่อเร็วๆ นี้ มีบทความทางการแพทย์ ถึงผลของมะนาวที่มีต่อเซลล์มะเร็ง มีฤทธิ์มากกว่าการทำคีโมเสียอีก ที่สำคัญ ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย ..
ใครมีเวลาอยากอ่าน ก็ลองไปหาบทความนี้ดูในเวปไซด์
เมื่ออยากจะช่วยแต่ไม่มีวัตถุดิบ ... ก็ได้แต่ความอยาก เพราะคนเขาบอกว่ามะนาวแพง ...
ทำให้เราสงสัย แล้วค่าของชีวิตคน ต่ำกว่ามะนาวหรืออย่างไร
จะร้องป่าวไปสักฉันใด สภาพการของชมรมในเรื่องเหล่านี้ ก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่เสียงร่ำร้อง อยากหาย แต่เอามีอล้วงกระเป๋า กันซะหมด แล้วจะหาวัตถุดิบมาให้อย่างเพียงพอได้อย่างไร
นี่จึงไม่แปลกใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ปรารภว่า คงถึงเวลาที่จะต้องเน้น คัดคน เฉพาะที่อยากได้ พูดกันรู้เรื่อง เพื่อให้ผลแห่งการทานสมุนไพรมันเกิด .. เปลี่ยนจากเอาปริมาณ มาเป็นคุณภาพแทน เหลือน้อยๆหน่อย แต่รอดกว่าครึ่ง ดีกว่า มีมาก แต่รอดน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์อยากจะแจกสมุนไพรมะนาวให้พวกมะเร็งไปทานทุกคน แต่มองไปในคลัง เจ้าหน้าที่บอก ไม่มีใครมาให้เลยค่ะ ... จบข่าว
ปรากฎการณ์นี้แหละ ที่พระภูมีตรัสว่า กรรมมันบังตา เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร ... ลูกนิมิต โบสถ์ ศาลา จึงมีคนนิยมชมชอบ แห่แหนกันไปช่วยกันสร้าง ทั้งที่ช่วยใครไม่ได้เลย หาประโยชน์ได้ก็น้อยนิด เทียบกับชีวิตคนไม่ได้เลย สมุนไพร มะนาวนิด มะพร้าวหน่อย ... ช่วยชีวิตคนอันมหาศาล จึงหาใครเหลียวแลน้อยเหลือเกิน
เรียนแต่ไม่รู้
ผลที่ปรากฎ ที่ทำให้คาใจ และบ่อนทำลาย ความมุ่งมั่นของตน ในวันเวลาที่ผ่านมา จึงมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนที่การทานสมุนไพรในช่วงแรกๆ ให้ผลดี อาการดีวัน ดีคืน แต่หลังจากผ่านวัน จนเป็นปี อาการหลายอาการหายไป แต่อาการบางอาการ ก็ยังไม่ยอมจากไปเสียที
จะว่าสมุนไพรไม่ดี แต่พออาการปรากฎ ทานสมุนไพรก็หายไป แต่พอขาดสมุนไพร อาการก็หวนกลับมาอีก
และแม้นแต่ในคนที่โรคหายไป จนเป็นปกติ ลิงโลดใจ กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ผ่านปี สองปี โรคมันกลับมาอีกแล้ว อาจจะเป็นโรคเดิม หรือมีโรคใหม่ ดีไม่ดี โรคเยอะกว่าเดิมอีก
เราเคยฟัง ลูกชายคนไข้ท่านหนึ่ง ที่พ่อเป็นโรคหนักๆ สามสี่โรค คือ มะเร็ง เบาหวาน ... ตอนมาครั้งแรก ก็คิดว่าพ่อไม่รอด เพราะมีความคิดว่า พ่อใช้เวลาในวัยหนุ่มมาอย่างโชกโชน ร่างกายทรุดโทรมมาก แต่หลังจากทานสมุนไพรไปเป็นปี พ่อของเขากลับมาแข็งแรง เสมือนวัยหนุ่ม
หายไปสองปี ลูกชายหิ้วปีกพ่อมาชมรมอีกครั้ง ในสภาพที่แย่กว่าเดิมอีก แล้วเล่าให้ฟังว่า ตลอดสองปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่พ่อแข็งแรงในคราวนั้น พ่อกลับไปใช้ชีวิตเหมือนวัยหนุ่ม เที่ยว กินเหล้า ... ยิ่งกว่าเมื่อครั้งหนุ่มเสียอีก
สิ่งที่ปรากฎ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า การมาที่นี่ และวันเวลาที่ผ่านไป สิ่งที่ได้ มีเพียงสมุนไพรเท่านั้น เพราะความคิด จิต เจตนา หยุดที่สมุนไพร ไม่เคยเรียนรู้ พิจารณา ไตร่ตรอง ในรายละเอียด ว่าแก่นแท้ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น อยู่ตรงไหน เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า แพ้ชนะวัดกันที่ใจ
ดังนั้น หากหาคำตอบจากคำพูดนี้ไม่ได้ ย่อมหาความปลอดภัยของชีวิตไม่ได้เช่นกัน จะหวังพึ่งแต่สมุนไพร เป็นไปได้ยาก
คนที่ปรารถนา ในเรื่องของวิญญาณ จึงต้องฟัง ต้องพิจารณา ในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน แล้วหาคำตอบให้เจอ เมื่อเจอแล้วทำตาม ผู้ใดทำได้ ไม่ว่าโรคอะไร ขอเพียงไม่ใช่มาเพื่อดับตามพรหมลิขิต ... ย่อมผ่านได้อย่างแน่นอน
ใจแบบใด จึงเรียกว่า ใจสูง ที่จะพาวิญญาณขึ้นที่สูง แลเมื่อวิญญาณสูง กายจึงจักสูงตาม ดั่งคำ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
คิดจะมาทานสมุนไพร ทานเยอะๆ แล้วจะหาย หายแล้วจะกลับไปทำแบบที่ชอบ ... วังวนมันก็จักกลับมาที่เดิม ท้ายที่สุดเสียเวลาเปล่า เพราะยกกายไม่ขึ้น ศาสน์ก็จะเป็นแพะรับบาป แต่ไม่โทษตัวเอง ที่ไม่เรียนรู้ แล้วทำ ... ผลจึงไม่เกิด
วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ลักจำเอามา
เมื่อคนไข้พบหลวงพ่อนิพนธ์ สิ่งแรกที่ทำคือ การพยายามที่จะเล่าอาการ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องคุยกัน เป็นเรื่องรอง
สิ่งที่สำคัญกว่าในการใช้แนวทางนี้ นั่นคือ การมาทำความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนความคิด จิตใจ เพราะผลแพ้ชนะอยู่ที่ใจ
ด้วยความรู้ที่ฟัง และนำไปพิจารณา เพื่อให้เกิดศรัทธา ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แล้วทำตาม การกินสมุนไพรจึงบังเกิดผล
ทำไมที่นี่มีคนหาย เพราะ กระบวนการที่ใช้ ดำเนินตามรอย ตามบัญญัติของพระพุทธเจ้า ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ไม่ได้คิดเอง
ที่นี่จึงแตกต่างจากที่อื่น ไม่ได้มองว่าคนที่มามีโรค แต่ทุกคนที่มา มีกรรม หนทางเดียวที่ชนะได้ คือ ธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า
การมาที่นี่ จึงต้องสวดมนต์ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง เรียนรู้ แล้วนำไปปฏิบัติ เพื่อให้ผลแห่งการทานสมุนไพร บังเกิด
ที่นี่จึงไม่กลัวโรค จะกลัวเพียงอย่างเดียว ก็คือนิสัยสันดาน ของผู้ที่มาเท่านั้นเอง ที่ไม่ยอมเปลี่ยน
มองข้ามช็อต ลืมเรื่องโรคไป แล้วถามตัวเองว่า ทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนได้หรือไม่ เพราะนั่นเสมือนหนึ่งการยื่นมือมาจับกัน จึงจักสำเร็จ เพราะตบมือข้างเดียวไม่มีวันดัง
เลิกเสียทีเถอะ ฟังเขาเล่า แล้วมุ่งมาจะเอาแต่ยาดี
ก็โลกนี้มันไม่มีหรอก ยารักษาโรค
หากไม่คิด รักษากรรม ที่ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคให้หมดไป ถึงจะรอดมะเร็ง ก็ไตวายตายได้ ถึงจะรอดไตวาย ก็รถคว่าตายได้ มันก็ตายเหมือนกัน การมาทานสมุนไพรอย่างเดียว จึงไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะท้ายที่สุดชีวิตก็ไม่รอด
สุดยอดของธรรม คือ ทำให้รอด ทั้งจากโรค และจากอุบัติภัย ... นั่นแลจึงเรียกชีวิตปลอดภัย
หากทำได้ จึงจักเรียกว่า ผู้ช่วยได้ช่วยให้ชีวิตรอด ผลบุญจึงเกิด หากทำแล้วไม่รอด ไม่ว่าด้วยเหตุใด การกระทำที่ทำมาก็ไร้ซึ่งผลบุญใดๆ เสียแรง เสียเวลาเปล่า
แล้วเราท่าน ถึงเวลาข้ามช็อต ข้ามโรค หรือยัง ... น่าจะได้เวลาที่จะเรียนรู้ว่า การช่วยชิวิตตนให้รอด ทำกันอย่างไร คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงสำคัญมาก ยิ่งช่วงนี้ด้วย เนื่้อๆ เน้นๆ ทั้งนั้น แค่จับใจความส่วนหนึ่งมาทำให้ได้ หนทางรอดก็เปิดอ้าแล้ว มะเร็งน่ะเหรอ เอดส์นะเหรอ .... กระจอก หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้หายเดินให้เห็นกันมามากแล้ว เพียงแต่คนที่รอด ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ฟัง แล้วทำตาม
กระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ
เริ่มตั้งแต่ การเพิ่มปริมาณสมุนไพร นับตั้งแต่วันแรกที่มา แบบจัดเต็ม เพื่อให้คนไข้ใหม่ได้มีโอกาส ผ่านวิกฤตได้ง่ายขึ้น จากปริมาณสารสมุนไพรที่ได้รับ เพียงพอต่อปัญหาที่มี
เราได้เห็น สมุนไพรปอด ที่ในอดีตหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า มีความจำเป็นแก่ทุกคน ก็จะเริ่มจัดให้สมาชิกใหม่ได้ทาน นับตั้งแต่วันแรกที่มา
ที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือ การอบรมคนไข้ใหม่ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จักทำด้วยตนเอง
สัญญาณอันนี้ ทำให้รู้ว่า ในไม่ช้ากระบวนการคัดสรรคนไข้ ก็จักเริ่มขึ้น นั่นคือ การเลือกเฟ้นคนที่อยากช่วยตนจริงๆ มีความสม่ำเสมอ แลหวังผลในการมาทานสมุนไพร
ประเภทที่อยากมาก็มา ไม่อยากมาข้าก็หยุด จึงเป็นกลุ่มบุคคลที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดอยู่ในประเภท มาทานสมุนไพรแบบไม่เอาผล จึงเป็นเป้าหมายที่จะต้องคัดออกไป
ประเภทที่สอนแล้ว ไม่สนใจ ไม่ทำตาม คุยในห้องสวดมนต์ ในกระโจม ในระหว่างทานสมุนไพร และรับสมุนไพร คนเหล่านี้ ก็จักเป็นกลุ่มที่ทานสมุนไพรไปก็ไร้ผล ก็ต้องถูกคัดออกไป
ท้ายที่สุด แม้นจักเหลือจำนวนคนทานสมุนไพร อาจจะไม่มาก แต่ทุกคนที่มา เดินในแนวทางของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน หวังผลในการช่วยตน อัตราการประสพผลจากคนเหล่านี้ ก็แทบจะเรียกได้ว่าเกือบทั้งหมด
จะมีหลุดรอด ก็ประเภทที่โรคมาเพื่อจบพรหมลิขิต อันนี้ก็ต้องยอม
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ก็ขนาดพระพุทธเจ้า ที่ไม่มีกรรม เมื่อถึงพรหมลิขิต ก็อุปมาตะเกียงหมดน้ำมัน จะฝืนไม่ได้ ก็ต้องไปเช่นกัน
เราจึงอยากเตือนอีกสักครั้ง เวลาในการปรับตัวน้อยลงเรื่อยๆ แลเวลาที่จะเบื่อเจ้าหน้าที่ ก็น้อยลงเช่นกัน เพราะในอีกไม่ช้า จะไม่มีเจ้าหน้าที่มาบอก มาเตือน จะมีก็แต่กรรมการเชิญตัวท่าน แล้วร้องขอให้ออกไป เพราะเมื่อตัวท่านไม่ทำ ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งแก่ตัวท่านและสถานที่นี้ใดๆ นั่นเอง จะมาเสียเวลา เสียของ กันอยู่ทำไม
ปี่กลองเริ่มเชิด ยิ่งใกล้ศาสนาเกิด พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม ความเข้มข้น และการทำตน ก็ยิ่งต้องปรับให้เดินในเส้นให้มากที่สุด ชีวิตจึงจะปลอดภัย
วันเวลาเดิมๆ ที่จะให้โอกาส คงจะใกล้หมดแล้ว ... เมื่อถูกคัดออก ก็จักกลายเป็น ยักษ์หน้าโบสถ์ เห็นคนเขารอด ตัวเองก็รู้ทางรอด แต่เข้าไม่ได้ วันนั้นเสียใจก็ไร้ประโยชน์
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
คิดดีแต่ทำผิด
หลายคนที่เข้ามาในสถานที่นี้ มักจะมีใจอยากช่วย อยากทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ ให้ที่นี้
นั่นเป็นความคิดที่ดี หากแต่สิ่งที่ทำ มันจะดีหรือไม่ อันนี้ต้องดูรายละเอียดอีกที
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก เมื่อนักแต่งเพลงชื่อดัง คือ ครูไพบูลย์ บุตรขัน มาเป็นคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์ หลังจากหมอหยุดอาการให้ไม่ได้
เมื่อสภาพของเขาดีวันดีคืน แต่สิ่งที่เห็นทุกวี่ทุกวัน นั่นคือ คนไข้ยาเสพติดที่มากมายมหาศาล รวมกับคนไข้ทั่วไปเข้าอีก นั่นคือภาระที่พระนิพนธ์ในยุคนั้น ต้องแบกรับ
จึงเกิดความคิดที่จะหารายได้เข้าถ้ำกระบอก ด้วยการใช้สิ่งที่ตนมี เชิญวงดนตรี นักร้องดัง มาจัดงานในถ้ำกระบอก เพื่อให้คนมาแล้วชวนให้ทำบุญ ช่วยถ้ำกระบอก
ความคิดอยากช่วยนั้นดี แต่การทำนั้นผิด หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า สถานที่นี้มีธรรมคำสอนของพระภูมี นั่นคือ สิ่งสุดยอดของโลกอยู่แล้ว หากคนจะมาถ้ำกระบอก ต้องอาศัยนักร้อย ออกงานแล้วไซร้ พระพุทธเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ที่การจะชวนคนมา ต้องอาศัยนักร้อง นักแสดง แทนธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกเสมอว่า เรื่องของศาสนา เรื่องของบุญ ที่ได้ยินได้ฟัง แล้วทำมา นั้น เดินหลงทาง ผลจึงไม่เกิด เราท่านจึงต้องมาเรียนรู้ พิจารณา แล้วนำไปใช้ตามแต่ที่คนทำได้
สิ่งดีๆ ที่คิด เมื่อต้องการจะทำ จึงควรถามผู้รู้ก่อนว่า ทำได้หรือไม่ จึงจะมีผลย้อนมาช่วยตน
นั่นเป็นความคิดที่ดี หากแต่สิ่งที่ทำ มันจะดีหรือไม่ อันนี้ต้องดูรายละเอียดอีกที
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก เมื่อนักแต่งเพลงชื่อดัง คือ ครูไพบูลย์ บุตรขัน มาเป็นคนไข้ของหลวงพ่อนิพนธ์ หลังจากหมอหยุดอาการให้ไม่ได้
เมื่อสภาพของเขาดีวันดีคืน แต่สิ่งที่เห็นทุกวี่ทุกวัน นั่นคือ คนไข้ยาเสพติดที่มากมายมหาศาล รวมกับคนไข้ทั่วไปเข้าอีก นั่นคือภาระที่พระนิพนธ์ในยุคนั้น ต้องแบกรับ
จึงเกิดความคิดที่จะหารายได้เข้าถ้ำกระบอก ด้วยการใช้สิ่งที่ตนมี เชิญวงดนตรี นักร้องดัง มาจัดงานในถ้ำกระบอก เพื่อให้คนมาแล้วชวนให้ทำบุญ ช่วยถ้ำกระบอก
ความคิดอยากช่วยนั้นดี แต่การทำนั้นผิด หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า สถานที่นี้มีธรรมคำสอนของพระภูมี นั่นคือ สิ่งสุดยอดของโลกอยู่แล้ว หากคนจะมาถ้ำกระบอก ต้องอาศัยนักร้อย ออกงานแล้วไซร้ พระพุทธเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน ที่การจะชวนคนมา ต้องอาศัยนักร้อง นักแสดง แทนธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกเสมอว่า เรื่องของศาสนา เรื่องของบุญ ที่ได้ยินได้ฟัง แล้วทำมา นั้น เดินหลงทาง ผลจึงไม่เกิด เราท่านจึงต้องมาเรียนรู้ พิจารณา แล้วนำไปใช้ตามแต่ที่คนทำได้
สิ่งดีๆ ที่คิด เมื่อต้องการจะทำ จึงควรถามผู้รู้ก่อนว่า ทำได้หรือไม่ จึงจะมีผลย้อนมาช่วยตน
วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
เน้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเตือนถี่ขึ้น บ่อยขึ้น ในการทำตนของเราท่าน เพื่อให้การเดินทางในการช่วยตน ให้ประสพผล และรวดเร็วขึ้น
ในขณะที่ปริมาณของสมุนไพร ยังได้ไม่เต็มที่ แต่พฤติกรรมในการช่วยตน สามารถที่จะเน้นให้ถูกต้องตามรอยของพระภูมี
ช่วงนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนให้เราทำพฤติกรรมให้ครบองค์สาม ให้สมบูรณ์ เพื่อเป็นบุญ แก้กรรมที่ทำมา
นั่นคือ เริ่มตั้งแต่ ระหว่างการสวดมนต์ เป็นองค์ที่หนึ่ง แลระหว่างการอบสมุนไพร เป็นองค์ที่สอง สุดท้ายสุดคือ การรับสมุนไพร เป็นองค์ที่สาม
ทั้งสามองค์นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ท่านสอนให้เราเน้น ต้องรักษาความสงบ คือ กรรมฐานให้จงได้
หลวงพ่อนิพนธ์เรียกพฤติกรรมนี้ คือ องค์ สาม ที่จะแสดงว่า เราท่านให้ความสำคัญ ในการกระทำเพื่อช่วยชีวิต เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ
ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยน หากจะเอาผล จะหวังแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ย้ำแล้วย้ำอีก มันยาก หรือจะเรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะจุดสุดท้าย สิ่งที่พระภูมีประสงค์ มีเพียงประการเดียว คือ คนดี ตามแนวทางของท่าน
พูดง่ายๆ สมุนไพรก็ช่วยได้ครึ่งหนึ่ง พฤติกรรมก็มีส่วนครึ่งหนึ่ง นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ให้มองข้ามโรคไป สิ่งที่เราท่านต่อสู้ แท้จริงไม่ใช่โรค แต่เป็นกรรม เป็นนิสัยของเราท่านต่างหาก
แพ้ชนะ จึงอยู่ที่ใจ หากเคยมีการซ่อนเร้น ก็เปลี่ยนซะ หากไม่ตั้งสติ เน้นพฤติกรรม ก็เริ่มใหม่ ทำให้ครบทั้งสามองค์ แล้วดูผล
วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ดอกบัวเห็นเป็นกงจักร
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ความวิเศษของร่างกายที่เป็นหมอใหญ่ นั่นคือ การรู้ดีว่า สถานที่ใดคือสถานที่ปลอดภัย
หากแต่คนทั่วไป เชื่อหมอ เชื่อวิทยาศาตร์ เชื่อตัวเลข ดังนั้นเมื่อมาใช้แนวทางสมุนไพร จึงไม่แปลกที่ต้องหูตาแหก วิ่งกลับไปหาหมอบ้าง จิตตกบ้าง ... ที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า มันเป็นโรคใหม่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างแล้ว คือ ปอดแหก
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า สถานที่ปลอดภัยที่สุดในร่างกาย นั่นก็คือ หลอดเลือด เมื่อเชื้ออยู่ในกระแสโลหิต ก็จักทำอะไรไม่ได้มาก ดังนั้น การทานสมุนไพร ทำให้ร่างกายมีความสามารถขับเชื้อออกมาอยู่ในระบบเลือดและน้ำเหลือง นั่นแหละจึงเรียกว่าปลอดภัย
คนเป็นเบาหวาน ทานเคมี เพื่อให้น้ำตาลในเลือด มีค่าตามต้องการ แต่ไปฝังที่กล้ามเนื้อต่างๆแทน อยู่ที่หัวใจ ก็เป็นโรคหัวใจ อยู่ตรงไหน กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็เน่า เพราะขาดออกซิเจน ต้องตัดขา ตัดส่วนที่เน่าทิ้ง เมื่อทานสมุนไพร ร่างกายก็จะมีความสามารถไล่น้ำตาลจากกล้ามเนื้อมาอยู่ในเลือด เพื่อความปลอดภัย ก็หูตาแหก ค่าน้ำตาลทะลุหลัก ... ทั้งที่สภาพตนเองก็ปกติดี ทำงานได้
ยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งด้วยแล้ว เมื่อถึงจุดสุดท้าย เชื้อจะทำให้เกิดอาการปวด เนื่องจากการขาดเลือดไปเลี้ยงหรือพูดง่ายๆ ร่างกายขาดเลือด ความทรมานนี้ จักทำให้ทุกโรงพยาบาลเมื่อถึงขั้นนี้ หมอจึงต้องฉีดมอร์ฟีน ช่วยอาการปวด จนกว่ามอร์ฟีนเอาไม่อยู่
หากแต่เมื่อมาทานสมุนไพร แลมีวันเวลาพอให้สมุนไพรกอบกู้ในระดับหนึ่ง ร่างกายจะไล่เชื้อออกมาอยู่ในเลือด นั่นก็คือสร้างความปลอดภัย ที่สำคัญ อาการปวดจะน้อยหรือไม่มีเลย แต่ด้วยสภาพของอวัยวะที่บอกช้ำถูกทำลายเกินกว่าร่างกายจะกอบกู้ เรียกว่าเป็นพรหมลิขิตที่มาจบชีวิต ยังไงก็ต้องตาย แต่ตายสบาย
ผลดีเกิด แต่ญาติรับไม่ได้ เพราะเมื่อเอาไปตรวจ จักพบเชื้อมะเร็งในเลือดมีค่าสูงมหาศาล ... ไม่เอาความสบาย ความไม่ปวดของคนไข้ มาวินิจฉัย ไม่เชื่อร่างกาย แล้วก็มาตีโพยตีพาย บอกเพราะทานสมุนไพร ทำให้เชื้อมากขึ้น จนคนไข้ตาย
นี่เรียกว่าเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ไม่กตัญญูรู้คุณก็พอว่า แต่นี่เรียกให้ร้าย อกตัญญูอีกต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า นี่คือความเชื่อ แก้ยาก เพราะถูกหล่อหลอมมานาน แม้นตัวท่านจะยืนยันว่าดี แต่พูดสักฉันใด ก็ไม่เหมือนคำที่หมอพูด ทั้งๆที่หมอที่พูด ไม่เคยช่วยใครได้เลยสักคน
ใครที่กลัวตัวเลข ก็อย่ามาทานสมุนไพรเลย เพราะแน่นอนว่า ตัวเลขในระยะแรกๆ มีแต่เพิ่มสูงขึ้น ... อย่างแน่นอน อย่างที่วิทยากรท่านอาจารย์อร่าม กล่าวให้ฟังประสพการณ์ของตัวท่านเอง ที่ขึ้นจนเครื่องมือวัด วัดค่าไม่ได้ เพราะสูงเกินกว่าค่าสูงสุดอีกนั่นเอง
มนุษย์มีตาหามีแวว นั่นคือ ธรรม่ชาติของโรคที่จะมาดับชีวิตเป็นเช่นไร ทรมานแบบไหน นั่นคือ ความเจ็บ การประสพผลในการทานสมุนไพร ก็เพื่อหนีโรค คือ หนีเจ็บ ไม่ใช่หนีตาย ... จึงเรียก ตายสบาย แม้นจักตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ชนะโรค เพราะร่างกายเราชนะความเจ็บได้นั่นเอง ไม่ใช่ถูกโรคบีบเค้น ต้องดิ้นทุรนทุราย กว่าจะตาย แบบนั้นแหละตายเพราะโรค
มัวแต่วัด เอาความสบายใจ ในตัวเลข ... วัดไปวัดมา ใจฝ่อ โน่น หายแล้ว ค่อยไปวัด ... ไม่ใช่วัดระหว่างทาง ให้จิตตกซะเปล่าๆ
ตายไม่ตาย มันอยู่ที่พรหมลิขิต
หากแต่คนทั่วไป เชื่อหมอ เชื่อวิทยาศาตร์ เชื่อตัวเลข ดังนั้นเมื่อมาใช้แนวทางสมุนไพร จึงไม่แปลกที่ต้องหูตาแหก วิ่งกลับไปหาหมอบ้าง จิตตกบ้าง ... ที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า มันเป็นโรคใหม่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างแล้ว คือ ปอดแหก
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า สถานที่ปลอดภัยที่สุดในร่างกาย นั่นก็คือ หลอดเลือด เมื่อเชื้ออยู่ในกระแสโลหิต ก็จักทำอะไรไม่ได้มาก ดังนั้น การทานสมุนไพร ทำให้ร่างกายมีความสามารถขับเชื้อออกมาอยู่ในระบบเลือดและน้ำเหลือง นั่นแหละจึงเรียกว่าปลอดภัย
คนเป็นเบาหวาน ทานเคมี เพื่อให้น้ำตาลในเลือด มีค่าตามต้องการ แต่ไปฝังที่กล้ามเนื้อต่างๆแทน อยู่ที่หัวใจ ก็เป็นโรคหัวใจ อยู่ตรงไหน กล้ามเนื้อส่วนนั้นก็เน่า เพราะขาดออกซิเจน ต้องตัดขา ตัดส่วนที่เน่าทิ้ง เมื่อทานสมุนไพร ร่างกายก็จะมีความสามารถไล่น้ำตาลจากกล้ามเนื้อมาอยู่ในเลือด เพื่อความปลอดภัย ก็หูตาแหก ค่าน้ำตาลทะลุหลัก ... ทั้งที่สภาพตนเองก็ปกติดี ทำงานได้
ยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งด้วยแล้ว เมื่อถึงจุดสุดท้าย เชื้อจะทำให้เกิดอาการปวด เนื่องจากการขาดเลือดไปเลี้ยงหรือพูดง่ายๆ ร่างกายขาดเลือด ความทรมานนี้ จักทำให้ทุกโรงพยาบาลเมื่อถึงขั้นนี้ หมอจึงต้องฉีดมอร์ฟีน ช่วยอาการปวด จนกว่ามอร์ฟีนเอาไม่อยู่
หากแต่เมื่อมาทานสมุนไพร แลมีวันเวลาพอให้สมุนไพรกอบกู้ในระดับหนึ่ง ร่างกายจะไล่เชื้อออกมาอยู่ในเลือด นั่นก็คือสร้างความปลอดภัย ที่สำคัญ อาการปวดจะน้อยหรือไม่มีเลย แต่ด้วยสภาพของอวัยวะที่บอกช้ำถูกทำลายเกินกว่าร่างกายจะกอบกู้ เรียกว่าเป็นพรหมลิขิตที่มาจบชีวิต ยังไงก็ต้องตาย แต่ตายสบาย
ผลดีเกิด แต่ญาติรับไม่ได้ เพราะเมื่อเอาไปตรวจ จักพบเชื้อมะเร็งในเลือดมีค่าสูงมหาศาล ... ไม่เอาความสบาย ความไม่ปวดของคนไข้ มาวินิจฉัย ไม่เชื่อร่างกาย แล้วก็มาตีโพยตีพาย บอกเพราะทานสมุนไพร ทำให้เชื้อมากขึ้น จนคนไข้ตาย
นี่เรียกว่าเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ไม่กตัญญูรู้คุณก็พอว่า แต่นี่เรียกให้ร้าย อกตัญญูอีกต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า นี่คือความเชื่อ แก้ยาก เพราะถูกหล่อหลอมมานาน แม้นตัวท่านจะยืนยันว่าดี แต่พูดสักฉันใด ก็ไม่เหมือนคำที่หมอพูด ทั้งๆที่หมอที่พูด ไม่เคยช่วยใครได้เลยสักคน
ใครที่กลัวตัวเลข ก็อย่ามาทานสมุนไพรเลย เพราะแน่นอนว่า ตัวเลขในระยะแรกๆ มีแต่เพิ่มสูงขึ้น ... อย่างแน่นอน อย่างที่วิทยากรท่านอาจารย์อร่าม กล่าวให้ฟังประสพการณ์ของตัวท่านเอง ที่ขึ้นจนเครื่องมือวัด วัดค่าไม่ได้ เพราะสูงเกินกว่าค่าสูงสุดอีกนั่นเอง
มนุษย์มีตาหามีแวว นั่นคือ ธรรม่ชาติของโรคที่จะมาดับชีวิตเป็นเช่นไร ทรมานแบบไหน นั่นคือ ความเจ็บ การประสพผลในการทานสมุนไพร ก็เพื่อหนีโรค คือ หนีเจ็บ ไม่ใช่หนีตาย ... จึงเรียก ตายสบาย แม้นจักตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ชนะโรค เพราะร่างกายเราชนะความเจ็บได้นั่นเอง ไม่ใช่ถูกโรคบีบเค้น ต้องดิ้นทุรนทุราย กว่าจะตาย แบบนั้นแหละตายเพราะโรค
มัวแต่วัด เอาความสบายใจ ในตัวเลข ... วัดไปวัดมา ใจฝ่อ โน่น หายแล้ว ค่อยไปวัด ... ไม่ใช่วัดระหว่างทาง ให้จิตตกซะเปล่าๆ
ตายไม่ตาย มันอยู่ที่พรหมลิขิต
หมาหมู่
แต่ผู้หนึ่งที่ได้รับการยอมรับ และมีผลงานประจักษ์ นั่นคือ พระพุทธเจ้า ดังนั้น เหตุแห่งการมีศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า นั้น กล่าวได้ว่า ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแก่มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เพราะแต่ละคนมีกรรมเป็นอำนาจ ดูแลปกป้องอยู่แล้ว หากแต่ศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า มีความสำคัญ ต่อคนกลุ่มเล็กๆ ที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องของชีวิต และอยากหนี อยากหลุดพ้น วัฐจักร เวียนว่าย คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรืออย่างน้อย ก็หนีเจ็บ
เมื่อไม่มีปัญหาชีวิต ศาสนา ก็ไม่มีความจำเป็น คนก็ไม่ดิ้นรนแสวงหา เราท่านจึงไม่เห็นคนในสถานที่บันเทิง เริงรมย์ โรงหนัง หรือ สถานที่ที่คนปกติ เขานิยมชมชอบ พูดถึงกล่าวถึง คิดถึง เรื่องของศาสนาเลย
แลเมื่อมีปัญหาชีวิต ก็มีสรรพสิ่ง อ้างตนเป็นผู้ช่วยเหลือกันอย่างมากมาย เรียงรายรอ ให้เข้าไปหา มาไม่ถึงศาสนาหรอก ติดอยู่กับ หมอ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ลัทธิ พิธีการ ... ต่างๆ เหล่านั้น กันหมด
นั่นหมายความว่า ศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า จึงเป็นเสมือน ทางเลือกสุดท้าย ที่พึ่งสุดท้าย ที่คนจะมาหา มาพึ่ง แต่เมื่อมาเจอ มาพบ หลายคนก็เบือนหน้าหนี เพราะไม่คุ้นเคย ทำยาก แม่ชีเมี้ยนจึงเตือนหลวงพ่อนิพนธ์เสมอว่า เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนอยากได้ แล้วทำเอง เป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย ที่สำคัญ คนกลุ่มน้อยนี้ เมื่อทำได้ ก็ไปหมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่หลงเหลือความรู้ที่แท้จริง ให้เห็น จะมีก็แต่พวกที่แอบอ้าง ศาสน์หากิน จึงใช้ช่วยชีวิตไม่ได้
เมื่อความรู้เรื่องกรรมหายไป มนุษย์ถูกหล่อหลอมให้เชื่อวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ พีธีกรรม ดังนั้น การแก้ปัญหา จากพื้นฐานเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม ไม่ได้มาเพื่อฆ่าชีวิต มาแล้วก็ไป นอกเสียจากถึงพรหมลิขิตเท่านั้น
มนุษย์ทั้งหลายจึงปฏิเสธกรรม และสร้างพฤติกรรม เสมือนลิงแก้แห เพราะไม่ยอมรับในกรรมนั้นๆ ปวดก็ไม่ทน เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็ไม่เอา ... หาหนทางระงับ
ความผิดพลาดจึงเริ่มต้น เมื่อเห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้า เพื่อไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่ทรมาน ในวันนี้ โดยเฉพาะความเชื่อในวิทยาศาสตร์ แล้วก็เริ่มมีการทานยาเคมี
ผลที่ตามมาก็คือ ยาเคมีเป็นสารที่ร่างกายไม่ต้องการ ย่อมไม่ได้ ที่สำคัญ ไล่ออกไม่หมด นั่นหมายถึงเมื่อทาน ย่อมมีสารตกค้างอยู่ในร่างกาย กลายเป็นระเบิดเวลา
เมื่อไปตกอยู่ที่ใด ระเบิดเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นสถานี ทำให้เกิดโรค เพราะเซลล์บริเวณนั้นจะขาดออกซิเจน กลายเป็นแหล่งฟักเชื้ออย่างดี
ผลที่ตามมา จากโรคพื้นฐาน ปวดเมื่อย ความดัน ก็จะเริ่มกลายเป็นโรคสอง โรคสาม
พร้อมกับสร้างสภาวะเซลล์ที่เครียด เอื้อต่อเซลล์มะเร็งในตัว นั่นก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในอนาคตได้อย่างง่ายดาย
สภาพเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ลำพังเซลล์มะเร็ง มันฆ่าให้เราท่านตายไม่ได้หรอก แต่ด้วยความไม่รู้ พฤติกรรมการทานเคมี ทำให้เกิดโรคสองสาม ตามมา กลายเป็น ร่างกายเราถูกรุมกินโต๊ะ
สิ่งที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ชัด ก็คือ ความดันไม่ได้ทำให้คนตาย หากแต่คนทานยาควบคุมความดัน มักจะตายด้วย โรคไตวาย หรือ ไม่ก็กลายเป็นอัมพฤกต์ ซึ่งมิใช่เกิดจากผลของความดัน หากแต่ผลของยาเคมี ทำให้หลอดเลือดบริเวณที่สารเคมีทิ้งตัว เปราะ และแตกง่าย
ดังนั้น วิธีกระบวนการที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงต้องกำจัดหมาหมู่เหล่านี้ให้ออกไป หรือเหลือน้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่ทำความเข้าใจ ว่าไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาตย์ เพราะทุกสรรพสิ่งเกิดแต่กรรม เพื่อให้จิตผ่อนคลาย กำจัดโรคเครียด ซึมเศร้า เป็นอันดับแรก จนจิตใจกลับมาฮึกเหิม ร่าเริง แจ่มใส ทำตนเหมือนปกติคนไม่มีโรค
คำแนะนำเพื่อกำจัดหมาตัวต่อไป ที่วิทยากรทุกท่าน มักจะแนะนำ นั่นคือ การหยุดหรือลดทอน การใช้ยาเคมีให้เร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดโรคต่อเนื่อง อันเป็นผลจากสารเคมี อาทิ หากมีสารเคมีหลุดเข้าไตมากๆ ไตทำงานไม่ไหว ก็เริ่มมีประสิทธิภาพลดลง นั่นคือ โรคไตกำลังจะมาเยือน
หยุดพฤติกรรม ที่เพิ่มกรรม นั่นก็คือ ต้องปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคนที่สงบ มีพื้นฐานความคิดที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น
ช่วงนี้ เราท่านจึงมักได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์พูดเสมอว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้ากลัวที่สุด คือ กรรม หากแต่สิ่งที่กรรมกลัวที่สุด คือ ธรรม แลผู้มีธรรม ก็คือผู้ที่สามารถรักษาความสงบ หรือที่เรียกว่ากรรมฐาน ไว้ได้
สัปดาห์หนึ่ง มีช่วงเวลาที่เราต้องเข้ากรรมฐาน ไม่กี่ชั่วโมง หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่าใครอยากสัมผัสบุญ ก็ลองรักษาความสงบ เน้นในห้องสวดมนต์ ห้องกระโจม แลเวลารับสมุนไพร แล้วดูผล
เมื่อลดศึกเหลือหน้าเดียวคือ โรค ก็เป็นงานเบาสำหรับสมุนไพร ที่เชื่อได้ว่า ศึกนี้ชนะแน่ .... คำตรัสของพระภูมี ความไม่มีโรค จึงจักเป็นได้จริง ได้สัมผัสอย่างแน่นอน
จะมาทานสมุนไพรอย่างเดียว ในสภาพที่ถูกหมารุมกัด มีศึกหลายๆ ด้านพร้อมกัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก มองแล้วยาก อย่ามาเสียเวลาเลย
คนที่คิดแต่จะทานสมุนไพรอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะเขาประเมินกรรมต่ำเกิน ... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า พระพุทธเจ้ายังกลัวกรรมเลย เพราะแม้นเพียงเสี้ยวกรรม ก็ต้องเกิดมารับแล้ว คำพังเพยที่ศาสนากล่าวให้ฟัง ถูกยกมาบ่อยๆ นั่นคือ "อยู่ใต้ฟ้า อย่าท้าฝน เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
อ้ายคนทำมันไม่กลัว แต่หลวงพ่อนิพนธ์ แลเจ้าหน้าที่เขากลัว ไม่รู้ว่าว่ากรรมจะเล่นอ้ายคนนั้นเมื่อไหร่ เข้าห้องสวดมนต์ เขาสงบกัน มันนั่งคุย นั่งเล่นโทรศัพท์ แล้วจะเอาบุญที่ไหนไปคุ้มครอง เกิดกรรมมันมา ชักตาค้าง ตายไป คนไม่รู้ ก็บอกว่า มาที่นี่แล้วตาย .... แต่ไม่รู้หรอกว่า คนๆ นั้น มีพฤติกรรมอย่างไร
เตือนอีกครั้ง คนเหล่านี้หากไม่เปลี่ยนพฤติกรรม สักวันต้องถูกไล่ให้ไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ ช้าหรือเร็วเท่านั้น
จะชนะศึกได้ ต้องรู้เขา รู้เรา ... เจ้าหน้าที่บางคน เขาจึงไม่ยอมให้มาเกิดที่นี่ ไม่รอหลวงพ่อนิพนธ์ไล่ เขาทำเองเลย
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ผู้ชนะ ก็คือ ผู้ที่สามารถทำศึกของตนให้เหลือเพียงหน้าเดียว คือ โรค เพียวๆ แล้วใช้สมุนไพรเข้าสู้ ... นั่นคือ พวกที่ฟัง แล้วคิด แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับบัญญัติของพระภูมี ส่วนพวกที่ฟัง ไม่คิด ไม่ทำ พวกนั้นต้องถือว่ามากินเล่น ทำใจ เพราะมันคือพวกชูชก ต้องให้มันกิน รอจนท้องแตกตายไปเอง
วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ต้องเปลี่ยน
การมาเพื่อรับสมุนไพรไปทานเพียงอย่างเดียว การประสพผลสำเร็จ ย่อมเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะเนื้อแท้ของปัญหา ไม่ได้อยู่ที่โรค หากแต่อยู่ที่กรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเปิดหน้าสู้แล้ว ช่วงนี้การสอนของท่าน จึงมีเนื้อหาสำคัญมากมาย โดยเฉพาะเทคนิคต่างๆ ที่ผู้ป่วยสามารถนำไปใช้ เพื่อที่จะทำให้กระบวนการฟื้นฟูตนได้อย่างเป็นผล และรวดเร็ว
เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ จักถูกนำมาใช้กับคนไข้กลุ่มมะเร็ง ที่เข้าคอร์ส เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า อย่ารอแต่จะทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แล้วไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด นิสัย ใดๆ เลย
ที่สำคัญ เมื่อได้องค์ความรู้ และเทคนิคที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกกล่าวแล้วนำไปใช้ จากโรคมะเร็งที่มีความน่ากลัวอันดับหนึ่ง ตายมากเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าหมอ หรือ ใครที่ว่าแน่ ก็หาหนทางแก้ไม่ได้ จะกลายเป็นโรคที่แก้ไขได้ง่ายมาก เพราะความเป็นจริงแล้ว มะเร็งไม่ใช่โรค นั่นเอง
ภาพที่เราท่านจะเห็น นั่นคือ การฟื้นฟูตนของผู้ป่วยโรคนี้ เมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ที่ดูแล้วเมื่อเป็นจะมีระยะเวลานาน นับตั้งแต่ตรวจพบจนตาย กลับเป็นว่า หากทำตนได้ มะเร็งประมาณครึ่งปี ก็จะเห็นผล แต่เบาหวานกลับต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป กว่าที่ร่างกายจะเคลียระบบของร่างกายได้จนหมด
หลายคนอาจมองโรคเป็นสิ่งอัปมงคล ทำให้ชีวิตแย่ลง หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวสอนว่า อันที่จริงเราท่าน ต้องของคุณโรค ที่ทำให้เราท่าน ได้มาพบสิ่งที่ดีงาม นั่นคือ พระพุทธศาสนาที่แท้จริง แลเป็นที่พึ่งของตนได้
ด้วยเหตุที่เราท่าน ห่างศาสนาที่แท้จริง หลงทางไปจนไกล ด้วยโรคนี้แหละ ทำให้เราท่าน หันกลับมาในทิศที่ถูกต้อง เชื่อในบุญ ในกรรม แลที่สำคัญ กลับมาหาบุญที่ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนนิสัย มาอยู่ในร่องรอยของพระภูมีอีกครั้ง
น่าเสียดาย ที่คำสอนดีๆ อย่างนี้ หลายคนที่มีวาสนามาถึง แต่กลับไม่สนใจ ตั้งใจฟัง ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนอะไร มุ่งมาหาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ... นั่นคือ การกระทำ ที่ไร้ค่า แลยากที่จะประสพผล
เชื่อเถอะ สมุนไพร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติ นั่นหมายถึง มีวิญญาณ แลตรัสรู้ ... ไม่มีทางที่จะช่วยโจรให้มีกำลัง กลับไปทำแบบเดิมอีกเป็นอันขาด
ตัวอย่างที่เราเห็นเร็วๆ นี้ ก็มีคนไข้ท่านหนึ่ง เป็นสันนิบาตลูกนก ควบคุมมือเท้าไม่ได้ มาทำตนเป็นจิตอาสา มุ่งมั่นทานสมุนไพร จนอาการกลับมาเหมือนคนปกติ ก็กลับไปทำตนเหมือนเดิม ผ่านไปเพียงแค่ปีกว่า ตอนนี้สามีหามกลับมาในสภาพที่หนักกว่าการมาครั้งแรกเสียอีก ... แลไม่รู้ว่า จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่
คำหนึ่งที่ได้ยินเจ้าหน้าที่กล่าวแก่คนไข้ท่านนี้ นั่นคือ การขาดความกตัญญูู ขาดพฤติกรรมที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตตนนั่นเอง
ผลที่สุทธิในการใช้หลักสมุนไพรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ การเปลี่ยนตนเป็นผู้ที่ให้สุขแก่ผู้อื่น ตามรอยพระภูมี ... ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่คิดจะทำ แนวทางนี้ ก็คงยากจะให้ผล
หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อเปิดหน้าสู้แล้ว ช่วงนี้การสอนของท่าน จึงมีเนื้อหาสำคัญมากมาย โดยเฉพาะเทคนิคต่างๆ ที่ผู้ป่วยสามารถนำไปใช้ เพื่อที่จะทำให้กระบวนการฟื้นฟูตนได้อย่างเป็นผล และรวดเร็ว
เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ จักถูกนำมาใช้กับคนไข้กลุ่มมะเร็ง ที่เข้าคอร์ส เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า อย่ารอแต่จะทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว แล้วไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ความคิด นิสัย ใดๆ เลย
ที่สำคัญ เมื่อได้องค์ความรู้ และเทคนิคที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกกล่าวแล้วนำไปใช้ จากโรคมะเร็งที่มีความน่ากลัวอันดับหนึ่ง ตายมากเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าหมอ หรือ ใครที่ว่าแน่ ก็หาหนทางแก้ไม่ได้ จะกลายเป็นโรคที่แก้ไขได้ง่ายมาก เพราะความเป็นจริงแล้ว มะเร็งไม่ใช่โรค นั่นเอง
ภาพที่เราท่านจะเห็น นั่นคือ การฟื้นฟูตนของผู้ป่วยโรคนี้ เมื่อเทียบกับโรคอื่นๆ เช่น เบาหวาน ที่ดูแล้วเมื่อเป็นจะมีระยะเวลานาน นับตั้งแต่ตรวจพบจนตาย กลับเป็นว่า หากทำตนได้ มะเร็งประมาณครึ่งปี ก็จะเห็นผล แต่เบาหวานกลับต้องใช้เวลาเป็นปีขึ้นไป กว่าที่ร่างกายจะเคลียระบบของร่างกายได้จนหมด
หลายคนอาจมองโรคเป็นสิ่งอัปมงคล ทำให้ชีวิตแย่ลง หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวสอนว่า อันที่จริงเราท่าน ต้องของคุณโรค ที่ทำให้เราท่าน ได้มาพบสิ่งที่ดีงาม นั่นคือ พระพุทธศาสนาที่แท้จริง แลเป็นที่พึ่งของตนได้
ด้วยเหตุที่เราท่าน ห่างศาสนาที่แท้จริง หลงทางไปจนไกล ด้วยโรคนี้แหละ ทำให้เราท่าน หันกลับมาในทิศที่ถูกต้อง เชื่อในบุญ ในกรรม แลที่สำคัญ กลับมาหาบุญที่ถูกต้อง ปรับเปลี่ยนนิสัย มาอยู่ในร่องรอยของพระภูมีอีกครั้ง
น่าเสียดาย ที่คำสอนดีๆ อย่างนี้ หลายคนที่มีวาสนามาถึง แต่กลับไม่สนใจ ตั้งใจฟัง ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนอะไร มุ่งมาหาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ... นั่นคือ การกระทำ ที่ไร้ค่า แลยากที่จะประสพผล
เชื่อเถอะ สมุนไพร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ธรรมชาติ นั่นหมายถึง มีวิญญาณ แลตรัสรู้ ... ไม่มีทางที่จะช่วยโจรให้มีกำลัง กลับไปทำแบบเดิมอีกเป็นอันขาด
ตัวอย่างที่เราเห็นเร็วๆ นี้ ก็มีคนไข้ท่านหนึ่ง เป็นสันนิบาตลูกนก ควบคุมมือเท้าไม่ได้ มาทำตนเป็นจิตอาสา มุ่งมั่นทานสมุนไพร จนอาการกลับมาเหมือนคนปกติ ก็กลับไปทำตนเหมือนเดิม ผ่านไปเพียงแค่ปีกว่า ตอนนี้สามีหามกลับมาในสภาพที่หนักกว่าการมาครั้งแรกเสียอีก ... แลไม่รู้ว่า จะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่
คำหนึ่งที่ได้ยินเจ้าหน้าที่กล่าวแก่คนไข้ท่านนี้ นั่นคือ การขาดความกตัญญูู ขาดพฤติกรรมที่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตตนนั่นเอง
ผลที่สุทธิในการใช้หลักสมุนไพรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา นั่นคือ การเปลี่ยนตนเป็นผู้ที่ให้สุขแก่ผู้อื่น ตามรอยพระภูมี ... ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่คิดจะทำ แนวทางนี้ ก็คงยากจะให้ผล
วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ปัญหาใหม่
คุณอ้อ แจ้งให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า ตอนนี้มีปัญหาใหม่ที่แทรกขึ้นมา อันเนื่องจากจิตอาสาที่มาช่วยในการทำสมุนไพร
จากจำนวนประมาณห้าร้อยคน ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงสามร้อยคนเท่านั้น
สาเหตุก็เนื่องมาจาก จิตอาสาเหล่านั้น ประสพผลสำเร็จ ในการช่วยตน แล้วก็กลับไปทำงาน ไม่มาอีกนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า นอกจากการทานสมุนไพรแล้ว การทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น ผลของการทำ ก็จะย้อนกลับมาหาตน ทำให้การฟื้นฟูตน ดีวันดีคืนเร็วยิ่งขึ้น
ดังนั้น หลายคนที่เห็นคนใกล้ชิด ใช้กระบวนการวิธีนี้ จึงเดินตาม และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะคนเก่าไป คนใหม่ยังไม่มา
วิธีการนี้หลวงพ่อนิพนธ์ มักแนะนำให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักทำ โดยใช้พลังที่เหลือมาทำ ก่อนที่จะหมดจนทำอะไรไม่ได้
เห็นได้จาก หลานสาวท่านชาติชาย ที่มาในสภาพรถเข็น เดินไม่ได้ ก็เริ่มจากใช้ตามอง ใช้มือสอน จิตอาสา ทำขนมปัง ทำเค็ก จนกลับมาเดินได้ ขับรถได้ ทุกวันนี้
แลรายล่าสุด ก็เห็นได้จากกรรมการที่เป็นอัมพฤกต์ เดินต้องให้คนประคอง หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้มาช่วยดูการทำฐานราก ของอาคารผู้ป่วยที่สร้างขึ้นใหม่
ผ่านไปเพียงเดือนสองเดือน กรรมการท่านนั้น จากต้องช่วยพยุง มาดูงาน ก็เดินเองได้ ส่องกล้องเอง สั่งงานเอง จนวันนี้ แทบจะเรียกได้ว่า เกือบเป็นปกติ
อีกไม่นาน ฐานรากของอาคารก็จะแล้วเสร็จ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หนทางนี้ เป็นหนทางที่ช่วยผู้ป่วยได้ ทางหนึ่ง อันจะเห็นได้จากอาคารสวดมนต์ อาคารมูลนิธิ ล้วนแล้วแต่ทำให้คนป่วยมากมายช่วยตนได้
ดังนั้น ในเมื่อหมอแผนปัจจุบันบอกเป็นโรคต้องนอนพัก แต่หลักของพระภูมีต้องทำงาน ผู้ป่วยมะเร็งที่มาเข้าคอร์สทุกคน จึงต้องมีหน้าที่ในการหิ้วปูน หรือมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างอาคารนี้ นั่นคือ ทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อสุขนั้นย้อนมาหาตน
แลเนื่องด้วยคนไข้มะเร็ง ถือเป็นกรณ๊เร่่งด่วน ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์แจ้งว่า การมีส่วนร่วมในการสร้างอาคารนี้ จึงต้องให้สิทธิ์พวกมะเร็งก่อน
เราท่าน ก็จะได้เห็นว่า การช่วยตนเพียงสมุนไพรอย่างเดียว อาจไม่พอ หรือ เป็นไปด้วยความล่าช้า อาจทนรอไม่ไหว สิ่งที่ช่วยได้อีกทางหนึ่ง นั่นคือ การกระทำที่เป็นบุญ แลที่สำคัญ ให้ผลรวดเร็ว เฉียบขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ประเด็นคือ บุญที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน หาให้เจอ
ขุมทรัพย์นี้ พระภูมีชี้ให้เห็น นั่นคือ "บุปบาปอยู่ที่มนุษย์นั้นแล" ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว ไม่จำเป็นหรอกต้องไปวัด ด่าผัว ตบเมีย ก็บาป ไม่ทำก็เป็นบุญ
แลเอกลักษณ์ของบุญ ที่ไหนมีที่นั่นสงบ ...
อ้ายประเภท ต้องใช้เงินใช้วัตถุสร้างบุญ ... นั่นเดินสวนทางกับพระภูมีแล้ว รอยที่ท่านทำ ทิ้งทุกสิ่งอย่าง แล้วลดละนิสัยพฤติกรรม เป็นบุญ ... ทุกคนจึงมีทุนเท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าใครจะทำ ... อยากได้ ต้องทำเอง
ทำแล้วเป็นบุญ จึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่า สิ่งที่ทำมีผลกับมนุษย์อย่างไร
ก็หวังว่า คนเก่าไป คนใหม่จะมา ... หากมีคนมาเรียกไปเป็นจิตอาสา ... ก็ควรไปลองดู ว่าผลเป็นอย่างไร หรือแค่ราคาคุย
จากจำนวนประมาณห้าร้อยคน ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงสามร้อยคนเท่านั้น
สาเหตุก็เนื่องมาจาก จิตอาสาเหล่านั้น ประสพผลสำเร็จ ในการช่วยตน แล้วก็กลับไปทำงาน ไม่มาอีกนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า นอกจากการทานสมุนไพรแล้ว การทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น ผลของการทำ ก็จะย้อนกลับมาหาตน ทำให้การฟื้นฟูตน ดีวันดีคืนเร็วยิ่งขึ้น
ดังนั้น หลายคนที่เห็นคนใกล้ชิด ใช้กระบวนการวิธีนี้ จึงเดินตาม และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะคนเก่าไป คนใหม่ยังไม่มา
วิธีการนี้หลวงพ่อนิพนธ์ มักแนะนำให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยหนักทำ โดยใช้พลังที่เหลือมาทำ ก่อนที่จะหมดจนทำอะไรไม่ได้
เห็นได้จาก หลานสาวท่านชาติชาย ที่มาในสภาพรถเข็น เดินไม่ได้ ก็เริ่มจากใช้ตามอง ใช้มือสอน จิตอาสา ทำขนมปัง ทำเค็ก จนกลับมาเดินได้ ขับรถได้ ทุกวันนี้
แลรายล่าสุด ก็เห็นได้จากกรรมการที่เป็นอัมพฤกต์ เดินต้องให้คนประคอง หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้มาช่วยดูการทำฐานราก ของอาคารผู้ป่วยที่สร้างขึ้นใหม่
ผ่านไปเพียงเดือนสองเดือน กรรมการท่านนั้น จากต้องช่วยพยุง มาดูงาน ก็เดินเองได้ ส่องกล้องเอง สั่งงานเอง จนวันนี้ แทบจะเรียกได้ว่า เกือบเป็นปกติ
อีกไม่นาน ฐานรากของอาคารก็จะแล้วเสร็จ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หนทางนี้ เป็นหนทางที่ช่วยผู้ป่วยได้ ทางหนึ่ง อันจะเห็นได้จากอาคารสวดมนต์ อาคารมูลนิธิ ล้วนแล้วแต่ทำให้คนป่วยมากมายช่วยตนได้
ดังนั้น ในเมื่อหมอแผนปัจจุบันบอกเป็นโรคต้องนอนพัก แต่หลักของพระภูมีต้องทำงาน ผู้ป่วยมะเร็งที่มาเข้าคอร์สทุกคน จึงต้องมีหน้าที่ในการหิ้วปูน หรือมีส่วนร่วมในงานก่อสร้างอาคารนี้ นั่นคือ ทำตนให้สุขแก่ผู้อื่น เพื่อสุขนั้นย้อนมาหาตน
แลเนื่องด้วยคนไข้มะเร็ง ถือเป็นกรณ๊เร่่งด่วน ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์แจ้งว่า การมีส่วนร่วมในการสร้างอาคารนี้ จึงต้องให้สิทธิ์พวกมะเร็งก่อน
เราท่าน ก็จะได้เห็นว่า การช่วยตนเพียงสมุนไพรอย่างเดียว อาจไม่พอ หรือ เป็นไปด้วยความล่าช้า อาจทนรอไม่ไหว สิ่งที่ช่วยได้อีกทางหนึ่ง นั่นคือ การกระทำที่เป็นบุญ แลที่สำคัญ ให้ผลรวดเร็ว เฉียบขาด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ประเด็นคือ บุญที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน หาให้เจอ
ขุมทรัพย์นี้ พระภูมีชี้ให้เห็น นั่นคือ "บุปบาปอยู่ที่มนุษย์นั้นแล" ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว ไม่จำเป็นหรอกต้องไปวัด ด่าผัว ตบเมีย ก็บาป ไม่ทำก็เป็นบุญ
แลเอกลักษณ์ของบุญ ที่ไหนมีที่นั่นสงบ ...
อ้ายประเภท ต้องใช้เงินใช้วัตถุสร้างบุญ ... นั่นเดินสวนทางกับพระภูมีแล้ว รอยที่ท่านทำ ทิ้งทุกสิ่งอย่าง แล้วลดละนิสัยพฤติกรรม เป็นบุญ ... ทุกคนจึงมีทุนเท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าใครจะทำ ... อยากได้ ต้องทำเอง
ทำแล้วเป็นบุญ จึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่า สิ่งที่ทำมีผลกับมนุษย์อย่างไร
ก็หวังว่า คนเก่าไป คนใหม่จะมา ... หากมีคนมาเรียกไปเป็นจิตอาสา ... ก็ควรไปลองดู ว่าผลเป็นอย่างไร หรือแค่ราคาคุย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)