มนุษย์ผู้ใดไม่รู้เรื่องศาสนา ผู้นั้นย่อมเอ่ยอ้างโทษดินฟ้าอากาศ หากพรหมลิขิตแห่งตนไม่เป็นไม่สมอยากที่ตนปรารถนา มีให้เห็นกันทั่วไป
หากคนผู้นั้นได้มาพานพบพุทธศาสนา ได้ยินเรื่องราวจากตัวแทนของศาสนาแล้วไซร้ ก็จักรู้ว่า ที่ว่าพรหมลิขิตแห่งตนนั้น หาใช่ฟ้าดินบันดาลไม่ ล้วนแล้วแต่ตนของตนนั่นแหละเป็นผู้สร้างขึ้นทั้งหมดทั้งมวล ด้วย "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น"
สัจจะธรรมความจริงที่พระภูมีทรงตรัสสอน คือ "ตัวกระทำไม่ตาย รอคอยเราอยู่วันข้างหน้าแน่" นั่นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมตายแล้วต้องเกิด ก็เพื่อรับในสิ่งที่ตนได้ทำไว้ในวันนี้นั่นเอง
การมาพานพบศาสนา สิ่งสำคัญที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาถึงคุณประโยชน์อันมหาศาลที่ศาสนาให้ นั่นคือ การเปลี่ยนพรหมลิขิต และการเขียนพรหมลิขิตที่ดีให้แก่ตน นั่นเอง
พรหมลิขิตทำมา ต้องตายด้วยโรค ด้วยอุบัติภัย นั่นคือ ต้องทุกข์กับกรรมที่ทำมา ก็สามารถหลีกลี้หนีพ้น ด้วยการมาทุกข์กับวินัยของพระภูมีแทน ไม่ว่าจะต้องทนกับ การทานสมุนไพรที่ทานยาก การมาทำในสิ่งที่ตนไม่เคยทำ ไม่อยากทำ นานาชนิด นั่นเอง วินัยของพระภูมี จึงจัดว่าเป็น "วินัยทุกข์" ทำเพื่อใช้กรรมที่ทำมา ดังนั้นเมื่อทำแล้วจะเอาสุขเป็นไปไม่ได้เลย
วินัยที่อ้างเอ่ย นั่ง นอน สบาย ท่องบ่นตำรา นั้นจึงสวนทางกับวินัยของพระภูมีอย่างสิ้นเชิง อดีตพระถ้ำกระบอกท่านหนึ่ง กล่าวว่า สิ่งที่ได้เห็นจากแม่ชีเมี้ยนนั่นคือ การทำตลอดเวลา สบงจีวรเปื้อนฝุ่น เป็นภาพที่เห็นประจำ มือด้านแล้วด้านอีก ด้วยใช้มือ กลิ้งหินลงจากเขา แล้วขุดดิน ปลูกต้นไม้ ย่อยหินทำเป็นทางเดิน
ก็แล้วเราท่านที่มาพานพบศาสนา อ้างเอ่ยกันว่า อยากมีความสุข อยากหายโรค ก็ล้วนแล้วต้องพึ่งพาตน เขียนพรหมลิขิตแห่งตน นั่นหมายความว่า ทุกเวลานาที ตลอดเวลา ก็ต้องพึงเขียนพรหมลิขิตที่สุขให้แก่ตน มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ด้วยอาศัยสติของศาสนา ที่ได้ยินได้ฟังจากท่านอาสินั่นเอง
ปากอ้างเอ่ย อยากได้ คำถามก็คือ แล้วพฤติกรรมเล่า อยากได้สุขตลอดเวลา แล้วทำสุขให้ผู้อื่นตลอดเวลาหรือไม่ ถ้าเอ่ยแต่ปาก แต่พฤติกรรมไม่มี หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนให้สร้าง รอยมือ รอยตีน ของเราท่านไว้ ก็ถ้าไม่มีรอย ในวันนี้ จะเอาผลที่ไหนมาสุขในวันหน้ารอเราท่านอยู่
บทสรุป ศาสนาสอนให้เป็นคนดี มีใจสูง ดูกรย้อนไปดูนักบอลญี่ปุ่น แสดงให้โลกเห็นด้วยการจัดเก็บห้องแต่งตัว เรียบร้อย และขอบคุณแม่บ้าน นั่นคนของโลก หากย้อนมาดูคนของศาสนาที่มูลนิธิ ที่ถูกพร่ำสอนทุกวัน อ้างเอ่ยทุกวันอยากมีสุข หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "เราหาสมุนไพร ทำยาให้พวกเขา ก็เหนื่อยสาหัสแล้ว นี่เราต้องมาเก็บขยะ ล้างห้องน้ำ เดินปิดไฟ ปิดพัดลมอีกหรือนี่ ... ไม่รู้ว่าเราอยู่กับใคร" คนที่มาอยากมีสุขตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาตอบแทน ให้แก่ผู้ที่ช่วยชีวิต คือ ขยะ คือ ใช้ทิ้งใช้ขว้าง แล้วจะหายโรคโดยวิธีใด
วินัยที่ทำในมูลนิธิ ก็เสมือนแค่การฝึก การทดลองทำเท่านั้นเอง แม้นอาจจะเพียงพอต่อการเปลี่ยนพรหมลิขิตให้หายโรค แต่จะให้สุขแก่ชีวิตนั้นคงไม่ได้ เพราะมันแค่เสี้ยวของชีวิต หากปรารถนาสุข ย่อมต้องพิจารณาแล้วนำไปทำในชีวิตประจำวัน ยิ่งทำได้มาก นานเท่าใด นั่นก็ยิ่งหมายถึง ชีวิตที่มีความสุขในภายภาคหน้า มิเพียงชาตินี้ แต่ทุกชาติ
ถ้านิสัยของพระภูมีติดตามตนไปเมื่อใด พรหมลิขิตแห่งตน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ย่อมได้ลาภอันประเสริฐเป็นคู่กายตน นั่นคือ "ความไม่มีโรค" แน่นอน ดั่งคำที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ ว่า "นี่คือเครื่องตอบแทนความดี" สำคัญแต่ว่า อยากได้ แต่ไม่อยากทำ ... แล้วก็โทษโน่นนี่นั่น
จำไว้น่ะ หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติ นิสัยของพระภูมีที่ทำให้ท่านมีสุข เพราะท่าน "ให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย" โดยเฉพาะผู้มีคุณ อยากจะสุขตลอดไป ก็ต้องให้สุขผู้อื่นตลอดเวลา จะทำได้ก็ต้องสร้างนิสัยของพระภูมีให้มีในตนก่อน การมามูลนิธิ ก็คือ การฝึก ให้มีนิสัยในตนนั่นเอง หากเห็นค่า ด้วยผลถูกที่เกิด ทำให้ตนหายได้ ก็ไปฝึกอย่างจริงจังที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา เมื่อทำ แล้วทำได้ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตตนอย่างมหาศาล
อยากได้พรหมลิขิตดี ก็ดูมือตนสิ เสมือนมือของบรมครู หรือ ครูบาอาจารย์หรือไม่ นั่นแลคำตอบ มัวแต่ทำตนเป็น "ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน" คงสมปรารถนายาก