สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการใช้ศาสตร์สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ไม่ใช่โรค แต่เป็นการที่เรียนแล้วไม่ยอมรู้ นั่นก็คือ การทำตนเสมือน แก้วคว่ำที่อยู่ท่ามกลางฝน ไม่ว่าจะตกสักฉันใด แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า หาน้ำในแก้วไม่ได้เลย
เมื่อไม่รู้ การทำผิดย่อมง่ายดาย การกระทำจึงหวังผลอะไรไม่ได้เลย ยิ่งเรื่องของชีวิตด้วยแล้ว
หากแต่หลายคน อยากเรียนรู้ พยายามฟังเพื่อให้ตนรู้ แต่น่าเสียดาย ที่ความรู้ที่ได้ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำเพื่อช่วยตน หากแต่เรียนรู้ไว้เพื่อคุย ว่าตนรู้เท่านั้นแล
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ตัวอย่างให้พิจารณา อาทิ ความรู้ในการฟื้นฟูผู้ป่วยเบาหวาน ที่กระบวนการสมุนไพร ในศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เล็งเห็นแล้วว่า น้ำตาลที่ถูกบีบอัดไปในกล้ามเนื้อและกระดูกนั้น หรืออวัยวะต่างๆ ล้วนแล้วแต่อันตรายมหาศาล แต่ถ้าถูกขับออกมาอยู่ในเลือด นั่นแลปลอดภัย
ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อทานสมุนไพร จนร่างกายมีความสามารถฟื้นฟูตน ทุกตัวคน ย่อมมีปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่มากมาย หากแต่ไม่มีอาการของเบาหวานปรากฎ แต่ด้วยความอยากรู้ ทั้งๆที่รู้ ก็ต้องพาตนไปตรวจ แล้วก็ต้องถูกหมอตำหนิ ว่าปล่อยให้น้ำตาลสูงอย่างนี้ได้อย่างไร ต้องรักษาด่วน
หลายคนจึงถูกจับฉีดอินซูลินทันที แลก็หลายคนที่เกิดอาการช็อคอินซูลิน บางคนก็ถึงขั้น การเดินผิดปกติ จะฟื้นฟูอีกทีก็ยากยิ่ง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า "เล่นของขลัง อย่ากังขา พวกกังขา ไม่น่าเล่นของกายสิทธิ์" การเรียนรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ที่สำคัญกว่า คือ รู้แล้วทำให้ได้
คนที่รู้แล้วทำได้ บางคนเล่าให้ฟังว่า เมื่อหมอจะจับฉีดอินซูลิน เขาก็บอกหมอว่า "เขามาให้ตรวจระดับเบาหวาน ไม่ได้มาให้รักษา แค่อยากรู้เท่านั้นเอง ว่าระดับน้ำตาลของตนเป็นเช่นไร" บางคน ก็ใช้วิธีหนีกลับดื้อๆ ก็มี
ท่านอาสิ ชี้ให้เห็นว่า "รู้เขา รู้เรา จึงจะชนะ" ก็อยากหายโรค รู้อะไรบ้าง ที่สำคัญกว่า รู้แล้วทำรึปล่าว ถ้ารู้แล้วไม่ทำ การกระทำของตนทั้งหมด "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปกลายเป็น..." เสียเงิน เสียทอง เสียเวลา พอไหว แต่ต้องเสียชีวิตด้วยนี่สิ คุ้มไหม