วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สัจจะ

คนส่วนใหญ่มักคุ้นเคยกับคำว่าศีล แลพระไตรปิฏกก็เขียนว่า พระพุทธเจ้าแลสาวกล้วนถือศีล ๒๒๗ ข้อ เป็นวัตรปฏิบัติ

หากแต่ความจริงแล้วไซร้ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ใช้ คือ สัจจะธรรม ไม่ใช่ศีล

คำถามก็จึงเกิดว่า แล้วสัจจะธรรม หรือเรียกกันสั้นๆว่า สัจจะ นั้นเป็นเช่นไร แล้วทำไมจึงไม่ใช้ศีล

เหตุแห่งการไม่ใช้ศีล แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เพราะศีลเป็นของหนัก ไม่มีมนุษย์ผู้ใดทำได้ อย่าว่าแต่ศีล ๒๒๗ เลย แม้นแต่ศีล ๕ เองก็ตามเถิด ไม่มีใครทำได้

แลศีลก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าบัญญัติ มีที่มาจากพราหมณ์

ไม่ว่าศีล หรือ บทบัญญัติใดๆในโลก ที่มนุษย์บัญญัติขึ้น เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นความแตกต่างกับสัจจะของพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจน

เราอุปมาว่าคำสอนต่างๆที่มนุษย์บัญญํติ เปรียบเทียบได้กับสัญญาณอนาลอก นั่นคือ การประพฤติปฏิบัติจึงมีได้ตั้งแต่ ไม่เคร่ง ไปจนถึง เคร่งครัดสุดๆ

แลที่มักจะเห็นเด่นชัด นั่นคือ เมื่อทำไม่ได้ก็ต่อได้

ประการที่สำคัญ เมื่อเป็นบทบัญญัติมาจากความคิดมนุษย์ ผลที่ทำได้ จึงมีสถานะแค่กรรมดี กรรมชั่ว ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงชีวิต หรือ พรหมลิขิตในปัจจุบันแต่อย่างใด

แปลความหมายว่าไม่ว่าเราท่านจะทำศีลได้ดีเพียงใด เมื่อปล้องกรรมมาถึง ย่อมหนีไม่พ้นอย่างแน่นอนนั่นเอง

หากแต่สัจจะ ที่เป็นบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ จะพึงบังเกิดก็เฉพาะในยุคที่ศาสนามาอยู่ในโลก หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า เป็นอำนาจที่ ๓ เรียกอำนาจนี้ว่าอำนาจ "บุญ" หมายความว่า เมื่อผู้ใดประพฤติปฏิบัติ ผลที่บังเกิด ไม่ใช่กรรมดี กรรมชั่ว หากแต่เป็นบุญ

ความแตกต่างที่เด่นชัดนั่นคือ อำนาจบุญ สามารถล้างอำนาจกรรมได้ ดังนั้น เมื่อผู้ใดปฏิบัติ จึงสามารถลบล้างพรหมลิขิตในปัจจุบันได้ หรือ เปลี่ยนแปลงพรหมลิขิต

หากอุปมา สัจจะ ก็เสมือนสัญญาณ ดิจิตอล ที่มีค่า เพียง ๐ กับ ๑ เท่านั้นเอง นั่นหมายความว่า ผู้ปฏิบัติสัจจะธรรม ผลแห่งการปฏิบัติ จึงมีแต่ทำได้ กับทำไม่ได้ ไม่มีครึ่งๆกลางๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างไม่มี

ประการที่สำคัญยิ่งนั่นคือ เมื่อทำแล้วมีผลต่อชีวิต ต่อพรหมลิขิต นั่นคือ หากทำได้ ผลถูกก็มหาศาล พ้นทุกข์ได้ แลสูงสุด สามารถไปถึงมรรคผลนิพพาน คือไม่เกิดได้ หากแต่ทำผิด ผลก็มหาศาล กลายเป็นน้ำหนักกรรมอันมหาศาล ก็อย่างเทวทัต ที่แม้นแต่แผ่นดินยังรับไม่ไหวนั่นเอง

ดังนั้น การทำสัจจะ ผิดคือ ผิด ไม่มีการมาล้างบาป มาต่อศีล แลไม่มีโอกาสที่สอง อุปมาเช่น ท่านจำรูญ ท่านเจริญ แลหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เมื่อผิดสัจจะที่ให้ไว้ ผลก็คือ ความล่มสลายของถ้ำกระบอกนั่นเอง ไม่มีโอกาสที่สองให้แล้ว

แม้นหลวงพ่อนิพนธ์ในยุคนั้นจะไม่เห็นด้วยและคัดค้านเต็มที่ แต่ด้วยความเป็นน้อง แลมาทีหลัง ก็ต้องพ่ายแพ้ กระนั้นก็ตาม ความผิดในครั้งกระนั้น ก็ถือว่าร่วมกันทำความผิด หากแต่ด้วยความซื่อสัตย์จึงได้โอกาสหาบุญช่วยตน อย่างไรก็ตามโอกาสในการทำตนให้ถึงมรรคผลนิพพาน ก็หมดลง

ด้วยเหตุนี้เอง คำเตือนที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเราท่านเสมอนั่นคือ เมื่อเราท่านมาฟื้นฟูตน เสมือนจะสู้กับงู ก็ต้องตีให้ตายในคราเดียว มิฉะนั้น มันก็จะแว้งกัดเราท่านได้

ขยายความว่า โอกาสที่ศาสนาเขาให้เราท่านนั้น มีครั้งเดียวในการช่วยตน ก็ควรทำตนเพื่อช่วยตนให้พ้นกรรม พ้นทุกข์

หากจะมาแค่หวังหายโรค แล้วก็กลับไปทำนิสัยแบบเดิมอีก จนกลายเป็นโรคใหม่ หรือ โรคเดิมหวน จึงคิดจะมาใช้ธรรมหมวดสมุนไพรช่วยตนอีกครั้ง ครานี้ก็เป็นเรื่องยาก หรือเป็นไปไม่ได้แล้ว

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อก่อนเราท่านมา สิ่งที่ทำผิด ด้วยความไม่รู้เรื่องศาสนา ความผิดจึงอภัยได้ เพราะทำโดยไม่รู้ แต่เมื่อมาแล้ว เรียนแล้ว ฟังแล้ว พิจารณาแล้ว ช่วยตนแล้ว ศาสนาเขาก็ถือว่า กลายเป็นผู้รู้แล้ว เมื่อมีกำลังแล้วไม่เอาความรู้ที่เรียนไปช่วยตน กลับเอานิสัยเดิมมาทำร้ายตน อันนี้ฟ้าดินเขาเรียกว่า ทำโดยเจตนา นี่แหละเหตุที่ทำไมเมื่อกลับมาอีกครั้ง จึงยากยิ่ง

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44