ความจริงที่พระภูมีทรงตรัส นั่นคือ แม้นธรรมจะวิเศษล้ำเลิศสักเพียงใด แต่ก็ช่วยใครไม่ได้เลย ผู้ใดอยากได้ ผู้นั้นต้องทำเอง ... จึงเรียกหลักนี้ว่า "หลักตนพึ่งตน"
เมื่อธรรมหมวดสมุนไพร เป็นหนึ่งในบัญญัติธรรม ก็หนีสัจธรรมความจริงนี้ไม่พ้น
หลายคน เมื่อมาพบประสพผล หรือ รู้ ก็อยากให้คนที่รัก คนที่ชอบ ได้มีโอกาสสัมผัส และประสพผลเฉกเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ภาพที่พบเห็นบ่อยครั้ง นั่นคือ การขอสมุนไพรไปให้ คนที่รัก คนที่ชอบ ทาน
หลวงพ่อนิพนธ์ สอนเสมอว่า ชี้ให้เห็นถึงความจริง ของหลักธรรมคำสอนนี้ ว่า ใครทำใครได้ ... การทำเช่นนั้น จึงมีข้อจำกัด
อำนาจสมุนไพร จึงมีได้แค่ให้โอกาส ... หากแต่เมื่อผู้นั้นสัมผัสแล้ว ก็ต้องทำเอง นั่นหมายความว่า การนำสมุนไพรไปให้ทาน มีผลแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดอายุขัย แม้นจะทานสมุนไพรสักฉันใดก็ไร้ผล เพราะพฤติกรรมเสมือนปีนรั้ว ข้ามกำแพง นั่นเอง
จึงเป็นความจำเป็นที่ว่า แม้นสมุนไพรจะแจกฟรี อยากให้คนทุกข์ไม่ต้องลำบากสักฉันใด ก็ต้องให้ผู้นั้น แสดงความอยากได้ และมารับเอง
หลายคน ผู้ป่วยอาจจะเป็นบิดามารดา ที่อายุมาก ความรักก็ไม่อยากให้ลำบาก ไม่อยากให้ทำอะไรเลย ... ตัวเองมาทำแทนเสียหมด เอาความรักมาปิดโอกาส จนผู้ป่วยไม่มีการกระทำใดเพื่อช่วยตนเลย เรียกว่า ละเมิดหลักตนพึ่งตนไปเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อการกระทำเช่นนี้ ซึ่งให้ผลดีในระยะแรกของการทานสมุนไพร คนเหล่านั้น ก็ยิ่งติดยึดในสมุนไพร กลายเป็นว่าจิตมุ่งแต่ทานสมุนไพร ลืมพื้นฐานความเป็นจริงที่ว่า นี่เป็นธรรมบัญญัติ สมุนไพรเป็นเพียงบันไดชั่วคราว เพื่อให้โอกาส บันไดที่มั่นคงแท้จริง คือการมาเรียนรู้ธรรมคำสอน แล้วนำไปปฏิบัติ ลดนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่าง เพื่อช่วยตน
ด้วยต้นเหตุแห่งโรค คือ กรรม หากไม่ใช้ธรรมล้างกรรมแล้วไซร้ ปัญหาก็เหมือนปมที่แก้ไม่รู้จักจบจักสิ้น
เคล็ดอันหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนคนป่วยนับตั้งแต่ปี ๓๐ นั่นคือ การที่เราท่านได้มาในแผ่นดินของศาสนา มากราบแม่ชีเมี้ยน กราบพระพุทธ เสมือนมาแสดงซึ่งความศรัทธา แต่ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ จึงดูทุกลักทุเล นี่แหละทำให้แม่ชีเมี้ยน และพระพุทธ ผู้ซึ่งมีความเมตตาสูง ย่อมดลบันดาลให้ผู้ศรัทธาเหล่านี้ หายเป็นปกติ
แปลความง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า ศาสนาเขาก็มีหน้ามีตา มีความโดดเด่น จะยอมให้ผู้ศรัทธา มาเดินหลังค่อม ง่อยเปลี้ยเสียขา ได้อย่างไรนั่นเอง
ผู้ศรัทธาในศาสนา จึงมีเอกลักษณ์ นั่นคือ มีวินัยหรือสัจธรรม บังคับตนเป็นบางสิ่งบางอย่าง อาทิเช่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผู้อื่นผิด
เลยไปหน่อย ก็ผู้ปฏิบัติ หรือพระ ก็เพิ่มขึ้นอีกหน่อย ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ....
บทสรุปก็คือ ก็แล้วผู้ที่มุ่งมั่นจะทานแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยที่เราท่านไม่ให้เขาทำอะไรเลย เราท่านจึงกลายเป็นผู้ละเมิดบัญญัติของพระภูมี หรือ เป็นผู้ทำลายไปเสียแล้ว ท้ายที่สุด ไม่เพียงแต่ผู้นั้นไม่ประสพผล เราท่านก็จะจมดิ่งไปด้วย
ทางที่ปลอดภัย หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เดินว่า ไม่ต้องไปสนหรอกว่าสิ่งที่เป็น จะดูแล้วหนักหนาสาหัสสักเพียงใด หากแต่ทานสมุนไพรไป แล้วประพฤติธรรมวินัย อย่างน้อยสักข้อสองข้อ วันละชั่วโมงสองชั่วโมง ผลแห่งการประพฤติธรรม ก็จักเป็นบุญ เป็นอำนาจคลี่คลายได้เอง
แก้ปัญหา ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ อำนาจกรรม ที่ทำมา อย่าไปพะวงกับปลายเหตุ คือ โรค
เมื่อประพฤติธรรมวินัย จนกลายเป็นนิสัย สันดานใหม่ ก็แทบไม่จำเป็นต้องทานสมุนไพรแล้ว ใช้เฉพาะตอนที่กรรมหนักมาก็เพียงพอ
หนทางที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนพระป่วยทั้งหลายในอดีต นั่นคือ เมื่อเราท่านรู้ว่ากรรมที่มามันหนักหนา ก็ยิ่งต้องเคร่งครัดธรรมวินัยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะมากข้อ หรือ มากเวลา จึงจะสู้กับกรรมได้
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ผู้ป่วยที่หมอทิ้ง ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงยุให้บวช แล้วสอนให้ปฏิบัติธรรมวินัย แล้วกล่าวว่าหากทำได้ รับรองว่ารอด
ก็หนทางนี้พิสูจน์มาแล้ว ไม่ว่า เอดส์ มะเร็งสมอง โปลิโอ พากินสัน ไวรัสตับอักเสบ .... ผ่านมาหมดแล้ว ที่ใช้หนทางธรรม ล้วนประสพผลในการช่วยตนทั้งสิ้น
ย้ำเตือนอีกครั้ง รักใครชอบใคร อย่าให้คนเหล่านั้นทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ... มิเช่นนั้น จะตกข่าย ... ช่วยเขาแล้วเราตาย อย่างแน่นอน
หากคนที่อยากช่วย ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย ก็ทำใจเถอะ เพราะผลมันรู้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว อย่างไรก็แพ้
ภาพที่เราจำได้ นั่นคือ เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ช่วยแม่ของเด็กที่มีปัญหาไม่สามารถมีบุตรได้ จนมีบุตรได้ หลวงพ่อนิพนธ์สั่งให้แม่ของเด็กเตรียมของใส่บาตร แล้วก็จับมือเด็กตักของใส่บาตรพระ ... ภาพนี้ย่อมยืนยันว่า ... รักใคร ก็ต้องให้เขาทำเอง ทำไม่ได้ ก็จับมือให้ทำ... จะไม่ทำอะไรเลยนั้น ... เราท่านเดินผิดทางแล้ว