ยุคนี้ของประเทศไทย จะทำอะไรก็ต้องใหญ่ต้องโชว์พาวเว่อร์ของตน ไปที่ไหนก็เลยมีแต่ ที่สุดในโลก ที่สุดในประเทศ หากแต่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องวัตถุ พิธีกรรม ทั้งหมดทั้งปวง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติสอนเสมอว่า คนทั้งหลายจึงมักเผลอเรอ แล้วนำสิ่งนี้มาใช้ในศาสนา อยากจะได้บุญใหญ่ๆ ทานใหญ่ๆ ก็ต้องทำอะไรที่มันใหญ่ ผลจะได้มหาศาล
พังเพยโบราณ ที่กล่าวไว้ "อย่าหมิ่นเงินน้อย" ก็ถอยลงคลอง ไม่เอาไม่ได้ แม้นการกระทำนั้นจะต้องกลายไปเป็นหนี้ ไปกู้ยืมเขามา ฉกชิง หยิบฉวย ก็ไม่ว่า ขอเพียงได้ชื่อเป็นพอ ว่าตนนั้นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
หากย้อนไปสมัยถ้ำกระบอก พระรูปหนึ่งที่เป็นพระรับใช้แม่ชีเมี้ยน เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเวลาเย็น ก็เก็บรวบรวมขยะ และเศษใบไม้ กิ่งไม้ แล้วก็จุดไฟเผา กองก็เล็กๆ เห็นไฟมอดใกล้หมด แลถึงเวลาทำวัตรเย็น ก็ไปทำวัตร คิดว่าน่อยเดียว เดี๊ยวมันก็ดับไปเอง
ปรากฎว่า คืนนั้นมีลมพัดพอประมาณ กองไฟนั้นไม่ดับ กลับลามขึ้นไปยังป่า เป็นแนว ขึ้นไปตามเขา สามวันสามคืน ถึงดับลงได้ แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้พระรูปนั้นดูว่า น่อยเดียวของท่านสร้างทุกข์ให้แก่สรรพสัตว์มากมายเพียงใด
นั่นเป็นสติที่พระรูปนั้นได้มา และทำให้การกระทำสิ่งใด พึงระมัดระวัง ผลที่ตามมาอันมหาศาล อีกทั้งมาเล่าให้รุ่นหลังได้ฟังเพื่อพิจารณา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากสิ่งเล็กๆ ที่ว่าน่อยเดียวนี้แหละ ศาสนาก็เช่นกัน เกิดจากความสามัคคีของกลุ่มคนที่ได้ฟังพระพุทธเจ้า เชื่อ แล้วทำตาม มะพร้าวลูก มะนาวลูก และทำนิสัยคนละนิดละหน่อย ให้อภัย สร้างสุขให้ผู้อื่น คนละน่อย รวมกันก็กลายมาเป็นสังคมที่สงบสุข เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ทำลายซึ่งกันและกัน
ก็ด้วยผลที่ทำดูเหมือนน่อยเดียว ใครจะรู้ มะพร้าวหนึ่งลูก อาจทำให้คนผู้หนึ่งหายเจ็บ หายป่วย แล้วเห็นสัจจะธรรมความจริง อาสาไปทำตนเป็นสงฆ์ พัฒนาตนจนเป็นอรหันต์ ด้วยผลแห่งมะพร้าวลูกเดียวนี้แหละ แล้วจะว่าน่อยเดียวได้อย่างไร
คนที่มองแต่สิ่งที่เห็น ไม่พิจารณาผลที่ตามมา จึงเป็นธรรมดาที่จะหมิ่นเงินน้อย แลคิดว่า บุญของเขา ได้มาซึ่งการทำมาก บริจาคมาก โดยไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นใด เพื่อทำให้ถึงพร้อม แลไม่ยังผลว่า ผลแห่งการกระทำของตน เกิดประโยชน์แก่ผู้ใด โบสถ์ที่สร้างให้สุขแก่ผู้ใด พระที่ใหญ่ที่สุด ช่วยใครได้ เทียบกับมะกรูดลูกหนึ่ง จึงไม่ได้เลย
แลการกระทำที่ดูน่อยเดียวนี้เอง ที่หลายคนมองข้าม เสมือนพระ มาเข้าสวดมนต์ มามูลนิธิ นั่งนาน อมบ๊วย หรือ ทานสิ่งที่เมล็ด เสร็จแล้วหกหล่น ก็ไม่สนใจ ครั้นพอเลิก มีคนป่วยเบาหวานไปเดินเหยียบ ทำให้เกิดแผล ทำให้เขาล้ม ด้วยคนป่วยเบาหวาน เท้าจะไวต่อความรู้สึก อาจเป็นผลทำให้เกิดอาการบานปลายเสียชีวิตได้ ก็ด้วยน่อยเดียวของคนทานนั่นเอง
บทสรุป ไม่แปลกคนทั้งหลายที่จะหมิ่น วินัยที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ทำ ด้วยว่า ตนทำมาเยอะกว่านี้อีก สวดมนต์มามากกว่านี้อีก ลักขีที เจ็ดวันเจ็ดคืน ฉันก็ทำมาแล้ว ให้ทานมากกว่านี้อีก อย่าว่าแต่มะพร้าวลูก มะกรูดลูก ฉันเลี้ยงพระทั้งวัด บริจาคมากมาย จะพากายไปช่วยผู้อื่นให้เป็นสุข ฉันก็บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก มากว่าหลายเท่านัก จะไปรดน้ำดูแลต้นยาสักต้น ก็เห็นมันกระจอก แต่ผลแห่งวินัยของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้ผลแก่ผู้ทุกข์มหาศาล คนเหล่านั้นไม่พิจารณา จึงไม่อยากทำ แลผลแห่งสิ่งที่ตนทำ ให้สุขกับใคร ไม่อ้างเอ่ย คิดเอาแต่ว่า ทำแล้วต้องได้ ไม่เอาผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงรำเพยว่า แล้วจะช่วยเขาอย่างไร ในเมื่อบอกเขาเอามะนาว มะกรูดมาสิ เขาบอกว่า มันกระจอก เขาบริจาคสร้างธรรมจักร ออกทีวี ดูสิ มันเป็นธรรมจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ราคานับสิบล้านบาท เป็นบุญอันมหาศาล บอกให้เขาไปยืนแจกสมุนไพร เขาก็บอกว่า ปีหนึ่งเขาเอาของไปบริจาคมากมาย ... ก็แล้วทำไมไม่หวนคิดบ้างเล่าว่า แล้วสิ่งที่ทำทำไมไม่ย้อนมาช่วยตน ในขณะที่สิ่งที่วินัยกำหนดให้ทำ ทำแล้วมันช่วยตนได้
นี่แล มนุษย์ทั้งหลาย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร จะพูดจะสอนสักฉันใด ท่านอาสิชี้ให้เห็น ว่าเอกลักษณ์ของศาสนาคือความสงบ สักฉันใด มันก็ไม่เงียบ เพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันดีแล้ว พอแล้ว รู้ตัวอีกที สมุนไพรก็หยุดไม่อยู่ เพราะตัวกระทำมันไม่ตาย ตัวทำลายเอกลักษณ์ มันมีอยู่ จะฝืนมาทำมันก็อาย ทิฐิมันเกิด มันเลยยากที่จะทำ หรือทำไม่ได้
ก็ขนาดแม่ชีเมี้ยน ท่านสูงส่งเพียงใด ท่านยังทำให้ดู มือถือฆ้อนตอกหิน โกยดิน ปลูกต้นไม้ สบงเลอะเปื้อนดิน เปื้อนฝุ่น นั่นแลเอกลักษณ์ของศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำ แล้วมาบอกว่าตนเป็นชาวพุทธ อย่าว่าแต่เปื้อนดินเลย เปื้อนน้ำยังไม่ได้เลย แล้วจะไปกันแบบไหน ไปแบบพระห่มจีวรเนี๊ยบ พูดปาวๆ เนื้อเหลืองอร่าม ... ลองเอามะเร็งไปถวายสิ ช่วยได้ไหม นี่แหละความจริง อยากได้ แต่ไม่ทำ ... เหมือนหิวข้าว แต่ไม่ใช้มือทำ มัวแต่นั่งรอข้าว ไม่มีทางสำเร็จ
บาตรพระภูมี ใส่ข้าวก็คงได้ไม่กี่ทัพพี แต่หากจะใส่นิสัย ใส่สักฉันใด พระภูมีก็รับได้ไม่มีหมด ยิ่งใส่มาก ยิ่งได้มาก แต่คนกลับไปหลงในการใส่ข้าว สิบทัพพีก็ท้องแตกแล้ว ไปหลงลมคนโลพ เอาศาสนาหากิน จึงสอนให้ใส่แต่ข้าว ใส่แต่เงิน หลงทางแล้ว ทำสักฉันใดก็ช่วยตนไม่ได้
พระภูมีให้ใส่ เพื่อเอานิสัย ไม่ได้เอาปริมาณ น่อยเดียวก็เพียงพอ ถ้าทำแล้วถึงพร้อม ด้วยกาย วาจา ใจ และเอานิสัยนี้ไปทำ