ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559
คนละขั้ว
คำว่า ธรรม มักจะมีความหมายซ่อนอยู่ประการหนึ่ง คือ หมายถึง ธรรมชาติ
ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พิจารณาเล่นๆ ก็จะเห็นความลึกซึ้ง และอิงแอบธรรมชาติ
แค่บทเริ่ม หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวเปรียบเทียบให้เห็นว่า ไม่ว่ายาเคมี เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากปัจจัยสี่ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ตอบรับ เป็นประการแรก
ผลก็คือ หากจะใช้วิธีการนี้ ก็ต้องอาศัยการบังคับร่างกาย ที่มีฤทธิ์แทรกซึมช่วย ที่เรียกกันว่า สารนำร่อง และสารที่ว่า ก็ต้องมีพื้นฐานมาจากสารหนัก ที่ซึ่งมีคุณสมบัติดังกล่าว
แลด้วยความเป็นสารหนักนี้เอง ร่างกายก็มีขีดจำกัดในการขับออก ดังนั้น การใช้ยาเคมี จึงมีข้อจำกัด ที่เรียกว่าปริมาณที่ร่างกายรับได้ การทานเกิน จึงส่งผลต่อร่างกายมหาศาล
หากจะไปใช้ช่องทางสมุนไพร ที่มีกันดาษดื่น โฆษณาสรรพคุณกันมากหลาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้พิจารณา ว่า จะหาคนรู้สัดส่วนที่เหมาะสม แค่สูตรเดียว ใช้เวลาชั่วชีวิต อาจยังไม่พบเลย
ตัวอย่างที่เห็นชัด ไม่ต้องสมุนไพรที่ไกลตัว แค่ขิง ที่มีอยู่ในทุกครัวเรือน นักวิทยาศาสตร์ และนักสมุนไพร รู้กันดีว่า มีสารไล่ลม ที่เป็นประโยชน์ในการรักษาโรคลม ได้ดียิ่ง แต่ที่ทำได้ ก็แค่ต้มน้ำขิง เท่านั้นเอง
ความลับของจักรวาล ที่พระภูมีตรัสรู้ ทำให้เราท่านได้รู้ว่า ไม่มีสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่ง จะทำหน้าที่ได้ด้วยตัวของมันเอง นั่นคือ จะใช้ได้ ก็ต้องจับแต่งงานกับสมุนไพรชนิดอื่น
ถามว่าทำไม ก็เพื่อให้ร่างกายสามารถรับไปใช้ได้นั่นเอง มิฉะนั้น ธรรมชาติร่างกายก็จะปฏิเสธสารเหล่านี้ ขับออกจนหมดสิ้น
อ.อร่าม มักยกตัวอย่าง ยาไพลสด ที่ปกติทั่วไป ทำได้แค่เพียงเป็นสมุนไพรใช้ภายนอก หากแต่ไพลมีสารที่ร่างกายต้องการเป็นอย่างยิ่ง หากเราท่านทานไพลเข้าไป ไม่เพียงไม่มีประโยชน์ ร่างกายจะขับออก ถ่ายแทบไม่ทัน แต่เมื่อจับแต่งงานกับชนิดอื่น กลายเป็นสมุนไพรไพลสด มีสรรพคุณ ช่วยขับไล่สารพิษ หรือสารเคมีที่ตกค้าง หรือที่ อ.อร่าม เรียกว่า ดีทอกซ์ ทั้งตัว ได้อย่างน่าอัศจรรย์
หากพิจาณาในแนวคิด ด้วยความที่ทางการแพทย์จนปัญญาในการรักษา หรือ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ได้ ดังนั้น แนวความคิดในการรักษาโรค จึงเรียกว่าอยู่ในแนวทางค้นหา สารเคมี ที่มีคุณสมบัติ แบบหนังจีนเรียกว่า เดินหน้าฆ่าลูกเดียว
ตีกรอบให้แคบลง พิจารณาจากคนเป็นมะเร็ง ไม่ว่า ฉายรังสี คีโม หรือกระบวนการอื่นใด ไม่มียาที่ยับยั้งระงับการเจริญเติบโตของมะเร็ง หรือ ทำให้มะเร็งลดลงได้เลย แต่การลดลงหรือยับยั้ง ใช้กระบวนการฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย แบบระเบิดปูพรม นาปาล์ม สมัยเวียตนาม ยังไงยังงั้น หากทำลายแล้วยังหยุดไม่ได้ ก็เล่นง่าย ตัดทิ้งหนีปัญหาไปเลย
หากแต่แนวทางธรรมชาติ พระภูมีทรงตรัสรู้วัฐจักร เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ใช้สมุนไพรดำเนินกระบวนการนี้ตามธรรมชาติ ในการฟื้นฟูรักษามะเร็ง
มะเร็งเป็นเซลล์ จะกลายเป็นเนื้อร้าย ก็ต่อเมื่อเกิดความเครียด ก็ใช้การปรับเปลี่ยนนิสัย ควบคุมอารมณ์ แก้ไข อาทิเช่น ความโกรธ ความเครียด ร่างกายจะหลั่งกรด ทำให้เซลล์มะเร็งเครียด กลายเป็นเนื้อร้าย เมื่อควบคุมอารมณ์ได้ สภาวะที่จะก่อให้เกิดเนื้อร้ายก็ไม่มี ก็จะไม่กลายเป็นเนื้อร้าย หรือแตกตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ ถึงเวลาก็สลายตายไปตามวัฐจักร ประการหนึ่ง
ในขณะเซลล์ที่เป็นเนื้อร้ายแล้ว ก็ใช้สมุนไพร ไปก่อให้เกิดกระบวนการเร่งโต นั่นคือ ใช้ไฟธาตู เสมือนบ่มมะม่วง เซลล์ ก็จะเกิดสภาวะที่อึดอัด ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต เหมือนคนเราอยู่ในที่ร้อนมากๆ ก็จะตายนั่นเอง
ความวิเศษของการตายแบบตายเองนี้ มีคุณยิ่งตามธรรมชาติ เพราะเมื่อตายแล้ว ก็จะอืด เมื่ออืดก็จะเกิดความเป็นพิษบวม เปล่ง แล้วแตก เหมือนศพนั่นเอง สิ่งนี้จะทำให้เกิดการกระจายของพิษไปติดกับเซลล์มะเร็งอื่น
เสมือนปลาเน่าตัวเดียวตายทั้งข้อง ฉันใดฉันนั้น เซลล์มะเร็งที่ตายตามธรรมชาติ จะก่อให้เกิดพิษ ทำให้ตัวอื่นตายไป แล้วก็จะลุกลาม ไปทุกพื้นที่ หลังจากนั้น ร่างกายก็จะกำจัดของเสียอันนี้ออกตามธรรมชาติ
คนเป็นมะเร็ง ที่ใช้แนวทางสมุนไพร เมื่อถึงระยะหนึ่ง ก็เป็นธรรมดา ที่บริเวณที่เป็นจะบวม เพราะเซลล์มะเร็งเริ่มตาย และร่างกายก็จะเริ่มขับของเสีย มีเลือด น้ำเหลืองไหลออกเป็นธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า ยิ่งออกยิ่งดี แลเลือดที่ออก เริ่มแรกก็จะเป็นเลือดเสียทั้งหมด จึงมีสีและกลิ่นรุนแรง และจะค่อยๆ กลายเป็นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพที่ฟื้นฟูกลับมา เมื่อฟื้นฟูหมด ร่างกายก็จะสร้างเนื้อกลับมาเหมือนเดิม
จึงไม่แปลก ที่คนป่วยมะเร็งเต้านม หลายท่าน เมื่อร่างกายสะสมสมุนไพรและแก้ไข อาจจะเริ่มมีรอยแดงช้ำ แล้วบวมขึ้น จนเปล่ง แล้วแตกออก หลังจากนั้นร่างกายก็จะดันก้อนเซลล์มะเร็งออก ระหว่างนี้ก็มีกลิ่นแรง กว่าจะหลุด น้ำตาเล็ดไปหลายกระป๋อง จนบางคน กล่าวว่า ยิ่งกว่าคลอดลูกสามคนรวมกันเสียอีก แลสามีบางคนถึงกับเอาก้อนเซลล์มะเร็งไปเผาไฟ เพราะความแค้นก็มี
หลักธรรมชาติ จึงต้องอาศัยความขันติอดทนมหาศาล แต่สิ่งที่เห็นได้เด่นชัด นั่นคือ ไม่มีผลเสียใดๆต่อร่างกาย
จึงไม่แปลกที่ว่า ทำไมสมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทานไปเถอะ เหมือนอาหาร ไม่มีจำกัดปริมาณ ทานมาก ร่างกายก็จะไปสะสมเก็บไว้
และนั่นก็คือหนทางแห่งความประมาท ที่หลายคน เมื่อหยุดทานสมุนไพร ก็ยังมีสภาพที่ดีอยู่ จึงคิดว่าตนไม่ต้องทานแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แท้ที่จริง ยังมีสมุนไพรสะสมอยู่ในร่างกายตนนั่นเอง ผ่านไปสักระยะ เมื่อหมดคลัง ความเลวร้ายก็จะกลับมาเยือน ทีนี้ลำบากแล้ว เพราะจะกลับมาทานอีกครั้ง เชื้อก็พัฒนาอาจดื้อสมุนไพรแล้วก็เป็นได้
ความวิเศษของสมุนไพร ที่ไม่ใช้การฆ่า หากแต่สามารถเร่งความแก่ และความตายให้เชื้อโรค เพื่อให้ตายเหมือนธรรมชาติ และสร้างพิษให้แก่พวกตน วิธีการแบบนี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางค้นพบอย่างแน่นอน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า การฟื้นฟูตน ด้วยสมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงเป็นหนทางที่เฉียบขาด มีแต่ผลดี ปลอดภัยที่สุด เพราะพระภูมี เป็นผู้เดียวที่ตรัสรู้ ความจริงของธรรมชาติ นั่นเอง
ส่วนหมอผี พิธีกรรม นั่นยิ่งเป็นการเพ้อฝัน คิดเอาเอง พอความจริงปรากฎ ความเจ็บมาถึง ก็รู้เองว่าฝันไป ว่าหาย
หนทางเดียวที่ลดต้นตอการเกิดโรค แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้พิจารณา ว่า อยู่ที่นิสัย ... ลดนิสัยได้ ไม่ว่าโรคอะไรก็ไม่เหลือ เพราะร่างกายก็เสมือนจักรวาล จักรวาลหนึ่ง หากไม่มีลมพายุอารมณ์โหมกระหน่ำ จักรวาลก็สมดุลย์ ความเสียหายคือโรคก็ไม่มีทางบังเกิด
ดูความจริงจากโลกที่เราท่านอยู่ แค่ลมหนาวแปรปรวนจากขั้วโลก เล่นเอาอากาศป่วนไปทั่วโลก เห็นๆกันอยู่ จักรวาลในตัวเราท่านก็เช่นกัน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เจอลมพายุอารมณ์ สร้างสภาวะป่วนปั่น ระบบก็รวน เกิดกรด ต่อมไร้ท่อ ไม่ทำงาน นั่นและเหตุแห่งโรค ... นิสัยตนนั่นเอง
วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
โรคน่ากลัว
เราท่านที่มา เริ่มจากความกลัวในโรคที่เป็น สร้างทุกข์ความเจ็บ ความปวด ความทรมาน ประการหนึ่ง แต่ที่กลัวที่สุด ก็คือ ตาย ในวัยที่ยังไม่ควรตาย
จึงไม่แปลกทุกคนที่มา เริ่มแรกจึงมีความหวังเดียวคือ หายโรค
การทานสมุนไพร ทุกลมหายใจ จึงมุ่งไปที่ค่าของการตรวจ หรือตัวเลขของหมอ เป็นประเด็นสำคัญ
ความปลอดภัย จึงคิดว่า ขึ้นกับค่าอยู่ในเกณฑ์ ที่หมอพอใจ
หรือบางคนก็วิตก เมื่อน้ำหนักเพิ่มเอาเพิ่มเอา หรือ ลดลงฮวบๆ ขณะทานสมุนไพร
ความน่ากลัว จึงไม่ใช่โรคที่น่ากลัว แต่เป็นความวิตกจริตต่างหาก ที่กลับน่ากลัวกว่าโรค
ความคิดว่า สมุนไพรดี เมื่อทานแล้ว อาการต้องไม่มี ค่าต่างๆ ก็ต้องกลับมาอยู่ในเกณฑ์ของหมอ สภาพของตน ก็ต้องดูดี อะไรอะไรก็ดีไปหมด ....
หากแต่ความจริง ในทางเลือกสมุนไพรสูตรพระภุูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า ไม่เป็นเช่นนั้นเลย
เพราะธรรมของพระภูมี มีไว้ให้ใช้กรรม ตลอดเส้นทางจึงต้องทุกข์ เริ่มตั้งแต่รสชาติของสมุนไพร การเข้ากระโจม การทนอาการ ที่จะเกิดจากโรค และที่สำคัญที่สุด ทุกข์กับวินัย
และที่ต้องทุกข์หนัก ด้วยความรู้ที่ว่า ต้นเหตุที่แท้จริงแห่งทุกข์ หาใช่โรคไม่ แต่เป็นกรรม หนทางแก้มีทางเดียว คือ ลดนิสัย
โรคน่ากลัว จึงเป็นเสมือนของเด็กเล่น แท้จริงหามีไม่ แต่ที่น่ากลัว คือ นิสัยตน ต่างหาก
สิ่งที่พระภูมีสอนให้ใช้ คือ สัจจธรรม คือ ความจริงตามธรรมชาติ
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า นั่นคือ ต้องเปลี่ยนตนเป็นคนจริง ยอมรับความจริง สิ่งที่ทำไว้แล้ว ก็ต้องใช้ สิ่งที่อยากให้เป็น ก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่
นิสัยเดิม สร้างทุกข์ไว้แล้ว คนจริงก็ต้องก้มหน้ารับ ไม่ปฏิเสธทุกข์ที่จะพึงเกิด เพราะทำไว้ แล้วเปลี่ยนมาใช้นิสัยพระพุทธเจ้า สร้างสุขไว้รอในวันหน้า
เมื่อใช้ย่อมหมด กลัวแต่คนที่อยากหมด แต่ไม่ยอมใช้
โรคจึงไม่น่ากลัว เพราะใช้ก็ต้องหมด กลัวแต่คนที่ไม่ยอมลดนิสัย หมดโรคนี้ โรคใหม่ก็มาแทน ไม่จบไม่สิ้น ซ้ำร้ายกว่า บางคน หนี้เก่าก็ไม่ยอมใช้ หนี้ใหม่ก็สร้างเพิ่ม แล้วก็มาโบ้ย ทำไมทานแล้วไม่ดีขึ้น
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า ลืมไปเถอะว่ามาด้วยโรคอะไร ก้มหน้าใช้ ยังไงก็ต้องหมด ไม่ต้องไปสนโรค ควรจะให้ความสำคัญ นิสัยกรรม ที่จะต้องค้นให้เจอ แล้วเปลี่ยนมาใช้นิสัยธรรม ทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว ทำไม่ได้ แค่โรคปวดท้องก็แก้ไม่ได้แน่แท้
เริ่มมาย่อมหวังหายโรค แต่เมื่อเรียนรู้ ควรจะหวังหายนิสัยกรรม เพราะนิสัยธรรมเท่านั้น คือ ความปลอดภัยสุดยอด ทั้ง โรคตายห่า และตายโหง
วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559
รู้ได้เฉพาะตน
ทำไมเรื่องของศาสน์ จึงไ่ม่ถูกเขียนเป็นตำรา ในสมัยยุคพุทธกาล พูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ เขียนเพื่อให้เป็นวัตรปฏิบัติ จะได้ไม่ผิดเพี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ศาสน์ เป็นเรื่องของอำนาจเฉพาะตน นั่นคือ อำนาจธรรมที่พระพุทธเจ้าถือ เมื่อสิ้นสุดลมหายใจ ก็คือ สิ้นสุดอำนาจ
นั่นหมายความว่า หลังจากการดับขันธ์ จะไม่มีอำนาจธรรม ที่ทำให้คนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้อีกแล้วนั่นเอง
ประวัติศาสตร์จึงจารึกไว้ว่า สงฆ์สาวกองค์สุดท้าย ก็คือ องค์ที่ประทานอนุญาตให้บวชในวันสุดท้ายก่อนดับขันธ์ เป็นองค์ที่แปดหมื่นสี่พัน นั่นเอง หลังจากนั้นไม่มีแล้ว
ด้วยเป็นเรื่องของอำนาจประการหนึ่ง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ แต่ละบุคคลต่างกรรมต่างวาระ จะเอาเหมือนกันนั้นไม่ได้เลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้เห็นว่า ธรรมของพระภูมีจึงทรงโปรดคนทุกหมู่เหล่า ทุกประเภท จุึงปรากฎเป็นธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ให้แต่ละบุคคลนั่นเอง
เมื่อเรามาใช้ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ฟังเขาเล่า เห็นเขาเป็น ก็จะทำแบบเขา แล้วหายแบบเขา จะได้หรือ
ดูสิ คนนั้นไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ทานสมุนไพรหายวันหายคืน พิจารณาแต่สิ่งที่ตนเห็น ไม่รู้ว่าคนที่ทำตนหาย เขาทำอะไรไปบ้าง ก็เอะอะ จะเอาแบบเขา เห็นเขาอาการหนักกว่าตน ทานไม่นานก็หายแล้ว ตนก็จะเอาบ้าง กำหนดกฎเกณฑ์เองว่า ต้องเท่านั้นเท่านี้วัน อาการต้องดีขึ้น แค่นี้วันต้องหาย
ก็ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ ต่างการกระทำ จะเอาแบบเดียวกันเป็นไปไม่ได้เลย ศาสน์เขาไม่ตามนิสัยเราท่านหรอก
แลเมื่ออาการที่ปรากฎ จะอธิบายสักฉันใด คนอื่นก็ไม่รู้ จะให้เขาทำเหมือนตน ก็อาจจะไม่เป็นผลเหมือนตน จึงใช้ได้เป็นแนว แต่เอาเป็นบันทัดฐาน ที่เหมือนกันไม่ได้แน่
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทำ ก็อาจจะทำให้คนอื่นไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เราจึงอยากยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งมาให้พิจารณา เริ่มจากฝ่ายสามี ที่เป็นเรียวแรงหลักในการทำมาหากิน จนอายุย่างเข้าวัยชรา ก็ปรากฎว่า ตนเองนั้นเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ไปหาหมอเพื่อรักษา
ผ่านไปหลายปี จากเริ่มเป็น จนท้ายที่สุด หมอก็ตัดสินใจแจ้งแก่สามีว่า อาการที่เป็นถึงขั้นระยะสุดท้ายแล้ว ดูจากอาการ หมอแนะนำว่า ให้เลิกทุกสิ่งอย่าง ใช้เวลาที่เหลืออีกไม่มากไปทำตามความอยากที่อยากทำ เพราะคงเหลือเวลาไม่มากแล้ว และหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ต้องมาพบหมออีก
สามีทำการค้า ผ่านหน้ามูลนิธิทุกวัน มีลูกค้าเป็นสมาชิกมูลนิธิก็หลายคน ได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่เคยสนใจ จนวันที่หมอแจ้งอาการสุดท้าย ก็ตัดสินใจมามูลนิธิ
ผ่านไปไม่กี่เดือน สภาพอาการที่เป็นก็ไม่ทรุดลง จึงตัดสินใจ ยกธุรกิจ และโอนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ภรรยา ด้วยคิดว่าตนคงไม่รอดแน่ตามหมอบอก
ตั้งหน้าตั้งตามาทานสมุนไพร โดยหารู้ไม่ว่า สร้างความโกรธแค้นให้ภรรยา ที่สามีไม่ไปช่วยทำธุรกิจ แล้วมางมงายทานสมุนไพร แทนที่จะไปหาหมอ
ความไม่พอใจของภรรยา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีปากเสียง ฝ่ายสามี ก็มาทานสมุนไพร ผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนความอดทนของภรรยาถึงที่สุด ก็ไม่ให้เงินสามีใช้ ต้องไปขอลูกๆ พอประทังตน
ท้ายที่สุด ภรรยา ก็พาลหาเรื่องทุกวัน กลายเป็นฝ่ายสามีต้องยอมที่จะหยุดทานสมุนไพรเป็นพักๆ ช่วงที่ทะเลาะกันรุนแรง เพื่อให้เรื่องสงบ
เผลอนิดเดียวผ่านไปสิบปี สามีก็แอบมาทานสมุนไพร และเป็นจิตอาสา ตามโอกาสที่หาได้ สร้างความระอาให้ภรรยา จนตีโพยตีพาย ไปกับทุกคนที่โทรหาสามี และหาหนทางที่จะทำให้สามีไม่มามูลนิธิให้ได้
จวบจนวันนี้ ภรรยา ได้รับคำบอกจากหมอ เช่นเดียวกับสามีในอดีต นั่นคือ การเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอให้ทำใจ หมดทางรักษา
สามีก็เกลี้ยกล่อมภรรยา ให้มามูลนิธิ ด้วยจะสู้ต่อไปทางการแพทย์ ก็เสมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินทองที่มีก็คงไม่พอ และคงต้องเป็นหนี้สินในยามชราวัยแปดสิบเช่นนี้ แทนแน่
ความคิดขอภรรยา ต่อสามีก็เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ สองสามีภรรยา ก็พากันมามูลนิธิ ด้วยกันทุกวันพฤหัส และอาทิตย์
บทสรุป เรื่องของศาสน์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน ใครไม่เจอก็ไม่รู้ ความเจ็บที่เกิด ใครก็ช่วยผ่อนไม่ได้เลย และการช่วยตน จะเอาแบบคนอื่นก็ไม่ได้ อยากช่วยตน ก็ต้องทำเอง
เมื่อไม่เจ็บ ไม่เห็นโลงศพ ก็ไม่ซึ้ง จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมคนที่ยังไม่เจอปล้องกรรม โรคยังมาไม่ถึง เขาจึงไม่เห็นคุณค่า เพราะเขาเหล่านั้น ไม่คิดว่าตนจะมีวันนี้ไง
สิ่งที่เราท่านกำลังทำ จึงไม่จบเพียงแค่ตน อย่างน้อย ก็เป็นที่พึ่งของคนที่เราท่านรักในวันข้างหน้า
ส่วนความเห็นที่ไม่ตรงกัน ย่อมเป็นธรรมดา เพราะสิ่งที่ดีที่เกิด เป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตนของคนป่วยเท่านั้นเอง
อย่าไปเสียเวลา เถียงกันว่าทางไหนดี ผลแห่งการกระทำจะเป็นเครื่องชี้วัด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทำผิดผลผิดก็เกิด ทำถูกผลถูกก็เกิด จะหลอกลวงสักฉันใด สร้างภาพสักฉันใด เมื่อผลผิด คือ การไม่รอด มันเห็นกันอยู่ จะบอกได้อย่างไรว่าทางนั้นดี แลเช่นกัน หากผลถูกคือ คนรอดมีให้เห็น ใครจะว่าผิดก็ช่างเขา คนมีป้ัญญาเขาพิจารณาได้
ท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้รอยที่พระพุทธเจ้่าทุกพระองค์ทำให้ดู นั่นคือ อยากจะช่วยผู้อื่น ต้องช่วยตนของตนให้รอดก่อน จึงจะมีความรู้ที่ถูก ไปช่วยผู้อื่นได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ศาสน์ เป็นเรื่องของอำนาจเฉพาะตน นั่นคือ อำนาจธรรมที่พระพุทธเจ้าถือ เมื่อสิ้นสุดลมหายใจ ก็คือ สิ้นสุดอำนาจ
นั่นหมายความว่า หลังจากการดับขันธ์ จะไม่มีอำนาจธรรม ที่ทำให้คนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้อีกแล้วนั่นเอง
ประวัติศาสตร์จึงจารึกไว้ว่า สงฆ์สาวกองค์สุดท้าย ก็คือ องค์ที่ประทานอนุญาตให้บวชในวันสุดท้ายก่อนดับขันธ์ เป็นองค์ที่แปดหมื่นสี่พัน นั่นเอง หลังจากนั้นไม่มีแล้ว
ด้วยเป็นเรื่องของอำนาจประการหนึ่ง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ แต่ละบุคคลต่างกรรมต่างวาระ จะเอาเหมือนกันนั้นไม่ได้เลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้เห็นว่า ธรรมของพระภูมีจึงทรงโปรดคนทุกหมู่เหล่า ทุกประเภท จุึงปรากฎเป็นธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ให้แต่ละบุคคลนั่นเอง
เมื่อเรามาใช้ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ฟังเขาเล่า เห็นเขาเป็น ก็จะทำแบบเขา แล้วหายแบบเขา จะได้หรือ
ดูสิ คนนั้นไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ทานสมุนไพรหายวันหายคืน พิจารณาแต่สิ่งที่ตนเห็น ไม่รู้ว่าคนที่ทำตนหาย เขาทำอะไรไปบ้าง ก็เอะอะ จะเอาแบบเขา เห็นเขาอาการหนักกว่าตน ทานไม่นานก็หายแล้ว ตนก็จะเอาบ้าง กำหนดกฎเกณฑ์เองว่า ต้องเท่านั้นเท่านี้วัน อาการต้องดีขึ้น แค่นี้วันต้องหาย
ก็ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ ต่างการกระทำ จะเอาแบบเดียวกันเป็นไปไม่ได้เลย ศาสน์เขาไม่ตามนิสัยเราท่านหรอก
แลเมื่ออาการที่ปรากฎ จะอธิบายสักฉันใด คนอื่นก็ไม่รู้ จะให้เขาทำเหมือนตน ก็อาจจะไม่เป็นผลเหมือนตน จึงใช้ได้เป็นแนว แต่เอาเป็นบันทัดฐาน ที่เหมือนกันไม่ได้แน่
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ทำ ก็อาจจะทำให้คนอื่นไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เราจึงอยากยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งมาให้พิจารณา เริ่มจากฝ่ายสามี ที่เป็นเรียวแรงหลักในการทำมาหากิน จนอายุย่างเข้าวัยชรา ก็ปรากฎว่า ตนเองนั้นเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็ไปหาหมอเพื่อรักษา
ผ่านไปหลายปี จากเริ่มเป็น จนท้ายที่สุด หมอก็ตัดสินใจแจ้งแก่สามีว่า อาการที่เป็นถึงขั้นระยะสุดท้ายแล้ว ดูจากอาการ หมอแนะนำว่า ให้เลิกทุกสิ่งอย่าง ใช้เวลาที่เหลืออีกไม่มากไปทำตามความอยากที่อยากทำ เพราะคงเหลือเวลาไม่มากแล้ว และหมอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ต้องมาพบหมออีก
สามีทำการค้า ผ่านหน้ามูลนิธิทุกวัน มีลูกค้าเป็นสมาชิกมูลนิธิก็หลายคน ได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่เคยสนใจ จนวันที่หมอแจ้งอาการสุดท้าย ก็ตัดสินใจมามูลนิธิ
ผ่านไปไม่กี่เดือน สภาพอาการที่เป็นก็ไม่ทรุดลง จึงตัดสินใจ ยกธุรกิจ และโอนทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ภรรยา ด้วยคิดว่าตนคงไม่รอดแน่ตามหมอบอก
ตั้งหน้าตั้งตามาทานสมุนไพร โดยหารู้ไม่ว่า สร้างความโกรธแค้นให้ภรรยา ที่สามีไม่ไปช่วยทำธุรกิจ แล้วมางมงายทานสมุนไพร แทนที่จะไปหาหมอ
ความไม่พอใจของภรรยา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมีปากเสียง ฝ่ายสามี ก็มาทานสมุนไพร ผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนความอดทนของภรรยาถึงที่สุด ก็ไม่ให้เงินสามีใช้ ต้องไปขอลูกๆ พอประทังตน
ท้ายที่สุด ภรรยา ก็พาลหาเรื่องทุกวัน กลายเป็นฝ่ายสามีต้องยอมที่จะหยุดทานสมุนไพรเป็นพักๆ ช่วงที่ทะเลาะกันรุนแรง เพื่อให้เรื่องสงบ
เผลอนิดเดียวผ่านไปสิบปี สามีก็แอบมาทานสมุนไพร และเป็นจิตอาสา ตามโอกาสที่หาได้ สร้างความระอาให้ภรรยา จนตีโพยตีพาย ไปกับทุกคนที่โทรหาสามี และหาหนทางที่จะทำให้สามีไม่มามูลนิธิให้ได้
จวบจนวันนี้ ภรรยา ได้รับคำบอกจากหมอ เช่นเดียวกับสามีในอดีต นั่นคือ การเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอให้ทำใจ หมดทางรักษา
สามีก็เกลี้ยกล่อมภรรยา ให้มามูลนิธิ ด้วยจะสู้ต่อไปทางการแพทย์ ก็เสมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เงินทองที่มีก็คงไม่พอ และคงต้องเป็นหนี้สินในยามชราวัยแปดสิบเช่นนี้ แทนแน่
ความคิดขอภรรยา ต่อสามีก็เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ สองสามีภรรยา ก็พากันมามูลนิธิ ด้วยกันทุกวันพฤหัส และอาทิตย์
บทสรุป เรื่องของศาสน์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า เป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตน ใครไม่เจอก็ไม่รู้ ความเจ็บที่เกิด ใครก็ช่วยผ่อนไม่ได้เลย และการช่วยตน จะเอาแบบคนอื่นก็ไม่ได้ อยากช่วยตน ก็ต้องทำเอง
เมื่อไม่เจ็บ ไม่เห็นโลงศพ ก็ไม่ซึ้ง จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมคนที่ยังไม่เจอปล้องกรรม โรคยังมาไม่ถึง เขาจึงไม่เห็นคุณค่า เพราะเขาเหล่านั้น ไม่คิดว่าตนจะมีวันนี้ไง
สิ่งที่เราท่านกำลังทำ จึงไม่จบเพียงแค่ตน อย่างน้อย ก็เป็นที่พึ่งของคนที่เราท่านรักในวันข้างหน้า
ส่วนความเห็นที่ไม่ตรงกัน ย่อมเป็นธรรมดา เพราะสิ่งที่ดีที่เกิด เป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตนของคนป่วยเท่านั้นเอง
อย่าไปเสียเวลา เถียงกันว่าทางไหนดี ผลแห่งการกระทำจะเป็นเครื่องชี้วัด หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทำผิดผลผิดก็เกิด ทำถูกผลถูกก็เกิด จะหลอกลวงสักฉันใด สร้างภาพสักฉันใด เมื่อผลผิด คือ การไม่รอด มันเห็นกันอยู่ จะบอกได้อย่างไรว่าทางนั้นดี แลเช่นกัน หากผลถูกคือ คนรอดมีให้เห็น ใครจะว่าผิดก็ช่างเขา คนมีป้ัญญาเขาพิจารณาได้
ท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้รอยที่พระพุทธเจ้่าทุกพระองค์ทำให้ดู นั่นคือ อยากจะช่วยผู้อื่น ต้องช่วยตนของตนให้รอดก่อน จึงจะมีความรู้ที่ถูก ไปช่วยผู้อื่นได้
วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559
คนไหนเล่า
ประวัติศาสตร์ ผู้ชนะย่อมเป็นผู้เขียน เรื่องที่เล่าในประวัติศาสตร์ ย่อมเป็นธรรมดา ที่ฝ่ายเขียนย่อมเป็นตัวเอกของเรื่อง
การชำระประวัติศาสตร์ จึงมักจะพบว่า ต้องใช้ประวัติศาสตร์แวดล้อม หรือจากแหล่งอื่นๆ มากล่าวอ้างประสมด้วย เพื่อยืนยัน
ยิ่งด้วยเรื่องของศาสนาด้วยแล้ว หาผู้รู้จริง น้อยกว่าน้อย
การกล่าวอ้างทั่วไป จึงมักจะเป็นดั่งคำ เอาศาสนาบังหน้าไว้หากิน มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
หากแต่การที่เชื่อตามตำรา ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ในทีแล้วว่า "อย่าเชื่อ" หากไร้ซึ่งการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้
จึงไม่แปลก ที่หากแม้นสืบสาวตามประวัติศาสตร์ของนักโบราณคดี ในเรื่องที่มาของประไตรปิฎก ในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเรียกกันได้ว่า รู้กันเฉพาะในหมู่นักโบราณคดีเท่านั้นเอง
กระนั้นก็ตาม ย่อมยืนยันได้ว่า ผู้แต่งคือ พราหมณ์
จะผิดอยู่นิดเดียวก็คือ แม้นเชื้อสายของผู้แต่งจะเป็นพราหมณ์มาหลายชั่วคน และเป็นพราหมณ์ที่ทรงความรู้ในยุคนั้น แต่ท้ายที่สุด เมื่อจะแต่งพระไตรปิฏก ก็สละเพศพราหมณ์ ออกบวช ห่มผ้าเหลืองก่อน กลายเป็นพระ ให้คนทั้งหลายไม่รู้ความที่มา
หากจะกล่าวในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องล่วงไปถึงพุทธประวัติ แค่เฉพาะประวัติความเป็นมาของแม่ชีเมี้ยน ผู้ที่สร้างคุณูปการให้แผ่นดินไทยไว้มากมายมหาศาล ก็ถูกตัดทอน จนแทบจะไม่รู้เค้าโครงเดิมเลยก็ว่าได้
เมื่อไม่รู้เค้าโครงเดิม การกระทำในยุคหลัง ก็กล่าวอ้าง เอาแต่ส่วนที่เป็นประโยชน์ตน เสมือนพราหมณ์เขียนพระไตรปิฏำ อย่างไงอย่างงั้นเลย
นี่แลจึงไม่ต้องสงสัย หน้าที่แรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อประกาศตนเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องทรงสังคายนาศาสนาเป็นอันดับแรก ลบล้างความเชื่อที่ผิด ที่พราหมณ์เขียนบิดเบือนไว้ ให้เดินหลงทางจากศาสนาไปไกล
วันนี้ของแม่ชีเมี้ยน ก็หาคนรู้จริงน้อยกว่าน้อย แทบจะกล่าวได้ว่า หลงเหลือเฉพาะคำเล่าลือในสมุนไพรว่าดี เท่านั้นเอง
เมื่อไม่รู้รายละเอียด หรือไม่รู้เคล็ดวิชา การกระทำจึงยากจะประสพผล เหมือนหนังกำลังภายในก็ปานนั้น
เมื่อเราท่าน มาใช้ทางเลือกสมุนไพรของพระภุมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงเลยรายละเอียด หรือ ไม่คิดจะเรียนองค์ความรู้ เพื่อให้ตนประสพผลสำเร็จในการช่วยตน ความฝันจึงยากจะเป็นจริง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า หากขาดเสียซึ่งองค์ความรู้ การหายโรค ที่เป็นงานง่าย ใครๆก็ทำได้ ก็จะกลายเป็นงานยาก หาคนทำได้น้อยกว่าน้อย
แลเป็นธรรมเนียมประเพณี ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะจัดให้มีงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน เป็นประจำทุกปี ในเดือนมีนาคม และเปิดโอกาสให้เราท่านได้สัมผัส ธรรมคำสอน ที่ทรงสอนไว้เมื่อครั้งถ้ำกระบอก
หากแต่ปีนี้จะโชคดีกว่าปีอื่น เพราะมีพระลูกชายของหลวงพ่อนิพนธ์ คือ ท่านอาสิ บวชอยู่ แลก็มีความสามารถในการเขียนหนังสือ จึงรวบรวมประวัติ ของแม่ชีเมี้ยน จนมาถึงยุคหลวงพ่อนิพนธ์ในปัจจุบัน อีกทั้งธรรมคำสอนที่จำเป็น ในการฟื้นฟูตน เป็นรูปเล่ม
ก็จักเป็นองค์ความรู้ ที่ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน ที่ผู้ที่ได้อ่าน จะสามารถนำไปใช้ช่วยตน ได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมคำสอนนี้ มิได้เพียงแค่ให้เพื่อการหายโรค หากแต่เลยไปถึงความปลอดภัย และเจริญก้าวหน้าของชีวิต พัฒนาวิญญาณตนให้สูง เป็นสมบัติที่สามารถนำติดตัวไปในภพหน้า
จะได้รู้ว่า ศาสนานพุทธ สอนอะไร ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า การหายโรค เป็นเพียงน้ำจิ้ม ของแถม ให้กับผู้ที่เรียนธรรมคำสอน แล้วนำไปปฏิบัติ ผู้ใดทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว
งานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยนปีนี้ จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่หลวงพ่อนิพนธ์ จะพิมพ์หนังสือนี้แจกให้แก่ผู้มาร่วมงาน
อยากจะช่วยตน พัฒนาตน ก็ต้องรู้เขารู้เรา
ไม่รู้แม้นกระทั่ง กรรม แล้วยังไม่รู้เรื่อง ธรรม ... แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว จึงไม่แปลก วิ่งหาหนทางช่วยตนจนขาขวิด ท้ายที่สุด ฉิบหายทั้งทรัพย์สิน และชีวิต
มาดูความจริง จักเห็นว่า ทางที่จะช่วยตน ไม่ใช่ด้วยเงินทองมากองให้ และก็ไม่มีใครช่วยตัวของเราได้ นอกจากตัวของเราเอง จะลดนิสัยของเราลง เท่านั้นเอง
หนังสือที่คนอยากช่วยตน ไม่ต้องใช้สิ่งอื่นใดเลย นอกจากนิสัยตนที่มี เท่านั้นเอง หาใช่แต่งด้วยความโลภ อ้างความตายทำให้กลัว แล้วต้องดิ้นรนเอาเงินทองไปกองให้เขา เพื่อช่วยตน
หนังสือที่สร้างจากความโลภ หากินกับชีวิต จึงไม่แปลก ที่คนมีศาสนา จักรู้ทัน เพราะแค่เริ่มก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสือโกหก พกลม เพราะเริ่มมาก็ให้พึ่งผู้อื่นแล้ว จึงหาผู้สำเร็จในการช่วยตนไม่ได้แม้นแต่สักคน
มีก็แต่กล่าวอ้าง โรคที่มิใช่โรคตาย ยังไม่ถึงพรหมลิขิต มาฉายให้ดู ว่าทำได้เท่านั้นเอง เจอของจริงเข้า รายไหนรายนั้น ไม่ว่า หมอจริง หมอผี เข้าทรง องค์เจ้า ลัทธิ ... เผ่นป่าราบ ใครเอามาถวายหนีกระเจิงหมด
ศาสน์จึงสอนให้มีปัญญา จะอ่านศึกษาเรื่องใด ก็พึงตรึกตรองเสียก่อน เจตนาของผู้เขียน ผู้สอนคืออะไร จะได้รู้ว่า สิงที่เรียน มีข้อเท็จจริงมากน้อยประการใด
การชำระประวัติศาสตร์ จึงมักจะพบว่า ต้องใช้ประวัติศาสตร์แวดล้อม หรือจากแหล่งอื่นๆ มากล่าวอ้างประสมด้วย เพื่อยืนยัน
ยิ่งด้วยเรื่องของศาสนาด้วยแล้ว หาผู้รู้จริง น้อยกว่าน้อย
การกล่าวอ้างทั่วไป จึงมักจะเป็นดั่งคำ เอาศาสนาบังหน้าไว้หากิน มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไป
หากแต่การที่เชื่อตามตำรา ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ในทีแล้วว่า "อย่าเชื่อ" หากไร้ซึ่งการพิสูจน์ให้เห็นจริงได้
จึงไม่แปลก ที่หากแม้นสืบสาวตามประวัติศาสตร์ของนักโบราณคดี ในเรื่องที่มาของประไตรปิฎก ในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเรียกกันได้ว่า รู้กันเฉพาะในหมู่นักโบราณคดีเท่านั้นเอง
กระนั้นก็ตาม ย่อมยืนยันได้ว่า ผู้แต่งคือ พราหมณ์
จะผิดอยู่นิดเดียวก็คือ แม้นเชื้อสายของผู้แต่งจะเป็นพราหมณ์มาหลายชั่วคน และเป็นพราหมณ์ที่ทรงความรู้ในยุคนั้น แต่ท้ายที่สุด เมื่อจะแต่งพระไตรปิฏก ก็สละเพศพราหมณ์ ออกบวช ห่มผ้าเหลืองก่อน กลายเป็นพระ ให้คนทั้งหลายไม่รู้ความที่มา
หากจะกล่าวในยุคปัจจุบัน ไม่ต้องล่วงไปถึงพุทธประวัติ แค่เฉพาะประวัติความเป็นมาของแม่ชีเมี้ยน ผู้ที่สร้างคุณูปการให้แผ่นดินไทยไว้มากมายมหาศาล ก็ถูกตัดทอน จนแทบจะไม่รู้เค้าโครงเดิมเลยก็ว่าได้
เมื่อไม่รู้เค้าโครงเดิม การกระทำในยุคหลัง ก็กล่าวอ้าง เอาแต่ส่วนที่เป็นประโยชน์ตน เสมือนพราหมณ์เขียนพระไตรปิฏำ อย่างไงอย่างงั้นเลย
นี่แลจึงไม่ต้องสงสัย หน้าที่แรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เมื่อประกาศตนเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องทรงสังคายนาศาสนาเป็นอันดับแรก ลบล้างความเชื่อที่ผิด ที่พราหมณ์เขียนบิดเบือนไว้ ให้เดินหลงทางจากศาสนาไปไกล
วันนี้ของแม่ชีเมี้ยน ก็หาคนรู้จริงน้อยกว่าน้อย แทบจะกล่าวได้ว่า หลงเหลือเฉพาะคำเล่าลือในสมุนไพรว่าดี เท่านั้นเอง
เมื่อไม่รู้รายละเอียด หรือไม่รู้เคล็ดวิชา การกระทำจึงยากจะประสพผล เหมือนหนังกำลังภายในก็ปานนั้น
เมื่อเราท่าน มาใช้ทางเลือกสมุนไพรของพระภุมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงเลยรายละเอียด หรือ ไม่คิดจะเรียนองค์ความรู้ เพื่อให้ตนประสพผลสำเร็จในการช่วยตน ความฝันจึงยากจะเป็นจริง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า หากขาดเสียซึ่งองค์ความรู้ การหายโรค ที่เป็นงานง่าย ใครๆก็ทำได้ ก็จะกลายเป็นงานยาก หาคนทำได้น้อยกว่าน้อย
แลเป็นธรรมเนียมประเพณี ที่หลวงพ่อนิพนธ์จะจัดให้มีงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยน เป็นประจำทุกปี ในเดือนมีนาคม และเปิดโอกาสให้เราท่านได้สัมผัส ธรรมคำสอน ที่ทรงสอนไว้เมื่อครั้งถ้ำกระบอก
หากแต่ปีนี้จะโชคดีกว่าปีอื่น เพราะมีพระลูกชายของหลวงพ่อนิพนธ์ คือ ท่านอาสิ บวชอยู่ แลก็มีความสามารถในการเขียนหนังสือ จึงรวบรวมประวัติ ของแม่ชีเมี้ยน จนมาถึงยุคหลวงพ่อนิพนธ์ในปัจจุบัน อีกทั้งธรรมคำสอนที่จำเป็น ในการฟื้นฟูตน เป็นรูปเล่ม
ก็จักเป็นองค์ความรู้ ที่ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน ที่ผู้ที่ได้อ่าน จะสามารถนำไปใช้ช่วยตน ได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ธรรมคำสอนนี้ มิได้เพียงแค่ให้เพื่อการหายโรค หากแต่เลยไปถึงความปลอดภัย และเจริญก้าวหน้าของชีวิต พัฒนาวิญญาณตนให้สูง เป็นสมบัติที่สามารถนำติดตัวไปในภพหน้า
จะได้รู้ว่า ศาสนานพุทธ สอนอะไร ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า การหายโรค เป็นเพียงน้ำจิ้ม ของแถม ให้กับผู้ที่เรียนธรรมคำสอน แล้วนำไปปฏิบัติ ผู้ใดทำได้ โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว
งานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยนปีนี้ จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่หลวงพ่อนิพนธ์ จะพิมพ์หนังสือนี้แจกให้แก่ผู้มาร่วมงาน
อยากจะช่วยตน พัฒนาตน ก็ต้องรู้เขารู้เรา
ไม่รู้แม้นกระทั่ง กรรม แล้วยังไม่รู้เรื่อง ธรรม ... แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว จึงไม่แปลก วิ่งหาหนทางช่วยตนจนขาขวิด ท้ายที่สุด ฉิบหายทั้งทรัพย์สิน และชีวิต
มาดูความจริง จักเห็นว่า ทางที่จะช่วยตน ไม่ใช่ด้วยเงินทองมากองให้ และก็ไม่มีใครช่วยตัวของเราได้ นอกจากตัวของเราเอง จะลดนิสัยของเราลง เท่านั้นเอง
หนังสือที่คนอยากช่วยตน ไม่ต้องใช้สิ่งอื่นใดเลย นอกจากนิสัยตนที่มี เท่านั้นเอง หาใช่แต่งด้วยความโลภ อ้างความตายทำให้กลัว แล้วต้องดิ้นรนเอาเงินทองไปกองให้เขา เพื่อช่วยตน
หนังสือที่สร้างจากความโลภ หากินกับชีวิต จึงไม่แปลก ที่คนมีศาสนา จักรู้ทัน เพราะแค่เริ่มก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสือโกหก พกลม เพราะเริ่มมาก็ให้พึ่งผู้อื่นแล้ว จึงหาผู้สำเร็จในการช่วยตนไม่ได้แม้นแต่สักคน
มีก็แต่กล่าวอ้าง โรคที่มิใช่โรคตาย ยังไม่ถึงพรหมลิขิต มาฉายให้ดู ว่าทำได้เท่านั้นเอง เจอของจริงเข้า รายไหนรายนั้น ไม่ว่า หมอจริง หมอผี เข้าทรง องค์เจ้า ลัทธิ ... เผ่นป่าราบ ใครเอามาถวายหนีกระเจิงหมด
ศาสน์จึงสอนให้มีปัญญา จะอ่านศึกษาเรื่องใด ก็พึงตรึกตรองเสียก่อน เจตนาของผู้เขียน ผู้สอนคืออะไร จะได้รู้ว่า สิงที่เรียน มีข้อเท็จจริงมากน้อยประการใด
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559
โดดเดี่ยว
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงไม่แปลกยามมีชีวิต จึงมีพี่น้อง ญาติมิตรสหายมากมาย
ยิ่งมีพวกมาก ก็ย่อมมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้มาก
แต่เรื่องของชีวิต เมื่อพิจารณาลึกไปถึงวิญญาณ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เป็นเรื่องเฉพาะตัว
วิญญาณ เป็นเรื่องโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยหรือเกื้อกูลได้ อยากได้ต้องทำเอง
เมื่อวิญญาณออกจากร่าง สังคมที่สร้างไว้ ก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหลือแต่วิญญาณตน สิ่งที่สร้าง ดิ้นรนหามาทั้งชีวิต ก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย
เหลือเพียง กรรมดี กรรมชั่ว หรือ บุญ ที่สร้างไว้ยามมีชีวิตแค่นั้นเอง
พระภูมีชี้ให้เห็นความจริงข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เมื่อมาพบศาสนา จึงไม่มีใครอื่นเลย นอกจากตัวของเรา ใจของเรา กับพระภูมีเท่านั้นเอง
จุดประสงค์ในการมาแผ่นดินของศาสนา จึงไม่ได้มาเพื่อสร้างสังคม ไม่ได้มาเพื่อพบคนอื่นใด เพราะผู้ที่จะช่วย มีเพียงธรรมคำสอน ที่หลวงพ่อนิพนธ์รับจากแม่ชีเมี้ยนมาให้เท่านั้นเอง
เหตุใดการเดินของเราท่านในการฟื้นฟูตนจึงล่าช้า หรือไม่ก้าวหน้าอันใดเลย ก็เพราะลืมความจริงข้อนี้ไปนั่นเอง
ด้วยนิสัยกรรมที่สั่งสมมานาน แลขาดสติ เมื่อมาถึง นิสัยเดิมก็กลืนกิน เดินเลยเจตนาที่จะมาทำตามธรรมคำสอนเพื่อช่วยตน กลายมาเป็นมาเพื่อคุยเรื่องที่ตนชอบ มาเพื่อธุรกิจ มาเพื่อของถูกกว่ากันไม่กี่บาท ...สิ่งที่ตั้งเจตนามา เลยกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ให้ความสำคัญ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเคล็ดในการฟื้นฟูตน ว่า ควรทำตนเสมือนตนตายไปแล้ว ไม่สามารถคุยกับใคร ไม่มีญาติ มีแต่ตน แล้วฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำตาม
ธรรมเป็นของสูง ยกวิญญาณขึ้นสูงได้ เมื่อใจสูง
ถามตนเองบ้าง ไปมูลนิธิเจอธรรมคำสอน ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จากหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนแล้วเก็บมาใช้นำตนบ้างหรือยัง
นั่นคือ ในตนของเรามีนิสัยพระภูมีบ้างแล้วหรือยัง หากว่ายัง การมาก็เสียเปล่า
นี่แลจึงเป็นเหตุว่าทำไมแผ่นดินศาสนา จึงมีแต่ความสงบ
ก็เพราะทุกคนที่ไปหาพระภูมี เขาทำตน เสมือนมีตัวเขากับพระภูมีสองคนเท่านั้นเอง ถึงจะมีผู้คนรายรอบมากมาย ก็เสมือนไม่มี เพราะสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา คือ พระภูมี ตั้งสติ สงบ รอฟังคำสอน แล้วเอามาช่วยตน
คุยที่ไหน เวลาไหนก็ได้ ธุรกิจก็ทำที่ไหนก็ได้ สิ่งใดๆ ทำที่ไหนๆก็ได้ ... แต่เรื่องของชีวิต เรื่องของบุญ หากไร้ซึ่งพระภูมี ธรรมคำสอน และอยู่ในแผ่นดินของเขา ไม่มีทางได้สัมผัสบุญ แล้วจะเอาอะไรมาช่วยตน
เรื่องของวิญญาณ จึงเป็นเรื่องโดดเดี่ยว เวลาทุกข์ วิญญาณเราก็ทุกข์อยู่คนเดี่ยว จะหาใครช่วยแบ่งเบาไม่มีเลย แต่เวลาสร้างกรรม แห่แหนชวนกันทำ
คิดจะช่วยตน อย่าไปผูกติดกับใคร ฟังใครมาก เพราะคนที่จะช่วยให้รอด มีคนเดียวคือหลวงพ่อนิพนธ์
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพระต้องตัดทางโลก เปลี่ยนชื่อ แล้วเราท่านมาเดินตามรอย แม้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม จะไม่ยอมตัดอะไรเลยหรือ แม้นแต่พฤติกรรมก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ จะต่างกับคนทั่วไปอย่างไร มันจึงไม่รอดเหมือนกันนั่นแล
พระภูมี ได้ชื่อว่า "มนุษย์เหนือโลก" ไม่ว่ายตามกระแสกรรม เราท่านไม่ฝืนนิสัยแม้นแต่น้อยนิด ควบคุมตนสักหน่อย ให้เดินในรอยธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
ใครว่า มียาดีทำให้หายโรคก็ว่ากันไป เชื่อกันไป แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทางเดียวที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัส ในการช่วยตนให้หายโรค นั่นคือ "ลดนิสัย"
ยิ่งมีพวกมาก ก็ย่อมมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้มาก
แต่เรื่องของชีวิต เมื่อพิจารณาลึกไปถึงวิญญาณ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เป็นเรื่องเฉพาะตัว
วิญญาณ เป็นเรื่องโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยหรือเกื้อกูลได้ อยากได้ต้องทำเอง
เมื่อวิญญาณออกจากร่าง สังคมที่สร้างไว้ ก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เหลือแต่วิญญาณตน สิ่งที่สร้าง ดิ้นรนหามาทั้งชีวิต ก็เอาอะไรไปไม่ได้เลย
เหลือเพียง กรรมดี กรรมชั่ว หรือ บุญ ที่สร้างไว้ยามมีชีวิตแค่นั้นเอง
พระภูมีชี้ให้เห็นความจริงข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เมื่อมาพบศาสนา จึงไม่มีใครอื่นเลย นอกจากตัวของเรา ใจของเรา กับพระภูมีเท่านั้นเอง
จุดประสงค์ในการมาแผ่นดินของศาสนา จึงไม่ได้มาเพื่อสร้างสังคม ไม่ได้มาเพื่อพบคนอื่นใด เพราะผู้ที่จะช่วย มีเพียงธรรมคำสอน ที่หลวงพ่อนิพนธ์รับจากแม่ชีเมี้ยนมาให้เท่านั้นเอง
เหตุใดการเดินของเราท่านในการฟื้นฟูตนจึงล่าช้า หรือไม่ก้าวหน้าอันใดเลย ก็เพราะลืมความจริงข้อนี้ไปนั่นเอง
ด้วยนิสัยกรรมที่สั่งสมมานาน แลขาดสติ เมื่อมาถึง นิสัยเดิมก็กลืนกิน เดินเลยเจตนาที่จะมาทำตามธรรมคำสอนเพื่อช่วยตน กลายมาเป็นมาเพื่อคุยเรื่องที่ตนชอบ มาเพื่อธุรกิจ มาเพื่อของถูกกว่ากันไม่กี่บาท ...สิ่งที่ตั้งเจตนามา เลยกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ให้ความสำคัญ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกเคล็ดในการฟื้นฟูตน ว่า ควรทำตนเสมือนตนตายไปแล้ว ไม่สามารถคุยกับใคร ไม่มีญาติ มีแต่ตน แล้วฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำตาม
ธรรมเป็นของสูง ยกวิญญาณขึ้นสูงได้ เมื่อใจสูง
ถามตนเองบ้าง ไปมูลนิธิเจอธรรมคำสอน ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จากหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนแล้วเก็บมาใช้นำตนบ้างหรือยัง
นั่นคือ ในตนของเรามีนิสัยพระภูมีบ้างแล้วหรือยัง หากว่ายัง การมาก็เสียเปล่า
นี่แลจึงเป็นเหตุว่าทำไมแผ่นดินศาสนา จึงมีแต่ความสงบ
ก็เพราะทุกคนที่ไปหาพระภูมี เขาทำตน เสมือนมีตัวเขากับพระภูมีสองคนเท่านั้นเอง ถึงจะมีผู้คนรายรอบมากมาย ก็เสมือนไม่มี เพราะสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา คือ พระภูมี ตั้งสติ สงบ รอฟังคำสอน แล้วเอามาช่วยตน
คุยที่ไหน เวลาไหนก็ได้ ธุรกิจก็ทำที่ไหนก็ได้ สิ่งใดๆ ทำที่ไหนๆก็ได้ ... แต่เรื่องของชีวิต เรื่องของบุญ หากไร้ซึ่งพระภูมี ธรรมคำสอน และอยู่ในแผ่นดินของเขา ไม่มีทางได้สัมผัสบุญ แล้วจะเอาอะไรมาช่วยตน
เรื่องของวิญญาณ จึงเป็นเรื่องโดดเดี่ยว เวลาทุกข์ วิญญาณเราก็ทุกข์อยู่คนเดี่ยว จะหาใครช่วยแบ่งเบาไม่มีเลย แต่เวลาสร้างกรรม แห่แหนชวนกันทำ
คิดจะช่วยตน อย่าไปผูกติดกับใคร ฟังใครมาก เพราะคนที่จะช่วยให้รอด มีคนเดียวคือหลวงพ่อนิพนธ์
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพระต้องตัดทางโลก เปลี่ยนชื่อ แล้วเราท่านมาเดินตามรอย แม้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม จะไม่ยอมตัดอะไรเลยหรือ แม้นแต่พฤติกรรมก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ จะต่างกับคนทั่วไปอย่างไร มันจึงไม่รอดเหมือนกันนั่นแล
พระภูมี ได้ชื่อว่า "มนุษย์เหนือโลก" ไม่ว่ายตามกระแสกรรม เราท่านไม่ฝืนนิสัยแม้นแต่น้อยนิด ควบคุมตนสักหน่อย ให้เดินในรอยธรรมคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่าแพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
ใครว่า มียาดีทำให้หายโรคก็ว่ากันไป เชื่อกันไป แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทางเดียวที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัส ในการช่วยตนให้หายโรค นั่นคือ "ลดนิสัย"
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559
ภาพอนาคต
สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดสร้างขึ้น หาใช่เพียงเพื่อปัจจุบันกาลของเราท่านไม่
เพราะชีวิตเราท่าน ยังมีอายุขัย บางคนอาจจะอีกหลายสิบปี
การฟื้นฟูตนในวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า มีความหมายต่อชีวิต
มิใช่เพียงแค่หายโรคในปัจจุบันกาล หากแต่ชีวิตในภายภาคหน้าที่จะดำรงอยู่ จนสิ้นอายุขัย
พฤติกรรมที่กระทำบนแผ่นดินนี้ จึงมีความสำคัญยิ่ง
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงอุปมาเสมือนท่าเรือ ที่รอเรือชีวิต ของสรรพสัตว์ ที่ผุพังก่่อนเวลาอันควร เข้ามาซ่อมแซม แล้วก็จากไป
หากแต่ในภายภาคหน้า เมื่อเรือนั้น ไม่คิดที่จะฝ่าฟันพายุอีกต่อไป ก็ยังสามารถเข้ามาพำนัก เป็นเรือนตาย ได้ หากไม่มีพฤติกรรมทำลายท่าไปซะก่อน
วันนี้ ชายสูงวัยที่ผ่านชีวิตมาพอควร กำลังเป็นต้นแบบ ภาพอนาคตให้เราท่านเห็น ด้วยวัยกลางคน ประสพเหตุเป็นโรคสันนิบาตลูกนก สั่นไปทั้งตัว แม้นแต่กินข้าวให้ตรงปากยังลำบาก
เขาตามน้องชายที่เป็นเอดส์ และพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ ช่วยฟื้นฟูตน จนหาย กลับไปมีครอบครัว มีลูกชายที่น่ารัก มีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็รับผู้เป็นพี่เข้ามาฟื้นฟูตน จนหายดี แล้วก็ลากลับไปใช้ชีวิตในโลก เผลอนิดเดียว ผ่านไปกว่ายี่สิบปี
ชายผู้พี่ กลายเป็นชายสูงวัย ก็กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ และขอพำนักพักพิง ด้วยตนเองคงยากที่จะอยู่กับโลกภายนอกในยามชราเช่นนี้แล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า สิ่งที่กระทำ มีความหมาย มิใช่เพียงเพื่อวันนี้ หากแต่ในภายภาคหน้า เลยไปถึงชาติหน้าอีกต่างหาก
ภาพอนาคตของเราท่านหลายคน อาจจะเดินตามชายชราผู้นี้ก็เป็นได้ วันหนึ่ง เมื่อไฟทางโลกหมดลง หรือ ชีวิตที่เหลือ ไม่อยากจะแสวงหาสิ่งใด ก็พากายตน มาฝากไว้ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน ทำตนให้มีความหมายจนสิ้นอายุขัย
อย่าให้ความสำคัญกับการหายโรคเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่ศาสนามีให้ การหายโรคนั้นกลับเป็นของแถม มิใช่เนื่อหาที่สำคัญแก่ชีวิต
"องค์ความรู้" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนจากหลวงพ่อนิพนธ์ และค้นหา สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย สิ่งใดที่กระทำแล้วมีผลต่อชีวิต จะได้ไม่ถูกใครหลอก งมงายอยู่กับสิ่งที่ทำแล้วไร้ผล กว่าจะรู้ก็ยามที่ใกล้จะหมดลม กลับมาบอกลูกหลานก็ไม่ได้
ชาตินี้ได้เวียนมาใกล้ธรรมคำสอน ควรที่จะพาตนไปสัมผัส จะได้รู้ว่า ทำไมคนทั้งโลก แม้นไม่นับถือพระพุทธเจ้า หากแต่ก็ต้องยอมรับในธรรมคำสอน และบุญญาธิการ
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า บุญที่แท้จริงเป็นเช่นไร มันต่างกับกรรมดีตรงไหน ถึงไม่ทำ ก็จะได้ไม่ถูกพวกคนโลภ หลอกเร่เอาบุญเก๊มาหากิน ทำจนตาย มีแต่บุญที่เป็นลม ช่วยตนไม่ได้
นี่คือคำตอบว่า ทำไมคนในอดีตยามชราจึงพากันไปวัด เพราะนั่นคือสมบัติเพียงอย่างเดียว ที่พาติดตัวไปได้ยามสิ้นลม นั่นเอง เป็นเสบียงไว้ใช้ในชาติหน้า
เพราะชีวิตเราท่าน ยังมีอายุขัย บางคนอาจจะอีกหลายสิบปี
การฟื้นฟูตนในวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า มีความหมายต่อชีวิต
มิใช่เพียงแค่หายโรคในปัจจุบันกาล หากแต่ชีวิตในภายภาคหน้าที่จะดำรงอยู่ จนสิ้นอายุขัย
พฤติกรรมที่กระทำบนแผ่นดินนี้ จึงมีความสำคัญยิ่ง
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงอุปมาเสมือนท่าเรือ ที่รอเรือชีวิต ของสรรพสัตว์ ที่ผุพังก่่อนเวลาอันควร เข้ามาซ่อมแซม แล้วก็จากไป
หากแต่ในภายภาคหน้า เมื่อเรือนั้น ไม่คิดที่จะฝ่าฟันพายุอีกต่อไป ก็ยังสามารถเข้ามาพำนัก เป็นเรือนตาย ได้ หากไม่มีพฤติกรรมทำลายท่าไปซะก่อน
วันนี้ ชายสูงวัยที่ผ่านชีวิตมาพอควร กำลังเป็นต้นแบบ ภาพอนาคตให้เราท่านเห็น ด้วยวัยกลางคน ประสพเหตุเป็นโรคสันนิบาตลูกนก สั่นไปทั้งตัว แม้นแต่กินข้าวให้ตรงปากยังลำบาก
เขาตามน้องชายที่เป็นเอดส์ และพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ ช่วยฟื้นฟูตน จนหาย กลับไปมีครอบครัว มีลูกชายที่น่ารัก มีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้
หลวงพ่อนิพนธ์ ก็รับผู้เป็นพี่เข้ามาฟื้นฟูตน จนหายดี แล้วก็ลากลับไปใช้ชีวิตในโลก เผลอนิดเดียว ผ่านไปกว่ายี่สิบปี
ชายผู้พี่ กลายเป็นชายสูงวัย ก็กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ และขอพำนักพักพิง ด้วยตนเองคงยากที่จะอยู่กับโลกภายนอกในยามชราเช่นนี้แล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า สิ่งที่กระทำ มีความหมาย มิใช่เพียงเพื่อวันนี้ หากแต่ในภายภาคหน้า เลยไปถึงชาติหน้าอีกต่างหาก
ภาพอนาคตของเราท่านหลายคน อาจจะเดินตามชายชราผู้นี้ก็เป็นได้ วันหนึ่ง เมื่อไฟทางโลกหมดลง หรือ ชีวิตที่เหลือ ไม่อยากจะแสวงหาสิ่งใด ก็พากายตน มาฝากไว้ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน ทำตนให้มีความหมายจนสิ้นอายุขัย
อย่าให้ความสำคัญกับการหายโรคเป็นที่สุด เพราะสิ่งที่ศาสนามีให้ การหายโรคนั้นกลับเป็นของแถม มิใช่เนื่อหาที่สำคัญแก่ชีวิต
"องค์ความรู้" จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนจากหลวงพ่อนิพนธ์ และค้นหา สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย สิ่งใดที่กระทำแล้วมีผลต่อชีวิต จะได้ไม่ถูกใครหลอก งมงายอยู่กับสิ่งที่ทำแล้วไร้ผล กว่าจะรู้ก็ยามที่ใกล้จะหมดลม กลับมาบอกลูกหลานก็ไม่ได้
ชาตินี้ได้เวียนมาใกล้ธรรมคำสอน ควรที่จะพาตนไปสัมผัส จะได้รู้ว่า ทำไมคนทั้งโลก แม้นไม่นับถือพระพุทธเจ้า หากแต่ก็ต้องยอมรับในธรรมคำสอน และบุญญาธิการ
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า บุญที่แท้จริงเป็นเช่นไร มันต่างกับกรรมดีตรงไหน ถึงไม่ทำ ก็จะได้ไม่ถูกพวกคนโลภ หลอกเร่เอาบุญเก๊มาหากิน ทำจนตาย มีแต่บุญที่เป็นลม ช่วยตนไม่ได้
นี่คือคำตอบว่า ทำไมคนในอดีตยามชราจึงพากันไปวัด เพราะนั่นคือสมบัติเพียงอย่างเดียว ที่พาติดตัวไปได้ยามสิ้นลม นั่นเอง เป็นเสบียงไว้ใช้ในชาติหน้า
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559
สองภาพสองมุม
แผ่นดินสองแผ่นดิน อันเป็นร่มไทรของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สร้างขึ้น อันได้แก่ แผ่นดิน ไทยกรุณา ที่กาญจนบุรี และ แผ่นดิน แม่ชีเมี้ยนกรุณา ที่ลพบุรี
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องแยก ฉันสะดวกที่ลพบุรี ไปรับที่นั่นไม่ได้หรือ ต้องให้ถ่อมาถึงกาญจนบุรี สร้างความลำบาก เดินทางก็ไกล ค่าใช้จ่ายก็เยอะ
หากมองด้วยตา นำภาพสองภาพมาประกบกัน แล้วดู
ภาพที่เห็นด้วยตา แผ่นดินลพบุรี ตอนนี้ มีคนไข้ประจำอยู่ ประมาณสิบคน มีพื้นที่มากมายกว่ากาญจนบุรี หลายเท่า
คนที่มีน้อยกว่า ไทยกรุณา เป็นร้อยเท่า หากแต่แผ่นดินลพบุรี พื้นที่ทั้งหมด โล่งเตียน ตรงไหนว่าง นำต้นไม้ไปปลูก ตรงไหนเหมาะ สร้างเป็นที่พักอาศัย เตรียมให้คนป่วย ไม่มีขยะกลาดเกลื่อนแม้นแต่ชิ้นเดียว
ด้วยความที่มีคนน้อย การปลูกสร้างห้องน้ำ ที่นำโดยพระสองรูป และญาติโยมที่น้อยนิด น้อยจนกระทั่ง แม่ชีสูงวัยกว่า ๘๐ ปี เห็นแล้วต้องมาช่วยพระหิ้วปูน
คนป่วยที่อยู่ ส่วนใหญ่ ก็คือ มะเร็ง ที่หมอทิ้งทั้งหมดทั้งปวง หากแต่ไม่มีคนใดเลย ที่อยู่เฉย อย่างชียะ ปวดท้องเจียนตาย ด้วยมะเร็งลำไส้ ยามปวดมากก็พัก พอคลายปวด ก็รีบหาอะไรทำ ตามกำลังที่มี ดูช่างโหดร้ายสุดประมาณ คนป่วยใกล้ตาย ต้องมาทำงาน ไม่ยอมให้พักผ่อน นอนเฉยๆ เหมือนในโรงพยาบาล
ภาพที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ นั่นคือ ใจ หรือความอยากช่วยตนให้ประสพผล มิใช่ลมปาก หรือนั่งฝัน
ดังนั้น สิ่งที่คนป่วยทุกคนที่แผ่นดิน แม่ชีเมี้ยนกรุณา มี แต่ที่ ไทยกรุณา หาได้ยาก นั่นคือ การใจจดใจจ่อ ฟังในสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พูด สอน ให้พิจารณา แล้วนำไปปฏิบัติ เพื่อช่วยตน
ปัจจัยหลักในการประสพผล นั่นคือ องค์ความรู้ ศาสตร์ในโลก ทุกท่าน อาจจะมีความรู้มากมายกว่าหลวงพ่อนิพนธ์มากมายนัก แต่ศาสตร์ของชีวิต หรือ ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะมาช่วยชีวิตตน นั้น ไม่มีใครรู้นอกจากหลวงพ่อนิพนธ์
เราจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงเรียกแผ่นดิน ไทยกรุณา ว่าเป็นทาน เพราะสิ่งที่ให้ไป จะหวังผลแน่นอนอะไรไม่ได้เลย หากแต่เป็นความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นหนทางเลือก ซึ่งจะช่วยได้มากน้อยเท่าไหร่ ก็ไม่ว่ากัน
หากแต่แผ่นดิน แม่ชีเมี้ยนกรุณา มิใช่เพียงหลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้นที่เป็นผู้ให้ คนป่วยที่มา ก็ทำตนเป็นพระเวสสันดร เป็นผู้ให้เฉกเช่นเดียวกัน
การพยายามทำตน ปฏิบัติตามคำสอน เพื่อช่วยตนอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือ มุ่งหวังผลสำเร็จ ประดุจตบมือพร้อมกัน จนเกิดผล คนป่วยก็ช่วยตนได้ตามปรารถนา และเป็นคนดี หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้บุญ จากการช่วยเฉกเช่นเดียวกัน เรียกว่า ได้กันทั้งสองฝ่าย จึงเรียกแผ่นดินบุญ
ไม่ใช่ ไม่ใช่ แผ่นดินทั้งสองนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ได้ตั้งมาเพื่อหาเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ดังนั้น จึงเปิดทุกประเด็นให้พิจารณา พิจารณาเชื่อแล้วทำตาม
เป็นทางสายกลาง ที่พระภูมีทรงบัญญัติ ใครก็ได้ เชื้อชาติใด ชนชาติใด ทำได้ เข้ามา ไม่จำเป็นต้องรวย มีเงิน มีเกียรติ ถึงจะมี แต่ทำไม่ได้ ก็หาที่ยืนในแผ่นดินนี้ยาก
คนป่วยที่นี่ กำลังทำตัวเป็นใบหยก มาประดับกิ่งทอง
ย้อนกลับไปดูเราท่าน ที่ไทยกรุณา ดูต้นไม้ ดูสถานที่ ดูการกระทำ และที่สำคัญ ดูใจ
เมื่อเปรียบสองภาพนี้แล้ว เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แผ่นดินแม่ชีเมี้ยนกรุณา หากไม่ถึงพรหมลิขิตต้องตายแล้ว มาร้อยก็หายร้อย ในขณะที่แผ่นดินไทยกรุณา กลับหวังผลอะไรแน่นอนไม่ได้เลย
บทสรุป ผลแห่งการหาย ตัวแปรที่สำคัญ จึงหาใช่สมุนไพรไม่ เพราะสองแผ่นดิน ก็ทานเหมือนกัน หม้อเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อถามว่าหายไม่หาย คำตอบจึงอยู่ที่คำคำเดียว คือ "ใจ"
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559
ทำเพื่อบุญเพื่อทาน
สถานที่นี้ มีจุดประสงค์ ทำเพื่อบุญ เพื่อทาน ดังนั้น จึงเปรียบเสมือนมะนาวกลมกลิ้ง ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีคู ไม่มีมุมที่ซ่อนเร้น
และที่สำคัญ จึงไม่ได้ทำเพื่อหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็เลยไม่แปลกที่จะไม่มีการประชาสัมพันธ์ใดๆ แม้นแต่ป้ายของมูลนิธิ ยังไม่มีเลย
การดำเนินกิจกรรม จุดประสงค์มุ่งหมายหลัก นั่นคือ เป็นแผ่นดินของศาสนา ที่มีไว้เพื่อรวมคนทุกข์เข้าด้วยกัน และสร้างกิจกรรม เพื่อเสียสละ อาศัยธรรมคำสอนของศาสนา เป็นเครื่องชี้นำตนเป็นคนดี ตามแนวทางที่ศาสน์บัญญัติ และหวังในผลแห่งการกระทำนั้นเพียงเพื่อช่วยตน ให้ถึงมนุษย์สมบัติ คือ ความไม่มีโรค และปรารถนา มรรคผล นิพพาน ในภาคหน้า เป็นสำคัญ
หลวงพ่อนิพนธ์ พูดให้ฟังง่าย ก็คือ ทำตนรอพระพุทธเจ้านั่นเอง
หากแต่มนุษย์มีหลายจำพวก คนที่มาก็มีความหวังแตกต่างกัน ถึงกระนั้น ก็แบ่งแยกเด่นชัด ตามศาสน์ได้เป็นสองจำพวก คือ พระเวสสันดร และชูชก นั่นเอง
มูลนิธิไทยกรุณา จึงเปรียบเสมือน สถานที่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจ เลือกทางเลือกในการช่วยตนนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ฝึกเบื้องต้น ในการสร้างคุณสมบัติเพื่อช่วยตน ให้สมปรารถนา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีจุดมุ่งหมาย เป็นแหล่งทานบารมี นั่นหมายความว่า สิ่งที่เสียสละนั้น เพียงแค่หวังผลไชยทาน อันเป็นการกระทำเพื่อล้างกรรมที่เคยกระทำมาในอดีต ของผู้เสียสละ ที่เคยกระทำแก่ผู้อื่น ในอดีตชาติที่ผ่านมานั่นเอง
ด้วยเจตจำนงเป็นผลไชยทาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเข้มงวด ในพฤติกรรมของผู้มารับ มากนัก และนั่นก็หมายถึง ผลที่เกิด แก่ผู้รับ ก็คาดคะเน เอาแน่นอนไม่ได้เช่นกัน
หากแต่แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยนที่ลพบุรี คือ แม่ชีเมี้ยนกรุณา มีเจตจำนงค์ที่ต่างกัน นั่นคือ หวังในบุญบารมี จึงต้องมุ่งเน้นผลสำเร็จในการช่วยตน เป็นสำคัญ
ด้วยบุญจะบังเกิดแก่ผู้ให้ แลผู้เสียสละ ก็ต้องเกิดผลในการกระทำนั้นๆ เสียก่อน หากการช่วย แม้นจะมีเจตนาดีเต็มร้อยสักฉันใด ผู้ที่ถูกช่วยไม่ประสพผล การกระทำนั้นก็สูญ หาเป็นบุญคืนกลับมายังผู้ให้ แลผู้เสียสละแม้นแต่น้อยนิดไม่
คุณสมบัติ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อไม่มีใจ ปรารถนาในมรรคผล นิพพาน โดยอาศัย การฟัง พิจารณา จนเกิดศรัทธา แล้วทำตาม แล้วไซร้ ความอยากกลับตนเป็นคนดี ก็ไม่บังเกิด ก็จักไม่มีการควบคุมนิสัยตน ไม่ว่า นิสัยกาย นิสัยวาจา แลนิสัยใจ จนเกิดผลสำเร็จในการช่วยตน อย่างแน่นอน
เรียกว่า แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง นั่นเอง
แลภาษิตที่ว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ย่อมใช้ได้ดี
คนที่เป็นโรคตาย ดิ้นรนไปทุกที่ ล้วนแต่ทางตัน เมื่อมาพบแสงธรรม จึงรู้ค่า คนเหล่านี้ย่อมฝึกง่าย เป็นธรรมดา เพราะทุกข์เกิดแล้วนั่นเอง
เมื่อสร้างความเข้าใจได้ตรงกัน เมื่อนำคนเหล่านี้ไปสร้างคุณสมบัติ เพื่อรองรับอำนาจธรรม เพื่อช่วยตน ให้พ้นทุกข์ จึงเป็นเรื่องง่าย หลวงพ่อนิพนธ์บอกอะไร ก็ทำตาม สอดคล้องเป็นกิ่งทอง ใบหยก นั่นเอง
การช่วยตนได้ของคนเหล่านี้ นั่นคือ ผลบุญ ที่จะมาตอบแทนผู้ให้ และผู้เสียสละ
แผ่นดินแม่ชีเมี้ยนกรุณา จึงเป็นแผ่นดินที่มีเพื่อ การสร้างบุญบารมีนั่นเอง
อนาคต จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมการพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ที่ มูลนิธิไทยกรุณา จึงเป็นเรื่องยาก หากแต่การพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ แม่ชีเมี้ยนกรุณา กลายเป็นเรื่องง่าย
เพราะนับแต่นี้ วันเวลาของหลวงพ่อนิพนธ์ คงจะไม่ยอมเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ให้กับผู้ที่ ไม่หวังผลในการทำตนเป็นคนดี หรือ หวังมรรคผลนิพพานในภายภาคหน้า เป็นแน่แท้
เก็บวันเวลาที่มีค่าเหล่านั้น ให้กับคนที่อยากได้ เสมือนที่พระพุทธเจ้า ทรงใช้เวลาเฉพาะกับบุรุษที่สมควรฝึกได้เท่านั้นแล
ถึงเราท่านจะไม่ได้เห็นความงดงาม เฉกเช่นจริยวัตรของพระอริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ในแผ่นดินไทย หากแต่ก็มีโอกาสได้เห็น เมืองของคนศิวิไลซ์ คือ เมืองคนดี มีธรรมนำตน ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน อย่างแน่นอน
เมืองที่คนทั้งเมือง กลัวกรรม จึงมีสติที่จะสร้างสุขให้ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ดังนั้น เมืองศิวิไลซ์ ไม่ใช่เมืองที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า หากแต่เป็นเมืองที่ผู้คนในเมืองนั้น เป็นคนดี มีธรรมต่างหาก
ฤาจะเรียกเมืองศิวิไลซ์ ว่า เป็นเมืองแห่งพระเวสสันดร ก็ว่าได้
และที่สำคัญ จึงไม่ได้ทำเพื่อหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็เลยไม่แปลกที่จะไม่มีการประชาสัมพันธ์ใดๆ แม้นแต่ป้ายของมูลนิธิ ยังไม่มีเลย
การดำเนินกิจกรรม จุดประสงค์มุ่งหมายหลัก นั่นคือ เป็นแผ่นดินของศาสนา ที่มีไว้เพื่อรวมคนทุกข์เข้าด้วยกัน และสร้างกิจกรรม เพื่อเสียสละ อาศัยธรรมคำสอนของศาสนา เป็นเครื่องชี้นำตนเป็นคนดี ตามแนวทางที่ศาสน์บัญญัติ และหวังในผลแห่งการกระทำนั้นเพียงเพื่อช่วยตน ให้ถึงมนุษย์สมบัติ คือ ความไม่มีโรค และปรารถนา มรรคผล นิพพาน ในภาคหน้า เป็นสำคัญ
หลวงพ่อนิพนธ์ พูดให้ฟังง่าย ก็คือ ทำตนรอพระพุทธเจ้านั่นเอง
หากแต่มนุษย์มีหลายจำพวก คนที่มาก็มีความหวังแตกต่างกัน ถึงกระนั้น ก็แบ่งแยกเด่นชัด ตามศาสน์ได้เป็นสองจำพวก คือ พระเวสสันดร และชูชก นั่นเอง
มูลนิธิไทยกรุณา จึงเปรียบเสมือน สถานที่เปิดโอกาสให้ตัดสินใจ เลือกทางเลือกในการช่วยตนนั่นเอง ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ฝึกเบื้องต้น ในการสร้างคุณสมบัติเพื่อช่วยตน ให้สมปรารถนา
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีจุดมุ่งหมาย เป็นแหล่งทานบารมี นั่นหมายความว่า สิ่งที่เสียสละนั้น เพียงแค่หวังผลไชยทาน อันเป็นการกระทำเพื่อล้างกรรมที่เคยกระทำมาในอดีต ของผู้เสียสละ ที่เคยกระทำแก่ผู้อื่น ในอดีตชาติที่ผ่านมานั่นเอง
ด้วยเจตจำนงเป็นผลไชยทาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเข้มงวด ในพฤติกรรมของผู้มารับ มากนัก และนั่นก็หมายถึง ผลที่เกิด แก่ผู้รับ ก็คาดคะเน เอาแน่นอนไม่ได้เช่นกัน
หากแต่แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยนที่ลพบุรี คือ แม่ชีเมี้ยนกรุณา มีเจตจำนงค์ที่ต่างกัน นั่นคือ หวังในบุญบารมี จึงต้องมุ่งเน้นผลสำเร็จในการช่วยตน เป็นสำคัญ
ด้วยบุญจะบังเกิดแก่ผู้ให้ แลผู้เสียสละ ก็ต้องเกิดผลในการกระทำนั้นๆ เสียก่อน หากการช่วย แม้นจะมีเจตนาดีเต็มร้อยสักฉันใด ผู้ที่ถูกช่วยไม่ประสพผล การกระทำนั้นก็สูญ หาเป็นบุญคืนกลับมายังผู้ให้ แลผู้เสียสละแม้นแต่น้อยนิดไม่
คุณสมบัติ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อไม่มีใจ ปรารถนาในมรรคผล นิพพาน โดยอาศัย การฟัง พิจารณา จนเกิดศรัทธา แล้วทำตาม แล้วไซร้ ความอยากกลับตนเป็นคนดี ก็ไม่บังเกิด ก็จักไม่มีการควบคุมนิสัยตน ไม่ว่า นิสัยกาย นิสัยวาจา แลนิสัยใจ จนเกิดผลสำเร็จในการช่วยตน อย่างแน่นอน
เรียกว่า แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง นั่นเอง
แลภาษิตที่ว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ย่อมใช้ได้ดี
คนที่เป็นโรคตาย ดิ้นรนไปทุกที่ ล้วนแต่ทางตัน เมื่อมาพบแสงธรรม จึงรู้ค่า คนเหล่านี้ย่อมฝึกง่าย เป็นธรรมดา เพราะทุกข์เกิดแล้วนั่นเอง
เมื่อสร้างความเข้าใจได้ตรงกัน เมื่อนำคนเหล่านี้ไปสร้างคุณสมบัติ เพื่อรองรับอำนาจธรรม เพื่อช่วยตน ให้พ้นทุกข์ จึงเป็นเรื่องง่าย หลวงพ่อนิพนธ์บอกอะไร ก็ทำตาม สอดคล้องเป็นกิ่งทอง ใบหยก นั่นเอง
การช่วยตนได้ของคนเหล่านี้ นั่นคือ ผลบุญ ที่จะมาตอบแทนผู้ให้ และผู้เสียสละ
แผ่นดินแม่ชีเมี้ยนกรุณา จึงเป็นแผ่นดินที่มีเพื่อ การสร้างบุญบารมีนั่นเอง
อนาคต จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมการพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ที่ มูลนิธิไทยกรุณา จึงเป็นเรื่องยาก หากแต่การพบเจอหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ แม่ชีเมี้ยนกรุณา กลายเป็นเรื่องง่าย
เพราะนับแต่นี้ วันเวลาของหลวงพ่อนิพนธ์ คงจะไม่ยอมเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ให้กับผู้ที่ ไม่หวังผลในการทำตนเป็นคนดี หรือ หวังมรรคผลนิพพานในภายภาคหน้า เป็นแน่แท้
เก็บวันเวลาที่มีค่าเหล่านั้น ให้กับคนที่อยากได้ เสมือนที่พระพุทธเจ้า ทรงใช้เวลาเฉพาะกับบุรุษที่สมควรฝึกได้เท่านั้นแล
ถึงเราท่านจะไม่ได้เห็นความงดงาม เฉกเช่นจริยวัตรของพระอริยสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ในแผ่นดินไทย หากแต่ก็มีโอกาสได้เห็น เมืองของคนศิวิไลซ์ คือ เมืองคนดี มีธรรมนำตน ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน อย่างแน่นอน
เมืองที่คนทั้งเมือง กลัวกรรม จึงมีสติที่จะสร้างสุขให้ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ดังนั้น เมืองศิวิไลซ์ ไม่ใช่เมืองที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า หากแต่เป็นเมืองที่ผู้คนในเมืองนั้น เป็นคนดี มีธรรมต่างหาก
ฤาจะเรียกเมืองศิวิไลซ์ ว่า เป็นเมืองแห่งพระเวสสันดร ก็ว่าได้
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559
หันมากินหมูดีกว่ามั๊ง
คำตรัสของแม่ชีเมี้ยนในอดีตที่มีแก่หลวงพ่อนิพนธ์ในการช่วยคน ซึ่งถือว่าเป็นคำแนะนำที่มองการณ์ไกล รู้นิสัยสันดานมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ ให้เริ่มจากโรคตาย หรือที่หมดหนทาง อาทิ ยาเสพติด เอดส์ มะเร็ง
แต่ด้วยนิสัยที่เมตตาแห่งตน ให้โอกาสคน จากบทเริ่มที่เน้นโรคตาย ก็กลายมาเป็นรับทั้งหมด
ผ่านมา ๓๐ ปี บริบูรณ์ เป็นบทพิสูจน์ อย่างเด่นชัดว่า คำของแม่ชีเมี้ยนนั้น มีคุณค่า และเป็นจริง เพราะเมื่อรับจำพวก โรคทรมาน หรือ พวกที่ยังมีวันเวลามากมาย คนเหล่านั้น ย่อมมีทางเลือก และก็น้อยคนที่จะให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ให้จบลุล่วง
การสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ถูกคนเหล่านั้น เมิน ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะสิ่งที่เกิดกับตนนั้นยังไม่วิกฤต นั่นเอง
มาวันนี้ เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้คนไข้มะเร็งชาวอเมริกา มาพำนักพักฟื้นฟูตน คำบอกของคนไข้ก็คือ แล้วแต่หลวงพ่อนิพนธ์สั่ง จะให้ทำอย่างไร ไม่กำหนดกะเกณฑ์ว่ากี่วันหาย
สภาพก็ดีวันดีคืน หากแต่ผ่านไปยังไม่ครบเดือน พรรคพวกชาวอเมริกัน ที่รู้ข่าวและเป็นมะเร็งเช่นกัน ก็พยายามสืบเสาะจากเพื่อนคนไทย จนมาถึงเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์ และติดต่อ ขอให้ช่วยพามาหาหลวงพ่อนิพนธ์
เมื่อโรคที่เป็น รู้แก่ใจตนดีว่า หนทางอื่นในโลก ตนก็ลองมาหมด แล้วหยุดปัญหาที่เกิดไม่ได้ เมื่อมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ ก็รู้ว่า ควรทำเช่นไร แล้วแต่ท่านจะสั่ง ว่าอย่างไรก็ตามนั้น
สถานที่นี้ไม่จนตรอก ไม่จำเป็นต้องง้อใคร ด้วยเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอ ในคำแม่ชีเมี้ยนที่ทรงตรัสว่า ไม่ต้องกลัวไม่มีงานหรอก เพราะสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่คนต้องการ และไม่มีใครทำได้
จากคนไข้ชาวอเมริกันสองคนนี้ ทำให้คำชี้แนะของแม่ชีเมี้ยนในอดีต หวนกลับมาให้คิดคำนึง อีกครั้ง
เปลี่ยนหัวเรือไปเดินตามทางที่ทรงชี้ดีที่สุด
แผ่นดินลพบุรี คัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติ จึงน่าจะเริ่มจาก พวกโรคตาย เหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่มีทางเลือก ทำความเข้าใจ และสอนง่าย
อาทิตย์ที่ผ่านมา จึงเป็นคำกล่าว ทีเล่นทีจริง ว่า ใครจะไปอยู่ลพบุรี คนผู้นั้นต้องเป็นมะเร็งก่อน แบบใกล้ตาย จะได้คุยง่าย สอนง่าย และก็ฟื้นฟูตนง่าย
หนทางรอดทางเดียว ที่แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์มาบอก นั่นคือ "ลดนิสัยกรรม เอานิสัยธรรมมานำตน"
ใครที่คิดว่าตนแน่ ไม่สน ไม่ทำ ก็ว่ากันไป ไม่ว่ากัน จะทานสมุนไพร ก็ให้ รับได้ที่มูลนิธิ หากแต่แผ่นดินลพบุรี คงไม่มีที่ให้
คนที่ไปแผ่นดินลพบุรี มีคุณสมบัติ ก็เสมือนทำตนเป็นหมูให้กิน การฟื้นฟูตน จากโรคที่โลกกลัว ดูร้ายแรง ก็กลายเป็นหมูในอวย หนทางชนะ เห็นอย่างแน่นอน
มองให้ซึ้ง แผ่นดินลพบุรี ก็จะเห็นว่า เป็นแผ่นดินที่ใช้สร้างพระเวสสันดร นั่นเอง ชูชก ห้ามเหยียบ จะทำก็ได้แต่เป็นยักษ์หน้าโบสถ์ อยากเข้าก็เข้าไม่ได้
ถึงเวลาต้องหันมากินหมูแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์จะได้ไม่เหนื่อยเปล่า นั่นคือ เวลาที่ต้องเอาคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำรอยไว้
แต่ด้วยนิสัยที่เมตตาแห่งตน ให้โอกาสคน จากบทเริ่มที่เน้นโรคตาย ก็กลายมาเป็นรับทั้งหมด
ผ่านมา ๓๐ ปี บริบูรณ์ เป็นบทพิสูจน์ อย่างเด่นชัดว่า คำของแม่ชีเมี้ยนนั้น มีคุณค่า และเป็นจริง เพราะเมื่อรับจำพวก โรคทรมาน หรือ พวกที่ยังมีวันเวลามากมาย คนเหล่านั้น ย่อมมีทางเลือก และก็น้อยคนที่จะให้ความสำคัญในการแก้ปัญหา ให้จบลุล่วง
การสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ก็ถูกคนเหล่านั้น เมิน ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะสิ่งที่เกิดกับตนนั้นยังไม่วิกฤต นั่นเอง
มาวันนี้ เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้คนไข้มะเร็งชาวอเมริกา มาพำนักพักฟื้นฟูตน คำบอกของคนไข้ก็คือ แล้วแต่หลวงพ่อนิพนธ์สั่ง จะให้ทำอย่างไร ไม่กำหนดกะเกณฑ์ว่ากี่วันหาย
สภาพก็ดีวันดีคืน หากแต่ผ่านไปยังไม่ครบเดือน พรรคพวกชาวอเมริกัน ที่รู้ข่าวและเป็นมะเร็งเช่นกัน ก็พยายามสืบเสาะจากเพื่อนคนไทย จนมาถึงเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์ และติดต่อ ขอให้ช่วยพามาหาหลวงพ่อนิพนธ์
เมื่อโรคที่เป็น รู้แก่ใจตนดีว่า หนทางอื่นในโลก ตนก็ลองมาหมด แล้วหยุดปัญหาที่เกิดไม่ได้ เมื่อมาพบหลวงพ่อนิพนธ์ ก็รู้ว่า ควรทำเช่นไร แล้วแต่ท่านจะสั่ง ว่าอย่างไรก็ตามนั้น
สถานที่นี้ไม่จนตรอก ไม่จำเป็นต้องง้อใคร ด้วยเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอ ในคำแม่ชีเมี้ยนที่ทรงตรัสว่า ไม่ต้องกลัวไม่มีงานหรอก เพราะสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่คนต้องการ และไม่มีใครทำได้
จากคนไข้ชาวอเมริกันสองคนนี้ ทำให้คำชี้แนะของแม่ชีเมี้ยนในอดีต หวนกลับมาให้คิดคำนึง อีกครั้ง
เปลี่ยนหัวเรือไปเดินตามทางที่ทรงชี้ดีที่สุด
แผ่นดินลพบุรี คัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติ จึงน่าจะเริ่มจาก พวกโรคตาย เหล่านี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่มีทางเลือก ทำความเข้าใจ และสอนง่าย
อาทิตย์ที่ผ่านมา จึงเป็นคำกล่าว ทีเล่นทีจริง ว่า ใครจะไปอยู่ลพบุรี คนผู้นั้นต้องเป็นมะเร็งก่อน แบบใกล้ตาย จะได้คุยง่าย สอนง่าย และก็ฟื้นฟูตนง่าย
หนทางรอดทางเดียว ที่แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้หลวงพ่อนิพนธ์มาบอก นั่นคือ "ลดนิสัยกรรม เอานิสัยธรรมมานำตน"
ใครที่คิดว่าตนแน่ ไม่สน ไม่ทำ ก็ว่ากันไป ไม่ว่ากัน จะทานสมุนไพร ก็ให้ รับได้ที่มูลนิธิ หากแต่แผ่นดินลพบุรี คงไม่มีที่ให้
คนที่ไปแผ่นดินลพบุรี มีคุณสมบัติ ก็เสมือนทำตนเป็นหมูให้กิน การฟื้นฟูตน จากโรคที่โลกกลัว ดูร้ายแรง ก็กลายเป็นหมูในอวย หนทางชนะ เห็นอย่างแน่นอน
มองให้ซึ้ง แผ่นดินลพบุรี ก็จะเห็นว่า เป็นแผ่นดินที่ใช้สร้างพระเวสสันดร นั่นเอง ชูชก ห้ามเหยียบ จะทำก็ได้แต่เป็นยักษ์หน้าโบสถ์ อยากเข้าก็เข้าไม่ได้
ถึงเวลาต้องหันมากินหมูแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์จะได้ไม่เหนื่อยเปล่า นั่นคือ เวลาที่ต้องเอาคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทำรอยไว้
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559
ต้องงี้สิ
ทุกคนที่มาที่นี่ แบกความหวังกันมาทุกตัวคน ฟังแต่เสียงเล่าลือ ที่นี่ยาดี กินแล้วหาย
ความจริงข้อหนึ่ง อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสน์ นั่นคือ คนผู้ที่ทำ จะพึงรู้ได้ด้วยตน มิหนำซ้ำ รู้อยู่คนเดียว
ด้วยทุกคน ต่างกรรม ต่างวาระ หนทางในการช่วยตน ที่ใช้ได้กับตน จะมาใช้กับผู้อื่น แบบลอกข้อสอบในการช่วยตน จึงหาได้ไม่
หากแต่คนมีปัญญา พิจารณา ย่อมรู้แก่ใจว่า หนทางที่เดินอยู่ เป็นเช่นไร สิ่งที่ตนทำ มากน้อยเพียงใด แลผลที่ได้ คืออะไร
ในวันปีใหม่ เราเห็นปาฏิหารย์สิ่งหนึ่งที่เด่นชัด เป็นรูปธรรมสัมผัสได้ ที่สำคัญ พูดได้
สิ่งนั้นคือ ท่าน ผ.อ.โรงเรียน ผู้ซึ่งประสบชะตากรรม ต้องนั่งรถเข็น ด้วยโรคลูคิวลิก หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ชายเลยวัยเกษียณ นั่งรถเข็น ไม่มีแววของความย่อท้อต่อความลำบาก มานั่งสวดมนต์ที่สำนักสงฆ์ ในคืนปีใหม่ เพียงคนเดียว ในบรรดา คนป่วยรถเข็นนับร้อยๆ ของหลวงพ่อนิพนธ์
สืบสาวว่า ทำไมเขาถึงมา ก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อย้อนไปเมื่อ ๔ ปี ที่แล้ว เมื่ออาการของเขาเริ่มรุนแรง จนหมอหมดทาง แสงสว่างอันน้อยนิดแห่งแสงธรรม ทำให้เขาเลือกที่จะมาลองเดินทางนี้ดู
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวแก่ท่าน ผ.อ. ในวันแรกที่มาว่า โรคนี้ รู้กันดีว่า เป็นโรคเสมือนระเบิดเวลา นั่นคือ เมื่ออาการปรากฎ ก็นับไปได้เลย ว่า เหลือเวลากี่ปี ที่โรคจะถึงที่สุดแล้วตายไป
หมอบอกแก่ ผ.อ.ว่า ระบบต่างๆของร่างกาย จะเริ่มล้มเหลวไปทีละส่วน ไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนในที่สุดเมื่อครบวาระ ก็จะถึงแก่ชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้ท่าน ผ.อ.ตัดสินใจ ไม่รับรองว่า จะช่วยได้สักเท่าไหร่ แต่ก็ลองดูสักตั้งได้
ท่าน ผ.อ. ใช้น้ำอด น้ำทน ต่อสู้อาการ แลทานสมุนไพรอย่างไม่ย่อท้อ มาจนถึงวันนี้ ก็ปีที่ ๔ แล้ว
อะไรเล่า ทำให้ท่าน ผ.อ. ไม่กลัวยากลำบาก ตัวเองนั่งรถเข็น ยังเดินทางมาสวดมนต์ ทุกปี ยิ่งในปีนี้สถานที่ยิ่งลำบาก ท่านก็ไม่ขาด
การมาสวดมนต์ พร้อมใบตรวจเช็คร่างกายล่าสุด สภาพอวัยวะของท่าน ผ.อ. ไม่ว่า ตับ ไต หัวใจ .... ล้วนแล้วอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย จะมีก็แต่กล้ามเนื้อ ที่ยังไม่มีแรงพอที่จะทำให้กลับมาเดินได้เท่านั้นเอง
มาวันนี้ หมอบอกว่า ไม่มีแววที่จะเสียชีวิตเลย ผิดธรรมชาติของโรค ที่อวัยวะทุกส่วน มีแต่เสื่อมลง อย่างรวดเร็ว
นี่มิใช่ปาฏิหารย์ เรียกอะไร
แต่เพื่อจะให้ได้ปาฏิหารย์เกิดแก่ตน ต้องใช้อะไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครซึ้ง นอกจากท่าน ผ.อ. คนเดียว
แลปาฏิหารย์สุดท้าย นั่นคือ กลับมาเดินได้ ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นแค่ความฝันที่ไม่มีโอกาสเป็นจริง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้ดูว่า ปาฏิหารย์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แต่ใครละจะทำตนไปให้ถึง จนมีคุณสมบัติได้สัมผัสปาฏิหารย์
วันเวลาในการสร้างบาป มีไม่มีหมด แต่วันเวลาในการสร้างบุญ มีข้อแม้เต็มไปหมด ความอยากพ้นทุกข์ อยากหายโรค มันก็เป็นได้แค่ความอยาก ไม่มีทางเป็นจริง เพราะสิ่งที่ทำ ไม่นำพาตนเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นที่พี่งแห่งตนได้
ภาพที่ดูแล้วตลก แบบขำไม่ออก นั่นคือ คนช่วย กุลีกุจอ ทำให้ไม่มีวันหยุด ไม่เคยบ่นขอลาพัก เปิดทุกพฤหัส และอาทิตย์ แต่คนที่มาพึ่ง ที่บอกว่าตนเองทุกข์ กลับบอกว่า ไม่มีเวลา มาก็เหนื่อย เสียเงิน เสียทอง นึกอยากหยุดก็หยุด อยากมาก็มา
ศาสน์ เป็นหลักปราชญ์ คนอย่าง ผ.อ.นี้แหละ ที่ค้นหา และไม่กลัวเลยว่า สิ่งที่เผชิญโลกเขาจะบอกว่า ไม่มีทาง ถ้ามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ฟ้าดิน กำหนด โรคอะไรก็ไม่เหลือ วันหนึ่งเราท่านจะได้เห็นท่าน ผ.อ. กลับมาเดินอย่างแน่นอน
คนประเภทนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล้าการันตีว่า มาร้อยก็หายร้อย มาพันก็หายพัน ... ถ้าไม่ถึงซึ่งพรหมลิขิต หมดอายุขัย หายล้านเปอร์เซ็นต์
เปลี่ยนใจเสียเถอะ จะมาหายด้วยนั่งสวดมนต์ภาวนา ลุกขึ้นไปวาดมือตีน อุปมาเสมือน นั่งให้ตายข้าวก็ไม่มีวันสุกให้ได้ทาน นอกเสียจาก ลุกเดินไปหยิบข้าวสาร มาซาวแล้วหุง ติดไฟ ตั้งหม้อ รอไม่นาน ก็ได้ข้าวสุกกิน อย่างแน่นอน
ความจริงข้อหนึ่ง อันเป็นเอกลักษณ์ของศาสน์ นั่นคือ คนผู้ที่ทำ จะพึงรู้ได้ด้วยตน มิหนำซ้ำ รู้อยู่คนเดียว
ด้วยทุกคน ต่างกรรม ต่างวาระ หนทางในการช่วยตน ที่ใช้ได้กับตน จะมาใช้กับผู้อื่น แบบลอกข้อสอบในการช่วยตน จึงหาได้ไม่
หากแต่คนมีปัญญา พิจารณา ย่อมรู้แก่ใจว่า หนทางที่เดินอยู่ เป็นเช่นไร สิ่งที่ตนทำ มากน้อยเพียงใด แลผลที่ได้ คืออะไร
ในวันปีใหม่ เราเห็นปาฏิหารย์สิ่งหนึ่งที่เด่นชัด เป็นรูปธรรมสัมผัสได้ ที่สำคัญ พูดได้
สิ่งนั้นคือ ท่าน ผ.อ.โรงเรียน ผู้ซึ่งประสบชะตากรรม ต้องนั่งรถเข็น ด้วยโรคลูคิวลิก หรือ ที่คนไทยเรียกกันว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ชายเลยวัยเกษียณ นั่งรถเข็น ไม่มีแววของความย่อท้อต่อความลำบาก มานั่งสวดมนต์ที่สำนักสงฆ์ ในคืนปีใหม่ เพียงคนเดียว ในบรรดา คนป่วยรถเข็นนับร้อยๆ ของหลวงพ่อนิพนธ์
สืบสาวว่า ทำไมเขาถึงมา ก็ไม่น่าแปลกใจ เมื่อย้อนไปเมื่อ ๔ ปี ที่แล้ว เมื่ออาการของเขาเริ่มรุนแรง จนหมอหมดทาง แสงสว่างอันน้อยนิดแห่งแสงธรรม ทำให้เขาเลือกที่จะมาลองเดินทางนี้ดู
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวแก่ท่าน ผ.อ. ในวันแรกที่มาว่า โรคนี้ รู้กันดีว่า เป็นโรคเสมือนระเบิดเวลา นั่นคือ เมื่ออาการปรากฎ ก็นับไปได้เลย ว่า เหลือเวลากี่ปี ที่โรคจะถึงที่สุดแล้วตายไป
หมอบอกแก่ ผ.อ.ว่า ระบบต่างๆของร่างกาย จะเริ่มล้มเหลวไปทีละส่วน ไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนในที่สุดเมื่อครบวาระ ก็จะถึงแก่ชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้ท่าน ผ.อ.ตัดสินใจ ไม่รับรองว่า จะช่วยได้สักเท่าไหร่ แต่ก็ลองดูสักตั้งได้
ท่าน ผ.อ. ใช้น้ำอด น้ำทน ต่อสู้อาการ แลทานสมุนไพรอย่างไม่ย่อท้อ มาจนถึงวันนี้ ก็ปีที่ ๔ แล้ว
อะไรเล่า ทำให้ท่าน ผ.อ. ไม่กลัวยากลำบาก ตัวเองนั่งรถเข็น ยังเดินทางมาสวดมนต์ ทุกปี ยิ่งในปีนี้สถานที่ยิ่งลำบาก ท่านก็ไม่ขาด
การมาสวดมนต์ พร้อมใบตรวจเช็คร่างกายล่าสุด สภาพอวัยวะของท่าน ผ.อ. ไม่ว่า ตับ ไต หัวใจ .... ล้วนแล้วอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย จะมีก็แต่กล้ามเนื้อ ที่ยังไม่มีแรงพอที่จะทำให้กลับมาเดินได้เท่านั้นเอง
มาวันนี้ หมอบอกว่า ไม่มีแววที่จะเสียชีวิตเลย ผิดธรรมชาติของโรค ที่อวัยวะทุกส่วน มีแต่เสื่อมลง อย่างรวดเร็ว
นี่มิใช่ปาฏิหารย์ เรียกอะไร
แต่เพื่อจะให้ได้ปาฏิหารย์เกิดแก่ตน ต้องใช้อะไร ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครซึ้ง นอกจากท่าน ผ.อ. คนเดียว
แลปาฏิหารย์สุดท้าย นั่นคือ กลับมาเดินได้ ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นแค่ความฝันที่ไม่มีโอกาสเป็นจริง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้ดูว่า ปาฏิหารย์มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แต่ใครละจะทำตนไปให้ถึง จนมีคุณสมบัติได้สัมผัสปาฏิหารย์
วันเวลาในการสร้างบาป มีไม่มีหมด แต่วันเวลาในการสร้างบุญ มีข้อแม้เต็มไปหมด ความอยากพ้นทุกข์ อยากหายโรค มันก็เป็นได้แค่ความอยาก ไม่มีทางเป็นจริง เพราะสิ่งที่ทำ ไม่นำพาตนเข้าใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนเป็นที่พี่งแห่งตนได้
ภาพที่ดูแล้วตลก แบบขำไม่ออก นั่นคือ คนช่วย กุลีกุจอ ทำให้ไม่มีวันหยุด ไม่เคยบ่นขอลาพัก เปิดทุกพฤหัส และอาทิตย์ แต่คนที่มาพึ่ง ที่บอกว่าตนเองทุกข์ กลับบอกว่า ไม่มีเวลา มาก็เหนื่อย เสียเงิน เสียทอง นึกอยากหยุดก็หยุด อยากมาก็มา
ศาสน์ เป็นหลักปราชญ์ คนอย่าง ผ.อ.นี้แหละ ที่ค้นหา และไม่กลัวเลยว่า สิ่งที่เผชิญโลกเขาจะบอกว่า ไม่มีทาง ถ้ามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ ฟ้าดิน กำหนด โรคอะไรก็ไม่เหลือ วันหนึ่งเราท่านจะได้เห็นท่าน ผ.อ. กลับมาเดินอย่างแน่นอน
คนประเภทนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล้าการันตีว่า มาร้อยก็หายร้อย มาพันก็หายพัน ... ถ้าไม่ถึงซึ่งพรหมลิขิต หมดอายุขัย หายล้านเปอร์เซ็นต์
เปลี่ยนใจเสียเถอะ จะมาหายด้วยนั่งสวดมนต์ภาวนา ลุกขึ้นไปวาดมือตีน อุปมาเสมือน นั่งให้ตายข้าวก็ไม่มีวันสุกให้ได้ทาน นอกเสียจาก ลุกเดินไปหยิบข้าวสาร มาซาวแล้วหุง ติดไฟ ตั้งหม้อ รอไม่นาน ก็ได้ข้าวสุกกิน อย่างแน่นอน
วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559
วางไว้ก่อน
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากอดีตพุทธกาล ยุคพระพุทธเจ้าโคดม นั่นคือ จำนวนสาวกที่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับลัทธิความเชื่ออื่นๆ หากแต่กระนั้นก็ตาม แม้นคนส่วนใหญ่อาจจะไม่นับถือเป็นศาสดาของตน แต่ก็ยอมรับในบุญญาธิการ และ คำสอน
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า ศาสน์ของพระภูมี มนุษย์บอกว่าดีดี แต่ไม่เอา ไม่อยากทำ เพราะมันทำยาก อันหมายถึง อยากจะได้สิ่งใด ต้องทำเอง ด้วยเหตุที่นิสัยกรรม มันคือนิสัยชูชก ที่มักจะร้องขอ คือ อยากได้ แต่ไม่อยากทำนั่นเอง
แลดั่งคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงกล่าวว่า "กรรมเขาเป็นพี่ ธรรมเขาเป็นน้อง" หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เพราะกรรมเขามาก่อน อยู่ติดกับมนุษย์เป็นนิสัยสันดาน มานับล้านๆชาติ
ดังนั้น เมื่อเวียนว่ายมาเจอศาสนา จึงเข้าใจได้ว่า ทุกคนย่อมมีความคิด ความเชื่อ เป็นของตนเอง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว และความเชื่อนี้ก็ฝังแน่น จนบางครั้งยากจะถอน จึงไม่ว่ากัน
ศาสน์ของพระภูมี ต้องการความเชื่อหนึ่งเดียว เพื่อให้การปฏิบัติลุล่วง หากแต่ก็รู้ในพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น จึงไม่กำหนดกะเกณฑ์ว่า ต้องทิ้งความเชื่อเดิม
แต่สิ่งที่ควรทำ คือ วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน เพื่อเปิดรับความรู้ของศาสน์ แล้วพิจารณา นำไปช่วยตน
มิฉะนั้นแล้ว เมื่อสิ่งดีๆเกิด ก็ไม่รู้ว่า เกิดจากพฤติกรรมใด และผลมาจากที่ไหน เมื่อคราวคับขัน เกิดวิกฤตกับชีวิต ต้องการบุญเร่งด่วน ก็อาจทำให้ไขว้เขว่ ทำผิด ทำถูก จนไม่สามารถช่วยตนได้
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า เสมือนมาทานสมุนไพร แต่ก็บนบานเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือวัดที่ตนนับถือ เมื่อสภาพของตนดีขึ้น ก็บอกว่า เพราะตนไปบนไว้ รีบไปแก้บน
ฟ้าดิน ก็มองว่า คนจำพวกนี้ เนรคุณ ขาดความกตัญญู ตัวเองรอดมาด้วยสมุนไพร ด้วยวินัยธรรมของพระภุมี นั่นหมายถึง การถูกตีตราว่า เป็นผู้ขาดคุณสมบัติของศาสนา ไปในบัดดล
ครั้นชะตากรรมเลวร้าย ปล้องถัดไปมาถึง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิ วัดต่างๆ เผ่นหนีกันหมด ก็เวียนวนกลับมาหาศาสนา ขอทานสมุนไพรอีก ...
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทีนี้เป็นเรื่องยาก เพราะขาดคุณสมบัติไปเสียแล้ว ครั้งแรกกรรมที่ทำ ทำไปด้วยความไม่รู้ แต่เมื่อเรียนแล้ว รู้แล้ว ยังทำ อันนี้ สมุนไพรก็ช่วยไม่ได้ เสมือน ความผิดที่กระทำโดยเจตนา
การไม่วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน แล้วจึงทำ หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาผลแห่งการกระทำ เสมือน เรือชีวิตของเราท่านรั่ว ผุพัง แล้วมาเข้าท่าของศาสนาเพื่อซ่อม เมื่อซ่อมเสร็จ ออกเรือได้ แทนที่จะรู้คุณท่า และทำนุบำรุงรักษาไว้เผื่ออนาคต แต่กลับทำลายท่าเรือนั้นทิ้งเสีย เมื่อเรือเสียหายอีกครั้ง กลับมาก็ไม่มีท่าให้ซ่อมอีกแล้วนั่นเอง
บทสรุป ไม่ว่าชาติพันธ์ุใด ศาสนาใด เมื่อเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนา ก็มีสิทธิ์ใช้ธรรมสมุนไพร และวินัยธรรมของพระภูมี ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่ากัน หากแต่ขอเพียงวางความเชื่อเดิมของตนไว้ก่อน เมื่อช่วยตนได้ จะได้รู้ว่า สิ่งที่ช่วยตนคืออะไร แลเมื่อช่วยตนแล้ว รู้แล้ว เมื่อกลับออกไป จะถือความเชื่อเดิม ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
ถ้ายาในโลกของท่าน คือ พระเจ้าของท่าน กินปุ๊บหายปวดปั๊บ มาในแผ่นดินนี้ ก็หยุดยาเคมีซะ ทานสมุนไพรไป หายแล้ว กลับไปจะกลับไปทานยาแก้ปวดอีก ก็ไม่ว่ากัน เพราะถึงตอนนั้น เรือท่านก็แข็งแกร่งแล้ว แต่ตอนนี้ พระเจ้าท่านยาแก้ปวด มันเอาโรค และหยุดอาการปวดไม่ได้แล้ว ... หรือหยุดได้ แต่อาการแทรกซ้อนก็มากมายจนร่างกายรับไม่ไหว จึงขอให้วางไว้ก่อน
เราจึงมักเรียกศาสน์ของพระภูมีว่า เผด็จการประชาธิปไตย อันหมายความว่า จะเข้า จะออก แล้วแต่ความสมัครใจ หากแต่เมื่อเลือกที่จะเข้ามา ก็เจอเผด็จการ หากอยากช่วยตน ก็ต้องทำตามธรรมวินัย จะใช้นิสัยสันดานตน แม้นแต่น้อยไม่ได้เลย นั่นเอง
คาถาสำเร็จ ที่แม่ชีเมี้ยนชี้ช่องให้ มีหนทางเดียว คือ อยากช่วยตน ต้องลดนิสัย แล้วทานสมุนไพรไป ไม่มีอื่นใดให้เลือก เสมือนไม้ไผ่ลำเดียว ที่ทอดพาดผ่านทะเลทุกข์
เมื่อมา ก็แสดงว่าสมัครใจ ที่จะทำตาม จึงไม่แปลก ที่เราท่านอาจจะเห็น เจ้าหน้าที่ วิทยากร รวมไปถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อาจจะไล่ คนที่ไม่ทำออกจากสถานที่นี้ เพราะคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เรียกว่า ไม่ใช่พวก คนละน้ำ ต้องคัดออก
มิฉะนั้น อาจจะเห็นสภาพหน้าแหก ฟ้าดินเขาเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ต้องรอกรรม ฟ้าเขากระทืบเอง เป็นทั้งๆที่อยู่ในเขตพัทสีมานั่นแหละ อดีตก็มีมาให้เห็นแล้ว
คนไม่ทำ แต่ไม่ยอมไป เขาเล่นกันต่อหน้าหลวงพ่อนิพนธ์ให้เห็นกันจะๆ แลไม่ใช่คนอื่นไกล คือเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์เอง ที่ถือว่าตนเป็นเพื่อน เล่นกันมาแต่เด็ก จะทำอย่างไรก็ได้นั่นเอง จะบอกให้ทำ ก็ไม่สน กูจะทำตามนิสัย ก็มีให้เห็นมาแล้ว แบบว่าต่อหน้าลูกศิษย์ เลย
เราจึงอยากเตือนว่า ไม่ทำก็ถอยไปซะดีกว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หากอยู่ตามพรหมลิขิต ก็ยังอาจอยู่ได้อีกนาน หากอยู่ในสภาพนี้ อาจอยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต ไม่ทันโดนตีนกรรม จะโดนตีนฟ้ากระทืบแทน
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า ศาสน์ของพระภูมี มนุษย์บอกว่าดีดี แต่ไม่เอา ไม่อยากทำ เพราะมันทำยาก อันหมายถึง อยากจะได้สิ่งใด ต้องทำเอง ด้วยเหตุที่นิสัยกรรม มันคือนิสัยชูชก ที่มักจะร้องขอ คือ อยากได้ แต่ไม่อยากทำนั่นเอง
แลดั่งคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงกล่าวว่า "กรรมเขาเป็นพี่ ธรรมเขาเป็นน้อง" หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เพราะกรรมเขามาก่อน อยู่ติดกับมนุษย์เป็นนิสัยสันดาน มานับล้านๆชาติ
ดังนั้น เมื่อเวียนว่ายมาเจอศาสนา จึงเข้าใจได้ว่า ทุกคนย่อมมีความคิด ความเชื่อ เป็นของตนเอง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว และความเชื่อนี้ก็ฝังแน่น จนบางครั้งยากจะถอน จึงไม่ว่ากัน
ศาสน์ของพระภูมี ต้องการความเชื่อหนึ่งเดียว เพื่อให้การปฏิบัติลุล่วง หากแต่ก็รู้ในพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น จึงไม่กำหนดกะเกณฑ์ว่า ต้องทิ้งความเชื่อเดิม
แต่สิ่งที่ควรทำ คือ วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน เพื่อเปิดรับความรู้ของศาสน์ แล้วพิจารณา นำไปช่วยตน
มิฉะนั้นแล้ว เมื่อสิ่งดีๆเกิด ก็ไม่รู้ว่า เกิดจากพฤติกรรมใด และผลมาจากที่ไหน เมื่อคราวคับขัน เกิดวิกฤตกับชีวิต ต้องการบุญเร่งด่วน ก็อาจทำให้ไขว้เขว่ ทำผิด ทำถูก จนไม่สามารถช่วยตนได้
หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาให้ฟังว่า เสมือนมาทานสมุนไพร แต่ก็บนบานเจ้าพ่อ เจ้าแม่ หรือวัดที่ตนนับถือ เมื่อสภาพของตนดีขึ้น ก็บอกว่า เพราะตนไปบนไว้ รีบไปแก้บน
ฟ้าดิน ก็มองว่า คนจำพวกนี้ เนรคุณ ขาดความกตัญญู ตัวเองรอดมาด้วยสมุนไพร ด้วยวินัยธรรมของพระภุมี นั่นหมายถึง การถูกตีตราว่า เป็นผู้ขาดคุณสมบัติของศาสนา ไปในบัดดล
ครั้นชะตากรรมเลวร้าย ปล้องถัดไปมาถึง เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เกจิ วัดต่างๆ เผ่นหนีกันหมด ก็เวียนวนกลับมาหาศาสนา ขอทานสมุนไพรอีก ...
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทีนี้เป็นเรื่องยาก เพราะขาดคุณสมบัติไปเสียแล้ว ครั้งแรกกรรมที่ทำ ทำไปด้วยความไม่รู้ แต่เมื่อเรียนแล้ว รู้แล้ว ยังทำ อันนี้ สมุนไพรก็ช่วยไม่ได้ เสมือน ความผิดที่กระทำโดยเจตนา
การไม่วางความเชื่อเดิมไว้ก่อน แล้วจึงทำ หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาผลแห่งการกระทำ เสมือน เรือชีวิตของเราท่านรั่ว ผุพัง แล้วมาเข้าท่าของศาสนาเพื่อซ่อม เมื่อซ่อมเสร็จ ออกเรือได้ แทนที่จะรู้คุณท่า และทำนุบำรุงรักษาไว้เผื่ออนาคต แต่กลับทำลายท่าเรือนั้นทิ้งเสีย เมื่อเรือเสียหายอีกครั้ง กลับมาก็ไม่มีท่าให้ซ่อมอีกแล้วนั่นเอง
บทสรุป ไม่ว่าชาติพันธ์ุใด ศาสนาใด เมื่อเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนา ก็มีสิทธิ์ใช้ธรรมสมุนไพร และวินัยธรรมของพระภูมี ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่ากัน หากแต่ขอเพียงวางความเชื่อเดิมของตนไว้ก่อน เมื่อช่วยตนได้ จะได้รู้ว่า สิ่งที่ช่วยตนคืออะไร แลเมื่อช่วยตนแล้ว รู้แล้ว เมื่อกลับออกไป จะถือความเชื่อเดิม ก็ไม่ได้ห้ามอะไร
ถ้ายาในโลกของท่าน คือ พระเจ้าของท่าน กินปุ๊บหายปวดปั๊บ มาในแผ่นดินนี้ ก็หยุดยาเคมีซะ ทานสมุนไพรไป หายแล้ว กลับไปจะกลับไปทานยาแก้ปวดอีก ก็ไม่ว่ากัน เพราะถึงตอนนั้น เรือท่านก็แข็งแกร่งแล้ว แต่ตอนนี้ พระเจ้าท่านยาแก้ปวด มันเอาโรค และหยุดอาการปวดไม่ได้แล้ว ... หรือหยุดได้ แต่อาการแทรกซ้อนก็มากมายจนร่างกายรับไม่ไหว จึงขอให้วางไว้ก่อน
เราจึงมักเรียกศาสน์ของพระภูมีว่า เผด็จการประชาธิปไตย อันหมายความว่า จะเข้า จะออก แล้วแต่ความสมัครใจ หากแต่เมื่อเลือกที่จะเข้ามา ก็เจอเผด็จการ หากอยากช่วยตน ก็ต้องทำตามธรรมวินัย จะใช้นิสัยสันดานตน แม้นแต่น้อยไม่ได้เลย นั่นเอง
คาถาสำเร็จ ที่แม่ชีเมี้ยนชี้ช่องให้ มีหนทางเดียว คือ อยากช่วยตน ต้องลดนิสัย แล้วทานสมุนไพรไป ไม่มีอื่นใดให้เลือก เสมือนไม้ไผ่ลำเดียว ที่ทอดพาดผ่านทะเลทุกข์
เมื่อมา ก็แสดงว่าสมัครใจ ที่จะทำตาม จึงไม่แปลก ที่เราท่านอาจจะเห็น เจ้าหน้าที่ วิทยากร รวมไปถึงหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อาจจะไล่ คนที่ไม่ทำออกจากสถานที่นี้ เพราะคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น เรียกว่า ไม่ใช่พวก คนละน้ำ ต้องคัดออก
มิฉะนั้น อาจจะเห็นสภาพหน้าแหก ฟ้าดินเขาเชือดไก่ให้ลิงดู ไม่ต้องรอกรรม ฟ้าเขากระทืบเอง เป็นทั้งๆที่อยู่ในเขตพัทสีมานั่นแหละ อดีตก็มีมาให้เห็นแล้ว
คนไม่ทำ แต่ไม่ยอมไป เขาเล่นกันต่อหน้าหลวงพ่อนิพนธ์ให้เห็นกันจะๆ แลไม่ใช่คนอื่นไกล คือเพื่อนของหลวงพ่อนิพนธ์เอง ที่ถือว่าตนเป็นเพื่อน เล่นกันมาแต่เด็ก จะทำอย่างไรก็ได้นั่นเอง จะบอกให้ทำ ก็ไม่สน กูจะทำตามนิสัย ก็มีให้เห็นมาแล้ว แบบว่าต่อหน้าลูกศิษย์ เลย
เราจึงอยากเตือนว่า ไม่ทำก็ถอยไปซะดีกว่า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หากอยู่ตามพรหมลิขิต ก็ยังอาจอยู่ได้อีกนาน หากอยู่ในสภาพนี้ อาจอยู่ไม่ถึงพรหมลิขิต ไม่ทันโดนตีนกรรม จะโดนตีนฟ้ากระทืบแทน
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559
มือที่สาม
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลก มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ กรรม กรรมศักดิ์สิทธิ์ จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ว่าได้
เมื่อไม่ถึงที่ตาย ใครหรือโรคห่าอะไรจะพิฆาตเข่นฆ่า ไม่อาสัญ
แม้นถึงที่ตาย ครบอายุขัย แม้นแต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องดับขัย
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบาย แยกย่อยให้เห็นว่า กรรม ก็แตกแยกเป็นสอง คือ กรรมดี กรรมชั่ว
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ ความมาตรฐาน ไม่มีลำเอียง อันหมายความว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
เมื่อศาสน์สอนให้รู้เรื่องกรรม จึงกล่าวว่า ใครว่าพรหมลิขิต แท้ที่จริงแล้ว เป็นเราท่านลิขิตชีวิตตนเองต่างหาก เพราะผลแห่งการกระทำกรรม ในอดีตนั่นแล ที่กลายมาเป็นพรหมลิขิตของเราท่านในปัจจุบัน แลผลแห่งการกระทำในปัจจุบัน ย่อมไปปรากฎผลในอนาคต
เมื่อกรรมเป็นเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวในโลก จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมโลกนี้ไม่มียารักษาโรค ก็เพราะปัญญาของมนุษย์ที่พึงมี ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญากรรม พูดให้ฟังง่าย ก็คือเป็นบริวารกรรม มีไว้สร้างกรรม จะไปเหนือกรรมได้อย่างไรนั่นเอง
หากแต่มนุษย์มีทางเลือก นั่นคือ ธรรม อันเป็นองค์กรหรือมือที่สาม ไม่ใช่กรรมดี กรรมชั่ว เป็นของนอกโลก เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกโลก ที่เป็นอำนาจที่สาม มีอำนาจเหนือกรรม ธรรมจึงไม่ใช่ กรรมดี
ความลับของจักรวาล ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนพระถ้ำกระบอก จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง มีการตกลงกัน ในวงรอบทุก ๒๕๐๐ ปี กรรม เขาจะอนุญาตให้ธรรม เข้ามามีบทบาท แก่บริวารของเขา คือ มนุษย์ นั่นคือ การมาสร้างพระพุทธเจ้า แล้วหาสาวก และก็สามารถเอาคนเหล่านั้นไปอยู่โลกนิพพานได้ ไม่ต้องเป็นบริวารกรรม คือ ไม่เกิดอีกแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าจึงมีมาเป็นล้านองค์แล้ว และเราท่านก็เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นล้านๆ ชาติ ที่ซึ่งแม่ชีเมี้ยนอุปมา คนผุ้หนึ่ง หากนำกองกระดูกมาวางรวมกัน ในทุกภพทุกชาติ ก็กองสูงอุปมาภูเขาหิมาลัยก็ปาน
เมื่อครบวงรอบ จึงเรียกสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ โลกุตระก็จะมาสอนมนุษย์ให้ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า แลพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็จะมาสังคยานาศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่ คือ เปลี่ยนยุค เริ่ม พ.ศ.๑ ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เป็นเช่นนี้มาตลอด
เมื่อเป็นมือที่สาม ศาสนาพุทธจึงสอนว่า กรรมดี ไม่เอา กรรมชั่วก็ไม่เอา สิ่งที่สอนให้ทำเรียกว่า บุญ จึงไม่มีในบัญญัติของศาสนอื่นใด หรือ ลัทธิใดในโลก
กรรมชั่ว คนทั่วไปก็พอเข้าใจได้ ว่า ไม่ควรทำ แต่กรรมดีนี่สิ น่าสงสัย ทำไมจึงไม่ควรทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนอดีตพุทธกาลครั้งพระโคดมให้ฟังว่า พระอัครสาวก ทั้งเบื้องซ้าย และเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลา แลพระสารีบุตร เป็นผู้ซึ่งมีความเมตตาสูง
ด้วยพระพุทธเจ้าโคดม ตั้งให้ท่าน หนึ่งเป็นพระผู้ชี้เป็น แลอีกหนึ่งเป็นพระผู้ชี้ตาย
ด้วยความเมตตาเป็นนิสัยกรรมดีแต่เดิมของท่าน ดังนั้น เมื่อทำตนจนเป็นผู้มีบุญ จึงมักใช้บุญของตนไปช่วยเหลือคนทุกข์ ตามนิสัยเมตตาของตนที่มีมาแต่เดิมนั้นเอง
ท้ายที่สุด นิสัยเมตตาของท่านทั้งสอง จึงทำให้ต้องประสพเภทภัย โดนท่อนจันทร์ทุบจนปางตายท้ั้งคู่ จนต้องละทิ้งนิสัยเมตตานี้ทิ้ง แลกลายเป็นพระอรหันต์
นิทานพุทธกาลนี้แม่ชีเมี้ยนทรงเล่าแก่พระ แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ลืมเลือนไป จนกระทั่งประสพเหตุ ที่ความเมตตาของตนมีแก่คนทั่วไปจนเกินเหตุ
พระพุทธเจ้าโคดม ตรัสแก่พระอัครสาวกทั้งสองว่า การเมตตาโดยไม่เลือกเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัตินั้น ทำให้กลายเป็นล่วงอำนาจกรรม คนที่ไม่มีคุณสมบัติ กรรมเขาจะเล่น ท่านก็เอาบุญของท่านไปขวาง ไม่ให้ได้รับผลแห่งกรรมที่ทำ
ผลก็คือ คนผู้นั้นที่ท่านเมตตา หากแต่เขามีจิตใจเป็นโจร ไม่คิดเปลี่ยนนิสัย แทนที่จะโดนกรรมเล่นให้หมดกำลัง กลายเป็นมีกำลังไปทำความเดือดร้อนให้แก่สรรพสัตว์มากมาย
ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งสองจึงเข้าข่าย "ช่วยเขาแล้วเราตาย" จึงได้รับผลเช่นนี้ มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เช่นกัน
ผลแห่งการเมตตาผู้อื่นเกินไป ไม่เลือกคุณสมบัติ มิเพียงโดนผลแห่งกรรมของผู้อื่นมาทับตน หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อำนาจตัดสินใจในการช่วยคน จึงถูกริบคืนไปด้วย
ความเป็นมือที่สาม ที่ใช้อำนาจบุญของตน ไปช่วยผู้อื่น เฉกเช่นในอดีต มาวันนี้ ทำไม่ได้อีกแล้ว
หากแต่อำนาจที่สามนี้ แม่ชีเมี้ยนก็ยังคงให้หลวงพ่อนิพนธ์อยู่ เพียงแต่วิธีการใช้เปลี่ยนไป นั่นคือ ต้องสอนให้คนผู้นั้นลดนิสัยตน แล้วนำนิสัยของพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างมานำตนแทน แล้วอำนาจจึงจะไปเกื้อกูล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นับต่อแต่นี้ ไม่ใช่ใครมาก็ช่วย หากแต่ต้องสอน อบรม ขัดเกลา ทำให้คนผู้นั้นสร้างคุณสมบัติมารองรับอำนาจ ไปช่วยตน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึง่ชี้ให้เห็นว่า นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมกรรมดี จึงล้างกรรมชั่วไม่ได้ แลพระเจ้าองค์ใดๆ ลัทธิความเชื่อต่างๆ ทำแล้วจึงไม่มีผล เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่ กรรม กับธรรมเท่านั้น หากอยากชนะกรรม ชนะโรค ก็ต้องอาศัยธรรม สร้างบุญ เอาไปชนะกรรม มิมีวิธีอื่นให้เลือก
เราจึงย้ำเตือนอีกครั้งว่า พระพุทธเจ้าทรงทิ้งแว่นสองจักรวาลให้มนุษย์ได้พิจารณาว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม อยู่ที่ใด ก็จะเห็นได้จาก ที่ที่ซึ่งสามารถเอาชนะโรคได้นั่นเอง เพราะโรคเป็นบริวารของกรรม แลธรรมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะชนะโรคได้
คำเตือนของหลวพ่อนิพนธ์ในวันปีใหม่ จึงกล่าวว่า พวกที่อยากเห็นอยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ แล้ววาดหวังว่า จะเหาะเหิร เดินอากาศ หรือ สร้างปาฏิหารย์เป็นอัศจรรย์ให้เห็น นั้น ศาสนาที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า หากพระพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำเช่นนั้น ก็จะได้บริวารที่มีแต่คนโง่ หาปัญญาไม่ได้เลย เพราะจะงมงายอยู่แต่ในอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ไม่ยอมทำตน ลดนิสัย หวังแต่รอปาฏิหารย์นั่นเอง
ปาฏิหารย์ของศาสนาพุทธ จึงอยู่บนดิน ทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ มนุษย์ผู้ใดมีปัญญา พิจารณาเห็น ก็จะเกิดศรัทธา พิจารณาเชื่อ แล้วทำตาม จึงเรียกศาสนาพุทธว่า เป็นศาสนาของผู้มีปัญญาด้วยเหตุนี้นั่นเอง
เมื่อไม่ถึงที่ตาย ใครหรือโรคห่าอะไรจะพิฆาตเข่นฆ่า ไม่อาสัญ
แม้นถึงที่ตาย ครบอายุขัย แม้นแต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องดับขัย
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบาย แยกย่อยให้เห็นว่า กรรม ก็แตกแยกเป็นสอง คือ กรรมดี กรรมชั่ว
สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ ความมาตรฐาน ไม่มีลำเอียง อันหมายความว่า ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
เมื่อศาสน์สอนให้รู้เรื่องกรรม จึงกล่าวว่า ใครว่าพรหมลิขิต แท้ที่จริงแล้ว เป็นเราท่านลิขิตชีวิตตนเองต่างหาก เพราะผลแห่งการกระทำกรรม ในอดีตนั่นแล ที่กลายมาเป็นพรหมลิขิตของเราท่านในปัจจุบัน แลผลแห่งการกระทำในปัจจุบัน ย่อมไปปรากฎผลในอนาคต
เมื่อกรรมเป็นเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวในโลก จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมโลกนี้ไม่มียารักษาโรค ก็เพราะปัญญาของมนุษย์ที่พึงมี ล้วนแล้วแต่เป็นปัญญากรรม พูดให้ฟังง่าย ก็คือเป็นบริวารกรรม มีไว้สร้างกรรม จะไปเหนือกรรมได้อย่างไรนั่นเอง
หากแต่มนุษย์มีทางเลือก นั่นคือ ธรรม อันเป็นองค์กรหรือมือที่สาม ไม่ใช่กรรมดี กรรมชั่ว เป็นของนอกโลก เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกโลก ที่เป็นอำนาจที่สาม มีอำนาจเหนือกรรม ธรรมจึงไม่ใช่ กรรมดี
ความลับของจักรวาล ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนพระถ้ำกระบอก จึงทำให้เราท่านได้รู้ว่า อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง มีการตกลงกัน ในวงรอบทุก ๒๕๐๐ ปี กรรม เขาจะอนุญาตให้ธรรม เข้ามามีบทบาท แก่บริวารของเขา คือ มนุษย์ นั่นคือ การมาสร้างพระพุทธเจ้า แล้วหาสาวก และก็สามารถเอาคนเหล่านั้นไปอยู่โลกนิพพานได้ ไม่ต้องเป็นบริวารกรรม คือ ไม่เกิดอีกแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าจึงมีมาเป็นล้านองค์แล้ว และเราท่านก็เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นล้านๆ ชาติ ที่ซึ่งแม่ชีเมี้ยนอุปมา คนผุ้หนึ่ง หากนำกองกระดูกมาวางรวมกัน ในทุกภพทุกชาติ ก็กองสูงอุปมาภูเขาหิมาลัยก็ปาน
เมื่อครบวงรอบ จึงเรียกสิ้นสุดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ โลกุตระก็จะมาสอนมนุษย์ให้ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า แลพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็จะมาสังคยานาศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่ คือ เปลี่ยนยุค เริ่ม พ.ศ.๑ ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เป็นเช่นนี้มาตลอด
เมื่อเป็นมือที่สาม ศาสนาพุทธจึงสอนว่า กรรมดี ไม่เอา กรรมชั่วก็ไม่เอา สิ่งที่สอนให้ทำเรียกว่า บุญ จึงไม่มีในบัญญัติของศาสนอื่นใด หรือ ลัทธิใดในโลก
กรรมชั่ว คนทั่วไปก็พอเข้าใจได้ ว่า ไม่ควรทำ แต่กรรมดีนี่สิ น่าสงสัย ทำไมจึงไม่ควรทำ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนอดีตพุทธกาลครั้งพระโคดมให้ฟังว่า พระอัครสาวก ทั้งเบื้องซ้าย และเบื้องขวา คือ พระโมคคัลลา แลพระสารีบุตร เป็นผู้ซึ่งมีความเมตตาสูง
ด้วยพระพุทธเจ้าโคดม ตั้งให้ท่าน หนึ่งเป็นพระผู้ชี้เป็น แลอีกหนึ่งเป็นพระผู้ชี้ตาย
ด้วยความเมตตาเป็นนิสัยกรรมดีแต่เดิมของท่าน ดังนั้น เมื่อทำตนจนเป็นผู้มีบุญ จึงมักใช้บุญของตนไปช่วยเหลือคนทุกข์ ตามนิสัยเมตตาของตนที่มีมาแต่เดิมนั้นเอง
ท้ายที่สุด นิสัยเมตตาของท่านทั้งสอง จึงทำให้ต้องประสพเภทภัย โดนท่อนจันทร์ทุบจนปางตายท้ั้งคู่ จนต้องละทิ้งนิสัยเมตตานี้ทิ้ง แลกลายเป็นพระอรหันต์
นิทานพุทธกาลนี้แม่ชีเมี้ยนทรงเล่าแก่พระ แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ลืมเลือนไป จนกระทั่งประสพเหตุ ที่ความเมตตาของตนมีแก่คนทั่วไปจนเกินเหตุ
พระพุทธเจ้าโคดม ตรัสแก่พระอัครสาวกทั้งสองว่า การเมตตาโดยไม่เลือกเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัตินั้น ทำให้กลายเป็นล่วงอำนาจกรรม คนที่ไม่มีคุณสมบัติ กรรมเขาจะเล่น ท่านก็เอาบุญของท่านไปขวาง ไม่ให้ได้รับผลแห่งกรรมที่ทำ
ผลก็คือ คนผู้นั้นที่ท่านเมตตา หากแต่เขามีจิตใจเป็นโจร ไม่คิดเปลี่ยนนิสัย แทนที่จะโดนกรรมเล่นให้หมดกำลัง กลายเป็นมีกำลังไปทำความเดือดร้อนให้แก่สรรพสัตว์มากมาย
ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งสองจึงเข้าข่าย "ช่วยเขาแล้วเราตาย" จึงได้รับผลเช่นนี้ มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เช่นกัน
ผลแห่งการเมตตาผู้อื่นเกินไป ไม่เลือกคุณสมบัติ มิเพียงโดนผลแห่งกรรมของผู้อื่นมาทับตน หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อำนาจตัดสินใจในการช่วยคน จึงถูกริบคืนไปด้วย
ความเป็นมือที่สาม ที่ใช้อำนาจบุญของตน ไปช่วยผู้อื่น เฉกเช่นในอดีต มาวันนี้ ทำไม่ได้อีกแล้ว
หากแต่อำนาจที่สามนี้ แม่ชีเมี้ยนก็ยังคงให้หลวงพ่อนิพนธ์อยู่ เพียงแต่วิธีการใช้เปลี่ยนไป นั่นคือ ต้องสอนให้คนผู้นั้นลดนิสัยตน แล้วนำนิสัยของพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างมานำตนแทน แล้วอำนาจจึงจะไปเกื้อกูล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า นับต่อแต่นี้ ไม่ใช่ใครมาก็ช่วย หากแต่ต้องสอน อบรม ขัดเกลา ทำให้คนผู้นั้นสร้างคุณสมบัติมารองรับอำนาจ ไปช่วยตน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึง่ชี้ให้เห็นว่า นี่จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมกรรมดี จึงล้างกรรมชั่วไม่ได้ แลพระเจ้าองค์ใดๆ ลัทธิความเชื่อต่างๆ ทำแล้วจึงไม่มีผล เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่ กรรม กับธรรมเท่านั้น หากอยากชนะกรรม ชนะโรค ก็ต้องอาศัยธรรม สร้างบุญ เอาไปชนะกรรม มิมีวิธีอื่นให้เลือก
เราจึงย้ำเตือนอีกครั้งว่า พระพุทธเจ้าทรงทิ้งแว่นสองจักรวาลให้มนุษย์ได้พิจารณาว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ อำนาจธรรม อยู่ที่ใด ก็จะเห็นได้จาก ที่ที่ซึ่งสามารถเอาชนะโรคได้นั่นเอง เพราะโรคเป็นบริวารของกรรม แลธรรมศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น จึงจะชนะโรคได้
คำเตือนของหลวพ่อนิพนธ์ในวันปีใหม่ จึงกล่าวว่า พวกที่อยากเห็นอยากเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ แล้ววาดหวังว่า จะเหาะเหิร เดินอากาศ หรือ สร้างปาฏิหารย์เป็นอัศจรรย์ให้เห็น นั้น ศาสนาที่แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เพราะแม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า หากพระพุทธเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำเช่นนั้น ก็จะได้บริวารที่มีแต่คนโง่ หาปัญญาไม่ได้เลย เพราะจะงมงายอยู่แต่ในอิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ไม่ยอมทำตน ลดนิสัย หวังแต่รอปาฏิหารย์นั่นเอง
ปาฏิหารย์ของศาสนาพุทธ จึงอยู่บนดิน ทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ มนุษย์ผู้ใดมีปัญญา พิจารณาเห็น ก็จะเกิดศรัทธา พิจารณาเชื่อ แล้วทำตาม จึงเรียกศาสนาพุทธว่า เป็นศาสนาของผู้มีปัญญาด้วยเหตุนี้นั่นเอง
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559
พรปีใหม่ 2559
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกคำพรปีใหม่ของแม่ชีเมี้ยนที่ทรงตรัสไว้เมื่อปี ๒๕๐๕ มาให้เป็นสติ ว่า โลกอุดรร้อนนักอย่าสงสัย ผู้ที่เอาวินัยธรรมเป็นนาย ความหมายย่อมมี สุขเถิดน่ะขันติสงฆ์ผู้ทรงธรรม สุขอยู่ในนิสัยพระพุทธเจ้าเท่าที่มี
อรรถาธิบายให้ฟังว่า ด้วยขาดศาสนามานาน ดังนั้นวิบัติภัยจึงย่อมเกิดแก่มนุษย์อย่างแน่นอน แลรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาดับยุคเข็ญ การกระทำที่จะทำให้พึงรอด มีเพียงประการเดียว คือ ลดนิสัยกรรม แล้วใช้นิสัยธรรมนำตน
อยากมีความสุข ก็ต้องใช้นิสัยพระพุทธเจ้า ยิ่งทำได้มาก ก็ยิ่งสุขมาก
ถามว่า พระโคดมทรงตรัสเมื่อครั้งสำเร็จโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า ว่า "สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ" หมายถึงอะไร
ก็หมายถึง สุขอยู่ในนิสัย อันมีสัจจธรรมนำตน นั่นเอง คือ กลายเป็นผู้ที่ไม่ฉ้อโลก โลกก็ไม่ฉ้อตน กล่าวเช่นไร ทำเช่นนั้น
บทสรุป ณ.วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์เตือนบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ถึงวิบัติภัย ที่กำลังจะมาเยือน และการอุบัติของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เกิดขึ้นแล้ว ในแผ่นดินพม่า
ตอนนี้ยังไม่รู้หรอก ว่า การทำแล้วมีความหมายของแม่ชีเมี้ยน เป็นเช่นไร หากแต่เมื่อวิบัติภัยมาถึง นั่นแล อย่าให้ถึงวันนั้น ก็นึกเสียดาย เพราะคิดจะทำก็ไม่ทันเสียแล้ว
ปีใหม่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หมายถึง ชีวิตใหม่ที่ไม่มีโรค อันมาพร้อมกับนิสัยใหม่ คือ นิสัยของพระพุทธเจ้า อย่าให้ใหม่แต่ปี โรคยังอยู่เหมือนเดิม นิสัยก็สร้างกรรมทำลายตนเหมือนเดิม
ทั้งโลก ทุกรัฐบาลมัวเมาประชาชนถึง ความเจริญเติบโต ฝันแต่ความร่ำรวย ธุรกิจ ตลาดหุ้น แต่ความจริง โลกใบนี้กำลังจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ทำลายมนุษย์ชาติมากมาย ทั้งธรรมชาติ และเศรษฐกิจ จะมีกี่คนที่ทวนกระแสโลก แล้วหันมาใช้ธรรมนำตน เพื่อรอดภัยพิบัตินี้
เราจึงขอส่งความปรารถนา ผู้ใด ประสงค์ในการประพฤติธรรม ทำตนตามธรรมคำสอน ที่แม่ชีเมี้ยนให้หลวงพ่อนิพนธ์มาปลุกปั่น ขอให้มีขันติ อดทน และสมหวังปรารถนาในการบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นคนดีมีธรรมดั่งตั้งใจหวัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)