ศาสตร์สมุนไพร ย่อมเหมือนเครื่องลาง ที่จุดประสงค์ย่อมคุ้มครองคนดี
การไม่รู้เรื่องศาสนา ย่อมไม่รู้ว่า การทำความเชื่อของตนที่ว่าดี นั้นผิด สิ่งที่ตามมาคือ ผลผิดจึงเกิดแก่ตน กลายเป็นโรคมาให้ทุกข์ในวันนี้
เมื่อได้เรียนรู้เรื่องศาสนา ได้พบศาสตร์สมุนไพร จึงเป็นเครื่องมือที่ให้โอกาส ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน มาให้กลับอยู่ในแนวที่ถูุกต้อง พูดง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า เป็นคนดี นั่นเอง
ปัญหาก็คือ ที่คนดี นั้นดีแบบไหน
สิ่งหนึ่งที่ เราท่านทั้งหลายมี นั่นคือ คู่คล้องกรรม
นั่นก็คือ จุดมุ่งหมายของศาสนา มิใช่เพียงให้ เราท่านเป็นคนดี ที่รู้และมีพฤติกรรมที่ถูก เป็นคนดี รักษาตัวรอด พ้นโรค พ้นกรรม เท่านั้นคงยังไม่พอ
แต่เมื่อรู้หนทางที่ถูก ที่ตนทำแล้วช่วยตนได้ ก็ควรจะนำไปบอกสอน คู่คล้องกรรมของตน ให้เป็นทางเลือก ในการช่วยตนเฉกเช่นกัน
บทสรุป การมาฟื้นฟูตน หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า มิใช่จบที่ตน ไม่ใช่ดีเฉพาะตน หากแต่หนทางที่ถูกนี้ ควรที่เราท่าน เมื่อช่วยตนได้ นำตนจนพ้นทุกข์ได้ ก็ไปนำผู้อื่น ที่อยากพ้นทุกข์ โดยเฉพาะคู่คล้องกรรมเขาเราท่านทั้งหลายด้วยนั่นเอง
คำสอนสุดท้ายที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน จึงชี้ว่า ความรู้ที่ถูกของศาสตร์สมุนไพรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น "ยิ่งให้ ยิ่งเจริญ"
เมื่อคนดีมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ คนที่อยากให้สุขผู้อื่นยิ่งมากเท่าไหร่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สังคมที่มีคนดีนั้น จะน่าอยู่และสงบสุขเพียงใด
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
เพื่อวันหน้า
คำสอนที่ทำให้หลงทาง อันชี้นำว่า ตายแล้วไปสวรรค์ ไปนรก กลายเป็นภูตผี วิญญาณ ไม่ได้ผุดได้เกิดบ้างหล่ะ นั้นน่ากลัวนัก
หากแต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า กรรมนำเกิด เมื่อยังไม่สิ้นอาสวะคือ ยังมีกิเลส ยังไม่หลุดพ้น ตายไปก็ต้องไปเกิด ใช้กรรม ไม่ว่ากรรมดี กรรมชั่ว ตามที่ตนทำมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า การกระทำของเราท่านในวันนี้ ไม่ใช่จบที่หายโรค นั่นมันของแถม แต่จุดใหญ่ใจความ อยู่ที่เราท่านต้องไปเกิดอีกในวันหน้า แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้เราท่านเชื่อได้ว่า ในภายภาคหน้าจะมีสุข
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นชัดว่า ก็นิสัยที่สร้างกรรมนั่นแหละ อดีตเราท่านมีนิสัยสร้างกรรมชั่ว อาจจะทำให้เบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่เจตนา ส่งผลให้เป็นโรคในวันนี้ โชคดีได้สมุนไพร ช่วยให้ฟื้นฟูตนหายโรคได้ แต่นิสัยเล่า หากนิสัยเดิมยังอยู่ มันก็สร้างกรรม สร้างโรคได้อีกในอนาคต
จึงสอนว่า ทำไมเราท่านไม่มาฝึกนิสัยสร้างสุข คือ นิสัยของพระพุทธเจ้าเล่า หากมีนิสัยนี้แล้วไซร้ ย่อมเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ภายภาคหน้าย่อมเป็นสุข ด้วยนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่น เป็นอุปนิสัยนั่นเอง
สัปดาห์ที่แล้ว มีหญิงชราท่านหนึ่ง หลังจากฟื้นฟูตัวด้วยสมุนไพร มา ๔ ปี วันนี้ของเธอ ตัดสินใจว่า อยากไปเรียนอยากไปทำนิสัยของพระพุทธเจ้าบ้าง จึงไปบวชชีที่สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เป็นที่พึ่งแก่ตนบ้าง
เจ้าอาวาสถาม อายุขนาดนี้แล้ว ทานมื้อเดียวไหวหรือ เธอก็ตอบว่ามั่นใจว่าได้ วินัยพื้นฐาน ก็เชื่อว่าตนทำได้ ไม่ว่า ไม่ขึ้นรถ ลงเรือ ไม่โทรศัพท์ เงินทองไม่รับ นอนกับพื้น ... แล้วเจ้าอาวาสก็ถามว่า อะไรทำให้มาลองปฏิบัติวินัยของพระพุทธเจ้าในครั้งนี้
คำตอบของหญิงชราถูกใจเรามาก ก็ปรารถนาว่า จะสำเร็จมรรคผลในภายภาคหน้า นั่นเอง วันนี้ก็มาเรียน แล้วค่อยๆทำ ตามที่ทำได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ชัดว่า ศาสตร์สมุนไพร มิใช่เพื่อให้เราท่านหายโรค แต่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อปรารถนาให้ผู้ที่พลาด คือ ไม่รู้เรื่องศาสนา จนทำให้เกิดทุกข์ เกิดโรคแก่ตน ได้เวียนว่ายเข้ามาหาศาสนา แล้วทำตน ใกล้ศาสนา เพื่อที่จะสำเร็จมรรคผลในภายภาคหน้า แม้นชาตินี้ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อเริ่ม ก็เติบโต ชาติหน้าฉันใด ก็จะได้ทำต่อ จนสำเร็จ
น่าเสียดาย หลายคนมาหวังแต่เพียงหายโรค นั่นมันของแถม ไม่ใช่เนื้อหา
อย่างน้อยเราก็เห็นว่า ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์เอามาส่งให้ ก็ยังมีคนเข้าใจ แล้วทำ ก็เชื่อมั่นว่า วันนี้ของหญิงชรา พ้นโรค หากเรียนรู้ แล้วทำนิสัยของพระพุทธเจ้าได้ วันหน้าหรือชาติหน้า ก็คงสุขห่างไกลจากโรคแน่นอน ที่สำคัญยิ่ง หากได้พานพบพระพุทธเจ้า ย่อมสำเร็จมรรคผลตามปรารถนาได้
แลอย่างน้อย ก็สามารถทำให้ผู้อื่นเห็นว่า การหายโรค ที่ไม่มีใครรักษาให้ตนได้ นั้นเป็นไปได้ ถ้าพานพบ วิธีที่ถูก พิจารณาแล้วทำ ผลถูก คือ หายโรค ย่อมเป็นตามความปรารถนาได้
ทางของแม่ชีเมี้ยน ไม่ใช่หนูทดลอง แลก็ไม่ใช่ว่าได้ทุกคนที่ปรารถนา หากแต่ ใครทำ ใครได้ ... ใครไม่ทำ ปรารถนาย่อมได้แค่ฝัน ไม่มีทางเป็นจริงได้
หากแต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า กรรมนำเกิด เมื่อยังไม่สิ้นอาสวะคือ ยังมีกิเลส ยังไม่หลุดพ้น ตายไปก็ต้องไปเกิด ใช้กรรม ไม่ว่ากรรมดี กรรมชั่ว ตามที่ตนทำมา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นเสมอว่า การกระทำของเราท่านในวันนี้ ไม่ใช่จบที่หายโรค นั่นมันของแถม แต่จุดใหญ่ใจความ อยู่ที่เราท่านต้องไปเกิดอีกในวันหน้า แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้เราท่านเชื่อได้ว่า ในภายภาคหน้าจะมีสุข
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นชัดว่า ก็นิสัยที่สร้างกรรมนั่นแหละ อดีตเราท่านมีนิสัยสร้างกรรมชั่ว อาจจะทำให้เบียดเบียนผู้อื่น โดยไม่เจตนา ส่งผลให้เป็นโรคในวันนี้ โชคดีได้สมุนไพร ช่วยให้ฟื้นฟูตนหายโรคได้ แต่นิสัยเล่า หากนิสัยเดิมยังอยู่ มันก็สร้างกรรม สร้างโรคได้อีกในอนาคต
จึงสอนว่า ทำไมเราท่านไม่มาฝึกนิสัยสร้างสุข คือ นิสัยของพระพุทธเจ้าเล่า หากมีนิสัยนี้แล้วไซร้ ย่อมเป็นเครื่องการันตีได้ว่า ภายภาคหน้าย่อมเป็นสุข ด้วยนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่น เป็นอุปนิสัยนั่นเอง
สัปดาห์ที่แล้ว มีหญิงชราท่านหนึ่ง หลังจากฟื้นฟูตัวด้วยสมุนไพร มา ๔ ปี วันนี้ของเธอ ตัดสินใจว่า อยากไปเรียนอยากไปทำนิสัยของพระพุทธเจ้าบ้าง จึงไปบวชชีที่สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ให้เป็นที่พึ่งแก่ตนบ้าง
เจ้าอาวาสถาม อายุขนาดนี้แล้ว ทานมื้อเดียวไหวหรือ เธอก็ตอบว่ามั่นใจว่าได้ วินัยพื้นฐาน ก็เชื่อว่าตนทำได้ ไม่ว่า ไม่ขึ้นรถ ลงเรือ ไม่โทรศัพท์ เงินทองไม่รับ นอนกับพื้น ... แล้วเจ้าอาวาสก็ถามว่า อะไรทำให้มาลองปฏิบัติวินัยของพระพุทธเจ้าในครั้งนี้
คำตอบของหญิงชราถูกใจเรามาก ก็ปรารถนาว่า จะสำเร็จมรรคผลในภายภาคหน้า นั่นเอง วันนี้ก็มาเรียน แล้วค่อยๆทำ ตามที่ทำได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ชัดว่า ศาสตร์สมุนไพร มิใช่เพื่อให้เราท่านหายโรค แต่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อปรารถนาให้ผู้ที่พลาด คือ ไม่รู้เรื่องศาสนา จนทำให้เกิดทุกข์ เกิดโรคแก่ตน ได้เวียนว่ายเข้ามาหาศาสนา แล้วทำตน ใกล้ศาสนา เพื่อที่จะสำเร็จมรรคผลในภายภาคหน้า แม้นชาตินี้ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อเริ่ม ก็เติบโต ชาติหน้าฉันใด ก็จะได้ทำต่อ จนสำเร็จ
น่าเสียดาย หลายคนมาหวังแต่เพียงหายโรค นั่นมันของแถม ไม่ใช่เนื้อหา
อย่างน้อยเราก็เห็นว่า ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์เอามาส่งให้ ก็ยังมีคนเข้าใจ แล้วทำ ก็เชื่อมั่นว่า วันนี้ของหญิงชรา พ้นโรค หากเรียนรู้ แล้วทำนิสัยของพระพุทธเจ้าได้ วันหน้าหรือชาติหน้า ก็คงสุขห่างไกลจากโรคแน่นอน ที่สำคัญยิ่ง หากได้พานพบพระพุทธเจ้า ย่อมสำเร็จมรรคผลตามปรารถนาได้
แลอย่างน้อย ก็สามารถทำให้ผู้อื่นเห็นว่า การหายโรค ที่ไม่มีใครรักษาให้ตนได้ นั้นเป็นไปได้ ถ้าพานพบ วิธีที่ถูก พิจารณาแล้วทำ ผลถูก คือ หายโรค ย่อมเป็นตามความปรารถนาได้
ทางของแม่ชีเมี้ยน ไม่ใช่หนูทดลอง แลก็ไม่ใช่ว่าได้ทุกคนที่ปรารถนา หากแต่ ใครทำ ใครได้ ... ใครไม่ทำ ปรารถนาย่อมได้แค่ฝัน ไม่มีทางเป็นจริงได้
วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ไม่พอ
คนในโลกทั้งหลาย ย่อมมีสิ่งที่ตนนับถือ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ลัทธิ พิธีกรรม เป็นธรรมดา หรือ แม้นแต่คนจำพวก ที่ไม่ยึดอะไรเป็นสรณะเลยก็ตามที หากแต่สิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่า มีความเห็นสอดคล้องต้องกัน นั่นคือ "ความดี"
แลก็รู้กันดีว่า ผลแห่งการทำความดี ย่อมได้สิ่งดี ตอบแทนกลับมา
หากแต่เมื่อยามชีวิตประสพปัญหา หลายคนก็จะพบว่า ความดี มันไม่พอ
ไม่พออย่างไร ไม่พอที่จะทำให้ปัญหาของตน หมดลง หรือแม้นแต่ลดน้อยถอยลงไปได้เลย แม้นแต่น้อย
นี่แหละ เราท่านจึงต้องมาหาศาสนา แล้วก็ถาม .... ไขข้อข้องใจ หรือ คับข้องใจ ว่าตนเอง ก็ไม่เคยทำบาป ไม่เคยฆ่าสัตว์ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก มาตลอดชีวิต ถือศีล กินเจ แต่ทำไมจึงต้องมาทุกข์ โดยเฉพาะกับโรคภัยไข้เจ็บ
คำตอบ ที่เรียบง่าย ก็คือ ความดี เอาชนะกรรม ไม่ได้นั่นเอง โรคเป็นตัวแทนที่เป็นรูปธรรมของกรรม ฉะนั้น จะทำความดีสักฉันใด ก็หาพ้นไม่
ก็แล้วทำไม ความดี จึงช่วยไม่ได้เล่า ทั้งๆที่ ศาสนา ก็สอนให้ทำความดี ไม่ใช่หรือ
บรมครูแม่ชีเมี้ยน จึงกล่าวว่า นี่แหละทำไมเราท่านต้องมาหาศาสนา ฟัง เรียนรู้ แล้วปฏิบัติตาม หากอยากจะพ้นทุกข์อันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า ก็ความดี ที่สร้างนั้น เป็นด้วยนิสัย นั่นคือ อยากจะทำ ก็ทำ จำได้ ก็ทำ ลืมก็วาง พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร ไม่มีมาตรฐานอะไร ในการปฏิบัติ เพื่อคงสติอันนั้นไว้ ผลที่ได้ เมื่อเหตุคือ การกระทำ มันไม่เที่ยง ผลก็เลยไม่เที่ยง ช่วยตนไม่ได้นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ชัดว่า ศาสนาจึงสอนให้ทำ "สัจจะ" อันเป็นสัญญาใจกับตน ที่มีต่อศาสนา เมื่อพูดแล้วทำได้ เหตุคือ การกระทำเที่ยง ตามที่ตนพูด ผล ก็เกิดผลเที่ยง แลผลอันนี้แหละ ช่วยตนได้ ให้พ้นทุกข์ได้
หนทางนี้ จึงเป็นทางเลือก ให้แก่คน ที่อยากพ้นทุกข์ โดยเฉพาะจากโรคภัย คนดี หาได้เป็นเพียง ด้วยความอยาก หรือ ลำพังแค่พูด มันไม่พอ ที่จะทำให้ตนเป็นคนดี ที่แท้จริงขึ้นมาได้ ต้องอาศัย "สัจจะ" จึงมีกำลัง เป็นสติเตือนตน ให้ทำ แลเมื่อพูดแล้วทำได้ ก็กลายเป็น ธรรม เป็นอำนาจ สามารถใช้ช่วยตนได้
ไม่จำเป็นต้องเชื่อ หากแต่เมื่อหมดหนทาง ก็ลองใช้ทางเลือกของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา .... แล้วจะพบว่า ทำไมสถานที่นี้ คนที่เดินตามรอย ที่แม่ชีเมี้ยนสอน จึงมีคนหาย นั่นย่อมพิสูจน์ว่า "ทำถูก ผลถูกจึงเกิด"
แลก็รู้กันดีว่า ผลแห่งการทำความดี ย่อมได้สิ่งดี ตอบแทนกลับมา
หากแต่เมื่อยามชีวิตประสพปัญหา หลายคนก็จะพบว่า ความดี มันไม่พอ
ไม่พออย่างไร ไม่พอที่จะทำให้ปัญหาของตน หมดลง หรือแม้นแต่ลดน้อยถอยลงไปได้เลย แม้นแต่น้อย
นี่แหละ เราท่านจึงต้องมาหาศาสนา แล้วก็ถาม .... ไขข้อข้องใจ หรือ คับข้องใจ ว่าตนเอง ก็ไม่เคยทำบาป ไม่เคยฆ่าสัตว์ ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก มาตลอดชีวิต ถือศีล กินเจ แต่ทำไมจึงต้องมาทุกข์ โดยเฉพาะกับโรคภัยไข้เจ็บ
คำตอบ ที่เรียบง่าย ก็คือ ความดี เอาชนะกรรม ไม่ได้นั่นเอง โรคเป็นตัวแทนที่เป็นรูปธรรมของกรรม ฉะนั้น จะทำความดีสักฉันใด ก็หาพ้นไม่
ก็แล้วทำไม ความดี จึงช่วยไม่ได้เล่า ทั้งๆที่ ศาสนา ก็สอนให้ทำความดี ไม่ใช่หรือ
บรมครูแม่ชีเมี้ยน จึงกล่าวว่า นี่แหละทำไมเราท่านต้องมาหาศาสนา ฟัง เรียนรู้ แล้วปฏิบัติตาม หากอยากจะพ้นทุกข์อันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า ก็ความดี ที่สร้างนั้น เป็นด้วยนิสัย นั่นคือ อยากจะทำ ก็ทำ จำได้ ก็ทำ ลืมก็วาง พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร ไม่มีมาตรฐานอะไร ในการปฏิบัติ เพื่อคงสติอันนั้นไว้ ผลที่ได้ เมื่อเหตุคือ การกระทำ มันไม่เที่ยง ผลก็เลยไม่เที่ยง ช่วยตนไม่ได้นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ชัดว่า ศาสนาจึงสอนให้ทำ "สัจจะ" อันเป็นสัญญาใจกับตน ที่มีต่อศาสนา เมื่อพูดแล้วทำได้ เหตุคือ การกระทำเที่ยง ตามที่ตนพูด ผล ก็เกิดผลเที่ยง แลผลอันนี้แหละ ช่วยตนได้ ให้พ้นทุกข์ได้
หนทางนี้ จึงเป็นทางเลือก ให้แก่คน ที่อยากพ้นทุกข์ โดยเฉพาะจากโรคภัย คนดี หาได้เป็นเพียง ด้วยความอยาก หรือ ลำพังแค่พูด มันไม่พอ ที่จะทำให้ตนเป็นคนดี ที่แท้จริงขึ้นมาได้ ต้องอาศัย "สัจจะ" จึงมีกำลัง เป็นสติเตือนตน ให้ทำ แลเมื่อพูดแล้วทำได้ ก็กลายเป็น ธรรม เป็นอำนาจ สามารถใช้ช่วยตนได้
ไม่จำเป็นต้องเชื่อ หากแต่เมื่อหมดหนทาง ก็ลองใช้ทางเลือกของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา .... แล้วจะพบว่า ทำไมสถานที่นี้ คนที่เดินตามรอย ที่แม่ชีเมี้ยนสอน จึงมีคนหาย นั่นย่อมพิสูจน์ว่า "ทำถูก ผลถูกจึงเกิด"
วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สัจจะ
หลายคนมักกล่าวว่า มาที่นี่พูดอยู่นั่นแหละ สอนอยู่นั่นแหละ "สัจจะ สัจจะ สัจจะ" อะไรก็วนไป วนมา อยู่แค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย
บางคน ก็ว่า มันก็แค่ข้อปฏิบัติข้อหนึ่ง ในหลายๆข้อ คือ สัจจะบารมี เท่านั้นเอง ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก
แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไปแสวงหา สิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนชอบ ว่าจะทำเพื่อเป็นบุญ เป็นบารมี บางทีก็ทำได้ยากยิ่ง ลำบากยิ่ง ก็แสวงหาไปตามแต่ที่ตนชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ศาสน์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้พิจารณาว่า สิ่งที่ค้นหามาช่วยตน อยู่ใกล้นิดเดียว ไม่ต้องไปค้นหาอื่นไกล แลที่สำคัญ คือ ทำไม่ได้
บ้างก็กว้างใหญ่เกินไป อาทิ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หากทำได้ ก็วิเศษยิ่ง แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สรรพสัตว์ มีเล็กกว่าขนตา จนใหญ่เท่าปลาวาฬ จะมีผู้ใดเล่าที่สามารถระวังระไว ไม่ให้พลาดไปฆ่าชีวิตสัตว์เหล่านั้นได้ ศีลที่รับมา รับเสร็จ เดินออกมา เหยียบใบไม้ สัตว์ที่อยู่ใต้ใบไม้ ตัวเล็กนิดเดียว มองไม่เห็น ตายไป ศีลนั้นก็เสียไปเสียแล้ว
บ้างก็ลำบากจนยากจะทำ อาทิ ให้ทานผลไม้วันละผล นั่งสมาธิทั้งวัน ทั้งคืน ก็คงจะมีใครทำได้บ้าง แต่ก็น้อยนัก
ศาสนาพุทธเป็นสายกลาง ในทางปฏิบัติ จึงกล่าวว่า "เอาเท่าที่ทำได้" แบกได้แค่ไหนทำแค่นั้น จึงบัญญัติสัจจะ เพื่อเป็นสัญญาใจ ให้เรายึดเป็นสติ
ไม่อยากฆ่าสัตว์ ก็ลดลงมาเท่าที่ทำได้ อาทิ ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ไม่ฆ่ามนุษย์ แทนที่จะกินทั้งวัน ลำบากคนทำอาหาร คนเตรียม หรือ กินน้อยไปจนร่างกายไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไร ก็กลายเป็น ทานวันละมื้อ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สัจจะ เป็นสัญญาใจ เพราะลำพังคำพูดมันไม่พอ ต้องใช้สัจจะ จึงจะมีกำลัง เป็นสตินำตน ที่สำคัญคือ "พูดแล้ว ทำได้" เมื่อทำได้ สิ่งที่ทำ ตัวกระทำไม่ตาย มันจะมีผลตอบแทน ย้อนมาหาตน เป็นที่พึ่ง จึงเรียก หลัก "ตนพึ่งตน" คือ พึ่งการกระทำของตน ทีทำได้นั่นเอง
เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่มีสัจจะ จึงเป็นผู้ที่มีวินัย ทำตนเหนือคนทั่วไป ลดนิสัยไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นทำ กินมื้อเดียว ก็เหนือคนทั่วไป ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ไม่ฆ่ามนุษย์ ก็เหนือคนทั่วไป ไม่โกรธ ก็เหนือคนทั่วไป ... สัจจะเพียงข้อเดียว ก็ทำให้ตนเหนือมนุษย์ทั่วไปแล้ว จึงได้สิทธิ์เหนือมนุษย์ เป็นอำนาจ เป็นที่พึ่งแห่งตน ให้สมปรารถนา เมื่อปรารถนาหายโรค จึงได้สิทธิ์นั้นเป็นธรรมดา ด้วยวิบากจากวินัยที่ตนทำส่งผลให้นั่นเอง หากทำได้มาก วิญญาณก็ยิ่งสูง เหนือมนุษย์ทั่วไปมาก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไม ท่านอาสิกล่าวว่า ใจสูงคือ วิญญาณอยู่สูง กายย่อมสูงตาม มันจึงพ้นโรค
คนมีสัจจะ จึงเป็นคนมีที่เว้น ไม่ปล่อยตัวเหมือนคนทั่วไป ย่อมดูได้ ในพิธีกรรมของศาสนา ก็บังคับตนให้สงบ เพราะนั่นคือที่พึ่งของตน ถ้าตนทำได้ ก็มีสติ ทำตนเป็นคนมีที่เว้น โกรธสักฉันใด มีสัจจะไม่ฆ่ามนุษย์ ก็ไม่คว้าปืนมายิงใคร พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์แลท่านอาสิ ก็ม้กใช้คำว่า "ลดกิริยาลง" ทำเหมือนคนอื่นไม่ได้
เมื่อทำตนไม่ธรรมดา เหนือมนุษย์ มีที่เว้น ผลก็คือ "กรรมเขาก็เว้น ให้โอกาส" ทำให้มีวันเวลา ในการฟื้นฟูตน หรือ ฟื้นฟูตนได้ง่าย
นี่จึงเป็นเหตุให้ทำไมต้องทำ "สัจจะ" หรือให้มีที่เว้น มิฉะนั้น ลำพังแรงเราท่าน ไปชนกับกรรมที่ทำมา ก็ไม่ต่างกับคนทั่วไป หงายเก๋ง หามกลับ
พูดง่ายๆ ก็คือ หาพวกมาช่่วยรุม ช่่วยสู้กับกรรม นั่นเอง หนทางชนะมันจึงเป็นไปได้ มิอวดอ้าง ยาดี สมุนไพรดี คาถาดี น้ำมนต์ดี แล้วชนะโรค ... คนช่วยเองยังไม่รอด ดั่งคำ หมองูตายเพราะงู นั่นเอง เพราะคู่ต่อสู้ไม่ใช่โรค ต้นเหตุมันคือ "กรรม"
ถ้าจะตอบ เมื่อใครถาม ว่าทำไมที่นี่มีคนหายโรค ก็เพราะคนเหล่านั้น ฟังคำสอน แล้วพิจารณา แล้วทำ ยิ่งหาพวกมารุมได้มากเท่าไหร่ โอกาสชนะ ยิ่งมากเท่านั้น จึงบอกเสมอว่า เป็นไปได้ ถ้าทำได้ แต่ถ้าไม่ทำ สมุนไพรอย่างดีก็แค่หายโรคนี้ ไปเป็นโรคนั้น หรือ ประทังไปวันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้นเอง
เสมือนคนอยากรวย ก็ต้องเค็ม เก็บทุกเม็ด จะเป็นหนี้สมุนไพรที่คนอื่นเอามา ก็ไม่เป็น ข้าก็เอาของข้ามา จะเป็นหนี้แรงที่ทำสมุนไพรให้ ข้าก็ไม่เป็น ข้าก็เป็นจิตอาสา จะเป็นหนี้กรรม ข้ารู้แล้วข้าก็ไม่ทำเพิ่ม "ใช้สัจจะนำตน" ลดในสิ่งที่ตนพอทำได้ ทำเองออกดอกออกผลไม่พอ ก็เหมือนไปกินดอกแบงค์ ข้าก็ไปใส่บาตร เกาะชายผู้ปฏิบัติ แบ่งบุญมาเลี้ยงตน ปิดบัญชี หนี้กรรมก็มีแต่ลด บุญก็มากมายเพิ่มขึ้นทุกวัน ผลก็ย่อมเสมือนคนรวย ที่พ้นความจน คือ พ้นโรค พ้นกรรม อย่างแน่นอน
ใครจะว่าสิ่งไหนทำแล้วดี ไม่ว่ากัน แต่ยืนยันว่า "พูดแล้ว ทำได้" นั่นและดี สัจจะที่วางไว้ นำสติตน แล้วทำได้ นั่นแหละที่พึ่ง ไม่ต้องไปมองวิธีอื่นไกล ที่ไหนเลย
บางคน ก็ว่า มันก็แค่ข้อปฏิบัติข้อหนึ่ง ในหลายๆข้อ คือ สัจจะบารมี เท่านั้นเอง ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก
แล้วคนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไปแสวงหา สิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนชอบ ว่าจะทำเพื่อเป็นบุญ เป็นบารมี บางทีก็ทำได้ยากยิ่ง ลำบากยิ่ง ก็แสวงหาไปตามแต่ที่ตนชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ศาสน์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้พิจารณาว่า สิ่งที่ค้นหามาช่วยตน อยู่ใกล้นิดเดียว ไม่ต้องไปค้นหาอื่นไกล แลที่สำคัญ คือ ทำไม่ได้
บ้างก็กว้างใหญ่เกินไป อาทิ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หากทำได้ ก็วิเศษยิ่ง แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สรรพสัตว์ มีเล็กกว่าขนตา จนใหญ่เท่าปลาวาฬ จะมีผู้ใดเล่าที่สามารถระวังระไว ไม่ให้พลาดไปฆ่าชีวิตสัตว์เหล่านั้นได้ ศีลที่รับมา รับเสร็จ เดินออกมา เหยียบใบไม้ สัตว์ที่อยู่ใต้ใบไม้ ตัวเล็กนิดเดียว มองไม่เห็น ตายไป ศีลนั้นก็เสียไปเสียแล้ว
บ้างก็ลำบากจนยากจะทำ อาทิ ให้ทานผลไม้วันละผล นั่งสมาธิทั้งวัน ทั้งคืน ก็คงจะมีใครทำได้บ้าง แต่ก็น้อยนัก
ศาสนาพุทธเป็นสายกลาง ในทางปฏิบัติ จึงกล่าวว่า "เอาเท่าที่ทำได้" แบกได้แค่ไหนทำแค่นั้น จึงบัญญัติสัจจะ เพื่อเป็นสัญญาใจ ให้เรายึดเป็นสติ
ไม่อยากฆ่าสัตว์ ก็ลดลงมาเท่าที่ทำได้ อาทิ ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ไม่ฆ่ามนุษย์ แทนที่จะกินทั้งวัน ลำบากคนทำอาหาร คนเตรียม หรือ กินน้อยไปจนร่างกายไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไร ก็กลายเป็น ทานวันละมื้อ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สัจจะ เป็นสัญญาใจ เพราะลำพังคำพูดมันไม่พอ ต้องใช้สัจจะ จึงจะมีกำลัง เป็นสตินำตน ที่สำคัญคือ "พูดแล้ว ทำได้" เมื่อทำได้ สิ่งที่ทำ ตัวกระทำไม่ตาย มันจะมีผลตอบแทน ย้อนมาหาตน เป็นที่พึ่ง จึงเรียก หลัก "ตนพึ่งตน" คือ พึ่งการกระทำของตน ทีทำได้นั่นเอง
เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่มีสัจจะ จึงเป็นผู้ที่มีวินัย ทำตนเหนือคนทั่วไป ลดนิสัยไม่ทำในสิ่งที่คนอื่นทำ กินมื้อเดียว ก็เหนือคนทั่วไป ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ไม่ฆ่ามนุษย์ ก็เหนือคนทั่วไป ไม่โกรธ ก็เหนือคนทั่วไป ... สัจจะเพียงข้อเดียว ก็ทำให้ตนเหนือมนุษย์ทั่วไปแล้ว จึงได้สิทธิ์เหนือมนุษย์ เป็นอำนาจ เป็นที่พึ่งแห่งตน ให้สมปรารถนา เมื่อปรารถนาหายโรค จึงได้สิทธิ์นั้นเป็นธรรมดา ด้วยวิบากจากวินัยที่ตนทำส่งผลให้นั่นเอง หากทำได้มาก วิญญาณก็ยิ่งสูง เหนือมนุษย์ทั่วไปมาก จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไม ท่านอาสิกล่าวว่า ใจสูงคือ วิญญาณอยู่สูง กายย่อมสูงตาม มันจึงพ้นโรค
คนมีสัจจะ จึงเป็นคนมีที่เว้น ไม่ปล่อยตัวเหมือนคนทั่วไป ย่อมดูได้ ในพิธีกรรมของศาสนา ก็บังคับตนให้สงบ เพราะนั่นคือที่พึ่งของตน ถ้าตนทำได้ ก็มีสติ ทำตนเป็นคนมีที่เว้น โกรธสักฉันใด มีสัจจะไม่ฆ่ามนุษย์ ก็ไม่คว้าปืนมายิงใคร พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์แลท่านอาสิ ก็ม้กใช้คำว่า "ลดกิริยาลง" ทำเหมือนคนอื่นไม่ได้
เมื่อทำตนไม่ธรรมดา เหนือมนุษย์ มีที่เว้น ผลก็คือ "กรรมเขาก็เว้น ให้โอกาส" ทำให้มีวันเวลา ในการฟื้นฟูตน หรือ ฟื้นฟูตนได้ง่าย
นี่จึงเป็นเหตุให้ทำไมต้องทำ "สัจจะ" หรือให้มีที่เว้น มิฉะนั้น ลำพังแรงเราท่าน ไปชนกับกรรมที่ทำมา ก็ไม่ต่างกับคนทั่วไป หงายเก๋ง หามกลับ
พูดง่ายๆ ก็คือ หาพวกมาช่่วยรุม ช่่วยสู้กับกรรม นั่นเอง หนทางชนะมันจึงเป็นไปได้ มิอวดอ้าง ยาดี สมุนไพรดี คาถาดี น้ำมนต์ดี แล้วชนะโรค ... คนช่วยเองยังไม่รอด ดั่งคำ หมองูตายเพราะงู นั่นเอง เพราะคู่ต่อสู้ไม่ใช่โรค ต้นเหตุมันคือ "กรรม"
ถ้าจะตอบ เมื่อใครถาม ว่าทำไมที่นี่มีคนหายโรค ก็เพราะคนเหล่านั้น ฟังคำสอน แล้วพิจารณา แล้วทำ ยิ่งหาพวกมารุมได้มากเท่าไหร่ โอกาสชนะ ยิ่งมากเท่านั้น จึงบอกเสมอว่า เป็นไปได้ ถ้าทำได้ แต่ถ้าไม่ทำ สมุนไพรอย่างดีก็แค่หายโรคนี้ ไปเป็นโรคนั้น หรือ ประทังไปวันหนึ่งวันหนึ่งเท่านั้นเอง
เสมือนคนอยากรวย ก็ต้องเค็ม เก็บทุกเม็ด จะเป็นหนี้สมุนไพรที่คนอื่นเอามา ก็ไม่เป็น ข้าก็เอาของข้ามา จะเป็นหนี้แรงที่ทำสมุนไพรให้ ข้าก็ไม่เป็น ข้าก็เป็นจิตอาสา จะเป็นหนี้กรรม ข้ารู้แล้วข้าก็ไม่ทำเพิ่ม "ใช้สัจจะนำตน" ลดในสิ่งที่ตนพอทำได้ ทำเองออกดอกออกผลไม่พอ ก็เหมือนไปกินดอกแบงค์ ข้าก็ไปใส่บาตร เกาะชายผู้ปฏิบัติ แบ่งบุญมาเลี้ยงตน ปิดบัญชี หนี้กรรมก็มีแต่ลด บุญก็มากมายเพิ่มขึ้นทุกวัน ผลก็ย่อมเสมือนคนรวย ที่พ้นความจน คือ พ้นโรค พ้นกรรม อย่างแน่นอน
ใครจะว่าสิ่งไหนทำแล้วดี ไม่ว่ากัน แต่ยืนยันว่า "พูดแล้ว ทำได้" นั่นและดี สัจจะที่วางไว้ นำสติตน แล้วทำได้ นั่นแหละที่พึ่ง ไม่ต้องไปมองวิธีอื่นไกล ที่ไหนเลย
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560
แค่ฝัน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า การที่เราท่านมาพบพานศาสนา แลได้รับการแก้ไข ฟื้นฟูตนนั้น ในเมื่อศาสน์อันนี้แม่ชีเมี้ยนตรัสว่าเป็นของพระพุทธเจ้า มีอำนาจ ก็แล้วทำไมจึงไม่ประสพผลทุกตัวคน
ก็ในเมื่อเป็นของวิเศษ แลกล่าวอ้างว่า ทรงมีเมตตาธรรม เหนือล้ำ ยิ่งต้องช่วยมนุษย์ทุกตัวคนมิใช่หรือ
ดูสิ ก็สมุนไพรสูตรเดียวกัน ตำราก็ตำราเดียวกัน ทำไมที่โน่นทำ จึงได้ผล ที่นี่ทำจึงไม่ได้ผลบ้างหล่ะ หมายความว่าอย่างไร
หนักไปกว่านั้นอีก ที่เดียวกันแท้ๆ หม้อเดียวกันแท้ๆ คนหนึ่งกิน ดีวันดีคืน อีกคนหนึ่งกิน กลับเสมือนน้ำเปล่า หาคุณค่าแทบไม่ได้เลยกับตน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
เพราะเหตุใด จึงเป็นเช่นนั้นเล่า ก็เมตตาคนทุกข์ คนที่มาก็ทุกข์ทั้งนั้น ทำไมไม่ช่วยให้หายทุกข์ทุกตัวคนเล่า
นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ตบมือข้างเดียว มันไม่ดัง
คนทุกข์ที่มา มีความฝัน ศาสนาก็มีความฝันเหมือนกัน ต่างคนต่างยื่นมือมา ยังไม่พอ ต้องถูกที่ ถูกตำแหน่งแห่งหน ให้มือทั้งสองประสานกัน ผลจึงเกิด เสียงจึงดัง ไม่ใช่ ศาสนาไปทาง คนยื่นไปอีกทาง
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่าให้เห็นชัดว่า นี่แหละข้อจำกัดของศาสนา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ยื่นมือสะเปะสะปะ ไปช่วยคนนั้นที คนนี้ที หาได้ไม่ ด้วยโลกนี้เป็นโลกของโลกียะเขา กรรมเขาเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องดลบันดาลทุกข์สุขให้แก่ทุกคน จะไปก้าวก่ายคนของเขาได้อย่างไร ทำไม่ได้
เสมือนภาษิต "หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด"
แต่กรรมเขาก็มีข้อยกเว้นไว้ให้ แก่คนที่ทำถูกที่ ถูกตำแหน่ง คือ เมื่อได้ฟังเสียงของศาสนา เชื่อ แล้วทำตาม ต้องการเปลี่ยนตน ไปอยู่ในร่องของศาสนา คือ เป็นคนดี มีธรรมของพระพุทธเจ้านำตน
เส้นทางนี้แม่ชีเมี้ยนอุปมาเสมือน "ไม้ไผ่ลำเดียว" ที่ทอดสะพานให้แก่คน ที่อยากพ้นทุกข์ โดยเปลี่ยนจากทุกข์กับกรรม มาทุกข์กับธรรม หรือวินัยธรรมแทน
ความแตกต่างก็คือ ทุกข์กับกรรม นิสัยกรรมยังอยู่ ทุกข์แล้วก็ยังต้องทุกข์อีก เพราะนิสัยสร้างกรรม ก่อให้เกิดกรรมใหม่รอให้ทุกข์อีกในวันข้างหน้า แต่ทุกข์กับธรรม เมื่อพ้นทุกข์อันนั้นแล้ว ย่อมเกิดสุข ด้วยมีแต่นิสัยธรรม สร้างสุขรอในวันข้างหน้า
ไม้ไผ่ลำนี้ ก็คือ การให้โอกาส คนที่หลงผิด เชื่อในสิ่งผิด แล้วทำในสิ่งผิด ผลผิดจึงเกิดกับตน มาเชื่อในสิ่งที่ถูก เมื่อสร้างผลถูกเกิดแก่ตน เฉกเช่น องคุลีมาร ที่เชื่อในครูบาอาจารย์ตน หลงเดินทางผิด ก็กลับมาทำตนตามพระภูมี ช่วยตนจนสำเร็จมรรคผล นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ กรรม เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียว ที่ดลบันดาลทุกข์สุข ตามตัวกระทำที่ทำ จะมีสิ่งใดไปลบล้างไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปัญญามนุษย์ ที่กรรมสร้างขึ้น จะสามารถแก้ไข อำนาจกรรม ไม่มีทาง
การอุบัติของข่าว ในการค้นพบยารักษาโรค หมอผี นักบุญ มีฤทธิ์วิเศษ ช่่วยให้หายโรค โดยเฉพาะโรคตาย มีแต่หลอกขายฝันให้คนโง่เท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้ วันเวลาก็จะพิสูจน์ให้เห็น เด่นชัด มีสภาพเสมือนพลุ ที่ลุกโพลงอยู่บนฟ้า ชั่วครู่แล้วก็ดับไป ให้คนซีดซาด อยู่ในความฝัน ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็พบความจริง ทุกข์ของตนก็ยังอยู่
การโกหกเรื่องยารักษาโรคร้ายแรง ก็คงไม่ต่างกับหนังที่อเมริกาสร้างหลอกชาวโลก คือ การไปเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์ ที่ไม่มีทางเป็นจริง ฉันใดก็ฉันนั้น ทำให้ฮือฮา แล้ววันหนึ่ง ความจริงก็จะปรากฎ ... ว่าเป็นแค่ฝัน เท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้
ก็ในเมื่อเป็นของวิเศษ แลกล่าวอ้างว่า ทรงมีเมตตาธรรม เหนือล้ำ ยิ่งต้องช่วยมนุษย์ทุกตัวคนมิใช่หรือ
ดูสิ ก็สมุนไพรสูตรเดียวกัน ตำราก็ตำราเดียวกัน ทำไมที่โน่นทำ จึงได้ผล ที่นี่ทำจึงไม่ได้ผลบ้างหล่ะ หมายความว่าอย่างไร
หนักไปกว่านั้นอีก ที่เดียวกันแท้ๆ หม้อเดียวกันแท้ๆ คนหนึ่งกิน ดีวันดีคืน อีกคนหนึ่งกิน กลับเสมือนน้ำเปล่า หาคุณค่าแทบไม่ได้เลยกับตน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
เพราะเหตุใด จึงเป็นเช่นนั้นเล่า ก็เมตตาคนทุกข์ คนที่มาก็ทุกข์ทั้งนั้น ทำไมไม่ช่วยให้หายทุกข์ทุกตัวคนเล่า
นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ตบมือข้างเดียว มันไม่ดัง
คนทุกข์ที่มา มีความฝัน ศาสนาก็มีความฝันเหมือนกัน ต่างคนต่างยื่นมือมา ยังไม่พอ ต้องถูกที่ ถูกตำแหน่งแห่งหน ให้มือทั้งสองประสานกัน ผลจึงเกิด เสียงจึงดัง ไม่ใช่ ศาสนาไปทาง คนยื่นไปอีกทาง
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่าให้เห็นชัดว่า นี่แหละข้อจำกัดของศาสนา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่ใช่ยื่นมือสะเปะสะปะ ไปช่วยคนนั้นที คนนี้ที หาได้ไม่ ด้วยโลกนี้เป็นโลกของโลกียะเขา กรรมเขาเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องดลบันดาลทุกข์สุขให้แก่ทุกคน จะไปก้าวก่ายคนของเขาได้อย่างไร ทำไม่ได้
เสมือนภาษิต "หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด"
แต่กรรมเขาก็มีข้อยกเว้นไว้ให้ แก่คนที่ทำถูกที่ ถูกตำแหน่ง คือ เมื่อได้ฟังเสียงของศาสนา เชื่อ แล้วทำตาม ต้องการเปลี่ยนตน ไปอยู่ในร่องของศาสนา คือ เป็นคนดี มีธรรมของพระพุทธเจ้านำตน
เส้นทางนี้แม่ชีเมี้ยนอุปมาเสมือน "ไม้ไผ่ลำเดียว" ที่ทอดสะพานให้แก่คน ที่อยากพ้นทุกข์ โดยเปลี่ยนจากทุกข์กับกรรม มาทุกข์กับธรรม หรือวินัยธรรมแทน
ความแตกต่างก็คือ ทุกข์กับกรรม นิสัยกรรมยังอยู่ ทุกข์แล้วก็ยังต้องทุกข์อีก เพราะนิสัยสร้างกรรม ก่อให้เกิดกรรมใหม่รอให้ทุกข์อีกในวันข้างหน้า แต่ทุกข์กับธรรม เมื่อพ้นทุกข์อันนั้นแล้ว ย่อมเกิดสุข ด้วยมีแต่นิสัยธรรม สร้างสุขรอในวันข้างหน้า
ไม้ไผ่ลำนี้ ก็คือ การให้โอกาส คนที่หลงผิด เชื่อในสิ่งผิด แล้วทำในสิ่งผิด ผลผิดจึงเกิดกับตน มาเชื่อในสิ่งที่ถูก เมื่อสร้างผลถูกเกิดแก่ตน เฉกเช่น องคุลีมาร ที่เชื่อในครูบาอาจารย์ตน หลงเดินทางผิด ก็กลับมาทำตนตามพระภูมี ช่วยตนจนสำเร็จมรรคผล นั่นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า โลกนี้เป็นโลกของโลกียะ กรรม เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียว ที่ดลบันดาลทุกข์สุข ตามตัวกระทำที่ทำ จะมีสิ่งใดไปลบล้างไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปัญญามนุษย์ ที่กรรมสร้างขึ้น จะสามารถแก้ไข อำนาจกรรม ไม่มีทาง
การอุบัติของข่าว ในการค้นพบยารักษาโรค หมอผี นักบุญ มีฤทธิ์วิเศษ ช่่วยให้หายโรค โดยเฉพาะโรคตาย มีแต่หลอกขายฝันให้คนโง่เท่านั้นเอง สิ่งเหล่านี้ วันเวลาก็จะพิสูจน์ให้เห็น เด่นชัด มีสภาพเสมือนพลุ ที่ลุกโพลงอยู่บนฟ้า ชั่วครู่แล้วก็ดับไป ให้คนซีดซาด อยู่ในความฝัน ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็พบความจริง ทุกข์ของตนก็ยังอยู่
การโกหกเรื่องยารักษาโรคร้ายแรง ก็คงไม่ต่างกับหนังที่อเมริกาสร้างหลอกชาวโลก คือ การไปเหยียบดวงจันทร์ของมนุษย์ ที่ไม่มีทางเป็นจริง ฉันใดก็ฉันนั้น ทำให้ฮือฮา แล้ววันหนึ่ง ความจริงก็จะปรากฎ ... ว่าเป็นแค่ฝัน เท่านั้นเอง ไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้
วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2560
สุข
ผู้สอนจะหว่านล้อมสักฉันใด ไม่ว่ายุคใดสมัยใดของพระพุทธเจ้าองค์ใด มนุษย์ที่ฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำ เรียกได้ว่ามีน้อยกว่าน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้่ว่า นี่แหละทำไมคนที่ทำ จึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน เหนือมนุษย์ทั่วไป คือได้สิทธิ์ที่จะไม่เป็นไปตามพรหมลิขิตกรรมแห่งตนที่ทำมา เห็นได้ชัด จากคนที่เป็นโรคตาย ไม่ว่าเศรษฐี ผู้ดี ยาจก เป็นเข้าแล้วล้วนต้องตาย ขนาดหมอกำหนดวันได้ แต่เมื่อเจอศาสนา ไม่เพียงไม่ตาย แถมยังหายโรค อีกต่างหาก
มันจึงน่าแปลกในเมื่อ สิ่งที่ศาสนาสอน เป็นการให้สุข แต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายไม่อยากทำ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัด คือ ไม่เชื่อกรรม แลอีกสิ่งหนึ่งที่ถ่วงรั้งไว้คือ เอาสุขเฉพาะหน้า นั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจที่ท่านอาสิมักจะกล่าว คนทั้งหลายมักอุธรณ์ว่า เบื่อหน่ายต่อกิจกรรมของมูลนิธิ ด้วยอ้างว่า เขาเหล่านั้นมาเพื่อสมุนไพร หายแล้วก็ไป ไม่สนหรอกว่าที่นี่ จะอะไรอย่างไร ขอเพียงหายก็จบกัน ...
นี่มันนิสัยชูชก ชัดๆ คือเอาสุขเฉพาะหน้า นั่นเอง หายแล้วก็จะไปทำตามนิสัยตน ตามอยากของตน อ้างเพียงอย่างเดียว ก็ไหนบอกสมุนไพรของคุณแน่ ก็ต้องทำให้หายได้สิ แลฉันจะได้ไปทำตามที่ฉันต้องการ รีบมา รีบไป สถานที่แบบนี้ ฉันไม่ต้องการอยู่นาน หรือมาบ่อย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ศาสนาไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ทำตามความอยากของใคร สิ่งที่ให้ ด้วยความเมตตา และส่งผลเฉพาะคนที่ ทำได้
สุขจากการหายโรค มันไม่จีรังหรอก หายโรคนี้เป็นโรคใหม่ ก็มากมี หายจากโรค เจออุบัติภัย ก็พบมาเยอะ ศาสนาจึงชี้ว่า ทำไมไม่หาสุขนิสัย คือทำนิสัยของพระพุทธเจ้า นั่นแหละสุขที่แท้จริง ให้ทั้งสุขสังขาร สุขวิญญาณ ที่สำคัญคือ ตามติดเราท่านไปภายภาคหน้าได้อีกต่างหาก
ก็เลือกเอา จะเอาแบบไหน อย่างไร ทำกันเอง ขอแค่สุขวันนี้ คือหายโรค หรือขอสุขไปยันอนาคต ก็ทำเอา นี่แหละ ใครบอก ว่าทุกคนเกิดมา เลือกไม่ได้ .... ก็อยากได้แบบไหน ก็เลือก เอา ทำเอา สิ่งที่ทำแล้ว คือ ตัวกระทำ คือ พรหมลิขิต รอเราท่านอยู่วันข้างหน้าแน่
ฤาจะเอาสุขแบบชูชก ระวังน่ะ ต้นแบบเขาสำลักสุขจนท้องแตกตายเน้อ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้่ว่า นี่แหละทำไมคนที่ทำ จึงกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน เหนือมนุษย์ทั่วไป คือได้สิทธิ์ที่จะไม่เป็นไปตามพรหมลิขิตกรรมแห่งตนที่ทำมา เห็นได้ชัด จากคนที่เป็นโรคตาย ไม่ว่าเศรษฐี ผู้ดี ยาจก เป็นเข้าแล้วล้วนต้องตาย ขนาดหมอกำหนดวันได้ แต่เมื่อเจอศาสนา ไม่เพียงไม่ตาย แถมยังหายโรค อีกต่างหาก
มันจึงน่าแปลกในเมื่อ สิ่งที่ศาสนาสอน เป็นการให้สุข แต่ทำไมมนุษย์ทั้งหลายไม่อยากทำ สิ่งหนึ่งที่เห็นชัด คือ ไม่เชื่อกรรม แลอีกสิ่งหนึ่งที่ถ่วงรั้งไว้คือ เอาสุขเฉพาะหน้า นั่นเอง
เราจึงไม่แปลกใจที่ท่านอาสิมักจะกล่าว คนทั้งหลายมักอุธรณ์ว่า เบื่อหน่ายต่อกิจกรรมของมูลนิธิ ด้วยอ้างว่า เขาเหล่านั้นมาเพื่อสมุนไพร หายแล้วก็ไป ไม่สนหรอกว่าที่นี่ จะอะไรอย่างไร ขอเพียงหายก็จบกัน ...
นี่มันนิสัยชูชก ชัดๆ คือเอาสุขเฉพาะหน้า นั่นเอง หายแล้วก็จะไปทำตามนิสัยตน ตามอยากของตน อ้างเพียงอย่างเดียว ก็ไหนบอกสมุนไพรของคุณแน่ ก็ต้องทำให้หายได้สิ แลฉันจะได้ไปทำตามที่ฉันต้องการ รีบมา รีบไป สถานที่แบบนี้ ฉันไม่ต้องการอยู่นาน หรือมาบ่อย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ศาสนาไม่ใช่ขี้ข้าใคร ไม่ทำตามความอยากของใคร สิ่งที่ให้ ด้วยความเมตตา และส่งผลเฉพาะคนที่ ทำได้
สุขจากการหายโรค มันไม่จีรังหรอก หายโรคนี้เป็นโรคใหม่ ก็มากมี หายจากโรค เจออุบัติภัย ก็พบมาเยอะ ศาสนาจึงชี้ว่า ทำไมไม่หาสุขนิสัย คือทำนิสัยของพระพุทธเจ้า นั่นแหละสุขที่แท้จริง ให้ทั้งสุขสังขาร สุขวิญญาณ ที่สำคัญคือ ตามติดเราท่านไปภายภาคหน้าได้อีกต่างหาก
ก็เลือกเอา จะเอาแบบไหน อย่างไร ทำกันเอง ขอแค่สุขวันนี้ คือหายโรค หรือขอสุขไปยันอนาคต ก็ทำเอา นี่แหละ ใครบอก ว่าทุกคนเกิดมา เลือกไม่ได้ .... ก็อยากได้แบบไหน ก็เลือก เอา ทำเอา สิ่งที่ทำแล้ว คือ ตัวกระทำ คือ พรหมลิขิต รอเราท่านอยู่วันข้างหน้าแน่
ฤาจะเอาสุขแบบชูชก ระวังน่ะ ต้นแบบเขาสำลักสุขจนท้องแตกตายเน้อ
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ไม่เชื่อก็ไม่ทำ
สิ่งที่รู้ ไม่ได้เป็นเครื่องบอกว่า ต้องทำ
แต่สิ่งที่ทำ บ่งบอกถึงสิ่งที่คิด ได้เป็นอย่างดี
ประเทศไทยมักมีผู้กล่าวว่า มีคนที่นับถือศาสนาพุทธมากมาย เรียกว่าส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นย่อมบ่งบอกว่า คนส่วนใหญ่ของประเทสนี้ ล้วนแล้วแต่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้เรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมดา โดยเฉพาะ คำว่า "ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม"
แต่นั่นเป็นเพียงลมที่ได้ยิน คนที่ฟังแล้วเชื่อมีกี่คน นั่นว่าน้อยแล้ว แต่คนที่เชื่อแล้วกลัวกรรม มีน้อยกว่าน้อยอีก ... ผลก็คือ จากบ้านเมืองที่ได้ชื่อว่า สงบสุข ร่มเย็น จิตใจดี กลายมาเป็นสภาพทุกวันนี้
นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ ที่แม่ชีเมี้ยนและหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ด้วยความที่ห่างศาสนาที่แท้จริงนานเกินไปนั่นเอง
ปัญหาก็คือ เมื่อไม่เชื่อ "กรรม" แล้วจะเลยไปเชื่อ "ธรรม" หรือ ก็การกระทำของตน ทำไปโดยไม่กลัวกรรม ก็แล้วไยต้องเอาธรรมมานำตน เพื่อลดการกระทำแห่งตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เรื่องของศาสนา จึงไม่ใช่เรื่องของคนทั่วไป หรือใช้ได้กับคนทุกคน จะส่งผลหรือมีประโยชน์ ก็เฉพาะคนอยากได้ อยากลดนิสัยแห่งตน ด้วยเห็นกรรม เห็นการกระทำแห่งตน ว่าส่งผลให้เกิดทุกข์ เท่านั้นเอง
บทสรุป ศาสตร์สมุนไพร แม้นจะเลอเลิศ เป็นของพระพุทธเจ้า มีอำนาจสักฉันใด ก็เฉกเช่นเดียวกัน ใช้ไม่ได้กับทุกคน จะส่งผลเลิศ ก็แต่คนที่อยากได้ อยากทำตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ลดกิริยา นิสัยแห่งตน เพื่อช่วยตน หากคนผู้นั้น ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม สมุนไพรก็คงได้แค่ประทัง หรือยืด เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์แลท่านอาสิ จึงพยายามพูด เพื่อให้เหตุและผล เพื่อพิจารณา แต่ก็บังคับใครไม่ได้ จนต้องยืนยันทุกครั้งว่า "โรคไม่น่ากลัว ชนะได้ไม่ยาก แต่นิสัยนี่สิน่ากลัวกว่า"
คนที่จะประสพความสำเร็จในการช่วยตน ช่วยตนพ้นโรค พ้นทุกข์ จึงต้องเห็นกรรม เชื่อในเรื่องกรรม ... ธรรมจึงมีค่า มีความอยากรู้ อยากฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วจึงทำตาม แม้นธรรมมีอำนาจสักฉันใด หากคนผู้นั้นไม่ยื่นมือมา ก็ใบ้กิน ได้แต่อยากช่วย แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย เฉกเช่นกัน คนที่มา ก็ได้แต่อยากหาย แต่ความอยากนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ดังนั้น หากไม่เชื่อกรรม ก็ไม่เชื่อธรรม หนทางนี้ก็ไม่เหมาะ อย่ามาเดินให้เสียเวลาเลย ไปในแนวทางที่ชอบดีกว่า หากเชื่อ แต่ไม่ทำ ก็เฉกเช่นกัน จะมาเสียเวลา ทานแต่สมุนไพรทำไมเล่า หลอกตนเองไปวันๆ ... แลเมื่อทำแล้ว เสียเวลาแล้ว เสียเงินเสียทองค่าใช้จ่ายมาแล้ว ทำไมจึงไม่กอบโกยสิ่งดีๆให้แก่ตัวเองมากที่สุดเล่า เสมือนหนึ่งอยากรวย ก็ขยันทำงาน ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่พัก .... เอานิสัยแบบนั้นมาใช้กับการหาบุญสักนิด แล้วจะรู้ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า "โรคนั้นมันกระจอก"
อินเดียก็ทำให้เห็นแล้ว แม้นจะมีพระพุทธเจ้าที่ดูดีที่สุด ทั้งวรรณะ ก็เป็นกษัตริย์ พูดจาก็ดี ยังมีคนเดินตามไม่ถึงแสนเลย ... ใครบอกว่าอยากเผยแผ่ธรรมไปทั่วโลก นั่นฝันแล้ว ทุกยุคทุกสมัยมีแต่พูดเหมือนคนอินเดีย แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า มีแต่บอก "ศาสน์ของพระโคดม ดี แต่ทำยาก ไม่เอาหรอก ไปขอพรดีกว่า"
แต่สิ่งที่ทำ บ่งบอกถึงสิ่งที่คิด ได้เป็นอย่างดี
ประเทศไทยมักมีผู้กล่าวว่า มีคนที่นับถือศาสนาพุทธมากมาย เรียกว่าส่วนใหญ่ของประเทศ นั่นย่อมบ่งบอกว่า คนส่วนใหญ่ของประเทสนี้ ล้วนแล้วแต่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้เรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมดา โดยเฉพาะ คำว่า "ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม"
แต่นั่นเป็นเพียงลมที่ได้ยิน คนที่ฟังแล้วเชื่อมีกี่คน นั่นว่าน้อยแล้ว แต่คนที่เชื่อแล้วกลัวกรรม มีน้อยกว่าน้อยอีก ... ผลก็คือ จากบ้านเมืองที่ได้ชื่อว่า สงบสุข ร่มเย็น จิตใจดี กลายมาเป็นสภาพทุกวันนี้
นั่นเป็นสัญญาณบ่งชี้ ที่แม่ชีเมี้ยนและหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ด้วยความที่ห่างศาสนาที่แท้จริงนานเกินไปนั่นเอง
ปัญหาก็คือ เมื่อไม่เชื่อ "กรรม" แล้วจะเลยไปเชื่อ "ธรรม" หรือ ก็การกระทำของตน ทำไปโดยไม่กลัวกรรม ก็แล้วไยต้องเอาธรรมมานำตน เพื่อลดการกระทำแห่งตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เรื่องของศาสนา จึงไม่ใช่เรื่องของคนทั่วไป หรือใช้ได้กับคนทุกคน จะส่งผลหรือมีประโยชน์ ก็เฉพาะคนอยากได้ อยากลดนิสัยแห่งตน ด้วยเห็นกรรม เห็นการกระทำแห่งตน ว่าส่งผลให้เกิดทุกข์ เท่านั้นเอง
บทสรุป ศาสตร์สมุนไพร แม้นจะเลอเลิศ เป็นของพระพุทธเจ้า มีอำนาจสักฉันใด ก็เฉกเช่นเดียวกัน ใช้ไม่ได้กับทุกคน จะส่งผลเลิศ ก็แต่คนที่อยากได้ อยากทำตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ลดกิริยา นิสัยแห่งตน เพื่อช่วยตน หากคนผู้นั้น ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม สมุนไพรก็คงได้แค่ประทัง หรือยืด เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์แลท่านอาสิ จึงพยายามพูด เพื่อให้เหตุและผล เพื่อพิจารณา แต่ก็บังคับใครไม่ได้ จนต้องยืนยันทุกครั้งว่า "โรคไม่น่ากลัว ชนะได้ไม่ยาก แต่นิสัยนี่สิน่ากลัวกว่า"
คนที่จะประสพความสำเร็จในการช่วยตน ช่วยตนพ้นโรค พ้นทุกข์ จึงต้องเห็นกรรม เชื่อในเรื่องกรรม ... ธรรมจึงมีค่า มีความอยากรู้ อยากฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วจึงทำตาม แม้นธรรมมีอำนาจสักฉันใด หากคนผู้นั้นไม่ยื่นมือมา ก็ใบ้กิน ได้แต่อยากช่วย แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย เฉกเช่นกัน คนที่มา ก็ได้แต่อยากหาย แต่ความอยากนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ดังนั้น หากไม่เชื่อกรรม ก็ไม่เชื่อธรรม หนทางนี้ก็ไม่เหมาะ อย่ามาเดินให้เสียเวลาเลย ไปในแนวทางที่ชอบดีกว่า หากเชื่อ แต่ไม่ทำ ก็เฉกเช่นกัน จะมาเสียเวลา ทานแต่สมุนไพรทำไมเล่า หลอกตนเองไปวันๆ ... แลเมื่อทำแล้ว เสียเวลาแล้ว เสียเงินเสียทองค่าใช้จ่ายมาแล้ว ทำไมจึงไม่กอบโกยสิ่งดีๆให้แก่ตัวเองมากที่สุดเล่า เสมือนหนึ่งอยากรวย ก็ขยันทำงาน ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่พัก .... เอานิสัยแบบนั้นมาใช้กับการหาบุญสักนิด แล้วจะรู้ว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า "โรคนั้นมันกระจอก"
อินเดียก็ทำให้เห็นแล้ว แม้นจะมีพระพุทธเจ้าที่ดูดีที่สุด ทั้งวรรณะ ก็เป็นกษัตริย์ พูดจาก็ดี ยังมีคนเดินตามไม่ถึงแสนเลย ... ใครบอกว่าอยากเผยแผ่ธรรมไปทั่วโลก นั่นฝันแล้ว ทุกยุคทุกสมัยมีแต่พูดเหมือนคนอินเดีย แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า มีแต่บอก "ศาสน์ของพระโคดม ดี แต่ทำยาก ไม่เอาหรอก ไปขอพรดีกว่า"
วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ชะล่าใจ
ความสมบูรณ์พูนสุขในทุกวันนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับ วังสี่ฤดูของเจ้าชายในยุคพระโคดม
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งหล่อหลอม และหลอกผู้คน ให้มองดูเห็นแต่ความเจริญในภายภาคหน้า ว่ากันว่าฝันไกลไปถึง การทองอวกาศ หรือแม้นกระทั่ง ไปอยู่ในดาวดวงอื่น
นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า คนทั้งหลายทั้งปวง ห่างไกลจากศาสนา และที่สำคัญ ไม่เชื่อเรื่องเวร เรื่องกรรม เสียแล้ว เชื่อในความสามารถของภูมิปัญญามนุษย์ ที่จะเสกสรรปั้นแต่งสิ่งใดก็ได้ แม้นแต่ในทางการแพทย์ ก็ฝันถึงความเป็นอมตะ ความไม่มีโรค ด้วยความก้าวหน้าด้านยีน หรือ พันธุกรรม
จึงไม่แปลกที่คนทั้งหลายจะชะล่าใจ และมองหวังไปในสิ่งที่ไกลตัวตน นั่นคือ สวนทางคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้ยึดหลัก "ตนพึ่งตน"
และด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่น่าหวั่น เมื่อกรรมของหมู่มนุษย์มาถึง ที่ศาสนาชี้ให้เห็นว่า จะเกิดทุกรอบ ก่อนที่จะมีการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ย่อมยากจะหลีกหนี
ประเทศไทยโชคดี ที่แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์สิ่งนี้ เตือนให้ระวังระไว จะได้ทำตน หันกลับมาใช้หลักของพระภูมี พัฒนาวิญญาณ จิตใจตน อันเป็นทางรอด
แต่ก็นั่นแหละ จะมีสักกี่คนที่ทวนกระแสกรรม เชื่อ พิจารณา แล้วทำตนตาม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เมื่อถึงวันนั้น ความรู้ที่มีของมนุษย์ จะผิดพลาดไปหมด นำมาใช้แก้ไขความเลวร้ายไม่ได้เลย แม้นแต่สักน้อย ย่อมส่งผลให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่อุบัติในประเทสพม่า มาชี้ช่อง แล้วผู้ทำตามจึงรอด อันเป็นการแสดงบุญญาธิการของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ศาสตร์สมุนไพร จึงไม่ใช่จุดประสงค์หลักของศาสนา เพราะหนทางรอดที่แท้จริง ไม่ใช่รอดจากโรค แต่เป็นรอดจากกรรม ด้วยการเดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่างหาก
ความโชคดี ที่ได้รู้พยากรณ์ แต่จะมีสักกี่คน ที่เชื่อ แล้วทำตาม เพื่อช่วยตน
วันเวลาจะพิสูจน์ พยากรณ์นี้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อวันนั้นมาถึง จึงคิดจะมาทำตน ก็คงยากที่จะทันแล้ว ก็ต้องทำใจเพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ นอกจากตนของตน เท่านั้นเอง
วันนี้คำพยากรณ์ จึงดูเป็นเรื่องตลก ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่รอเวลาเกิดเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่จะอุบัติในพม่า ... วันนี้ก็กล่าวแล้ว คงเป็นเรืองขบขัน หากแต่วันที่ภัยกรรมมาถึงมวลมนุษย์ นั่นคือ บุรุษเดียวที่จะช่วยชี้หนทางรอด
แล้วจะรู้ว่า การไปเหยียบดวงจันทร์ คือ เรื่องโกหก ระดับโลกเท่านั้นเอง
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งหล่อหลอม และหลอกผู้คน ให้มองดูเห็นแต่ความเจริญในภายภาคหน้า ว่ากันว่าฝันไกลไปถึง การทองอวกาศ หรือแม้นกระทั่ง ไปอยู่ในดาวดวงอื่น
นี่ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า คนทั้งหลายทั้งปวง ห่างไกลจากศาสนา และที่สำคัญ ไม่เชื่อเรื่องเวร เรื่องกรรม เสียแล้ว เชื่อในความสามารถของภูมิปัญญามนุษย์ ที่จะเสกสรรปั้นแต่งสิ่งใดก็ได้ แม้นแต่ในทางการแพทย์ ก็ฝันถึงความเป็นอมตะ ความไม่มีโรค ด้วยความก้าวหน้าด้านยีน หรือ พันธุกรรม
จึงไม่แปลกที่คนทั้งหลายจะชะล่าใจ และมองหวังไปในสิ่งที่ไกลตัวตน นั่นคือ สวนทางคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้ยึดหลัก "ตนพึ่งตน"
และด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่น่าหวั่น เมื่อกรรมของหมู่มนุษย์มาถึง ที่ศาสนาชี้ให้เห็นว่า จะเกิดทุกรอบ ก่อนที่จะมีการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า ย่อมยากจะหลีกหนี
ประเทศไทยโชคดี ที่แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์สิ่งนี้ เตือนให้ระวังระไว จะได้ทำตน หันกลับมาใช้หลักของพระภูมี พัฒนาวิญญาณ จิตใจตน อันเป็นทางรอด
แต่ก็นั่นแหละ จะมีสักกี่คนที่ทวนกระแสกรรม เชื่อ พิจารณา แล้วทำตนตาม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เมื่อถึงวันนั้น ความรู้ที่มีของมนุษย์ จะผิดพลาดไปหมด นำมาใช้แก้ไขความเลวร้ายไม่ได้เลย แม้นแต่สักน้อย ย่อมส่งผลให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่อุบัติในประเทสพม่า มาชี้ช่อง แล้วผู้ทำตามจึงรอด อันเป็นการแสดงบุญญาธิการของพระพุทธเจ้านั่นเอง
ศาสตร์สมุนไพร จึงไม่ใช่จุดประสงค์หลักของศาสนา เพราะหนทางรอดที่แท้จริง ไม่ใช่รอดจากโรค แต่เป็นรอดจากกรรม ด้วยการเดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่างหาก
ความโชคดี ที่ได้รู้พยากรณ์ แต่จะมีสักกี่คน ที่เชื่อ แล้วทำตาม เพื่อช่วยตน
วันเวลาจะพิสูจน์ พยากรณ์นี้ แต่น่าเสียดายที่เมื่อวันนั้นมาถึง จึงคิดจะมาทำตน ก็คงยากที่จะทันแล้ว ก็ต้องทำใจเพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ นอกจากตนของตน เท่านั้นเอง
วันนี้คำพยากรณ์ จึงดูเป็นเรื่องตลก ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องจริงที่รอเวลาเกิดเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่จะอุบัติในพม่า ... วันนี้ก็กล่าวแล้ว คงเป็นเรืองขบขัน หากแต่วันที่ภัยกรรมมาถึงมวลมนุษย์ นั่นคือ บุรุษเดียวที่จะช่วยชี้หนทางรอด
แล้วจะรู้ว่า การไปเหยียบดวงจันทร์ คือ เรื่องโกหก ระดับโลกเท่านั้นเอง
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560
กรรมมีจริงหรือ
ในโลกนี้ ก็คงจะมีแต่โลกตะวันออกเท่านั้น ที่มีความเชื่อในเรื่องกรรม
ก็แล้วกรรมมีจริงหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ให้เห็นว่า หากการกระทำของมนุษย์ ทำแล้วสูญ หรือ กรรม ไม่มีจริง ไม่มีตัว ไม่มีตน แล้วไซร้ สิ่งมีชีวิตบนโลก ที่ตายลงทุกวัน เมื่อไม่มีกรรม ตายแล้วสูญ ก็ย่อมมีแต่หมดลงไปเท่านั้นเอง
แต่ความจริงก็บ่งชี้ ทุกวันนี้ มนุษย์ยังมีหมู เห็ด เป็ด ไก่ กินกันอย่างสมบูรณ์พูนสุข ไม่มีหมด
ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ตายแล้วก็ต้องเกิด หมุนเวียนเปลี่ยนไป ตามแต่กรรมที่ทำมา เป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง พูดภาษาชาวบ้าน วันนี้ กูกินมึง วันหน้า มึงกินกู ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ใครที่พยากรณ์ว่า โลกจะแตก จะสิ้นโลก สรรพสัตว์จะตายกันหมด นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อกรรมยังอยู่ ก็ยังต้องเกิด มารับกรรมที่ทำมา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า คนที่จะเชื่อเรื่องศาสนา ย่อมต้องเชื่อเรื่องกรรม เป็นธรรมดา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทุกยุคของพระพุทธเจ้า ย่อมเวียนวนอยู่ในแผ่นดินของโลกตะวันออกนี้ ไม่ว่าจะยุค พระกุกกุสันโธ โคนาคม กัสปะ พระโคดม ก็เวียนกันอยู่แถวนี้แหละ เนปาล อินเดีย พม่า ...
เราจึงสงสัย ทำไมพฤติกรรมของคนที่มา อะไรบังตาบังใจ จึงไม่เร่งรีบทำตน พัฒนาตน พึงหวังแต่จะทานสมุนไพรให้หายโรค ด้วยความจริงอันนี้เอง ก็ "กรรม" นั่นเอง
นี่แลที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า บางคน อยู่ไปด้วยเห็นกรรม บางคน ก็อยู่ไปด้วยไม่เห็นกรรม
เมื่อไม่เชื่อกรรม ธรรมก็ไร้ค่า ไม่ต่างอะไรกับคนโลกตะวันตก เห็นแล้วน่าเสียดาย เพราะรู้หรือว่า ภายภาคหน้า จะได้เจอศาสนา เพื่อพัฒนาตนอีก ยิ่งห่างศาสนานาน นิสัยกรรมก็เพิ่มพูน กรรมก็มาก ไม่ต้องหมอดู ก็รู้ว่า ภายภาคหน้าวิบากขนาดไหน
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมโลกตะวันตก หรือ พวกห่างไกลศาสนา ถ้าไม่แร้นแค้น ก็มากมีด้วยภัยพิบัติ ก็ด้วยนิสัยไม่เชื่อว่ากรรมมีจริงนั่นเอง เมื่อเขาเหล่านั้นเชื่อมั่นภูมิปัญญาแห่งตน ว่าเลอเลิศเอาชนะธรรมชาติได้ ธรรมชาติก็พิสูจน์ให้เห็นว่า อำนาจกรรม แลพลังของธรรมชาติ หามีมนุษย์ผู้ใดเอาชนะได้ ด้วยสติปัญญาแห่งตน
เมื่อเชื่อว่ากรรมมี นี่แลเราท่านจึงเห็นค่าของศาสนา ฟัง พิจารณา แล้วทำตน
ก็แล้วกรรมมีจริงหรือ
แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ให้เห็นว่า หากการกระทำของมนุษย์ ทำแล้วสูญ หรือ กรรม ไม่มีจริง ไม่มีตัว ไม่มีตน แล้วไซร้ สิ่งมีชีวิตบนโลก ที่ตายลงทุกวัน เมื่อไม่มีกรรม ตายแล้วสูญ ก็ย่อมมีแต่หมดลงไปเท่านั้นเอง
แต่ความจริงก็บ่งชี้ ทุกวันนี้ มนุษย์ยังมีหมู เห็ด เป็ด ไก่ กินกันอย่างสมบูรณ์พูนสุข ไม่มีหมด
ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ตายแล้วก็ต้องเกิด หมุนเวียนเปลี่ยนไป ตามแต่กรรมที่ทำมา เป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง พูดภาษาชาวบ้าน วันนี้ กูกินมึง วันหน้า มึงกินกู ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ใครที่พยากรณ์ว่า โลกจะแตก จะสิ้นโลก สรรพสัตว์จะตายกันหมด นั่นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเมื่อกรรมยังอยู่ ก็ยังต้องเกิด มารับกรรมที่ทำมา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า คนที่จะเชื่อเรื่องศาสนา ย่อมต้องเชื่อเรื่องกรรม เป็นธรรมดา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทุกยุคของพระพุทธเจ้า ย่อมเวียนวนอยู่ในแผ่นดินของโลกตะวันออกนี้ ไม่ว่าจะยุค พระกุกกุสันโธ โคนาคม กัสปะ พระโคดม ก็เวียนกันอยู่แถวนี้แหละ เนปาล อินเดีย พม่า ...
เราจึงสงสัย ทำไมพฤติกรรมของคนที่มา อะไรบังตาบังใจ จึงไม่เร่งรีบทำตน พัฒนาตน พึงหวังแต่จะทานสมุนไพรให้หายโรค ด้วยความจริงอันนี้เอง ก็ "กรรม" นั่นเอง
นี่แลที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า บางคน อยู่ไปด้วยเห็นกรรม บางคน ก็อยู่ไปด้วยไม่เห็นกรรม
เมื่อไม่เชื่อกรรม ธรรมก็ไร้ค่า ไม่ต่างอะไรกับคนโลกตะวันตก เห็นแล้วน่าเสียดาย เพราะรู้หรือว่า ภายภาคหน้า จะได้เจอศาสนา เพื่อพัฒนาตนอีก ยิ่งห่างศาสนานาน นิสัยกรรมก็เพิ่มพูน กรรมก็มาก ไม่ต้องหมอดู ก็รู้ว่า ภายภาคหน้าวิบากขนาดไหน
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมโลกตะวันตก หรือ พวกห่างไกลศาสนา ถ้าไม่แร้นแค้น ก็มากมีด้วยภัยพิบัติ ก็ด้วยนิสัยไม่เชื่อว่ากรรมมีจริงนั่นเอง เมื่อเขาเหล่านั้นเชื่อมั่นภูมิปัญญาแห่งตน ว่าเลอเลิศเอาชนะธรรมชาติได้ ธรรมชาติก็พิสูจน์ให้เห็นว่า อำนาจกรรม แลพลังของธรรมชาติ หามีมนุษย์ผู้ใดเอาชนะได้ ด้วยสติปัญญาแห่งตน
เมื่อเชื่อว่ากรรมมี นี่แลเราท่านจึงเห็นค่าของศาสนา ฟัง พิจารณา แล้วทำตน
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560
กรรม
ความแตกต่างระหว่างโลกตะวันออก แลโลกตะวันตก นั่นก็คือความเชื่อ ในเรื่องกรรม
เมื่อเราทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์จากโรค ปัญหาก็คือ เราท่านพิจารณาว่า ที่มาของโรคนั้นมีเหตุจากอะไร
หากเชื่อตะวันตก ก็ต้องว่า ต้นเหตุที่มาคือเชื้อโรค การจะฟื้นฟูตน ก็คือ เอาชนะเชื้อเหล่านี้ให้ได้ จึงไม่แปลกที่สารพันยานับแสนนับล้านชนิด ล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณะแบบเดียวกันทั้งสิ้น คือ เดินหน้าฆ่าลูกเดียว จุดมุ่งหมายเพื่อให้เหตุแห่งโรค อันได้แก่ เชื้อที่ก่อโรคนั้น ตายมลายสูญสิ้น จะได้หายโรค
ส่วนที่เกิดตามมา นั่นคือ ผลข้างเคียงจากการทำลาย เชื้อโรค นั้น ค่อยว่ากันอีกที ดังนั้น เมื่อเป็นการทำลายล้าง ปริมาณในการทานหรือใช้ จึงมีผลอย่างยิ่ง ต่อผู้ใช้
หันกลับมามองปรัชญาตะวันออก ที่แอบอิงกับพุทธศาสนา แลศาสนาก็สอนหรือชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุที่แท้จริงมิใช่เชื้อที่ทำให้เกิดโรค แต่มีรากฐานมาจาก "กรรม" ที่เราท่านทำมาในอดีตนั่นเอง เป็นอำนาจดลบันดาล อาศัยเชื้อ ทำให้เกิดโรค เพื่อสร้างทุกข์ให้เราท่าน
ก็แล้วไง กรรมหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยได้ยินเสียง ก็จึงไม่แปลกที่ หลายคนไม่เชื่อว่า กรรมมีจริง หรือ รู้แต่ไม่ใส่ใจ ไม่กลัวพฤติกรรมที่สร้างกรรม
ก็แม้นแต่กรรม ที่ดลบันดาลทุกข์ให้แล้วในวันนี้ ยังไม่เชื่อเลยว่ามันมีอยู่จริง เพราะถ้าเชื่อ ก็คงไม่ไปพึ่งหมอ เข้าทรงองค์เจ้า เป็นแน่แท้
จึงไม่แปลก "ธรรม" ยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวเข้าไปอีก หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เป็นองค์กรที่สาม ที่จะมายุ่งเกียวกับมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้ ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นยินยอม เปิดประตูให้เข้ามาได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อว่า "กรรมมีจริง" ก็แล้วจะเชื่อหรือว่า "ธรรมมีจริง" และมีอำนาจเหนือ
ก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนหลายหลากมาที่นี่ จะเอาแต่สมุนไพร ไม่สนใจปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น จะเอาแต่ยา ... สืบสาวไป ก็จะพบตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ คือ เขาเหล่านั้นไม่เชื่อเรื่อง "กรรม" นั่นเอง
ธรรมของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนจะดีสักฉันใด ก็ใบ้กิน เพราะคนจำพวกนั้น ปิดประตูใจของตนตาย ธรรมเข้าไม่ถึง ผู้นำจะพูดสอนสักฉันใด กูไม่เอา กูไม่สวด กูไม่ฟัง
เขามาเอาสมุนไพร ไม่ได้มาเอาธรรม ก็อย่าสงสัยเลยว่า ทำไมสมุนไพรอย่างเดียวกัน หม้อเดียวกัน บางคนทานหาย บางคนไม่หาย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า "ใครทำ ใครได้" จึงได้ชื่อว่าสมุนไพรเขามีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน
เมื่อไม่มีพฤติกรรมรองรับ ก็เหมือนทำตัวเป็นโขมยมาลักทาน .... ทานสักเท่าไหร่ อย่างดีก็แค่ประทัง เชื่อหรือไม่
เมื่อเราทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์จากโรค ปัญหาก็คือ เราท่านพิจารณาว่า ที่มาของโรคนั้นมีเหตุจากอะไร
หากเชื่อตะวันตก ก็ต้องว่า ต้นเหตุที่มาคือเชื้อโรค การจะฟื้นฟูตน ก็คือ เอาชนะเชื้อเหล่านี้ให้ได้ จึงไม่แปลกที่สารพันยานับแสนนับล้านชนิด ล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณะแบบเดียวกันทั้งสิ้น คือ เดินหน้าฆ่าลูกเดียว จุดมุ่งหมายเพื่อให้เหตุแห่งโรค อันได้แก่ เชื้อที่ก่อโรคนั้น ตายมลายสูญสิ้น จะได้หายโรค
ส่วนที่เกิดตามมา นั่นคือ ผลข้างเคียงจากการทำลาย เชื้อโรค นั้น ค่อยว่ากันอีกที ดังนั้น เมื่อเป็นการทำลายล้าง ปริมาณในการทานหรือใช้ จึงมีผลอย่างยิ่ง ต่อผู้ใช้
หันกลับมามองปรัชญาตะวันออก ที่แอบอิงกับพุทธศาสนา แลศาสนาก็สอนหรือชี้ให้เห็นว่า ต้นเหตุที่แท้จริงมิใช่เชื้อที่ทำให้เกิดโรค แต่มีรากฐานมาจาก "กรรม" ที่เราท่านทำมาในอดีตนั่นเอง เป็นอำนาจดลบันดาล อาศัยเชื้อ ทำให้เกิดโรค เพื่อสร้างทุกข์ให้เราท่าน
ก็แล้วไง กรรมหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยได้ยินเสียง ก็จึงไม่แปลกที่ หลายคนไม่เชื่อว่า กรรมมีจริง หรือ รู้แต่ไม่ใส่ใจ ไม่กลัวพฤติกรรมที่สร้างกรรม
ก็แม้นแต่กรรม ที่ดลบันดาลทุกข์ให้แล้วในวันนี้ ยังไม่เชื่อเลยว่ามันมีอยู่จริง เพราะถ้าเชื่อ ก็คงไม่ไปพึ่งหมอ เข้าทรงองค์เจ้า เป็นแน่แท้
จึงไม่แปลก "ธรรม" ยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวเข้าไปอีก หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เป็นองค์กรที่สาม ที่จะมายุ่งเกียวกับมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้ ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นยินยอม เปิดประตูให้เข้ามาได้ ยิ่งเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อว่า "กรรมมีจริง" ก็แล้วจะเชื่อหรือว่า "ธรรมมีจริง" และมีอำนาจเหนือ
ก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมคนหลายหลากมาที่นี่ จะเอาแต่สมุนไพร ไม่สนใจปฏิบัติอะไรทั้งสิ้น จะเอาแต่ยา ... สืบสาวไป ก็จะพบตามที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ คือ เขาเหล่านั้นไม่เชื่อเรื่อง "กรรม" นั่นเอง
ธรรมของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนจะดีสักฉันใด ก็ใบ้กิน เพราะคนจำพวกนั้น ปิดประตูใจของตนตาย ธรรมเข้าไม่ถึง ผู้นำจะพูดสอนสักฉันใด กูไม่เอา กูไม่สวด กูไม่ฟัง
เขามาเอาสมุนไพร ไม่ได้มาเอาธรรม ก็อย่าสงสัยเลยว่า ทำไมสมุนไพรอย่างเดียวกัน หม้อเดียวกัน บางคนทานหาย บางคนไม่หาย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า "ใครทำ ใครได้" จึงได้ชื่อว่าสมุนไพรเขามีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน
เมื่อไม่มีพฤติกรรมรองรับ ก็เหมือนทำตัวเป็นโขมยมาลักทาน .... ทานสักเท่าไหร่ อย่างดีก็แค่ประทัง เชื่อหรือไม่
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ช่วยกันทำ
หลายคนคิดทุกสิ่งอย่างเป็นเงินเป็นทอง จึงไม่แปลกใจแม้นกระทั่งเรื่องของชีวิต ยามที่กรรมบันดาลทุกข์ คือ โรค มาเกิดแก่ตน ก็ตาม
หลายคนก็ดีดลูกคิดรางแก้ว ในการมามูลนิธิ เพราะคำนวนแล้วว่า หากเขามาที่นี่ สิ่งที่เขาจะต้องเสียโดยเฉพาะรายได้ นั้นเท่าไหร่ ไหนจะค่ารถ ค่ากิน เพื่อมารับสมุนไพร
ท้ายที่สุด ทุกสิ่งอย่าง ก็ถูกคำนวนออกมาเป็นตัวเงิน และหลายคนก็พบว่า ถ้าเขามาอย่างนี้ทุกอาทิตย์ทุกสัปดาห์ ต้องแย่แน่ ไม่คุ้มแน่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เราท่านเห็นว่า การคิดเช่นนั้นมันสั้นไป เพราะสิ่งหนึ่งที่เขาทั้งหลายไม่เคยคิด แลไม่รู้ราคา คือ ชีวิตตน
ท่านจึงยกภาพให้เห็นง่ายๆ คร่าวๆว่า หากคนผู้หนึ่งเป็นโรค แลโรคนี้ทำให้ตนต้องตาย หรือทรมานไปจนตาย เมื่อมาเจอศาสนา ก็มีทางเลือกให้ คือมาสัปดาห์ละครั้ง หรือ จะไปฟื้นฟูตัวที่ สถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา
เมื่อคิดแบบเอาง่าย หลายคนก็มักคิดว่า การมาตามใจฉัน หรือ สัปดาห์ละครั้ง ยังมีโอกาสได้ทำงานหาเงิน น่าจะเป็นหนทางที่ดีสำหรับตน พูดง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คือ จะไม่ยอมเสียอะไร เงินก็จะเอา งานก็ไม่ให้เสีย สุขภาพก็อยากได้
เมื่อเลือกเดินทางแบบนี้ หนทางในการฟื้นฟูย่อมเป็นไปแบบอ้อมๆ ที่สำคัญเมื่อใช้เวลานาน ย่อมอ่อนล้า เป็นธรรมดา ผลสำเร็จจึงมักหวังผลได้ยาก
การไปฟื้นฟูโดยพักและปฏิบัติตามแนวทางที่สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นทางตรง ที่ดูแล้วต้องสูญเสียมากมาย แต่ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด ผลสำเร็จเป็นไปได้ที่สุด แลเมื่อสำเร็จแล้ว ก็มีวันเวลาหาเงินหาทอง ไปตราบชีวิตที่เหลือ โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมากวนใจ
สภาพที่เป็นอยู่ของหลายคน จึงตกในสภาวะ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นั่นเอง กว่าจะรู้ตน อาการก็สาหัส ทีนี้จะมามีวันเวลา สภาพก็ไม่เอื้อให้ทำช่วยตน เรียกว่าทุลักทุเล
แลเมื่อสภาพสังคม โลก เศรษฐกิจ บีบบังคับ การใช้แนวทางอื่น ไม่ว่าหมอ หรือแม้นแต่จะดำรงชีพ ก็ถูกเบียดบัง ด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ คนดีๆยังหางานยาก คนสุขภาพไม่ดี ยิ่งไม่เป็นที่ต้องการ ทีนี้หละ ภาพที่จะเห็นเด่นชัด ก็คือ คนย่อมหลั่งใหลมาหาทางฟื้นฟูตัว ด้วยศาสตร์ทางเลือกสมุนไพร เพราะเห็นแล้วว่า ถูกที่สุด และหวังผลได้
เราก็ยังดีใจ ที่มีหลายคนมาพูดคุย แล้วกล่าวว่า เขาก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ก็อยากที่จะช่วยหาหนทาง โดยเฉพาะสมุนไพรเขียว เพราะรู้ดีว่า การไปเก็บในป่า หรือ การเก็บที่เดียวก็ไม่เพียงพอ ต้องไปหลายที่จึงจะได้ปริมาณ ก็พยายามเพาะต้น
ท่านหนึ่งถึงกับลงทุน หนึ่ง ไปจ้างขุดมาแล้วมาให้ปลูกในมูลนิธิ สองไปจ้างนักวิชาการเกษตรมาเพาะต้นไว้ ถึง ห้าพันต้น ซึ่งแรกๆ ก็แตกใบงาม ต้นโตได้ประมาณสักหนึ่งเมตร ใบเขียวงาม แต่สักพัก ตายหมดทั้งห้าพันต้น
อีกคนหนึ่งเป็นชาวไร่ ปลูกผลไม้ มะพร้าว ที่ซึ่งปกติก็นำมะพร้าวมาให้ทุกสัปดาห์ ก็พยายามหาวิธี เอาตาไปติด กิ่งมะนาวบ้าง มะกรูดบ้าง ต้นโน้นต้นนี้บ้าง เผื่อจะได้ ลองวิธีนี่โน่นนั่น ที่ตนเคยใช้ได้กับผลไม้ ลองลงดิน ลงกระถาง ลงรองน้ำ สารพัดวิธี ก็กำลังดูว่า วิธีไหนมันจะได้บ้าง
อย่างน้อย ก็ทำให้เราดีใจ ว่าสิ่งดีงามที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ หลวงพ่อนิพนธ์มาก่อสร้างร่างตัวไว้ มีคนเห็นค่า และอยากที่จะช่วยกันทำ ช่วยกันเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ ให้เป็นทางเลือก แก่คนไทย และลูกหลาน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า งานแบบนี้ ทำคนเดียวไม่ได้ จะทิ้งให้ท่านอาสิรับผิดชอบทุกสิ่งอย่าง ก็คงไปได้ไม่กี่น้ำ เพราะลำพังเรื่องสมุนไพรและสอน ก็หนักแรงแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิกล่าว ทางเลือกนี้มิใช่จบที่เราท่านในวันนี้ หากแต่เพื่อคนรุ่นหลัง จะได้มีโอกาสมาพึ่งพิง แลยิ่งในยามที่ความเป็นอยู่แร้นแค้น ทางเลือกนี้แหละที่จะใช้กอบกู้ประเทศได้ คือ พัฒนาคนให้มีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ดีตามแบบพระพุทธ แลภายภาคหน้าเมื่อ คนในกลุ่มมากขึ้น กลับไปสู่สังคม เราก็จะได้สังคมที่ดี
แล้วมิควรหรือ ที่เราท่านควรจะทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ อย่างน้อยก็ทำนิสัย รูปรอย ให้คนเดินตาม เพื่อได้รู้ว่า วิธีการช่วยตนนั้นทำอย่างไร ไม่ตกเป็นเหยื่อเสียทั้งเงิน ยังพอทน แต่เสียชีวิต ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลานตามใช้ นี่สิน่าเจ็บใจ
หลายคนก็ดีดลูกคิดรางแก้ว ในการมามูลนิธิ เพราะคำนวนแล้วว่า หากเขามาที่นี่ สิ่งที่เขาจะต้องเสียโดยเฉพาะรายได้ นั้นเท่าไหร่ ไหนจะค่ารถ ค่ากิน เพื่อมารับสมุนไพร
ท้ายที่สุด ทุกสิ่งอย่าง ก็ถูกคำนวนออกมาเป็นตัวเงิน และหลายคนก็พบว่า ถ้าเขามาอย่างนี้ทุกอาทิตย์ทุกสัปดาห์ ต้องแย่แน่ ไม่คุ้มแน่
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เราท่านเห็นว่า การคิดเช่นนั้นมันสั้นไป เพราะสิ่งหนึ่งที่เขาทั้งหลายไม่เคยคิด แลไม่รู้ราคา คือ ชีวิตตน
ท่านจึงยกภาพให้เห็นง่ายๆ คร่าวๆว่า หากคนผู้หนึ่งเป็นโรค แลโรคนี้ทำให้ตนต้องตาย หรือทรมานไปจนตาย เมื่อมาเจอศาสนา ก็มีทางเลือกให้ คือมาสัปดาห์ละครั้ง หรือ จะไปฟื้นฟูตัวที่ สถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา
เมื่อคิดแบบเอาง่าย หลายคนก็มักคิดว่า การมาตามใจฉัน หรือ สัปดาห์ละครั้ง ยังมีโอกาสได้ทำงานหาเงิน น่าจะเป็นหนทางที่ดีสำหรับตน พูดง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คือ จะไม่ยอมเสียอะไร เงินก็จะเอา งานก็ไม่ให้เสีย สุขภาพก็อยากได้
เมื่อเลือกเดินทางแบบนี้ หนทางในการฟื้นฟูย่อมเป็นไปแบบอ้อมๆ ที่สำคัญเมื่อใช้เวลานาน ย่อมอ่อนล้า เป็นธรรมดา ผลสำเร็จจึงมักหวังผลได้ยาก
การไปฟื้นฟูโดยพักและปฏิบัติตามแนวทางที่สำนักปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยน จึงเป็นทางตรง ที่ดูแล้วต้องสูญเสียมากมาย แต่ใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด ผลสำเร็จเป็นไปได้ที่สุด แลเมื่อสำเร็จแล้ว ก็มีวันเวลาหาเงินหาทอง ไปตราบชีวิตที่เหลือ โดยไม่มีปัญหาสุขภาพมากวนใจ
สภาพที่เป็นอยู่ของหลายคน จึงตกในสภาวะ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นั่นเอง กว่าจะรู้ตน อาการก็สาหัส ทีนี้จะมามีวันเวลา สภาพก็ไม่เอื้อให้ทำช่วยตน เรียกว่าทุลักทุเล
แลเมื่อสภาพสังคม โลก เศรษฐกิจ บีบบังคับ การใช้แนวทางอื่น ไม่ว่าหมอ หรือแม้นแต่จะดำรงชีพ ก็ถูกเบียดบัง ด้วยเทคโนโลยี หุ่นยนต์ คนดีๆยังหางานยาก คนสุขภาพไม่ดี ยิ่งไม่เป็นที่ต้องการ ทีนี้หละ ภาพที่จะเห็นเด่นชัด ก็คือ คนย่อมหลั่งใหลมาหาทางฟื้นฟูตัว ด้วยศาสตร์ทางเลือกสมุนไพร เพราะเห็นแล้วว่า ถูกที่สุด และหวังผลได้
เราก็ยังดีใจ ที่มีหลายคนมาพูดคุย แล้วกล่าวว่า เขาก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ก็อยากที่จะช่วยหาหนทาง โดยเฉพาะสมุนไพรเขียว เพราะรู้ดีว่า การไปเก็บในป่า หรือ การเก็บที่เดียวก็ไม่เพียงพอ ต้องไปหลายที่จึงจะได้ปริมาณ ก็พยายามเพาะต้น
ท่านหนึ่งถึงกับลงทุน หนึ่ง ไปจ้างขุดมาแล้วมาให้ปลูกในมูลนิธิ สองไปจ้างนักวิชาการเกษตรมาเพาะต้นไว้ ถึง ห้าพันต้น ซึ่งแรกๆ ก็แตกใบงาม ต้นโตได้ประมาณสักหนึ่งเมตร ใบเขียวงาม แต่สักพัก ตายหมดทั้งห้าพันต้น
อีกคนหนึ่งเป็นชาวไร่ ปลูกผลไม้ มะพร้าว ที่ซึ่งปกติก็นำมะพร้าวมาให้ทุกสัปดาห์ ก็พยายามหาวิธี เอาตาไปติด กิ่งมะนาวบ้าง มะกรูดบ้าง ต้นโน้นต้นนี้บ้าง เผื่อจะได้ ลองวิธีนี่โน่นนั่น ที่ตนเคยใช้ได้กับผลไม้ ลองลงดิน ลงกระถาง ลงรองน้ำ สารพัดวิธี ก็กำลังดูว่า วิธีไหนมันจะได้บ้าง
อย่างน้อย ก็ทำให้เราดีใจ ว่าสิ่งดีงามที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ หลวงพ่อนิพนธ์มาก่อสร้างร่างตัวไว้ มีคนเห็นค่า และอยากที่จะช่วยกันทำ ช่วยกันเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ ให้เป็นทางเลือก แก่คนไทย และลูกหลาน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า งานแบบนี้ ทำคนเดียวไม่ได้ จะทิ้งให้ท่านอาสิรับผิดชอบทุกสิ่งอย่าง ก็คงไปได้ไม่กี่น้ำ เพราะลำพังเรื่องสมุนไพรและสอน ก็หนักแรงแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิกล่าว ทางเลือกนี้มิใช่จบที่เราท่านในวันนี้ หากแต่เพื่อคนรุ่นหลัง จะได้มีโอกาสมาพึ่งพิง แลยิ่งในยามที่ความเป็นอยู่แร้นแค้น ทางเลือกนี้แหละที่จะใช้กอบกู้ประเทศได้ คือ พัฒนาคนให้มีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ดีตามแบบพระพุทธ แลภายภาคหน้าเมื่อ คนในกลุ่มมากขึ้น กลับไปสู่สังคม เราก็จะได้สังคมที่ดี
แล้วมิควรหรือ ที่เราท่านควรจะทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ อย่างน้อยก็ทำนิสัย รูปรอย ให้คนเดินตาม เพื่อได้รู้ว่า วิธีการช่วยตนนั้นทำอย่างไร ไม่ตกเป็นเหยื่อเสียทั้งเงิน ยังพอทน แต่เสียชีวิต ทิ้งหนี้ไว้ให้ลูกหลานตามใช้ นี่สิน่าเจ็บใจ
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ไม่ลองจะทำได้หรือ
หากแต่ใครมีญานมองไปข้างหน้าของตนได้ คนผู้นั้นอาจมองแล้วขนลุก ตาตั้ง
ทำไมหรือ เพราะเขาอาจเห็นว่า การกระทำของตนในทุกวันนี้ มันไม่เพียงพอที่จะช่วยตน แลเมื่อสภาพของตนเลวร้าย ก็ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิชี้ หนทางเดียวที่เฉียบขาดและช่วยตนได้ นั่นคือ การบวช
ก็แล้วไง ก็วินัยหลักของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ข้อหนึ่งกล่าวว่า "ฉันมื้อเดียว" นั่นเอง
ทีนี้เป็นเรื่องยุ่งสำหรับบางคนเสียแล้ว เพราะต้องไปขอเขากิน หรืออาจจะหนักไปกว่านั้น หากต้องทำวัตรปฏิบัติในการฉัน มิเพียงแต่มื้อเดียว แต่ยังต้อง "เอกากังคัง" อันหมายถึง การคนอาหารที่รับมาให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงฉัน
หลวงพ่อนิพนธ์ มองสภาพการณ์นี้ออก จึงจัดให้มีโรงอาหาร แม้นรู้ดีว่า คนทำครัว อาจจะไม่มีฝีมือถึงกับเลอเลิศ มีจานเด็ดที่ทำให้ทุกคนชอบ หรืออยากทาน ก็เป็นแต่เพียงว่า ใครพอมีฝีมือ ก็มาช่วยกันทำ แล้วก็ชี้ให้เราท่าน ไปซื้อทาน
จึงไม่แปลก เสียงสะท้อนกลับมาย่อมเป็น อาหารไม่ถูกปากบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง หรือแม้นกระทั่งเลยไปถึง ราคาที่มองแล้วแพงเกินไป แลปากคน ทำให้หลายคน นำอาหารมาทานเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การมีโรงอาหารมิใช่เพื่อหาความร่ำรวย บังคับมากิน เพราะถ้าอยากกินดีๆ ก็ไปหาทานในร้านที่ตนชอบ แต่การมามูลนิธิ จำเป็นต้องฝึก ต้องลองทานในสิ่งที่ตนไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจ เป็นประการสำคัญ ส่วนผลพลอยได้ ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ให้โอกาสทุกคนมาร่วม มีส่วนในการดำเนินงานของมูลนิธินั่นเอง
สิ่งนี้สำคัญอย่างไร ก็สำคัญตรงที่ว่า หากวันหนึ่งในภายภาคหน้า เราท่านจำเป็นต้องอาศัยการบวช ต้องขอเขากิน จะได้ทำได้ไง หากจำเป็นต้องบวช จะปฏิบัติได้อย่างไร ในเมื่อทานไม่ได้ เพราะสิ่งที่ขอเขา เลือกไม่ได้
พระรุ่นก่อนๆที่ผ่านการธุดงค์ ย่อมจะมีเรื่องเล่าขานสู่กันฟังอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะการทานนี่แลสำคัญนัก อาทิเช่น บางองค์ไปบิณฑบาต ในพื้นที่ของหมู่คนอีสาน บาตรวันนั้น มีแต่ข้าวเหนียวกับปลาร้า แถมไม่มีอย่างอื่นให้เลือกอีก เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีคนน้อย จะทำอย่างไร ถ้าฉันไม่ได้
ตัวเราเองก็เคยมาแล้ว แลก็ทานปลาร้าเป็นตอนเป็นพระนี่แหละ
บทสรุป การใดที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทำในมูลนิธิ ย่อมไม่ใช่คิดด้วยความโลภ หรืออยากได้ หากแต่อยู่บนพื้นฐาน ที่ให้ทำเพื่อฝึกฝนเบื้องต้น ตามวินัยของศาสนา เป็นบางสิ่งบางอย่าง ใครที่ฟัง แล้วทำตาม ย่อมจะเป็นพื้นฐานที่ดีในวันข้างหน้า หากจำเป็นต้องพึ่งการบวชเพื่อช่วยตน จะได้ไม่ทุกข์กับวินัยจนเกินไป
ตัวอย่างล่าสุดก็มีให้เห็น พระหนุ่มร่างกายกำยำ เป็นโรคภูมิแพ้ แล้วลองไปบวช เจอฉันมื้อเดียว ถอดจีวรแทบไม่ทัน รับไม่ได้
ดูไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องทำ แต่อาจทำให้การช่วยตน พังทลายไปตั้งแต่เริ่ม ก็เป็นได้ เช่นพระรูปนี้
ก็แล้วทำไมไม่ลองทำ ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ ก็แค่วันเดียว ในรอบสัปดาห์ที่มา ทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ทานอาหารของมูลนิธิ เงินที่เสียไป ก็ใช้ในกิจการของมูลนิธิ สิ่งที่ได้กลับคืนมา คือ นิสัย ที่ต้องทำใจในอาหารที่ตนทาน ฤาจะรอจนถึงวันนั้น กว่าจะรู้ว่าไม่ได้ มานั่งเสียใจ เห็นทางรอดอยู่แต่ไปไม่ได้ น่าเสียดายนัก
ใครจะว่าบังคับซื้อ หรือ ทำเพื่อเงินก็ว่ากันไป แต่ความเป็นจริง เงินจากการขายอาหารและของกิน น้ำดื่ม เทียบกับรายจ่ายต่อเดือนแล้ว น้อยกว่าน้อยนัก
ทำไมหรือ เพราะเขาอาจเห็นว่า การกระทำของตนในทุกวันนี้ มันไม่เพียงพอที่จะช่วยตน แลเมื่อสภาพของตนเลวร้าย ก็ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์และท่านอาสิชี้ หนทางเดียวที่เฉียบขาดและช่วยตนได้ นั่นคือ การบวช
ก็แล้วไง ก็วินัยหลักของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ข้อหนึ่งกล่าวว่า "ฉันมื้อเดียว" นั่นเอง
ทีนี้เป็นเรื่องยุ่งสำหรับบางคนเสียแล้ว เพราะต้องไปขอเขากิน หรืออาจจะหนักไปกว่านั้น หากต้องทำวัตรปฏิบัติในการฉัน มิเพียงแต่มื้อเดียว แต่ยังต้อง "เอกากังคัง" อันหมายถึง การคนอาหารที่รับมาให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงฉัน
หลวงพ่อนิพนธ์ มองสภาพการณ์นี้ออก จึงจัดให้มีโรงอาหาร แม้นรู้ดีว่า คนทำครัว อาจจะไม่มีฝีมือถึงกับเลอเลิศ มีจานเด็ดที่ทำให้ทุกคนชอบ หรืออยากทาน ก็เป็นแต่เพียงว่า ใครพอมีฝีมือ ก็มาช่วยกันทำ แล้วก็ชี้ให้เราท่าน ไปซื้อทาน
จึงไม่แปลก เสียงสะท้อนกลับมาย่อมเป็น อาหารไม่ถูกปากบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง หรือแม้นกระทั่งเลยไปถึง ราคาที่มองแล้วแพงเกินไป แลปากคน ทำให้หลายคน นำอาหารมาทานเอง
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า การมีโรงอาหารมิใช่เพื่อหาความร่ำรวย บังคับมากิน เพราะถ้าอยากกินดีๆ ก็ไปหาทานในร้านที่ตนชอบ แต่การมามูลนิธิ จำเป็นต้องฝึก ต้องลองทานในสิ่งที่ตนไม่ชอบ หรือไม่ถูกใจ เป็นประการสำคัญ ส่วนผลพลอยได้ ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ให้โอกาสทุกคนมาร่วม มีส่วนในการดำเนินงานของมูลนิธินั่นเอง
สิ่งนี้สำคัญอย่างไร ก็สำคัญตรงที่ว่า หากวันหนึ่งในภายภาคหน้า เราท่านจำเป็นต้องอาศัยการบวช ต้องขอเขากิน จะได้ทำได้ไง หากจำเป็นต้องบวช จะปฏิบัติได้อย่างไร ในเมื่อทานไม่ได้ เพราะสิ่งที่ขอเขา เลือกไม่ได้
พระรุ่นก่อนๆที่ผ่านการธุดงค์ ย่อมจะมีเรื่องเล่าขานสู่กันฟังอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะการทานนี่แลสำคัญนัก อาทิเช่น บางองค์ไปบิณฑบาต ในพื้นที่ของหมู่คนอีสาน บาตรวันนั้น มีแต่ข้าวเหนียวกับปลาร้า แถมไม่มีอย่างอื่นให้เลือกอีก เนื่องจากเป็นหมู่บ้านที่มีคนน้อย จะทำอย่างไร ถ้าฉันไม่ได้
ตัวเราเองก็เคยมาแล้ว แลก็ทานปลาร้าเป็นตอนเป็นพระนี่แหละ
บทสรุป การใดที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทำในมูลนิธิ ย่อมไม่ใช่คิดด้วยความโลภ หรืออยากได้ หากแต่อยู่บนพื้นฐาน ที่ให้ทำเพื่อฝึกฝนเบื้องต้น ตามวินัยของศาสนา เป็นบางสิ่งบางอย่าง ใครที่ฟัง แล้วทำตาม ย่อมจะเป็นพื้นฐานที่ดีในวันข้างหน้า หากจำเป็นต้องพึ่งการบวชเพื่อช่วยตน จะได้ไม่ทุกข์กับวินัยจนเกินไป
ตัวอย่างล่าสุดก็มีให้เห็น พระหนุ่มร่างกายกำยำ เป็นโรคภูมิแพ้ แล้วลองไปบวช เจอฉันมื้อเดียว ถอดจีวรแทบไม่ทัน รับไม่ได้
ดูไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องทำ แต่อาจทำให้การช่วยตน พังทลายไปตั้งแต่เริ่ม ก็เป็นได้ เช่นพระรูปนี้
ก็แล้วทำไมไม่ลองทำ ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ ก็แค่วันเดียว ในรอบสัปดาห์ที่มา ทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ ทานอาหารของมูลนิธิ เงินที่เสียไป ก็ใช้ในกิจการของมูลนิธิ สิ่งที่ได้กลับคืนมา คือ นิสัย ที่ต้องทำใจในอาหารที่ตนทาน ฤาจะรอจนถึงวันนั้น กว่าจะรู้ว่าไม่ได้ มานั่งเสียใจ เห็นทางรอดอยู่แต่ไปไม่ได้ น่าเสียดายนัก
ใครจะว่าบังคับซื้อ หรือ ทำเพื่อเงินก็ว่ากันไป แต่ความเป็นจริง เงินจากการขายอาหารและของกิน น้ำดื่ม เทียบกับรายจ่ายต่อเดือนแล้ว น้อยกว่าน้อยนัก
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ตกกระได
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นเสมอว่า มูลนิธิไทยกรุณา เสมือนหนึ่งจำลองแบบของศาสนา มาให้พิจารณา แล้วลองปฏิบัติ
ด้วยเล็งเห็นว่า เป็นทางเลือก เป็นโอกาส ที่จะทำให้คนมากหลาย ได้มีโอกาสมาสัมผัส ได้เรียนรู้เรื่องศาสนา
หากย้อนไปในยุคถ้ำกระบอก หรือ ยุคต้นในช่วงปี ๓๐ กระบวนการที่ถูกใช้ และมีผลเด็ดขาดจนเป็นที่เล่าขานในสรรพคุณสมุนไพร หาใช่แต่เพียงสมุนไพรไม่ แต่เป็นความเข้มข้นของการปฏิบัติ นั่นก็คือ ใครจะรักษา ต้องบวชสถานเดียวเท่านั้น
ด้วยวินัยสงฆ์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัย ด้วยวินัยในตัวอยู่แล้ว ดังนั้น หลายคนจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า บวชได้ไหม บวชได้ก็รอด
ก็แล้วทีนี้ หากมาพิจารณามูลนิธิไทยกรุณา หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ก็ไม่บังคับ แล้วแต่สติปัญญา ใครจะมองเห็น ทำได้ก็รอด นั่นก็หมายความว่า แม้นโอกาสจะเปิดกว้างขึ้น ผู้คนมากมายได้มาสัมผัสง่ายขึ้น แต่การจะทำวินัยนั้นกลับยากยิ่ง เพราะคนมากหลายมักจะใช้ตามอง แล้วตัดสิน ไม่ใช่ด้วยเหตุด้วยผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า อาทิ วินัยของสงฆ์ ที่ต้องวิรัชกาย เปลี่ยนตน จากฆราวาส มาเป็นสงฆ์ เรียกว่า กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ในพฤติกรรมเลย แล้วมาสังกัดตนในวัด เมื่อแปลงมาใช้กับคนในมูลนิธิ ด้วยการบอกให้มาสัปดาห์ละครั้ง เมื่อมาแล้ว ก็ต้องทำวินัยนี้เหมือนสงฆ์เช่นกัน คือ วิรัชกาย สังกัดตน ในระหว่างวัน หรือ พิธีกรรมที่ช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เจตนาเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อการกระทำ การกระทำด้วยเจตนา แลถึงพร้อม ด้วย กาย วาจา ใจ ผลจึงสมบูรณ์ เมื่อตั้งเจตนามามูลนิธิไทยกรุณา มาเพื่ออะไร มาหาใคร พิจารณาแล้วจึงทำ
หากแต่คนมากมายไม่พิจารณา จึงขาดเจตนา แล้วทำ ผลก็คือ การมามูลนิธิไทยกรุณา แทนที่จะมาหาตัวกระทำเพื่อช่วยตน กลับกลายมีแต่พฤติกรรมที่ทำลาย ตัวกระทำของตน ทั้งหมด จนบางคน ไม่เหลืออะไรติดกลับไปเลย นอกจากซากของสมุนไพรเท่านั้นเอง
ท่านจึงชี้ให้ดูเสมอ พระต้องสังกัดกาย เมื่อเราท่านมามูลนิธิ ในระหว่างพิธีกรรม ก็ควรสังกัดกาย ไม่ออกไปไหน เพื่อให้สมเจตนา มาหาศาสนา แต่ครั้นมาถึง กิเลสนิสัย เห็นแก่ของถูกเล็กๆน้อยๆ เห็นแก่ความสบาย หรือ อะไรก็ตามแต่ ลงรถปุ๊บ วิ่งไปร้านค้าปั๊บ เร็วๆรีบไปซื้อของถูก ยื่นบัตรเสร็จ เร็วๆ ไปเดินซื้อของ หรือระหว่างวัน ก็เร็วๆ ไปทำธุระก่อน เดี๊ยวกลับมารับสมุนไพรก็ได้ ยังมีเวลา
ท่านจึงบอกว่าน่าเสียดายเวลาที่มา จะเว้นตามนิสัยสักน้อยก็ไม่ได้ หาตัวกระทำสร้างสุขให้ผู้อื่นเพื่อช่วยตนก็ไม่มี ก็บอกมาหาแม่ชีเมี้ยน หาศาสนา ให้ช่วย ร้านค้าก็คาบไปแดก เอาของถูกกว่าห้าบาทสิบบาทมาล่อ ก็ไปเสียแล้ว ทำลายผลที่ตนปรารถนาไปเสียสิ้น
บทสรุป คนสองคน ทำเหมือนกัน มาเหมือนกัน ซื้อเหมือนกัน คนหนึ่ง ซื้อในระหว่างพิธีกรรม แต่อีกคนซื้อ หลังจากจบพิธีกรรม ต่างกันที่ห้ามใจ คนหนึ่งรอไม่ไหว อีกคนทำสิ่งที่ช่วยตนก่อน มีเวลาเหลือแล้วจึงไป นี่แลแยกให้เห็นชัด ว่าคนไหนเป็นปราชญ์
การมา คือมาเพื่อสังกัดกาย มีที่เว้น แค่เว้นกิเลสกาย ก็ยังทำไม่ได้ ควบคุมตนไม่ได้ อยากออกจากพื้นที่บริเวณมูลนิธิไม่ได้ อยากออกจากห้องสวดมนต์ไม่ได้ จะพาวิญญาณขึ้นกระไดไปที่สูงได้ฉันใด มีแต่คิดจะไป พฤติกรรมกลับผลักตนให้ตกกระได
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนสติเสมอ แล้วแต่ใครจะมอง ที่นี่เป็นอะไร แล้วทำ พฤติกรรมก็จะเป็นคำตอบ ว่าคนผู้นั้นจะหายหรือไม่ เพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง
คนจะรอด ต้องมองว่าที่นี่ไม่ธรรมดา ต้องลดกิริยา เดินตามรอยพระภูมีเป็นบางสิ่งบางอย่าง ถ้ามาเพื่อจะได้เจอพวก คุยสรวลเสเฮฮา ได้ช๊อปปิ๊งของถูก ได้สมุนไพรฟรี สิ่งที่ได้คุ้มกันหรือ เพราะสิ่งที่กำลังจะเสีย คือ "ชีวิต"
ด้วยเล็งเห็นว่า เป็นทางเลือก เป็นโอกาส ที่จะทำให้คนมากหลาย ได้มีโอกาสมาสัมผัส ได้เรียนรู้เรื่องศาสนา
หากย้อนไปในยุคถ้ำกระบอก หรือ ยุคต้นในช่วงปี ๓๐ กระบวนการที่ถูกใช้ และมีผลเด็ดขาดจนเป็นที่เล่าขานในสรรพคุณสมุนไพร หาใช่แต่เพียงสมุนไพรไม่ แต่เป็นความเข้มข้นของการปฏิบัติ นั่นก็คือ ใครจะรักษา ต้องบวชสถานเดียวเท่านั้น
ด้วยวินัยสงฆ์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ทำให้ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัย ด้วยวินัยในตัวอยู่แล้ว ดังนั้น หลายคนจึงได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวอย่างมั่นใจว่า บวชได้ไหม บวชได้ก็รอด
ก็แล้วทีนี้ หากมาพิจารณามูลนิธิไทยกรุณา หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ก็ไม่บังคับ แล้วแต่สติปัญญา ใครจะมองเห็น ทำได้ก็รอด นั่นก็หมายความว่า แม้นโอกาสจะเปิดกว้างขึ้น ผู้คนมากมายได้มาสัมผัสง่ายขึ้น แต่การจะทำวินัยนั้นกลับยากยิ่ง เพราะคนมากหลายมักจะใช้ตามอง แล้วตัดสิน ไม่ใช่ด้วยเหตุด้วยผล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า อาทิ วินัยของสงฆ์ ที่ต้องวิรัชกาย เปลี่ยนตน จากฆราวาส มาเป็นสงฆ์ เรียกว่า กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ในพฤติกรรมเลย แล้วมาสังกัดตนในวัด เมื่อแปลงมาใช้กับคนในมูลนิธิ ด้วยการบอกให้มาสัปดาห์ละครั้ง เมื่อมาแล้ว ก็ต้องทำวินัยนี้เหมือนสงฆ์เช่นกัน คือ วิรัชกาย สังกัดตน ในระหว่างวัน หรือ พิธีกรรมที่ช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เจตนาเป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลต่อการกระทำ การกระทำด้วยเจตนา แลถึงพร้อม ด้วย กาย วาจา ใจ ผลจึงสมบูรณ์ เมื่อตั้งเจตนามามูลนิธิไทยกรุณา มาเพื่ออะไร มาหาใคร พิจารณาแล้วจึงทำ
หากแต่คนมากมายไม่พิจารณา จึงขาดเจตนา แล้วทำ ผลก็คือ การมามูลนิธิไทยกรุณา แทนที่จะมาหาตัวกระทำเพื่อช่วยตน กลับกลายมีแต่พฤติกรรมที่ทำลาย ตัวกระทำของตน ทั้งหมด จนบางคน ไม่เหลืออะไรติดกลับไปเลย นอกจากซากของสมุนไพรเท่านั้นเอง
ท่านจึงชี้ให้ดูเสมอ พระต้องสังกัดกาย เมื่อเราท่านมามูลนิธิ ในระหว่างพิธีกรรม ก็ควรสังกัดกาย ไม่ออกไปไหน เพื่อให้สมเจตนา มาหาศาสนา แต่ครั้นมาถึง กิเลสนิสัย เห็นแก่ของถูกเล็กๆน้อยๆ เห็นแก่ความสบาย หรือ อะไรก็ตามแต่ ลงรถปุ๊บ วิ่งไปร้านค้าปั๊บ เร็วๆรีบไปซื้อของถูก ยื่นบัตรเสร็จ เร็วๆ ไปเดินซื้อของ หรือระหว่างวัน ก็เร็วๆ ไปทำธุระก่อน เดี๊ยวกลับมารับสมุนไพรก็ได้ ยังมีเวลา
ท่านจึงบอกว่าน่าเสียดายเวลาที่มา จะเว้นตามนิสัยสักน้อยก็ไม่ได้ หาตัวกระทำสร้างสุขให้ผู้อื่นเพื่อช่วยตนก็ไม่มี ก็บอกมาหาแม่ชีเมี้ยน หาศาสนา ให้ช่วย ร้านค้าก็คาบไปแดก เอาของถูกกว่าห้าบาทสิบบาทมาล่อ ก็ไปเสียแล้ว ทำลายผลที่ตนปรารถนาไปเสียสิ้น
บทสรุป คนสองคน ทำเหมือนกัน มาเหมือนกัน ซื้อเหมือนกัน คนหนึ่ง ซื้อในระหว่างพิธีกรรม แต่อีกคนซื้อ หลังจากจบพิธีกรรม ต่างกันที่ห้ามใจ คนหนึ่งรอไม่ไหว อีกคนทำสิ่งที่ช่วยตนก่อน มีเวลาเหลือแล้วจึงไป นี่แลแยกให้เห็นชัด ว่าคนไหนเป็นปราชญ์
การมา คือมาเพื่อสังกัดกาย มีที่เว้น แค่เว้นกิเลสกาย ก็ยังทำไม่ได้ ควบคุมตนไม่ได้ อยากออกจากพื้นที่บริเวณมูลนิธิไม่ได้ อยากออกจากห้องสวดมนต์ไม่ได้ จะพาวิญญาณขึ้นกระไดไปที่สูงได้ฉันใด มีแต่คิดจะไป พฤติกรรมกลับผลักตนให้ตกกระได
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนสติเสมอ แล้วแต่ใครจะมอง ที่นี่เป็นอะไร แล้วทำ พฤติกรรมก็จะเป็นคำตอบ ว่าคนผู้นั้นจะหายหรือไม่ เพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอง
คนจะรอด ต้องมองว่าที่นี่ไม่ธรรมดา ต้องลดกิริยา เดินตามรอยพระภูมีเป็นบางสิ่งบางอย่าง ถ้ามาเพื่อจะได้เจอพวก คุยสรวลเสเฮฮา ได้ช๊อปปิ๊งของถูก ได้สมุนไพรฟรี สิ่งที่ได้คุ้มกันหรือ เพราะสิ่งที่กำลังจะเสีย คือ "ชีวิต"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)