เรื่องของศาสน์ คือเรื่องของชีวิต ที่เกี่ยวพันถึงอำนาจสองอำนาจ คืออำนาจกรรม และคู่ปรับตลอดกาล คืออำนาจธรรม
ศาสน์ จึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม นั่นเพราะ มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นอำนาจ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธฺิ์คุ้มครองตน ให้ครบอายุขัยอยู่แล้ว ผู้อื่นหรือสิ่งใดจะทำลายพรหมลิขิตอันนี้ไม่ได้ ยกเว้น ตนของตนเอง
แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่ง ที่อยากพ้นทุก หรือพูดง่ายๆ เบื่อโลก เบื่อกรรม อยากทำตน ให้วิญญาณสูง หนีกรรม หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วัฐจักรของจักรวาล จึงให้โอกาสทุก ๒๕๐๐ ปี ก็จักมีผู้ทำตนจนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทำตนจนหมดกิเลส เป็นผู้ถืออำนาจธรรม มาสอนคนกลุ่มนี้ ให้พ้นอำนาจกรรม
เราจึงอาจพบเห็นพุทธประวัติ แม้นอาจจะเจือจาง เพราะห่างยุค ห่างสมัย ในแผ่นดินต่างๆ อย่างน้อย ก็ทำให้เราทราบได้ว่า ในยุคหมื่นปีที่ผ่านมา ก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติมาทุกยุคทุกสมัย ๔ พระองค์ นับตั้้งแต่ พระกุสันโธ พระโคนาคม พระกัสปะ และองค์สุดท้ายคือ พระโคดม
นั่นหมายความว่า ศาสน์ มีวันเวลา มีอายุขัย ในโลกมนุษย์ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า รอบของศาสน์ คือ ๒๕๐๐ ปี ที่จะเปิดให้อำนาจธรรม ซึ่งเป็นอำนาจนอกโลก ให้เข้ามายุ่งกับอำนาจกรรม ซึ่งปกครองโลกอยู่ มีระยะเวลา ๑๐๐ ปี
ซึ่งก็หมายถึง อำนาจธรรมจะมาหามนุษย์ที่อาสาทำตนเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อหมดกิเลสนิสัย ก็จักมีคุณสมบัติถืออำนาจธรรม สั่งสอนมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่อยากพ้นเวรพ้นกรรมเหมือนตน เรียกว่า ระยะเวลาวางธรรม ตามประวัติก็มีเวลา ประมาณ ๔๐ ปี
เมื่อครบกำหนด ๑๐๐ ปี อำนาจธรรม ก็ต้องกลับไป เหลือแต่อำนาจกรรม ดังนั้น ๑๐๐ ปี ที่มีพระพุทธเจ้าและสาวก จึงเรียกช่วงศาสน์เฟื่องฟู แลหลังจากนั้น ก็เข้าสู่ความเสื่อมถอย จนมาถึงวันนี้ คือปลายสมัยของพระโคดม นั่นคือ ศาสน์เสื่อมโทรมถึงที่สุด เราท่านจึงเห็นคนเอาศาสน์มาหากินกันมากมาย เกลื่อนแผ่นดิน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า นี่คือความอันตราย เพราะความรู้ที่ผิด ทำให้เราทำผิด แลวันใดที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ พฤติกรรมที่ผิดนี้ จะมีโทษทวีคุณ เพื่อให้เห็นซึ่งอำนาจของพระพุทธเจ้า เรียกว่า ทันตาเห็น นั่นคือเวลาที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ จะสังคายนาศาสน์ขึ้นมาใหม่
ความคิดของเราท่านหลายอย่างที่เชื่อกันว่าดี แท้จริงแล้ว เป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ มีมากมาย ผลผิดเหล่านี้จึงบังเกิดกับตน แลกลายเป็นคำตัดพ้อว่า ทำไมทำดี ไม่ได้ดี ก็เพราะคิดดี แต่ทำผิดนั่นเอง
การเรียนรู้ การฟังจากหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้เราท่านได้เรียนรู้ว่า ทำไมความคิดดีๆ ที่คิดแล้วทำ จึงเป็นผลผิดไปได้
เรื่องของศาสน์ จึงต้องมาเรียนรู้ เพราะถ้าขาดองค์ความรู้เสียแล้ว จักทำถูกเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งการกระทำเดิม ให้ผลผิดเป็นที่ประจักษ์แก่ตน เรียกว่า เกิดแก่ตนแล้วไซร้ จะเถียงอย่างไรก็ไร้ค่า เพราะผลมันเกิดแล้ว นอกเสียจากไม่เอาเหตุเอาผล
เรื่องของศาสน์ จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ไม่ใช่ความเชื่อลมๆแล้งๆ
ตัวอย่างที่เห็นชัด แลถูกหยิบยกมาให้ฟังเสมอ นั่นคือ ความสงสาร ที่หลายต่อหลายคน ที่เห็นพระขาดแคลน ลำบาก สงสารพระ ดังนั้น จัดไปชุดใหญ่ เอาเงินไปถวาย สร้างกุฏิ เห็นท่านเดินไปมา ลำบาก จัดไป รถคันหรู เห็นท่านมีจีวรเก่าหน่อย จัดไป จีวรถวายจนเต็มกุฏิ
หากย้อนกลับไปวันที่ชายหนุ่ม ที่มุ่งมั่น ศรัทธาในพระพุทธศาสนา โกนหัว เข้าโบสถ์ ก็หวังในการเป็นพระที่ดี เป็นที่พึ่งของญาติโยม แต่วันเวลาผ่านไป โดนความสงสารของญาติโยม ถาโถมเข้าใส่ จนเกินกว่าจะห้ามกิเลสของตนได้ ผลก็คือ แทนที่จะได้ เณรคำ ที่เคร่งวินัย ยันคระที่น่ากราบไหว้ ... กลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว
จักบอกได้อย่างไรว่า พระเหล่านั้นเป็นผู้ไม่ดี ก็แท้จริงแล้ว ความสงสารของญาติโยม เอากิเลสไปยั่ว เอาเงินไปถวาย จนท่านหยุดกิเลสไม่ได้ จากพระดี ปฏิบัติดี ก็เลยต้องนำเงินไปเที่ยวในที่กิเลสมันยั่ว อยากโน่นอยากนี่ ก็ตอนบวชใหม่ๆ บอกจะมาตัดโน่นตัดนี่ แต่เงินมันเต็มย่าม มันล่อใจ ... แทนที่จะได้พระดีๆไว้กราบไหว้ กลายเป็นทำลายพระไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วจะเรียกว่า ทำบุญ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาได้ฉันใด
แลด้วยความเป็นอำนาจนอกโลก ที่เข้ามายุ่งย่ามในโลกของอำนาจกรรม สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกกล่าว เขาอนุญาติแต่ก็มีวงจำกัด ไม่ใช่หว่านไปทั่ว
นั่นหมายความว่า อำนาจธรรม จึงเป็นอำนาจเฉพาะ เป็นของบุคคล ไม่ได้มีกันทั่วทุกที่ ทุกตัวคน เราท่านจึงได้ยินคำหนึ่งที่คุ้นเคย นั่นคือ เขตพุทธมณฑล ที่ในปัจจุบัน มักจะแสดงสัญญลักษณ์ คือ ลูกนิมิตนั่นเอง
การกระทำใดๆ เหมือนกัน แต่ผลไม่เหมือนกัน ใครจะบอกว่า ทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน ที่ไหนก็เป็นบุญ หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันว่าไม่ใช่
แม้นแต่ตัวผู้ถืออำนาจเอง ก็หาใช่จะใช้ตามอำเภอใจไม่
ความตอนหนึ่งในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่มีต่อ เจ้าหน้าที่ดูแลห้องสวดมนต์ ครั้นเมื่อเห็นคนไข้จำนวนหนึ่ง นั่งอยู่บริเวณบันได ไม่ได้เข้ามาในห้องสวดมนต์ เพราะเจ้าหน้าที่เห็นว่า มันจะแออัดเกินไป
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเขาให้อำนาจขอบเขตไว้แค่บริเวณห้องสวดมนต์ แม้นจะแออัดสักเพียงไร ก็ต้องให้เข้ามา นอกเหนืองจากบริเวณนี้ แม้นจะทำเหมือนกัน แต่อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่อนุญาติ การกระทำก็ไร้ผลซึ่งการปกปักรักษา หรือเป็นบุญย้อนกลับไปช่วยตน
จักเห็นได้ว่า ความคิดของเจ้าหน้าที่ แม้นจักดี แต่ก็ผิดมหันต์ เพราะขาดซึ่งองค์ความรู้นั่นเอง รวมทั้ง คนไข้ ทำให้การมาของเขาเสียโอกาส แม้นจะทำเหมือนคนอื่น แต่ผลที่ได้ต่างกัน
ความต่างในความเหมือนนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เป็นผลแห่งอำนาจ ใครจะเชื่อหรือไม่ว่ามีอำนาจนี้จริงหรือ แต่ผลที่ประจักษ์ ก็ชี้ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นถ้ำกระบอก หรือ วัด ๗ สำนักเมื่อปราศจากอำนาจนี้แล้ว สมุนไพรที่เหมือนกัน สูตรมาจากคนเดียวกัน มนต์บทเดียวกัน ก็ช่วยอะไรใครไม่ได้เลย
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ นั่นคือ ความคิดดีๆที่เกิด นั่นควรจะทำให้เป็นผล มาที่นี่ มาทำไม มาหาใคร ... แลจะทำอะไร ต้องสาวพงศาวดารว่า ให้คุณให้โทษอย่างไร ไม่ใช่เอะอะก็บอกว่า ทำแล้ว ได้บุญแล้ว ไม่สนว่า สิ่งที่ทำจะไปทางไหน กับใคร อย่างไร ... ผลก็คือ ไม่เพียงไม่ได้บุญ ยังได้บาปมหันต์อีกต่างหาก
เรื่องของศาสน์ จึงจำกัดเฉพาะคนที่อยากยกวิญญาณ หรือ ชีวิตขึ้นสูง พ้นเวร พ้นกรรม ส่วนการหายโรค เรียกว่าของแถม ใครไม่อยากยก ไม่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมตน แม้นอำนาจธรรมจะล้นเหลือ ชนะได้แม้นอำนาจกรรม ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดต่อกร ก็ไร้ค่า ช่วยอะไรไม่ได้เลย การมาก็เสียเปล่า ความจริงข้อนี้ พระพุทธเจ้า จึงบัญญัติธรรมหมวดแรกว่า หลักของท่านเป็นหลัก "ตนพึ่งตน" ใครก็ช่วยใครไม่ได้ อยากได้ต้องเรียนรู้ แล้วเอาไปทำเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สิ่งศํกดิ์สิทธิ์มีจริง แต่ใครจะเข้าถึง สัมผัสได้ อยากรู้ว่าอยู่ที่ใด ก็ให้เอาแว่นส่องจักรวาลไปส่องดู นั่นคือ ความไม่มีโรค ที่ใดมีสิ่งนี้อยู่ นั่นแลที่สถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หมอที่ว่าแน่ เจ้าที่ว่าเจ๋ง พระที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์ ก็ลองเอามะเร็ง เอาเอดส์ไปถวายซิ จะได้รู้ เพราะกรรมมันกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ความจริงข้อนี้ จึงท้าทั่วโลกกับหมอคนไหนก็ได้ว่า ยารักษาโรค (หมายถึงโรคที่ทำให้ตาย) ไม่ว่าโรคใดๆ ไม่มี .... อย่างเด็ดขาด เพราะกรรมมันไม่กลัวมนุษย์หรอก กรรมเขาปกครองมนุษย์ จะมีความคิดมนุษย์หน้าไหนที่เอาปัญญากรรมมาชนะกรรม ... เป็นไปไม่ได้
ศาสน์ จึงเป็นปัญญาเหนือโลก สามารถเอาชนะกรรมได้ จึงไม่ต้องแปลกใจ ผู้ที่เรียนรู้ศาสน์ แม้นเพียงน้อยนิด ก็เหนือผู้อื่นมากมาย เอาไปหลอกหากินได้สบาย จึงไม่ต้องแปลกใจ พระที่แตกจากถ้ำกระบอกไป จึงสามารถนำความรู้ ไปสร้างวัดของตนจนใหญ่โต มีคนเชื่อมากมาย ... สร้างวัดร้อยล้าน พันล้าน ได้ดั่งเนรมิต
แต่คำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่เตือนให้คิด ก่อนทำ .... ยิ่งให้ ยิ่งเจริญ ยิ่งขาย หรือเอาไปหากิน ยิ่งฉิบหาย ... นั่นหมายถึงอะไร เจ้าอาวาสถ้ำกระบอก และวัดทั้ง ๗ จึงอยู่ในสภาพที่เห็นที่ได้ยิน
ใครบอก กูฉลาด หนีไม่เข้าห้องสวดมนต์ได้ หรือไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้อื่น ได้นั่งสบาย ก็ตามใจ ... แต่เราเตือนไว้อีกครั้ง ... ในคำตรัสของพระภูมี ศาสน์ของท่าน ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น เสียดายที่ผลของศาสน์ เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน คนที่เสียผล จะกลับมาบอกคนข้างหลังก็ไม่ได้เสียแล้ว
เปลี่ยนความคิดเสียเถอะ มารับสมุนไพรเยอะๆ ไปกิน จะได้หาย แม้นจะโชคดีที่หายได้ แต่ก็ไปไม่ตลอดรอดฝั่งหรก กรรมมันรอได้ มันแปลงได้ หนีโรคมะเร็ง ด้วยสมุนไพร มันก็ให้เพราะอนุญาติ แต่จะหนีจากอุบัติเหตุได้อย่างไร ลองคิดดู