หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า ศาสน์ของพระภูมี มนุษย์บอกว่าดีดี แต่ไม่เอา ไม่อยากทำ เพราะมันทำยาก อันหมายถึง อยากจะได้สิ่งใด ต้องทำเอง ด้วยเหตุที่นิสัยกรรม มันคือนิสัยชูชก ที่มักจะร้องขอ คือ อยากได้ แต่ไม่อยากทำนั่นเอง
แลดั่งคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงกล่าวว่า "กรรมเขาเป็นพี่ ธรรมเขาเป็นน้อง" หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เพราะกรรมเขามาก่อน อยู่ติดกับมนุษย์เป็นนิสัยสันดาน มานับล้านๆชาติ
ดังนั้น เมื่อเวียนว่ายมาเจอศาสนา จึงเข้าใจได้ว่า ทุกคนย่อมมีความคิด ความเชื่อ เป็นของตนเอง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว และความเชื่อนี้ก็ฝังแน่น จนบางครั้งยากจะถอน จึงไม่ว่ากัน
ศาสน์ของพระภูมี ต้องการความเชื่อหนึ่งเดียว เพื่อให้การปฏิบัติลุล่วง หากแต่ก็รู้ในพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น จึงไม่กำหนดกะเกณฑ์ว่า ต้องทิ้งความเชื่อเดิม
แต่สิ่งที่ควรทำ คือ วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน เพื่อเปิดรับความรู้ของศาสน์ แล้วพิจารณา นำไปช่วยตน
มิฉะนั้นแล้ว เมื่อสิ่งดีๆเกิด ก็ไม่รู้ว่า เกิดจากพฤติกรรมใด และผลมาจากที่ไหน เมื่อคราวคับขัน เกิดวิกฤตกับชีวิต ต้องการบุญเร่งด่วน ก็อาจทำให้ไขว้เขว่ ทำผิด ทำถูก จนไม่สามารถช่วยตนได้
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า เสมือนมาทานสมุนไพร แต่ก็บนบานเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือวัดที่ตนนับถือ เมื่อสภาพของตนดีขึ้น ก็บอกว่า เพราะตนไปบนไว้ รีบไปแก้บน
ฟ้าดิน ก็มองว่า คนจำพวกนี้ เนรคุณ ขาดความกตัญญู ตัวเองรอดมาด้วยสมุนไพร ด้วยวินัยธรรมของพระภุมี นั่นหมายถึง การถูกตีตราว่า เป็นผู้ขาดคุณสมบัติของศาสนา ไปในบัดดล
ครั้นชะตากรรมเลวร้าย ปล้องถัดไปมาถึง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิ วัดต่างๆ เผ่นหนีกันหมด ก็เวียนวนกลับมาหาศาสนา ขอทานสมุนไพรอีก ...
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทีนี้เป็นเรื่องยาก เพราะขาดคุณสมบัติไปเสียแล้ว ครั้งแรกกรรมที่ทำ ทำไปด้วยความไม่รู้ แต่เมื่อเรียนแล้ว รู้แล้ว ยังทำ อันนี้ สมุนไพรก็ช่วยไม่ได้ เสมือน ความผิดที่กระทำโดยเจตนา
การไม่วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน แล้วจึงทำ หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาผลแห่งการกระทำ เสมือน เรือชีวิตของเราท่านรั่ว ผุพัง แล้วมาเข้าท่าของศาสนาเพื่อซ่อม เมื่อซ่อมเสร็จ ออกเรือได้ แทนที่จะรู้คุณท่า และทำนุบำรุงรักษาไว้เผื่ออนาคต แต่กลับทำลายท่าเรือนั้นทิ้งเสีย เมื่อเรือเสียหายอีกครั้ง กลับมาก็ไม่มีท่าให้ซ่อมอีกแล้วนั่นเอง
บทสรุป ไม่ว่าชาติพันธ์ุใด ศาสนาใด เมื่อเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนา ก็มีสิทธิ์ใช้ธรรมสมุนไพร และวินัยธรรมของพระภูมี ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่ากัน หากแต่ขอเพียงวางความเชื่อเดิมของตนไว้ก่อน เมื่อช่วยตนได้ จะได้รู้ว่า สิ่งที่ช่วยตนคืออะไร แลเมื่อช่วยตนแล้ว รู้แล้ว เมื่อกลับออกไป จะถือความเชื่อเดิม ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
ถ้ายาในโลกของท่าน คือ พระเจ้าของท่าน กินปุ๊บหายปวดปั๊บ มาในแผ่นดินนี้ ก็หยุดยาเคมีซะ ทานสมุนไพรไป หายแล้ว กลับไปจะกลับไปทานยาแก้ปวดอีก ก็ไม่ว่ากัน เพราะถึงตอนนั้น เรือท่านก็แข็งแกร่งแล้ว แต่ตอนนี้ พระเจ้าท่านยาแก้ปวด มันเอาโรค และหยุดอาการปวดไม่ได้แล้ว ... หรือหยุดได้ แต่อาการแทรกซ้อนก็มากมายจนร่างกายรับไม่ไหว จึงขอให้วางไว้ก่อน
เราจึงมักเรียกศาสน์ของพระภูมีว่า เผด็จการประชาธิปไตย อันหมายความว่า จะเข้า จะออก แล้วแต่ความสมัครใจ หากแต่เมื่อเลือกที่จะเข้ามา ก็เจอเผด็จการ หากอยากช่วยตน ก็ต้องทำตามธรรมวินัย จะใช้นิสัยสันดานตน แม้นแต่น้อยไม่ได้เลย นั่นเอง
คาถาสำเร็จ ที่แม่ชีเมี้ยนชี้ช่องให้ มีหนทางเดียว คือ อยากช่วยตน ต้องลดนิสัย แล้วทานสมุนไพรไป ไม่มีอื่นใดให้เลือก เสมือนไม้ไผ่ลำเดียว ที่ทอดพาดผ่านทะเลทุกข์
เมื่อมา ก็แสดงว่าสมัครใจ ที่จะทำตาม จึงไม่แปลก ที่เราท่านอาจจะเห็น เจ้าหน้าที่ วิทยากร รวมไปถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อาจจะไล่ คนที่ไม่ทำออกจากสถานที่นี้ เพราะคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เรียกว่า ไม่ใช่พวก คนละน้ำ ต้องคัดออก
มิฉะนั้น อาจจะเห็นสภาพหน้าแหก ฟ้าดินเขาเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ต้องรอกรรม ฟ้าเขากระทืบเอง เป็นทั้งๆที่อยู่ในเขตพัทสีมานั่นแหละ อดีตก็มีมาให้เห็นแล้ว
คนไม่ทำ แต่ไม่ยอมไป เขาเล่นกันต่อหน้าหลวงพ่อนิพนธ์ให้เห็นกันจะๆ แลไม่ใช่คนอื่นไกล คือเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์เอง ที่ถือว่าตนเป็นเพื่อน เล่นกันมาแต่เด็ก จะทำอย่างไรก็ได้นั่นเอง จะบอกให้ทำ ก็ไม่สน กูจะทำตามนิสัย ก็มีให้เห็นมาแล้ว แบบว่าต่อหน้าลูกศิษย์ เลย
เราจึงอยากเตือนว่า ไม่ทำก็ถอยไปซะดีกว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หากอยู่ตามพรหมลิขิต ก็ยังอาจอยู่ได้อีกนาน หากอยู่ในสภาพนี้ อาจอยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต ไม่ทันโดนตีนกรรม จะโดนตีนฟ้ากระทืบแทน