ความคุ้นชินและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป นั่นคือ ชอบยาที่เมื่อทานแล้ว อาการที่เป็นอยู่หายไป
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นิสัยอันนี้ คือ การปฏิเสธกรรม แลไม่ได้ดูในรายละเอียดเลยว่า การกระทำเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการรักษาโรคเลย เพียงแค่ระงับเท่านั้นเอง แต่ก็ถูกหยิบยกอวดอ้างว่าเป็นการรักษาโรค
ความจริงที่ปรากฎ คนเหล่านั้นจึงต้องทานยานั้นไปเรื่อยๆ แลมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน
ผลที่ตามมา อันหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ เมื่อทานไปสักระยะหนึ่ง ก็จะเกิดอาการแทรกซ้อน หรือ อาการข้างเคียงเกิดขึ้น
นั่นหมายความว่า จากเดิมที่ทานยาเพียงขนานเดียว โรคเดียว ก็จักต้องเพิ่มเป็นสองเป็นสาม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ท้ายที่สุด ก็คล้ายดั่ง วิทยากร อ.อร่าม กล่าวในการบรรยายเสมอ ในสภาพของตัวท่านเมื่อมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ทานยา มื้อละ 16-20 เม็ด วันละสามมื้อ เรียกว่าทานจนอิ่มแทนข้าว
ทีนี้ เมื่อมาทานสมุนไพร ซึ่งหลักการที่เด่นชัดตามธรรมชาติ คือ การคุ้ยอาการ ให้ร่างกายรับรู้ปัญหา แล้วสร้างภูมิขึ้นมา แก้ไขตัวเอง
แลที่สำคัญ คนที่เป็นไม่เคยรู้ว่า อาการสุดท้ายที่แท้จริงของตน นั้นเลวร้ายประมาณใด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า อาการกระต่ายตื่นตูม จึงเกิดกับคนเหล่านี้
คนเหล่านี้ มาด้วยความหวังว่า สมุนไพรดี ต้องทำให้เขาผ่านอาการ ผ่านโรค โดยไม่เป็นอะไรเลย เพราะคาดหวังว่าสมุนไพรดีเป็นอย่างนี้ เหมือนที่ได้รับการระงับจากการทานยาเคมีนั้นเอง
แต่เมื่อความจริงปรากฎ เมื่อร่างกายพร้อม มีวัตถุดิบสมุนไพรเพียงพอในร่างกาย และฟื้นฟูให้รับอาการได้ สมุนไพรก็จะเริ่มคุ้ยอาการที่เป็นอยู่ ความหวังที่จะไม่ให้เกิดอาการ หรือความหวังของผลจากการทานสมุนไพร เริ่มจะลังเลแล้ว
ประกอบกับคำขู่ ของทางการแพทย์ อาการอย่างนี้ ปล่อยไว้หากไม่แก้ไข อาจถึงตาย ... ตาย .. ตาย ... พูดจนไขว้เขว ทั้งที่ความจริง ไม่ขนาดนั้น แต่ทุกคนก็กลัวตาย
ความรู้ที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ นั่นคือ เชื่อมั่นในพรหมลิขิตของเราท่านที่ทำมา ก็ค่อยๆมลายหายไป เพราะภาพความตายที่ถูกมโน หลอกหลอน แลอาการที่ปรากฎก็ดูเสมือนรุนแรง
ท้ายที่สุด คนเหล่านี้ก็จะไม่ยอมทนกับความจริง แลไม่ให้โอกาสร่างกายในการฟื้นฟูตน หวนกลับไปหายาเพื่อระงับอาการที่เกิด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกเรื่องที่ให้เป็นสติเสมอ ดั่งตัวท่านที่มีอาการไส้ติ่งแตก ลูกศิษย์ที่เป็นหมอพยาบาล พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หากไม่ผ่าตายแน่ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ปฏิเสธ ปิดประตูขังตัวเองไว้ หน้าแดงหน้าเขียว ทนปวดอยู่ 48 ช.ม. แล้วร่างกายก็แก้ไขตัวเอง อาการปวดหายไป
ผลก็คือ ไส้ติ่งที่แตก หดเข้าไปในระบบลำไส้ และถูกขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย เลือดเสีย ได้เองตามธรรมชาติ ไม่ต้องผ่าแต่อย่างใด
นี่เอง จึงเป็นเหตุที่ว่า ทำไมความรู้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่ว่าใคร วันหนึ่งหากเลือกเดินทางสมุนไพร ก็จะต้องผ่านด่านสุดท้าย คือการลงแดง หนักบ้างเบาบ้าง ผ่านได้นั่นแหละคือหายโรค
ผู้ป่วยหญิงมะเร็งเต้านมหลายราย ที่ อ.อร่าม เล่าให้ฟังเสมอ เมื่อตอนร่างกายไล่ก้อนมะเร็งออกจนหลุดออกมา จากเต้านม อุปมาตอนก่อนที่จะหลุดไว้ว่า ปวดทรมาน ยิ่งกว่าการคลอดลูกของเธอ 3 ท้อง รวมกันเสียอีก
แต่พอหลุดออกปุ๊บ อาการปวดก็หาย และไม่เคยปวดอีกเลย เหมือนพ้นประตูนรกเข้าประตูสวรรค
หนทางนี้ จึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ เพราะเป็นหนทางใช้กรรม การกระทำใดๆ ก็ต้องทุกข์ แต่เป็นทุกข์กับวินัย ทุกข์กับกรรมที่ทำมา ยอมรับ
หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า เมื่อใช้ ย่อมหมด
ใครที่หวังว่าทานสมุนไพร แล้วหนทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาย หายได้โดยไม่มีอะไรมาแผ่วพานเลย ... เจอของจริง ก็เผ่นป่าราบหมด
ก็โรคเป็นบริวารกรรม กรรมมีไว้ให้ทุกข์ จะผ่านโดยไม่ทุกข์เลย ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ... นี่แหละโลกนี้จึงไม่มียา เพราะมันปฏิเสธทุกข์ ปฏิเสธกรรม