หมอก็ไม่มี ตรวจอะไร หรือถามไถ่อาการ ก็ไม่มี ถามสมุนไพรตัวนี้ตัวนั้นแก้โรคอะไร ก็ไม่ได้คำตอบ และก็ให้มานั่งฟังพูด ก็ไม่รู้พูดอะไร อยากฟังแต่ว่ากินอะไรแล้วหายโรค ก็ไม่เคยพูด ที่สำคัญนั่งก็ลำบาก ร้อนก็ร้อน ทำไมไม่ทำให้ดี ติดแอร์ นั่งสบายๆ
หลายคนก็อยากรู้ ไอ้ที่บอกสมุนไพรดี กินกี่วันหาย
ไหนๆก็แจกแล้ว ทำไมไม่รีบแจก มาปุ๊บก็รับได้เลย หรือ แจกให้ไปทานเยอะหน่อย จะได้ไม่เปลืองเงิน เสียเวลาทำงาน หาเงิน ทำไมต้องให้มาทุกสัปดาห์
พูดง่ายๆ ต้องสมอยาก ต้องถูกจริตตน สนองใจตน
นี่คืออุปสรรคใหญ่ เสมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ทำให้คนเหล่านี้ยากประสพผล
เหตุด้วยคนเหล่านี้ ไม่เชื่อเรื่องกรรม หรือเชื่อ แต่ปฏิเสธที่จะทำ เพราะมันต้องฝืน
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า หลักพระภูมี อุปมาเสมือนขั้นบันได ที่ต้องปีนป่ายขึ้นไป จึงจะได้สมปรารถนา ของสูงต้องทำตนขึ้นไปหา ไม่ใช่ดึงของสูงลงมาต่ำ วินัยของพระภูมี จึงเป็นวินัยทุกข์ กว่าจะได้ ต้องเหนื่อย ต้องทุกข์
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมพระของพระพุทธเจ้า จึงไม่เป็นโรค ในขณะที่เราท่านนั่งในห้อง มีพัดลมเป่า ยังทนความร้อนต่ำๆไม่ได้เลย ต้องนำพัดมาพัด รักษาความสงบไม่ได้ บ่นร้อน เมื่อไปเข้ากระโจม ความร้อนก็สูงเพิ่มมาอีหกหน่อย ก็ยากจะรักษากรรมฐานไว้ได
ในขณะทีพระ ปกติก็ทำงานกลางแดด ครั้นเดินธุดงค์ ต้องเดินกลางแดด เดินจนครบกำหนดจึงพักได้ นั่นคือต้องเผชิญความร้อนอันมหาศาล ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับความร้อน ยามที่มีพิษไข้ จักได้ไม่เกิดอันตราย
ดูตามขั้น นั่งในห้องนี้ต่ำสุดแล้ว ยังปฏิเสธ
เราจึงอยากบอกว่า ยามเราท่านไปหาหมอในอดีต เคยกำหนดตามใจตัวไหม ไม่มี หมอว่าอย่างไร ทำตามแบบไม่มีผิดสักกระบวน สั่งกินยาตอนเที่ยง กล้ากินตอนบ่ายไหม สั่งให้นั่ง สั่งให้นอน ก็รีบเร่งทำตามทุกกระเบียด ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยปริปากคาดคั้นหมอเลยว่า กี่วันหาย
จะให้มานั่งอธิบายทั้งหมดทุกคน ก็คงเป็นเรื่องยาก จึงต้องเป็นความเชื่อ ฟังเหตุฟังผล พิจารณา ศรัทธา แล้วทำตาม ทำเหมือนไปหาหมอนั่นแหละ บอกอย่างไรก็ทำ ไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ได้มาหลอกเอาเงินเอาทอง ไม่ได้มาทำสร้างชื่อ
แลที่สำคัญมาเพื่อทุกข์ เพราะมาใช้กรรม หากคิดว่ามาแบบสบาย ต้องมีสถานที่ดีๆ นั่งสบายๆ ลมเย็นๆ หรือแม้นกระทั่ง ทานสมุนไพรแล้ว ต้องทานสบาย ทานง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ทานแล้วต้องราบเรียบ ไม่มีอาการใดๆเลย พูดง่ายๆ ไม่ยอมเจ็บ ไม่ยอมปวด ใดๆ มาผิดที่แล้ว
หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ ไม่ต้องไปสนโรคหรอก สนใจอาการที่มันเกิด แล้วหยุดมันให้เร็วที่สุด มีหน้าที่ทานก็ทานไป ร่างกายมันเป็นหมอแก้ไขของมันเอง ถึงเวลามันก็จบ เร่งให้ตายก็ไม่มีทางเร็วขึ้น ไม่ต้องรู้ว่า ตัวไหนแก้โรคอะไร แต่ควรรู้ว่า สมุนไพรตัวไหน ใช้สู้กับอาการนั้นๆ
งานนี้จึงต้องทำใจ แลใช้วันเวลา สิ่งที่วิทยากรพูดจึงเป็นการเตือนล่วงหน้า แลชี้ทางว่ากระบวนการลดอาการ หรือลดทุกข์ ทำอย่างไร โดยไม่จำเป็นให้ทุกข์อันนั้นมาถึงก่อน แลหากมาถึงแล้ว จะต่อสู้โดยวิธีใด
ดั่งแนวทางที่วิทยากร อ.อร่าม ชี้ว่า หน้าที่ของเราท่าน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวสั้นๆ ว่า จะฟื้นฟูตนจนสำเร็จได้นั้น ต้องเรียนธรรม แล้วทำ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า หากจะหนีทุกข์จากกรรมคือโรค มีวิธีเดียวคือ ต้องมาทุกข์กับวินัยแทน
จึงฝากย้ำว่า มาที่นี่เมื่อทุกข์ ไม่ว่าจากความร้อน หรือลมปากใคร การกระทำของใคร พึงระลึกว่าทุกข์นี้เพื่อใช้กรรม จิตจะเศร้าหมองไปไย หากมาแล้วมีแต่สุข เพราะเล่นตามนิสัยตน ทำให้ได้ตามใจตน นี่อันตรายแล้ว
ผู้ใดทำ จักรู้ว่า การทำตนควบคุมนิสัยนั้นยากยิ่ง ยิ่งทำมากฝืนมากเหมือนแบกภูเขาเหนื่อยใจแสนสาหัส หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้ทำตามพระภูมีทีละน้อยๆ เมื่อทำได้ จิตเมตตาจะเกิด เพราะรู้ว่ามันทำยาก จึงให้อภัยผู้อื่น ... จึงเรียกเมตตาธรรม มิต้องสงสัยเลยว่าทำไมพระภูมี แลครูบาอาจารย์จึงมีเมตตา แลขันติ อันมหาศาล ก็เพราะรู้ว่ามันทำยากนี่เอง