วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

มือที่สาม

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลก มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ กรรม กรรมศักดิ์สิทธิ์ จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ว่าได้

เมื่อไม่ถึงที่ตาย ใครหรือโรคห่าอะไรจะพิฆาตเข่นฆ่า ไม่อาสัญ

แม้นถึงที่ตาย ครบอายุขัย แม้นแต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องดับขัย

หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบาย แยกย่อยให้เห็นว่า กรรม ก็แตกแยกเป็นสอง คือ กรรมดี กรรมชั่ว

สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ ความมาตรฐาน ไม่มีลำเอียง อันหมายความว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

เมื่อศาสน์สอนให้รู้เรื่องกรรม จึงกล่าวว่า ใครว่าพรหมลิขิต แท้ที่จริงแล้ว เป็นเราท่านลิขิตชีวิตตนเองต่างหาก เพราะผลแห่งการกระทำกรรม ในอดีตนั่นแล ที่กลายมาเป็นพรหมลิขิตของเราท่านในปัจจุบัน แลผลแห่งการกระทำในปัจจุบัน ย่อมไปปรากฎผลในอนาคต

เมื่อกรรมเป็นเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวในโลก จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมโลกนี้ไม่มียารักษาโรค ก็เพราะปัญญาของมนุษย์ที่พึงมี ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญากรรม พูดให้ฟังง่าย ก็คือเป็นบริวารกรรม มีไว้สร้างกรรม จะไปเหนือกรรมได้อย่างไรนั่นเอง

หากแต่มนุษย์มีทางเลือก นั่นคือ ธรรม อันเป็นองค์กรหรือมือที่สาม ไม่ใช่กรรมดี กรรมชั่ว เป็นของนอกโลก เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกโลก ที่เป็นอำนาจที่สาม มีอำนาจเหนือกรรม ธรรมจึงไม่ใช่ กรรมดี

ความลับของจักรวาล ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนพระถ้ำกระบอก จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง มีการตกลงกัน ในวงรอบทุก ๒๕๐๐ ปี กรรม เขาจะอนุญาตให้ธรรม เข้ามามีบทบาท แก่บริวารของเขา คือ มนุษย์ นั่นคือ การมาสร้างพระพุทธเจ้า แล้วหาสาวก และก็สามารถเอาคนเหล่านั้นไปอยู่โลกนิพพานได้ ไม่ต้องเป็นบริวารกรรม คือ ไม่เกิดอีกแล้วนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าจึงมีมาเป็นล้านองค์แล้ว และเราท่านก็เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นล้านๆ ชาติ ที่ซึ่งแม่ชีเมี้ยนอุปมา คนผุ้หนึ่ง หากนำกองกระดูกมาวางรวมกัน ในทุกภพทุกชาติ ก็กองสูงอุปมาภูเขาหิมาลัยก็ปาน

เมื่อครบวงรอบ จึงเรียกสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ โลกุตระก็จะมาสอนมนุษย์ให้ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า แลพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็จะมาสังคยานาศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่ คือ เปลี่ยนยุค เริ่ม พ.ศ.๑ ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เป็นเช่นนี้มาตลอด

เมื่อเป็นมือที่สาม ศาสนาพุทธจึงสอนว่า กรรมดี ไม่เอา กรรมชั่วก็ไม่เอา สิ่งที่สอนให้ทำเรียกว่า บุญ จึงไม่มีในบัญญัติของศาสนอื่นใด หรือ ลัทธิใดในโลก

กรรมชั่ว คนทั่วไปก็พอเข้าใจได้ ว่า ไม่ควรทำ แต่กรรมดีนี่สิ น่าสงสัย ทำไมจึงไม่ควรทำ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนอดีตพุทธกาลครั้งพระโคดมให้ฟังว่า พระอัครสาวก ทั้งเบื้องซ้าย และเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลา แลพระสารีบุตร เป็นผู้ซึ่งมีความเมตตาสูง

ด้วยพระพุทธเจ้าโคดม ตั้งให้ท่าน หนึ่งเป็นพระผู้ชี้เป็น แลอีกหนึ่งเป็นพระผู้ชี้ตาย

ด้วยความเมตตาเป็นนิสัยกรรมดีแต่เดิมของท่าน ดังนั้น เมื่อทำตนจนเป็นผู้มีบุญ จึงมักใช้บุญของตนไปช่วยเหลือคนทุกข์ ตามนิสัยเมตตาของตนที่มีมาแต่เดิมนั้นเอง

ท้ายที่สุด นิสัยเมตตาของท่านทั้งสอง จึงทำให้ต้องประสพเภทภัย โดนท่อนจันทร์ทุบจนปางตายท้ั้งคู่ จนต้องละทิ้งนิสัยเมตตานี้ทิ้ง แลกลายเป็นพระอรหันต์

นิทานพุทธกาลนี้แม่ชีเมี้ยนทรงเล่าแก่พระ แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ลืมเลือนไป จนกระทั่งประสพเหตุ ที่ความเมตตาของตนมีแก่คนทั่วไปจนเกินเหตุ

พระพุทธเจ้าโคดม ตรัสแก่พระอัครสาวกทั้งสองว่า การเมตตาโดยไม่เลือกเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัตินั้น ทำให้กลายเป็นล่วงอำนาจกรรม คนที่ไม่มีคุณสมบัติ กรรมเขาจะเล่น ท่านก็เอาบุญของท่านไปขวาง ไม่ให้ได้รับผลแห่งกรรมที่ทำ

ผลก็คือ คนผู้นั้นที่ท่านเมตตา หากแต่เขามีจิตใจเป็นโจร ไม่คิดเปลี่ยนนิสัย แทนที่จะโดนกรรมเล่นให้หมดกำลัง กลายเป็นมีกำลังไปทำความเดือดร้อนให้แก่สรรพสัตว์มากมาย

ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งสองจึงเข้าข่าย "ช่วยเขาแล้วเราตาย" จึงได้รับผลเช่นนี้ มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เช่นกัน

ผลแห่งการเมตตาผู้อื่นเกินไป ไม่เลือกคุณสมบัติ มิเพียงโดนผลแห่งกรรมของผู้อื่นมาทับตน หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อำนาจตัดสินใจในการช่วยคน จึงถูกริบคืนไปด้วย

ความเป็นมือที่สาม ที่ใช้อำนาจบุญของตน ไปช่วยผู้อื่น เฉกเช่นในอดีต มาวันนี้ ทำไม่ได้อีกแล้ว

หากแต่อำนาจที่สามนี้ แม่ชีเมี้ยนก็ยังคงให้หลวงพ่อนิพนธ์อยู่ เพียงแต่วิธีการใช้เปลี่ยนไป นั่นคือ ต้องสอนให้คนผู้นั้นลดนิสัยตน แล้วนำนิสัยของพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างมานำตนแทน แล้วอำนาจจึงจะไปเกื้อกูล

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นับต่อแต่นี้ ไม่ใช่ใครมาก็ช่วย หากแต่ต้องสอน อบรม ขัดเกลา ทำให้คนผู้นั้นสร้างคุณสมบัติมารองรับอำนาจ ไปช่วยตน

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึง่ชี้ให้เห็นว่า นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมกรรมดี จึงล้างกรรมชั่วไม่ได้ แลพระเจ้าองค์ใดๆ ลัทธิความเชื่อต่างๆ ทำแล้วจึงไม่มีผล เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่ กรรม กับธรรมเท่านั้น หากอยากชนะกรรม ชนะโรค ก็ต้องอาศัยธรรม สร้างบุญ เอาไปชนะกรรม มิมีวิธีอื่นให้เลือก

เราจึงย้ำเตือนอีกครั้งว่า พระพุทธเจ้าทรงทิ้งแว่นสองจักรวาลให้มนุษย์ได้พิจารณาว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม อยู่ที่ใด ก็จะเห็นได้จาก ที่ที่ซึ่งสามารถเอาชนะโรคได้นั่นเอง เพราะโรคเป็นบริวารของกรรม แลธรรมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะชนะโรคได้

คำเตือนของหลวพ่อนิพนธ์ในวันปีใหม่ จึงกล่าวว่า พวกที่อยากเห็นอยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ แล้ววาดหวังว่า จะเหาะเหิร เดินอากาศ หรือ สร้างปาฏิหารย์เป็นอัศจรรย์ให้เห็น นั้น ศาสนาที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า หากพระพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำเช่นนั้น ก็จะได้บริวารที่มีแต่คนโง่ หาปัญญาไม่ได้เลย เพราะจะงมงายอยู่แต่ในอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ไม่ยอมทำตน ลดนิสัย หวังแต่รอปาฏิหารย์นั่นเอง

ปาฏิหารย์ของศาสนาพุทธ จึงอยู่บนดิน ทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ มนุษย์ผู้ใดมีปัญญา พิจารณาเห็น ก็จะเกิดศรัทธา พิจารณาเชื่อ แล้วทำตาม จึงเรียกศาสนาพุทธว่า เป็นศาสนาของผู้มีปัญญาด้วยเหตุนี้นั่นเอง

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44