หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ศาสน์มีไว้ให้โอกาสแก่คนที่อยากเป็นคนดี มีธรรมเท่านั้น
ผู้ใดมีพฤติกรรมที่ไม่ดี จนผลแห่งการกระทำเป็นรูปธรรมเกิดเป็นโรคแก่ตนแล้ว จะมาหวังใช้ศาสน์สมุนไพร เพื่อจะได้มีกำลังไปทำพฤติกรรมแบบเดิมอีก ไม่มีทางสำเร็จ
ด้วยศาสน์แห่งสมุนไพร อุปมาเหมือนแว่นส่องจักรวาล เพื่อให้มนุษย์เห็นแสง หรือหนทางมาพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วฟัง พิจารณาเรียนรู้ หากเชื่อ ก็ทำตามเพื่อช่วยตน
เมื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามที่มาทานสมุนไพร ผู้ทำจึงไม่จำเป็นต้องไปติดตาม ดูแล สอดส่องพฤติกรรมของคนทานแต่ประการใด เพราะสมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้คนทานนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ผลแห่งการกระทำ เมื่อทานสมุนไพรก็จะปรากฎเป็นรูปธรรมให้เห็นเอง
การทานสมุนไพร ในปริมาณที่มาก อาจให้ผลในระยะแรก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฟ้าดินเขามีเวลา ผลแห่งการทานสมุนไพร ก็จะขึ้นกับผลแห่งการกระทำ หาใช่ปริมาณที่ทานอีกต่อไป
เรียกว่า ระยะแรก คือ ระยะที่ฟ้าดินเขาให้โอกาส เพราะร่างกายไม่พร้อมจะปฏิบัติธรรม ด้วยสภาพของความเจ็บปวด ความทุกข์ทางกายมันรุมเร้า แต่เมื่อช่วยมาระดับหนึ่ง ต้องเดินต่อด้วยผลแห่งการกระทำของตนเอง
เราท่านที่มาใช้ศาสน์นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า จะเลยไม่เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามานำตน ลดนิสัย มิได้เลย
เพราะผลแห่งการทำนิสัยได้นี้แล จึงเป็นบุญที่ใช้เพื่อช่วยตน
คำอรรถาธิบายที่ฟังง่ายก็คือ ผลบุญที่ทำได้ ก็จะไปเป็นตัวที่ทำให้สมุนไพรเปล่งอานุภาพ มากน้อยตามผลที่ทำได้นั่นเอง
ภาพความจริงอันนี้ ปรากฎให้เราเห็นชัด จากแม่ชีรูปหนึ่งที่เป็นสะเก็ดเงิน มาทานสมุนไพรนับแต่ปี ๕๔
ตอนมาก็เป็นคนป่วยธรรมดา ยังสามารถเดินเหินได้ปกติ อาการของสะเก็ดเงินก็แค่มีตามทั่วร่างกาย
ผ่านมาจนถึงปี ๕๘ สภาพที่เห็นก็คือ เดินไม่ไหว ต้องใช้ไม้เท้า อาการของสะเก็ดเงิน ก็ลามขึ้นถึงทั่วศรีษะ
หลังจากหลวงพ่อนิพนธ์หาคนบวชพระแลชี คนไข้ท่านนี้ได้ฟัง เห็นช่องทางที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้นี้ ก็เข้าบวชชีด้วยรูปหนึ่ง
จากคนปกติ ต้องไปทานมื้อเดียว ต้องสวดมนต์เช้าเย็น ต้องวางสัจจะทุกวัน วันละสองชั่วโมง ต้องสละแรงกาย มาเดินตามนิสัยของพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่าง
มาวันนี้ กลายเป็นแม่ชี ที่เดินเร็ว จนพี่เลี้ยงบอกท่านช้าๆหน่อย เพราะจะเสียกิริยา แผลสะเก็ดเงินทั่วตัวก็หายไป ผลก็กลับมาขึ้นเต็มศรีษะ ร่างกายก็แข็งแรง
พิจารณาดูจะแลเห็นว่า สี่ห้าปีที่ผ่านมา การทานแลพฤติกรรม เป็นเยี่ยงไร แลแค่เข้าพรรษาเดียวนี้ที่ยังไม่ครบ พฤติกรรมของแม่ชีเป็นไปตามครรลองคลองธรรมใช่หรือไม่ ผลจึงปรากฎให้เห็นต่างกันราวฟ้าดิน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสน์สอนให้คนเป็นปราชญ์ ไม่ว่าเราท่านจะพูดจะแสดงสักฉันใด ใครจะพูดว่าพฤติกรรมที่ทำถูกผิดอย่างไร ผลที่ปรากฎกับกายมันฟ้อง
คนทั้งหลาย จะบอกว่าตนทำดีมาตลอดชีวิต ไม่เคยฆ่าสัตว์ ทำบุญ สร้างวัดมาตลอด แต่ตอนนี้ตนกำลังเป็นโรคร้าย นั่นแสดงว่า สิ่งที่ทำมันผิด หรือ ทำในสิ่งที่ไม่มีบุญเป็นเครื่องตอบแ่ทนนั่นเอง มีแต่บุญนึกเอาเอง
นี่แล เมื่อเราท่านเจอศาสน์ที่ทำให้หายทุกข์จากโรคภัย นั่นแลเราเจอศาสนา เจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ปัญหาของการหาย ก็เลยมีอยู่ประการเดียว คือ อยากหายต้องลดนิสัย จะเอาเงิน วัตถุสิ่งของใดๆมาแลก ไม่ได้เลย
นี่แลจึงเรียกศาสน์ของพระพุทธเจ้าว่าทางสายกลาง ไม่ใช่ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ไม่รู้หมายความว่าอะไร หากแต่หมายถึง ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ว่า ผู้ดี เจ้า หรือ ไพร่ ใครทำ ใครได้ เงินทอง ทรัพย์สมบัติที่มี ช่วยไม่ได้เลย
ฉะนั้น ใครจะว่าผู้ทานสมุนไพรของพระภูมี ล้าสมัย บ้าสติไม่ดี สมัยนี้เทคโนโลยีไปถึงไหนแล้ว... สุดท้าย ก็ต้องดูที่ผล หัวเราะที่หลังดังกว่า เพราะคนที่พึ่งผู้อื่น ไม่เคยมีผู้ใดรอด
เมื่อผลผิดเกิด จึงควรสำรวจที่ตนเอง ว่าเดินตามรอยที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนหรือไม่ อย่าไปตีโพยตีพาย รำไม่ดี โทษปี่โทษกลองเลย