นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า พลังของมวลสารนั้น ถ้าทำถูกต้อง มีค่ามหาศาล แค่มวลเพียงเสี้ยวกรัม ก็สามารถให้พลังออกมาจนคาดไม่ถึง คำนวนจากสูตร E = มวล คูณกับ ความเร็วแสง ยกกำลังสอง
หากแต่พลังธรรมชาติ พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบหนทางแห่งการรีดเค้นพลัง ที่จะมีต่อมนุษย์นั้นออกมาได้โดยวิธีใดเช่นกัน
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า เมื่อครั้งที่หลวงพ่อนิพนธ์ถามแม่ชีเมี้ยนว่า ถ้าคนรู้สูตรแล้วเอาไปทำ จะเป็นอย่างไร แม่ชีเมี้ยนตรัสตอบว่า ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะพระพุทธเจ้าเป็นปราชญ์เหนือโลก รู้สูตรสมุนไพรไปก็เท่านั้น หากไร้เสียซึ่งคุณสมบัติ ก็หาประโยชน์อันใดไม่ แลหากมีคุณสมบัติ ก็สมควรที่จะได้รับผลแห่งสมุนไพรเช่นกัน
เราจึงอยากย้ำเตือน สติที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณา "สุขภาพเป็นเครื่องตอบแทน ของคนดี"
หมายความว่า เมื่อยังไม่รู้ การทานสมุนไพรก็ต้องอาศัย ทานได้ปริมาณ ยืนระยะในการทานได้เป็นสำคัญ เพราะยังไม่มีการกระทำอื่นใด นอกจากที่ท่านอาสิกำหนด เป็นสำคัญ เมื่อเรียนรู้ สติกลับคืนมา พร้อมที่จะปฏิบัติช่วยตน ก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การทำนิสัยของพระภูมี
นิสัยของพระภูมีนี้แหละ คือ ตัวจุดประกาย ของปรมาณู ของสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนสงฆ์ในอดีตเสมอ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นมะเร็งสมอง เป็นเอดส์ เป็นโรคอะไรที่หมอทิ้ง ว่า การทำวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องแปลไข ของการทานสมุนไพร ไม่จำเป็นต้องทานมาก ถ้าทำถูกผลถูกก็เกิดมหาศาล แต่หากทำผิด จะทานสมุนไพรสักฉันใด ก็ไร้ค่า ทานไปก็เสมือนน้ำ ผ่านมาก็ผ่านไป
บทสรุป ทุกวันนี้คนทั้งหลาย ไม่เชื่อในคำสอน ด้วยอาจเห็นว่า ผู้สอนขาดวัยวุฒิ แต่สิ่งที่ท่านอาสิชี้ นั้นเป็นสัจจธรรมความจริง การที่เราท่านจะมาหลอก ทานสมุนไพรเพื่อไปทำในสิ่งที่ตนชอบได้อีก ทั้งๆที่สิ่งที่ชอบนั้นนำมาซึ่งทุกข์ของสังขารในวันนี้ ก็ไม่พิจารณา ความอยากได้สมุนไพรปริมาณมากๆ เพื่อให้ตนหายนั้น ลองพิจารณาดูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ว่า เขาจะเกื้อหนุน เกื้อกูล ให้เราท่านหายไหม หรือถ้าหาย จะไปตลอดรอดฝั่งไหม ในเมื่อ พฤติกรรมที่ทำมาในอดีต มันให้ผลผิดในปัจจุบัน แต่คนที่มาร้องขอ ก็อยากหายแล้วกลับไปทำอีก
ใครเล่าจะมายืนระยะทานสมุนไพรได้ตลอดกาล ไม่มีหรอก แต่นิสัยของพระภูมี ที่ท่านอาสิชี้ให้เริ่มทำ อาทิ "ไม่โกรธวันละ ๑ ชั่วโมง" อยู่ที่ไหนแผ่นดินใดก็ทำได้ ซ้ำยังให้ผลมหาศาล มากค่ากว่าสมุนไพรนัก ... ก็แล้วทำไมไม่ลองทำ
เมื่อทำแล้ว วันหนึ่งเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงแก่ตน ว่า นิสัยพฤติกรรมตนดีขึ้น แลสุขภาพของตนก็ดีขึ้นด้วย จักเห็นว่าคำของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวว่า "หายโรคง่ายนิดเดียว" นั้นเป็นจริงถ้าทำถูกต้องครรลองในร่องธรรมของพระภูมี ต่อให้โรคนั้นหมอบอกว่าตายสถานเดียว ก็ตามที ขอเพียงพรหมลิขิตยังมีเท่านั้นเอง
หลายคนมา อาการก็หนักอยู่ ยังไม่รู้ว่านั่นผลที่ตนเบียดเบียนผู้อื่นเป็นอุปนิสัย มาเจอศาสนาสอนให้สุขแก่ผู้อื่น ก็นิ่งเฉย อ้างเอ่ยสารพัน จะพากายตนไปทำดีเป็นที่พึ่งของตน ก็ยากยิ่ง ได้แต่รอสมุนไพร สวดอ้อนวอน พระพุทธช่วยด้วย ... พระพุทธที่ไหนจะช่วย ก็ถ้าช่วยแล้วจะทรงตรัสว่า หลักของท่าน คือ หลัก "ตนพึ่งตน" ได้ไฉน .... ท่านก็มีแต่ธรรมคำสอน อยากได้ก็เอาไปทำช่วยตนเองเท่านั้นแล
ลองขยับกาย ไปดูแล รดน้ำ พรวนดิน ต้นยาสักต้น แล้วดูผลสิ วันใดที่มีคนมาเก็บต้นยาของเราท่านที่ลงแรงไป วันนั้นก็รอดูผล ว่าคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนได้จริงหรือไม่ อย่ามัวแต่นั่งรอ นอนรอ อ้อนวอนขอให้ช่วย ... ขอให้ตาย รอให้ตาย ไม่มีใครช่วย ไม่มียารักษาโรค อย่างแน่นอน