วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รากเหง้าเดียวกัน


เรื่องของพระพุทธศาสนา อยากฟังของจริง ก็ต้องรอพระพุทธเจ้ามาสังคยานา เล่าให้ฟัง

ช่วงนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เล่าเรื่องศาสน์ให้เราท่านฟัง เป็นบางสิ่งบางอย่าง จุดประสงค์ก็เพราะเราท่านห่างศาสนามานาน หรืออยู่ช่วงปลายสมัยของพระโคดม และกำลังจะเปลี่ยนผ่านพระพุทธเจ้าองค์ใหม่

นั่นหมายความว่า เรื่องของศาสน์ ถูกบิดเบือน บิดเบี้ยว จนคนส่วนใหญ่ไม่รู้เค้าเดิม นั่นก็หมายความว่า ไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ

หลวงพ่อนิพนธ์อุปมา ให้เห็นว่า เสมือนหนึ่งของที่มีอยู่ในปัจจุบัน ล้วนเป็นของเท็จ ที่กล่าวอ้างกันว่าเป็นของจริง ร้องเร่ขายกันเกร่อ เราท่านก็ไม่รู้ได้ เพราะไม่เคยเห็นของจริงนั่นเอง วันใดที่ของจริงปรากฎ เราท่านก็จักรู้ได้ว่า อันไหนของปลอม

หากแต่ความเท็จก็หล่อหลอมเราท่านมาทั้งชีวิต เมื่อของจริงปรากฎ ก็จะเกิดอาฟเตอร์ช็อค ปรับตัวไม่ทัน นี่จึงเป็นความจำเป็นที่หลวงพ่อนิพนธ์ มาบอกเล่าเรื่องศาสน์เป็นบางสิ่งบางอย่าง ให้เราท่านค่อยๆปรับตัว ของจริงปรากฎ จะได้รับได้ ทำได้ง่าย

สิ่งหนึ่งที่มักเล่าให้ฟัง นั่นคือ ศาสน์ที่มีในโลก ล้วนแล้วแต่มีรากเหง้ามาจากพุทธศาสนาทั้งสิ้น ทั้งนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้น คนทั้งโลก ได้ทราบข่าว สิ่งหนึ่งที่มักกระทำก็คือ ส่งตัวแทนของตนมาศึกษา และเรียนรู้ข้อปฏิบัติ บางสิ่งบางอย่างที่เหมาะสมกับชนเผ่าของตน แล้วนำกลับไปเผยแพร่ปฏิบัติ

วันนี้ก็เลยอยากเล่าประวัติศาสตร์ที่นักโบราณคดีค้นพบ นั่นคือ สาวประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ ด้วยเหตุที่เหมาะแก่เวลา ที่มีบอลโลก โดยเจ้าภาพคือบราซิล

ไฮไลน์ที่เจ้าภาพภูมิใจ และแสดงให้เห็นเสมอ นั่นคือ ความเป็นคริสต์ นับถือพระเยซูของชาวบราซิล อันจะถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ นั่นคือ รูปปั้นพระเยซูขนาดมหึมา ที่ตั้งตระหง่าน ในเมืองที่เป็นที่ตั้งสนามฟุตบอลในนัดชิงชนะเลิศนั่นเอง

สิ่งที่ทำให้คนบางคนฉงน นั่นคือ คริสต์จักรตั้งอยู่ในยุโรป เหตุไฉนบราซิล จึงเป็นคริสต์ชนที่เคร่ง เมื่อสืบสาวลึกเข้าไปอีก กว่าชนชาวยุโรปจะมายังในดินแดนนี้ ที่นี่ก็เป็นชุมชนชาวคริสต์อยู่ดั่งเดิม แถมยังเป็นคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ หรือคริสต์ดั่งเดิมที่เคร่งครัด เสมือนนิกายหินยานของพุทธนั่นเอง

การมาของชาวยุโรป พร้อมคริสต์นิกายคาทอลิก จึงไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปยังชาวบราซิลได้เลย

นิยายประวัติศาสตร์เรื่องนี้ จึงถูกนักโบราณคดีสืบค้น สาเหตุแห่งความเป็นมา จึงพบว่า แท้จริงแล้วพระเยซู คือชาวซีเรีย และได้ไปศึกษาพุทธศาสนาในประเทศเนปาล ถึง ๕ ปี จึงนำกลับมาเผยแพร่ในประเทศตน

ความจริงที่น่าทึ่งไปกว่านั้นอีก ก็คือ ในซีเรียยุคนั้นเอง กลับเป็นที่รวมของกลุ่มชนสองกลุ่ม นั่นคือต้นกำเนิดของทั้งชาวอิสลาม และชาวคริสต์

ครั้นเมื่อพระเยซูทราบดีว่าจะถูกตรึงไม้กลางเขน กลุ่มคนที่นับถือพระเยซู ก็แยกออกไป กลายเป็นอิสลาม และคริสต์ในปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่นักโบราณคดีสืบสาว นั่นคือ คัมภีร์ที่เป็นแม่บทที่พระเยซูใช้สอนสั่งสาวก

พวกเขาพบว่า พระเยซูและสาวก ที่มีอาชีพดั่งเดิมคือชาวประมง ดังน้้น พระเยซูจึงได้มอบคำสอนให้สาวกที่ใกล้ชิด นำออกไป

สาวกที่เคร่งครัดในคำสอน ได้เดินทางโดยเรือ ผ่านช่องแคบต่างๆ ไปยังจุดหมายใหม่ เพื่อสืบสานคำสอนของพระเยซู ... ดินแดนที่พวกเขาไป นั่นคือ บราซิล นั่นเอง

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเมื่อชาวยุโรปบุกไปถึงบราซิล คนพื้นเมืองที่นั่นจึงนับถือศาสนาคริสต์อยู่แล้ว

เหตุการณ์ที่สำคัญและตอกย้ำความจริงข้อนี้ ปรากฎขึ้นในปี 1945 ซึ่งก็คือปีที่เกิดสงครามโลก เมื่อบาทหลวงชาวยุโรปท่านหนึ่ง ไปพบคัมภีร์หนังแกะ ภาษา แอรูมาอิก อันเป็นภาษาดั่งเดิมที่พระเยซูทรงใช้ ในโบสถ์เก่าแห่งหนึ่งของบราซิล

จากการพบดังกล่าวสร้างความยินดีแก่บาทหลวงท่านนั้น หลังจากตรวจสอบ ว่าเป็นของจริง จึงได้จัดส่งให้แก่สำนักวาติกัน

แต่ท้ายที่สุดเรื่องดังกล่าวก็เงียบหายไป ด้วยเหตุที่ว่า เนื้อหาในพระคัมภีร์เดิมนั้น ดั่งเช่นคำสอนของพุทธศาสนานั่นเอง

คำที่มีผู้กล่าวไว้และรอการพิสูจน์ นั่นคือ วันหนึ่ง หินดำที่เป็นที่นับถือ จะแตกออก และปรากฎพระพุทธรูป อยู่ภายใน

วันใดที่พระพุทธเจ้าปรากฎ วงล้อประวัติศาสตร์เยี่ยงนี้ ก็จักหมุนมาอีกครา เราท่านจะได้เห็น คนทุกชนชาติทั่วโลก ส่งตัวแทนมาเรียนรู้ หลักปฏิบัติจากพระพุทธเจ้า แล้วนำกลับไปเผยแพร่ในหมู่ของตน

และจะพบว่า ศาสนาพุทธในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เท็จ จึงถูกเรียกว่า ศาสนาหากิน ทำให้มีผู้คนแอบเข้ามากันมากมาย วันใดที่ของจริงปรากฎ มันทำยากกว่า ธรรมหมวดสมุนไพรเสียอีก เพราะนี่เป้าหมายแค่หายโรค แต่ธรรมของพระพุทธเจ้า เป้าหมายถึงนิพพาน เจอวินัยของพระพุทธเจ้า พระเก๊กระโดดหนีหมด

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ของเก๊มันทำง่าย หลอกง่าย มีมาก แต่ของจริงขนาดพระพุทธโคดม ที่ถือได้ว่า เพรียบพร้อม ทั้งปัญญา และชาติวงศ์ ภาษาพูดที่เพราะพริ้ง ยังมีสาวกไม่ถึงแสน .... แต่ตอนนี้ พระมีเป็นหลายๆแสน

ไม่น่าแปลก ต้นตำหรับ ยังเก๊ ของที่ถูกนำไปใช้ จะถูกแปลงสาร ให้เก๊เหมือนกัน

ส่วนคัมภีร์คำสอนของพระเยซูอีกฟากหนึ่ง ก็ถูกเก็บซ่อนในหินดำนั่นเอง

ฤาษีแปลงสาร เพื่อหากิน จึงไม่ใช่มีแต่ในวรรณคดี ที่ไหนในโลกก็มี

ใครว่าวินัยที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาใช้ในวันนี้ ลำบาก ... เจอวินัยของพระพุทธเจ้า แล้วจะรู้ว่าหินกว่ากันเยอะ

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44