สิ่งที่เราสงสัย ว่าทำไม คนที่ไปทานสมุนไพรที่สวนสมุนไพร อ.บ่อพลอย ประสพความสำเร็จอย่างง่ายดาย รวดเร็ว ดูตัวอย่างพวกอัมพฤกต์ที่หายแล้วทิ้งไม้เท้า กันจนเป็นกองพะเนิน ไม่มีที่เก็บ จนพระต้องเผาทิ้ง
การไปทานสมุนไพรที่สวนสมุนไพร นั่นคือ การไปเพื่อทานสมุนไพรเขียวแก้วเดียว ยาไพลเหลือง ยาดำ คนละก้อน บางคนก็ได้ทานยามะพร้าว แล้วก็กลับบ้านมือเปล่า
คนที่มาแรกๆ มากันตอนเที่ยงคืน และคนกลุ่มสุดท้ายที่กลับบ้าน ก็ต้องมีสองทุ่ม
ดินแดนที่ทั้งพื้นที่ มีศาลาเพียงหลังเดียว แลเต็นท์ ที่กางเอาไว้สิบกว่าหลัง ไม่มีพัดลม น้ำกินน้ำใช้ก็มีน้อย แต่ที่มีมาก นั่นคือ ฝุ่น แดด ความร้อน เพราะอยู่ในเขตที่ประเทศไทยระบุว่า เป็นเขตที่แห้งแล้งที่สุด ทำกินปลูกพืชไร่ไม่ได้ ... พิสูจน์จากภาษีที่เก็บนั่นเอง ที่มีราคาต่ำสุดในประเทศ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า วินัยของพระพุทธเจ้าคือ วินัยทุกข์ แลอาศัยศรัทธาเป็นสะพาน ในการทำให้เกิดความเชื่อแล้วทำตาม
การไปทานสมุนไพร ที่สวนสมุนไพร ผู้ที่ไปแลสามารถยืนหยัดได้ ย่อมต้องมีมานะ อดทนสูง ต้องอาศัยศรัทธาอันมหาศาล จึงจะทำได้ เพราะสภาพแวดล้อม มันไม่เอื้ออำนวย ทำให้เหมือนใช้กรรม แลหากขาดขันติ อดทน แลศรัทธา ก็ย่อมทนไม่ได้เลิกราไป เสียก็มาก
ผลของสมุนไพร ที่มีต่อผู้ศรัทธาจึงมหาศาล
ย้อนกลับมายังการทานสมุนไพรที่ศาลา ที่นั่ง ที่นอน ที่กิน ก็มีมากหลายกว่า น้ำท่า อาหารการกิน ก็มีให้ ที่สำคัญ สมุนไพรที่ได้รับ เมื่อเทียบกับที่สวนสมุนไพรแล้ว มากมายหลายเท่านัก
แต่เราก็ได้ยินเสียง หลายคนบ่น เรื่องที่พักรอบ้าง เรื่องอาหารการกินบ้าง เรื่องน้ำบ้าง แลที่สำคัญ เรื่องร้อนบ้าง
แต่ที่ได้ยินมากสุด ก็น่าจะเป็นบ่นเรื่องกิริยา คำพูด ของเจ้าหน้าที่ แล้วก็เอาสิ่งเหล่านี้ มาน้อยใจ ใจน้อย แล้วก็ไม่มา เลิกราไป ก็เยอะ
เหตุแห่งการปิดสวนสมุนไพร เหตุหนึ่งก็คือ ที่นั่นมันทุกข์เกินไป ทำให้คนบางกลุ่มขาดโอกาส เพราะรับกับสภาพแวดล้อมไม่ไหว
แต่เมื่อมาเปิดที่ศาลา หรือ ชมราคนรักสุขภาพ หนีทุกข์อันนั้นมา แล้วจะปฏิเสธกรรมได้อย่างไร เมื่อไม่เอาทุกข์แบบนั้น กรรมก็แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ กับการนั่งฟัง ทุกกับการสวดมนต์ ทุกข์กับการเสียดสีกับเจ้าหน้าที่ แทน
อย่าน้อยใจเลย แลใจน้อยจนทิ้งหนทางช่วยตน ด้วยหวังว่า มาแล้วจะเจอ เจ้าหน้าที่แบบสายการบิน ยิ้มไหว้ พูดจาเพราะๆ ได้มานั่งสวดมนต์ เก้าอี้อย่างดี ห้องแอร์เย็นชั่ำ เหมือนวัดที่ตนชอบ ....
เมื่อกรรมทำให้เป็นทุกข์ เมื่อจะมาดับทุกข์ ก็เตรียมใจไว้เลย เมื่อเผชิญจิตจะได้ไม่ตก
กรรมการท่านหนึ่ง พูดกับเราว่า เมื่อกี้เข้าไปพบหลวงพ่อนิพนธ์ โดนท่านว่ามา ... เราก็ตอบกลับไปว่า หลวงพ่อยังว่าเรา แสดงว่าท่านเมตตาเรา จึงเตือนเราให้กลับมาอยู่ในร่องรอย หากท่านอุเบกขา ไม่ว่ากล่าวเมื่อเราทำผิด นั้นก็แสดงว่าแย่แล้ว
ผู้ที่จะเดินเส้นทางนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้ท่องไว้เลยว่า เรามีกรรม กรรมย่อมทำให้เราเป็นทุกข์ เมื่อจะหนีทุกข์ของกรรม มาเจอธรรมของพระภูมี ก็เปลี่ยนจากทุกข์จากกรรม มาเป็นทุกข์กับวินัยธรรมแทน ... เมื่อเจอสิ่งใด ก็รักษากรรมฐาน คือ ความสงบ ปลงซะ แล้วบอกตนของตนว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"
ประเภทที่นั่งร้อนหน่อย ก็ไม่ทน หาความสงบไม่ได้ ต้องพัด อันนี้บอกได้เลยว่า เดินทางสายนี้ลำบาก โดนคำพูดหน่อย ก็ทนไม่ได้ คิดว่าตนไม่ผิด แต่หากไม่มีกรรม จะทำให้ผู้อื่นมาว่าเราได้โดยวิธีใด เหตุจึงมาจากกรรมของเรา
การมาที่นี่ ย้ำคำเดิมอีกครั้ง ในการดูผล ว่าแพ้หรือชนะ ก็ดูจากการรักษากรรมฐาน ความสงบ ตลอดระยะเวลา ในพีื้นที่แห่งนี้ได้หรือไม่นั่นเอง กรรมฐานอยู่ คนอยู่ กรรมฐานแตก ก็กลับไปหากรรม
จึงไม่แปลกใจที่คนไปสวนสมุนไพร ทนนั่งสงบในที่ร้อนๆ สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ แล้วทานสมุนไพร เมื่อเขาทำได้ ทำไมจึงหายวันหายคืนเร็วนัก
ไปในวันหน้า ทุกข์จากการทานยากของสมุนไพร ก็หายไป ก็เล็งเห็นได้เลยว่า พฤติกรรมย่อมมีผลอันมหาศาลขึ้นอย่างแน่นอน เพราะทุกข์ด้วยหนทางอื่น มันปิดลง ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ วันนี้ไม่ควบคุมตน เข้ากระโจม รับยา ยังหาความสงบไม่ได้ การทานอาจมีผล เพราะยังมีทุกข์อื่นให้รับ วันใดที่ช่องอื่นปิดลงแล้วยังมีพฤติกรรมเดิมๆ .... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ทานเป็นแกลลอน หมดเป็นถังก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้
หลายคนดีใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่งเครื่องจักรเข้ามา ทำให้สมุนไพรทานง่ายขึ้น ... สำหรับเรา ก็หวั่นๆว่า หลายคนก็จะกระเด็นกระดอนออกไป แลหาผลจากการทานสมุนไพรไม่ได้แล้ว หากยังมีพฤติกรรมเฉกเช่นที่ทำในวันนี้