ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558
ความหวังกับความจริง
พระภูมี ทรงย้ำเตือนเสมอให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
แต่สภาพความเป็นจริงของคน ฟังแล้วก็ผ่านเลย เพราะยังไม่เห็นโลงศพ ก็ไม่หลั่งน้ำตา จะฟังสักฉันใด ก็วันนี้ฉันยังดีอยู่ ยังสุขอยู่ ธรรมของพระภูมี ก็เลยต้องเก็บเข้ากรุ ซ่อนไว้ลึกจนไม่รู้ จำไม่ได้ แลไม่เคยหยิบมาใช้นำตนเลย
ตัวอย่างที่เด่นชัด ก็คนไข้หนุ่มท่านหนึ่ง เรียนวิศวะไฟฟ้า ลาดกระบัง ดูอนาคตช่างสดใส มีแฟนที่หมายมุ่งจะแต่งงานกันในภายภาคหน้า หลังจากเรียนจบ
พอเรียนจบ ก็ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ความหวังที่วาดไว้ ก็สวยหรู มีเงินเก็บเลี้ยงครอบครัวได้สบาย แลก็เตรียมตัวสร้างอนาคตครอบครัวกับแฟน
ใครจะรู้ว่า หลังจากจบเพียงสองปี ตัวเองก็เริ่มป่วยเป็นมะเร็งตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เงินที่เก็บก็เริ่มถูกนำมาใช้รักษาตัว
วันหนึ่งหมอบอกเขาว่า ต้องทำการผ่าตัดลำไส้นิดหน่อย ให้เขาลางานมา ตัวเองก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าคงไม่เท่าไหร่ ไม่นานก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม หลังจากแผลหาย
แต่พอฟื้นจากยาสลบ พบว่า ลำไส้ที่ตัดไปนั้นไม่น้อย มิหนำซ้ำ ยังต้องนำลำไส้ใส่ถุง มาแปะไว้ที่หน้าท้อง นั่นหมายความว่า เขาจะไม่สามารถกลับไปทำงานได้อีกเลย
จากเงินที่มีเก็บ ก็ถูกนำมาใช้จนกลายเป็นสร้างภาระหนี้สินแก่ครอบครัว แฟนก็ต้องเลิกรากันไป จากสภาพที่ตนเป็นอยู่
เดินตามหมอจนหมดหนทาง ท้ายที่สุดก็ถูกหมอทิ้ง จนแม่ได้ข่าวหลวงพ่อนิพนธ์ พาลูกชายมาในสภาพที่แม้นแต่จะเดิน จะกินก็เข้าขั้นลำบาก
แต่ก็นับเป็นโชควาสนา ที่วัยยังน้อย แลด้วยสภาพบีบคั้น อยากฟื้นฟูตัว เพื่อกลับไปเป็นกำลังของครอบครัวอีกครั้ง เขาจึงพยายามทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน วันนี้ของเขาก็กลับมาขับรถ ทำงานปกติแบกหามทั่วไปได้อีกครั้ง
นี่แหละเรียกรรมมันบังตา บังใจ ทำให้เราท่านประมาท ยามที่ดีมีกำลัง หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ทำสักฉันใด ก็นิ่งเฉย แต่พอทุกข์มาถึงตัว อยากจะทำสภาพของตนก็ไม่มีความพร้อมเสียแล้ว
หลายคนที่มาที่นี่ สภาพร่างกายก็ยังดีอยู่ เห็นได้จากการเดินไปหอบหิ้วซื้อของจากตลาดกันมากมาย หากแต่ไม่เคยคิดที่จะเอาแรงที่ยังพออยู่นี้ มาช่วยตนเลย พึงหวังแต่การทานสมุนไพร
เมื่อพบความจริง บุญเท่านั้นที่ล้างบาปที่ทำมาได้ สมุนไพรก็ได้แต่เพียงล้างโรค หากแต่ไร้ซึ่งบุญ จะล้างโรคนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะกรรมยังอยู่ ก็กลายเป็นโรคใหม่ได้ ตายเหมือนกัน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เมื่อยังมีวันเวลา จึงควรนำธรรมคำสอนบางสิ่งบางอย่าง มานำตน ลดนิสัยตน เป็นบุญไว้เลี้ยงตน หากปล่อยเวลาผ่านไป เมื่อกรรมสรุปมาถึง ไม่มีบุญ คราวนี้อยากจะทำก็ไม่มีโอกาสแล้ว เพราะไม่มีแรง ไม่มีกำลัง ลำพังจะกินข้าวยังช่วยตนไม่ได้เลย
สัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้ฟังเจ้าหน้าที่จิตอาสาแล้วก็หดหู่ เพราะคนที่มามากมายเหลือคณา แล้วก็บ่นว่า ทำไมแจกยาช้า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า คนช่วยมันน้อย สมุนไพรทำเตรียมไว้ให้ครบหมดแล้ว แต่หาคนช่วยยกไม่มีเลย
กิจกรรมบุญนี้จึงน่าสงสัยว่ามันจะไปกันอย่างไรหนอ หากคนที่คิดจะเอาอย่างเดียวมันมากกว่าคนคิดจะให้มากมายปานนี้ คนไม่ทำก็นั่งติคนทำให้ได้ยินได้ฟังทุกวัน
จึงไม่แปลกที่หลายคนที่มาเป็นจิตอาสา ก็เปลี่ยนใจ ไปนั่งรอสมุนไพรเฉยๆดีกว่า ไม่ถูกด่า
ก็แล้วหากพระพุทธเจ้าได้ธรรมมาไม่เอามาสอนบ้างหล่ะ หรือหลวงพ่อนิพนธ์ ได้ศาสน์สมุนไพร แล้วนำไปใช้แก่พวกพ้อง ไม่นำมาให้คนทั่วไปได้สัมผัสบ้างหล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
นี่แหละ ศาสน์จึงเป็นเรื่องของเมตตาธรรม อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ช่วยกันคนไม้คนละมือ งานที่หนักก็เบา และเสร็จได้รวดเร็ว
วันที่ยังดี มีกำลัง ไม่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์บอกคนเหล่านี้ประมาท พอแย่แล้ว ไม่มีกำลังแล้ว เห็นโลงแง้มฝารอแล้ว ทีนี้มาร้องให้ช่วย ... เรื่องง่ายก็กลายเป็นเรื่องยาก เพราะศาสน์นี้ ใครทำ ใครได้
เราท่านจึงเห็นคนที่มาทำเป็นจิตอาสาให้พ่อแม่ จะทำสักฉันใด หากพ่อแม่ไม่ทำอะไรเลย ท้ายที่สุดก็ได้แต่หวัง เพราะความจริง ต้องทำเอง พึ่งคนอื่นตลอดกาลไม่ได้หรอก
หลักนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า พระภูมีสอนให้พึ่งตนเอง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ หากแต่ชั่วครั้งชั่วคราวไม่เป็นไร อย่าเพลิน
ไม่ว่าจะเป็นหมอปัจจุบัน หากเป็นเหตุเฉพาะหน้า ก็พึ่งพาได้ แต่ไม่ใช่พึ่งตลอด... หรืออวดเก่งไม่พึ่งเลย เช่น ร่างกายทานอาหารไม่ได้ ขาดเลือด ไม่มีแรง ก็ต้องให้น้ำเกลือ ให้เลือด ไปก่อน รอจนร่างกายกลับมาทานได้ มีกำลังค่อยว่ากันใหม่
เราท่านชนกลุ่มน้อยตื่นตัวมาทำ ก่อนมหันตภัยจะมา นี่แหละเรียกไม่ประมาท เพราะเมื่อโรคร้ายแพร่ระบาด ก็จะมีภูมิต้านทานให้รอดปลอดภัย อยู่รอพระพุทธเจ้า
ส่วนคนที่ประมาท เชื่อวิทยาศาสตร์ เชื่อความสามารถ ปัญญาตน ปล่อยเขาไป วันใดที่ภัยมาถึง จะทำก็สายเสียแล้ว คนเหล่านั้นก็จะตายเป็นใบไม้ร่วง เกิดยุคเข็ญ รอจนพระพุทธเจ้ามาช่วยดับนั่นแล
นี่แหละจึงเรียกหัวเราะทีหลังดังกว่า เพราะคนที่รอด ก็คือคนที่พวกเขาว่าบ้า มาทานสมุนไพรในวันนี้ แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า นี่แหละคือความไม่ประมาท ทำในสิ่งที่พระภูมีบัญญัติ เมื่อภัยมา เราท่านจะปลอดภัย
วันใดที่ความเลวร้ายปรากฎ แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์ เชื้อโรคร้ายที่ฝังตัวในดิน จะพุ่งขึ้นสู่อากาศ แลแพร่กันไปตามลมหายใจ เหมือนวัณโรค นี่แหละปรากฎการณ์ห่าลงเมือง ที่กล่าวกันในอดีต ผู้คนจะเจ็บป่วยล้มตายกันมากมาย
เราท่าน ทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ตามที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน ก็จะได้อยู่ในร่มน้อยของพระพุทธศาสนา รักษาตนให้ปลอดภัย ไว้ยลโฉมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้กันเถิด