หลายคนที่มาสถานที่นี้ ย่อมมีความคิดเดียวเป็นทุนเดิม นั่นคือ หายโรค หรือ รอดชีวิตจากโรคภัยที่เป็นอยู่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้พิจารณาว่า การมองตามทางโลก นั่นคือ โรค คือ โรค ทำให้การแก้ไขไม่ตรงเป้า แลไม่ประสพความสำเร็จ
หากแต่พระภูมีทรงชี้ว่า ทุกสรรพสิ่งมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ มีสมุฐานมาจาก "กรรม"
ดังนั้น คำว่า "รอด" ของพระภูมี เมื่อเราท่านได้เวียนมาพบ จึงมิใช่จบที่การหายโรคแต่เพียงนั้น
นี่เองจึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมแนวทางสมุนไพรของพระภูมี จึงจำเป็นต้องมีสองขา โดยมีขาธรรมนำหน้า แล้วมีขาสมุนไพรเดินตาม
ก็ด้วยเหตุที่หนทางรอด คือ ความสุขของวิญญาณ ต้องรอดจากผลแห่งกรรม ทั้ง ตายห่า ซึ่งหมายถึงการตายด้วยโรค และตายโหง ซึ่งหมายถึงการตายด้วยอุบัติเหตุ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า เหตุหนึ่งในการสวดมนต์ นั่นคือ ทำให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุนั่นเอง แลผลแห่งการทำเช่นนี้ ก็จะมีผลคุ้มครองได้ ๗ วัน
นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมทุกสัปดาห์จึงต้องมีวันพระ ให้เราท่านไปวัด
ไม่ใช่อยากได้ผลประโยชน์ จึงกำหนดให้ต้องมารับสมุนไพร มาสวดมนต์ กันทุกสัปดาห์
คนไม่รู้ค่า ก็บอกว่า เปลืองค่าใช้จ่าย ทำไมไม่จ่ายให้ไปทานอย่างน้อยก็สองสัปดาห์ ก็ยังดี
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่า คนทำงานอย่างขันแข็ง เพราะทำแล้วเห็นเงิน แต่คนทำตามคำสอนของพระภูมี ไม่เห็นบุญ เขาไม่รู้หรอกว่า เขารอดมาด้วยเหตุใด เขาจึงไม่มีใจอยากทำ เพราะศาสนาเสมือน ปิดทองหลังพระนั่นเอง
การมาทำกิจกรรมทุกสัปดาห์ จึงเปรียบเสมือนบททดสอบเบื้องต้น
ผลแห่งการทำถูก แม้เพียงเริ่มต้น ก็ย่อมแสดงผล คนที่มีปัญญามองเห็น อยากทำเพื่อช่วยตน แลมีวันเวลา ทีนี้ ก็เข้าคอร์ส ทำแบบเต็มร้อย คือ กาย วาจา ใจ การช่วยตนให้รอด ก็เป็นเรื่องที่ง่าย และเป็นไปได้ ไม่ว่าโรคใด
บทสรุป เมื่อโรคเกิดจากกรรม หรือ นิสัยกรรม ทางแก้ ก็ต้องอาศัยธรรม หรือ นิสัยธรรม แลเช่นเดียวกัน กรรมยามทำ พร้อมกาย วาจา ใจ ยามสร้างธรรม จะขาดองค์ใดย่อมไม่ได้เช่นกัน
คนที่รอด จึงดูง่าย ผู้นั้นต้องมีนิสัยธรรมติดตัวไปเป็นบางสิ่งบางอย่าง อันเป็นผลให้พ้นกรรม ... จะมารอดแบบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ทางของพระภูมีแล้ว นั่นเป็นเพียงคำพูดชวนฝัน ตื่นมาพบความจริง โรคก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ยาเคมีหรือลัทธิ พิธีกรรม ใดๆ จึงไม่มีทางรักษาโรคได้อย่างแน่นอน ก็ขนาดทานสมุนไพรโชคดีหายโรค ก็ยังไม่รอดอุบัติเหตุ มีให้เห็นมากมาย แลก็ไม่เรียกว่ารอดด้วย
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า อดีตครั้งพุทธกาลทุกยุคทุกสมัย ทำไมจึงมีผู้ที่มาเดินตามทางเลือกนี้น้อย เพราะมันลำบาก กว่าจะรอด สู้ไปนั่งขอแล้วฝันว่ารอด รู้ตัวอีกทีก็ตอนจะตายว่า มันเป็นเพียงฝัน ก็กลับมาบอกลูกหลานไม่ได้แล้ว พวกฝันมันจึงมีเยอะ
คนนอกไม่รู้อะไร ก็ชมว่าเทคโนโลยีทันสมัย ยิ่งประเทศที่เจริญ อย่างอเมริกา ยุโรป ทั้งหลาย โรคแค่นี้สมัยนี้กระจอก แต่ความจริง มีเศรษฐีอเมริกา ที่เห็นพรรคพวกที่เคยมาฟื้นฟูตัวที่นี่ หลายราย ติดต่อมาเพื่อขอมาฟื้นฟูตัว เพราะหมอทิ้งแล้ว แต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ปฏิเสธไปยังไม่รับ เพราะต้องช่วยคนไทยก่อนนั่นเอง
ใครที่สงสัยว่า ตนเองมารักษาโรค ทำไมต้องมาปฏิบัติและเดินตามวินัยธรรมของพระภูมีด้วย ก็รู้ไว้เถอะ หายโรคน่ะไม่ยาก แต่หายแล้วไม่ได้แปลว่าชีวิตจะรอดปลอดภัย ... ปราชญ์ฺจึงไม่สนับสนุน ไหนๆก็มาแล้ว ทำแล้ว ทำไมไม่ทำให้รอดจริงๆ หรือถ้าไม่อยากทำ ก็อย่าเสียเวลาทานสมุนไพรเลย ไปหาทางเลือกอื่นดีกว่า เพราะผลลัพธ์ มันไม่ต่างกันคือ ไม่รอด แต่อย่างน้อยก็ได้ทำตามนิสัยเดิม ทำในสิ่งที่เลือก ถึงไม่รอดก็ยังมีความสุข แถมยังได้บุญติดปลายนวม ที่เก็บสมุนไพรไว้ให้คนที่อยากรอดจริงๆ
การสร้างบุญให้รอดด้วยวัตถุ นั้นยากยิ่ง เพราะต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นอีกมากหลาย เช่น สร้างห้องน้ำให้วัด ก็ต้องรอคนมาเข้ามาใช้ หลักปราชญ์จึงเน้นสอนทางรอดด้วยวิธีการสร้างนิสัย ที่สามารถสร้างบุญได้ทุกขณะ ตลอด๒๔ ชั่วโมง แลไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่นใด นอกจากตนของตน นี่จึงกลายเป็นบัญญัติทางสายกลางของพระภูมี อันหมายถึง ทางบุญ ที่ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนอยากรอด ล้วนทำได้