การทานสมุนไพร ในรูปแบบเดิม หลายคนจะพบประสพปัญหา นั่นคือ ทานยาก
การมาทำกิจกรรม อาทิเช่นการสวดมนต์ หลายคนก็สู้ไม่ไหว ทนไม่ได้ต่อการนั่งกับพื้น ทำให้รักษากรรมฐานของตนไม่ได้
ปัญหาทำนองนี้ ทำให้หลายคนหมดโอกาสในการช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ด้วยความมีเมตตา อยากให้คนเหล่านี้มีโอกาส จึงได้ดำริ โครงการแปรรูปสมุนไพร และสร้างอาคารสวดมนต์ขึ้นใหม่ ให้เป็นแบบมีเก้าอี้นั่งให้ทุกคน
นั่นหมายความว่า ความสะดวกสบาย จะมากขึ้น ถูกจริตคนมากขึ้น โอกาสที่หลายคนจะฝ่าฟันให้พ้นในการช่วยตน ก็เปิดกว้างขึ้น
หากแต่สิ่งที่เสียไป นั่นคือ ขันติ อดทน ยิ่งไปกว่านั้น ก็เสียหนทางใช้กรรมไป อีกทางหนึ่ง
นั่นหมายความว่า ในอนาคต สมุนไพรจะทานได้ง่ายขึ้น มีจำนวนพอเพียงกับความจำเป็นของแต่ละบุคคล
แต่ผลแพ้ชนะ จะขึ้นกับพฤติกรรมของผู้ทาน มากยิ่งขึ้น
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในอนาคตอันใกล้ ใช่ว่าทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการช่วยตน หากแต่จะต้องผ่านการคัดกรอง คุณสมบัติ อย่างเข้มงวด เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าเลือกบุรุษที่จะมาเป็นสาวก ฉันใดก็ฉันนั้น
ในไม่ช้า เราท่านจะได้เห็นยักษ์หน้าโบสถ์ นั่นคือ คนที่อยากเข้ามาทานสมุนไพร แต่ไม่มีคุณสมบัตินั่นเอง ก็ได้แต่คอยชะแง้ แล้วเงี่ยหูฟัง ว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะพูดอะไร ที่จะเป็นการสร้างบุญ แล้วตนเองจะได้ไปทำบ้าง เพื่อเป็นบุญเลี้ยงตัว ส่วนประตูสมุนไพรนั้นถูกปิดตายสำหรับคนเหล่านี้ เพราะขาดคุณสมบัติ เขาจึงไม่อนุญาติให้เข้าโบสถ์นั่นเอง
ตอนนี้หลายคนอาจจะเบื่อเจ้าหน้าที่บางคน ที่คอยห้ามโน่น ห้ามนี่ ห้ามคุย ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามเล่นโทรศัพท์ ... หารู้ไม่ นั่นแหละเขาเตือนแล้วว่า การทำเช่นนั้นไม่เหมาะสม เพราะสถานที่นี้ต้องการความสงบ สมาธิ เพื่อสร้างกรรมฐาน วันหนึ่ง คนเหล่านี้แหละ จะกลายไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ เมื่อเป็นโรค อยากหาย จะเข้ามาก็ไม่ได้ จึงได้แต่เฝ้าอยู่หน้าโบสถ์นั่นเอง