วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562

เสียชาติ


ธุรกิจทุกชนิด หากไร้จุดมุ่งหมาย หรือที่เรียกว่าเป้าหมาย ย่อมยากจะประสพผลสำเร็จ

เสมือนเรือ แม้นจะดีเลิศปานใด หากแต่ไร้เข็มทิศ ดูทิศดูทางลมฟ้าไม่เป็น เรือลำนั้นคงยากถึงจุดหมาย การลอยลำอยู่ในน้ำตลอดเวลา มั่นใจหรือ ว่าเรือตนนั้นไม่มีวันพัง ไม่มีวันเสีย ไม่มีวันล่ม ไม่เจอะเจอพายุใหญ่

ธุรกิจ ล้มแล้ว สร้างใหม่ได้ แต่ชีวิต ทำเช่นนั้นไม่ได้ จะรอเห็นศาสนาเมื่อเวลาตาย นั่นก็สายเกินจะเขียนพรหมลิขิตที่ดีให้แก่ตน ในวันหน้าแลภพหน้า ที่สำคัญกว่า เชื่อหรือตนจะเกิดเป็นมนุษย์อีก แลถึงแม้นได้เกิด แน่ใจหรือจะได้เจอศาสนาอีก

หลายคนรู้ หลายคนตระหนัก แต่ไม่ทำ ถ้าเป็นคนทั่วไป ที่ไม่เจอศาสนา นั่นก็ไม่ว่ากัน เล่นกันไปตามพรหมลิขิต ของใครของมัน แต่เมื่อชีวิตเผชิญกรรมบันดาลโรค แล้วเวียนว่ายมาเจอศาสนา ของพระภูุมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่คำสอนชี้ให้ทำเพื่อ "เขียนพรหมลิขิตที่ดีให้ตน" จะมาเอาแค่ซ่อมเรือตนให้ดีเท่านั้นคงไม่พอ

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณาว่า สิ่งที่ทำ ต้องมีคำตอบแก่ฟ้าดิน ทำไปมุ่งหวังอะไร ให้เป็นที่พึ่งของตน เมื่อมาลองแล้วเกิดผล เป็นที่พึ่งแห่งตนได้ เห็นแล้วว่าดี ทำไมไม่สร้างปณิธาน "นับถือศาสนาพุทธตลอดชีวิต" เป็นเข็มทิศให้วิญญานตน

ชีวิตจะได้ไม่หลงทาง ไปทำ ไปยึดถือ ในสิ่งที่ทำแล้ว ไม่ยังผลแก่ตน ไม่มีตัว ไม่มีตน ช่วยตนไม่ได้ ไม่เสียเวลาไปนั่งร้องขอพร ที่สำคัญ ไร้จุดหมาย นั่นคือ ต้องเวียนว่ายไม่รู้จบรู้สิ้น

บทสรุป ความทุกข์จะมีได้ เพราะ "ตัวเกิด" ศาสนาชี้ให้พิจารณา สุขใดจะเทียบเท่า สุขพระนิพพาน จึงชี้เป้าหมาย ให้มุ่งแสวงหา มรรคผลนิพพาน เป็นเป้าหมายชีวิต นั่นด้วยอาศัย การพานพบพระพุทธศาสนา ยุคใดที่อยากไปจึงไปได้ แลนี่แหละจึงเป็นสุดยอดวินัย ที่คนเวียนว่ายมาพบ ควรตั้งปณิธาน "นับถือศาสนาพุทธตลอดชีวิต" เป็นนิสัยติดตัวไปทุกภพทุกชาติ แล้วค่อยๆทำ ตามกำลังตนสะสมบารมีไป ตามที่ตนทำได้

การพานพบ และเกิดใน แผ่นดินพระพุทธศาสนา พลาดการกระทำนี้ให้วิญญานตน นั่นแลเสียชาติเกิด เพราะไม่รู้จะได้เจออีกชาติไหน เพราะไม่สร้างความผูกพันธ์ ให้ติดวิญญาณ ชาติใดศาสนาอุบัติ เราเจ็บเหมือนชาตินี้ แต่แก้เจ็บไม่ได้ เพราะไม่เจอ ยิ่งอยากไปนิพพาน นั้นเป็นไปไม่ได้เลย

ใครเชื่อ แลทำตาม คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ให้ลดกิริยา ตามแม่ชีเมี้ยนชี้ ในเขตพัทธสีมา ที่กำหนด นั้นมีความหมายแก่วิญญาณมหาศาล ให้ผลหายโรคได้ เห็นผลต่อกาย อยากเข้าถึงแก่น ไปรับสัจจะกับพระ ที่จะให้ผลถึงวิญญาณ ผูกพันธ์กับพระพุทธศาสนา ทุกภพทุกชาติ คนผู้นั้น จะยิ่งเกิดศรัทธา แลจะยิ่งรู้ค่าว่า การลดกิริยา นั่นแลหนทางแห่งสุขสงบที่แท้จริง

ใครมันแน่ ไม่ลดกิริยา นั่นมันไม่กลัวกรรม แลที่สำคัญไม่เอาธรรมคำสอน การมาพบ นั้นเสียชาติ อย่างดีก็แค่มาซ่อมเรือ พอหายมันก็ถีบท่าทิ้ง วันข้างหน้า มันก็หาท่าไม่เจอ มันก็เจอตอของมันเอง ที่มันทำ

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2562

กงจักรแลดอกบัว


คนทั้งหลายทานยาเคมี ไม่เคยถามไม่เคยลังเลในการทาน ในขณะที่สิ่งที่ปรากฎ หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่าเป็นดั่งคำกล่าว "ดินพอกหางหมู" นั่นคือ ยิ่งทานโรคยิ่งเพิ่ม จากเริ่มแต่ความดัน กลายเป็นโรคนี่นั่นตามมาอีกมากมาย ดูเช่นวิทยากร อ อร่าม ที่เคยเข้าวังวนอันนี้ จากยาเม็ดนึง กลายเป็นมื้อละกำมือ จากโรคเดียว เป็นเก้าโรค

หากเพราะขาดพิจารณา มิเพียงทำร้ายตน ยังสอนลูกหลานให้เดินตามรอยนี้กันมากมาย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มิเพียงไม่หายโรค ยังสร้างกรรมแก่ตน คือ อัตวินิบาตกรรม กรรมอันนี้น่ากลัวนักเป็นกรรมหนัก นี่ชี้ว่า สิ่งที่ทำคนทั้งหลายว่าเป็นคุณช่วยตนได้ เป็นดอกบัว แต่แท้จริงแล้ว เป็นกงจักร ยิ่งใช้นานไป ย่อมตัดอวัยวะตน ทำลายตน แม้นแต่ชีวิตก็อาจรักษาไม่ได้


ในขณะที่ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทุกสรรพสิ่งล้วนแล้วใช้ของธรรมชาติ ที่เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ดี ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่ต้องกลัวทานน้อย ทานมาก จะเป็นภัย แต่มนุษย์กลับกังขา สมุนไพรนี้ สะอาดไหม ปลอดภัยไหม มีผลข้างเคียงไหม

ย้อนสมัยสำนักลพบุรี ในปี 30 มีผู้แจ้งสาธารณสุขให้มาตรวจสอบ ขณะนั้นหลวงพ่อนิพนธ์ยังบวชอยู่ ผู้ตรวจสอบเฝ้าดูหลวงพ่อนิพนธ์แจกสมุนไพร รินใส่แก้วให้คนป่วยทาน รินเสร็จล้างแก้ว แล้วก็ใช้แก้วเดิมรินให้แก่คนต่อไป

สาธารณสุขกลุ่มนั้น ถามหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า การทำเช่นนั้น คนป่วยไม่ติดโรคกันเองหรือ เพราะใช้แก้วเดิม แลแก้วที่ใช้ซ้ำย่อมมีเชื้อมากขึ้นตามการใช้ นั่นความคิดโลก ไม่ผิด

หลวงพ่อนิพนธ์ ตอบว่า สมุนไพรของพระภูมี ถ้าแม้นแต่ตัวของสมุนไพรเอง ยังรักษาตนไม่ได้ให้ปลอดเชื้อ จะไปช่วยคนได้อย่างไร

ท่านจึงให้สาธารณสุขกลุ่มนั้น เอาแก้วนั้นไปตรวจหาเชื้อ หลังการตรวจสอบ มาเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า แก้วนั้นสะอาดกว่าการฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนเสียอีก นั่นทำให้ การแจกสมุนไพรในยุคนั้น ผ่านการตรวจสอบ และดำเนินต่อไปได้

กรรมการท่านหนึ่งกล่าวว่า ตนเป็นโรคกระดูก แต่ขอไม่ทานยากระดูกหรือขาตั้ง ถามว่าทำไม ตอบว่าเห็นไขลอยฟ่อง กลัวคอเลสเตอรอล จึงไม่กล้าทาน ไม่รู้เลยว่าไขในยานั้น มีแต่คุณไม่มีโทษ ยิ่งไปกว่านั้น ไขมันเป็นสิ่งสำคัญต่อประสาท คนที่ไม่ยอมทานไขเลย กลัวอ้วน แต่ไม่กลัวร่างกายขาดไขมัน จนต้องรีดจากทุกส่วนมาใช้ กลายเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ซ้ำซ้อนขึ้นมา

บทสรุป นี่แลกรรม ยิ่งขาดพิจารณา ปัญญา ที่จะเห็นความจริงอันนี้ก็ไม่เกิด การมาทานสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ตั้งอยู่บนความกังขาตลอดเวลา ทั้งที่ผ่านบทพิสูจน์มามากหลาย เห็นคนหายเดินเกลื่อน ศรัทธาความเชื่อจึงทำไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นี่แลเป็นกำแพง ทำให้ยากประสพผล เพราะใจที่เป็นนายคอยปิดกั้นเอาไว้นั่นเอง ผลก็คือ เข้าวังวนความอกตัญญูได้ง่ายดาย ด้วยเมื่อใดมีอาการ ไม่โทษกรรมที่ตนตามมา บันดาลโรค ให้เป็นทุกข์ กลับหันมาโทษสมุนไพร ที่ให้แต่คุณ ท้ายที่สุด ก็พาลโทษคนทำยาที่ช่วยตน

นี่แลทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนว่า สมาธิที่พระภูมีใช้ คือ สมาธิพิจารณา เพราะถ้าขาดพิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด การกระทำที่ถูกต้องย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ศรัทธาในศาสนายิ่งไม่ต้องพูดถึง โดนลมปากคน ว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ดี ก็ไหลไปตามลมนั้น ศาสนาฤาจะสู้ ต้นไม้ที่คาดผ้าเจ็ดสี แต่ถ้ามีปัญญา ไม้นั่นไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้คุณให้โทษใครไม่ได้

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

โดนยำ


วิทยาการที่เจริญ สร้างความสะดวกสบายสนองกิเลสตัณหาไม่สิ้นสุด ยิ่งวันมีแต่ยิ่งเพิ่ม

แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่านี่แลกรรมเฟื่องฟู คนห่างศาสนา ยิ่งวันนิสัยอยากมี อยากได้มีแต่ยิ่งเพิ่ม จึงไม่ต้องสงสัยเลยในพยากรณ์ ที่ตรัสว่า ในไม่ช้าโลกอุดรจะร้อนนักสุดประมาณ

ผลแห่งพฤติกรรม มันจะท้าทายวิทยาการของมนุษย์ แลบ่งชี้ให้เห็นสัจธรรมความจริงว่า "โลกใบนี้ กรรมต่างหากศักดิ์สิทธิ์" นั่นแปลว่าไม่มีอะไรเหนือกรรม โดยเฉพาะ สิ่งที่มนุษย์คิด มนุษย์สร้าง ด้วยเหตุว่า มีพื้นฐานมาจากปัญญาของโลก หรือของกรรมนั่นเอง ไม่มีทางชนะกรรม ชนะธรรมชาติได้

พุทธทำนาย ยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน จึงปรากฏ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า พยากรณ์สิ่งต่างๆที่มนุษย์เคยใช้ได้ จะผิดเพี้ยนใช้การณ์ไม่ได้ แม้นแต่ฤดูกาล ก็แปรปรวน เละตุ้มเป๊ะ ตามนิสัยมนุษย์ในวันนี้นั่นแล

การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เฉกเช่นปัญหาฝุ่น ในกรุงเทพฯ ด้วยมาตรการต่างๆ เป็นตัวอย่าง ที่ไร้ผล หลวงพ่อนิพนธ์เคยพูดเล่นๆว่า เมืองสวรรค์จะกลายเป็นเมืองนรก

บทสรุป เมืองพุทธที่พูด มันเป็นแค่ในกระดาษ หากแต่คนทั้งหลาย ในเมืองนี้ พฤติกรรมสวนทางกับพระธรรมคำสอน อย่างสิ้นเชิง มันจึงตกต่ำ ในที่สุดแม้คำพูดของผู้นำ ก็เชื่อถือไม่ได้

คำเตือนของแม่ชีเมี้ยน กล่าวมาเนิ่นนาน คงเปลี่ยนใจคนไทยไม่ได้แน่แท้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ด้วยนิสัย "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา คนจะเห็นศาสนาก็เมื่อเวลาตาย" กรุงศรีแตกแล้ว คนจึงสามัคคี ฉันใดก็ฉันนั้น แต่ใครเล่าจะอยู่จนได้สามัคคี เพราะวิกฤตหนนี้สาหัสกว่านัก

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้เหตุแห่งการสร้างสำนักลพบุรี แลให้สมุนไพรว่า ทำไปทำไม ก็ให้คนที่อยากทำตนรอดูศาสนา ดูพระพุทธเจ้า ทำตนให้รอดวิกฤตด้วยการทำนิสัยพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างที่ตนพอทำได้

จะมาทานสมุนไพรหวังหายโรคมันจึงไม่พอ เพราะวิกฤตครานี้ ใหญ่กว่าที่คนทั้งหลายจะคาดคิดนัก

เพราะถ้ากรรมไม่บีบจนทุกข์แสนสาหัส คนคงยากที่จะหันไปมองศาสนาที่แท้จริงว่าทำกันอย่างไร

คำพูดท่านอาสิที่สอนในวันนี้ ใครเชื่อแล้วเดินตาม ผู้นั้นจะพบว่ามีค่ามหาศาลเมื่อวิกฤตมาถึง แลจะภูมิใจที่ได้อยู่ดูศาสนา เห็นและฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นคนจริงๆในพม่า ได้เดินรอยตาม เป็นสมบัติติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2562

มีแต่ไม่มี


คนทั้งหลายในโลก สอนลูกสอนหลาน ให้สร้างตนเป็นคนมั่งมี มียศศักดิ์

ทุกตัวคนบอก ใครมั่งมี ใครยิ่งมีตำแหน่งสูง จัดว่าเป็นคนดีมีบุญวาสนา

คนทั้งหลายแห่แหนนับถือ ยกย่อง กราบไหว้ ชี้ให้ลูกหลาน เดินตาม สนับสนุน เพื่อให้ได้เป็นแบบนั้นบ้าง

จึงไม่แปลกถ้ามีทางลัดให้ร่ำรวย คนทั้งหลายจึงอยากเดิน หวยจึงเป็นคำตอบ คำขอพร จึงเต็มไปด้วย ขอให้ร่ำรวย ทำมาค้าขายดี หรือสอบได้ตำแหน่งที่ตนต้องการ

แต่ถ้าพิจารณา เจ้าชายสิทธัตถะ ที่มีพร้อม กลับทิ้งมา ด้วยเล็งเห็นว่า ไร้บุญ ไร้วาสนา

เพราะคนมีบุญ มีวาสนา ย่อมหนีเจ็บได้ ที่ยิ่งไปกว่า คือ หนีเกิดได้

บทสรุป ท่านอาสิจึงชี้ว่า เมื่อเปลี่ยนเป็นพระโคดม เป็นคนจนที่สุด ไร้ยศศักดิ์ เดินขอเขากิน นอนกลางดิน กินกลางทาง ทำวินัยธรรม กลายเป็นคนมีบุญวาสนาสูงสุด

ความต่างของการกระทำ เมื่อเป็นเจ้าชาย คือ ทำเอา แต่ครั้นเป็นพระโคดม สิ่งที่ทำคือ ทำให้

นั่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ ด้วยทำเอา ย่อมเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป เป็นธรรมดา กลายเป็นโรค แลการเดินตามรอยพระโคดม ด้วยทำให้ จึงเป็นหนทางดับทุกข์ พ้นโรค

หากแต่คนจะเป็นผู้ทำให้ได้ ต้องมีนิสัยพระพุทธเป็นพื้น ลดนิสัยทางโลก นั่นแล ทำไมศาสตร์สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จึงสอนให้สร้างนิสัย บังคับให้ทำ

ใครที่จะมาหายโรคทั้งที่มีนิสัยเดิม รอยารักษาโรค มันจึงเป็นฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คนมีบุญไม่เป็นโรคแบบนั้นหรอก พระของพระพุทธเจ้าไม่มีใครเป็นโรค เชื่อหรือไม่ แลทุกองค์ ไม่มีเงินสักบาท ไม่มียศ เดินธุดงค์หลังตรงจนครบอายุขัย

จะมาหายโรค ต้องทำตนให้เป็นคนมีบุญมีวาสนา จึงจักได้ มิฉะนั้นอย่าหวัง อาจโชคดีหายโรคนี้ แต่เป็นโรคอื่นอีก หรือเจออุบัติภัย นั่นหนีเสือ แต่จรเข้รองาบอยู่ ตายเหมือนกัน การมาก็เสียเปล่า

ใครมาพบศาสนา มุ่งหวังรวยทรัพย์ รวยยศ นั่นโง่เขลา เพราะมันติดตามวิญญาณตนไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีบุญวาสนา ย่อมได้เองไม่ต้องร้องขอ แต่ปฐมบทแห่งสิ่งที่สร้างสุข คือ "ความไม่มีโรค" ที่สามารถติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ นั่นต่างหากที่คนเป็นปราชญ์ เขามุ่งทำให้ได้ก่อน

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

เรื่องผีผี


คำถามที่แคลงใจคนทั้งหลาย นั่นคือ "ผีมีจริงไหม"

ครั้นมีวาสนาได้บวชในหลักธรรมโลกุตระของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงอดไม่ได้ที่ต้องถาม เมื่อมีโอกาส

ท่านตอบว่า แล้วแต่ความหมาย ถ้าผีหมายถึง คนตายแล้ววิญญาณมาหลอกหลอน นั้นไม่มีหรอก เพราะหน้าที่ของวิญญาณคือ รับกรรม

ดังนั้นเมื่อตาย ตัวกระทำหรือกรรม ก็ต้องนำไปเกิดตามกรรมที่ทำมา เพื่อรับผลอันนั้น จะมาลอยไปลอยมาไม่ได้ แม่ชีเมี้ยนเคยตรัสว่า ไม่เกินวัน ต้องหาสังขารให้วิญญาณ ผู้ใดมีใจดี ก็เป็นมนุษย์ ผู้ใดใจไม่ดีก็ไปเป็นสัตว์ นั่นแปลว่า เราท่านทั้งหลาย ล้วนเกิดเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ วนไปวนมามากหลายแล้ว

หลวงพ่อนิพนธ์เคยถามแม่ชีเมี้ยนว่าชาติที่เป็นสัตว์ท่านเป็นอะไร แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า "เป็นม้า" นั่นทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ที่เกิดปีม้า ชอบม้า รักม้า

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนว่า สัตว์ที่มาอุบัติใกล้เรา ย่อมผูกพันธ์กับเรามาก่อน คนรู้จึงมักปรารถนาให้คนที่ตนรัก หากต้องเกิดมาเป็นสัตว์ ก็ขออยู่ในเขตพัทธสีมา เพื่อจะได้ใช้ชีวิตจนครบอายุขัย ไม่ถูกใครไล่ล่า ท่านจึงมักสอนให้เราทำทาน ให้อาหารสัตว์ในมูลนิธิ ดูแม้กระทั่งจานข้าวหมา ไม่ปล่อยให้เลอะสกปรก อาหารบูดเน่า เพราะบางทีสัตว์นั้น อาจเป็นพ่อเป็นแม่เราก็เป็นได้

หลายคนจึงมักเคยเห็นภาพหลวงพ่อให้อาหารสัตว์อยู่เนืองๆ

แต่ถ้าผีในความหมายของพุทธ แม่ชีเมี้ยนใช้เรียก คนที่มาอยู่ในพุทธศาสนา ไม่ว่าเป็นพระ ฆราวาส หรือสถานะใด ปากบอกว่าอยากพ้นทุกข์ หากแต่พฤติกรรม ยังฉ้อฉล เบียดเบียน หลอกเขากิน นี่แหละผี

บทสรุป ท่านอาสิชี้ให้เห็นว่า ทุกข์ที่เกิดมาเป็นโรคของเราท่านในวันนี้ นั่นเพราะเราท่านเบียดเบียนผู้อื่น จนเกินไป อาทิ ของทุน 5 บาท คนอยากได้ ขาย 20 บ้างตกลงเงินเดือน ทำงานวันละ 8 ชม แต่นายไม่อยู่ ไม่มีคนเห็น ก็ไม่ทำ ทีนี้จะมาแก้ทุกข์ แก้โรค ท่านสอนให้สร้างสุขแก่ผู้อื่น หาทำไม่ แต่ผีพวกนี้ดูสิ ขวดยาของตนทานแล้วไม่ล้าง ควรเอาไปทิ้ง เอากลับมาให้มูลนิธิ นำมาใช้อีกก็ไม่ได้ ต้องเสียเวลาแยก แลเอาไปทิ้งอีก สร้างทุกข์ให้จิตอาสา ทำงานเพิ่มโดยไม่จำเป็น

นิสัยผีอย่างนี้ แล้วจะมาเอาหายโรค เป็นไปได้หรือ

คนสอนเขาสอน อยากหายทุกข์หายโรค สร้างสุขให้ผู้อื่นสิ นี่ไม่ทำ ก็พอทน ย้อนเกล็ดมาสร้างทุกข์ ผีพวกนี้ระวังน่ะ หลวงพ่อนิพนธ์มักบอกว่า ตีนกรรมที่ตนมีก็หนักแล้ว แต่ถ้าเจอตีนฟ้า ดูสิ เทวทัตที่ว่าพรหมลิขิตแน่ มีกรรมดีมากมาย ยังจมธรณี

ถามผีเหล่านั้นหน่อยเถอะ ทำทำไม ไม่อยากสร้างสุข เดินตามคำสอน ก็ไปที่ไหนก็ได้ ไม่ดีกว่าหรือ หายโรคไม่ต้องพูดถึง บุญที่ไหนจะคุ้มครองผี มีแต่กรรมเท่านั้นที่รอเล่น

ดูเอาเถิด


คำพังเพยโบราณมีกล่าวทำนายอนาคตของไทย ในเพลงยาวอยุธยา ว่าไว้ความตอนหนึ่งที่จะพึงเกิดในประเทศไทย นั่นคือ "กระเบื้องน้อยลอยฟูฟ่อง น้ำเต้าน้อยค่อยถอยจม ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้คลอกจะเดินถนน"

บทความดังกล่าวเมื่อสืบไป ไม่ใช่การแต่งขึ้น หากแต่เป็นการเอาสิ่งที่ได้รู้ แล้วผู้ที่มีปัญญาในโคลงกลอน มาแต่งร้อยเรียงให้น่าอ่าน จดจำได้

ผู้ทรงความรู้มากมายหลายสาขา เคยเอ่ยให้ความเห็นแปลบทความดังกล่าว หาอ่านกันได้ คงไม่อยากกล่าวถึง

แต่ความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่แบบนั้นเลย

หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบาย จากคำบอกของแม่ชีเมี้ยนทรงตรัส ว่า เป็นพุทธดำรัสเรื่องราวของเหตุการณ์ที่จะบังเกิดขึ้น ก่อนที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้นบนโลก นั่นคือ เมื่อกรรมหมู่ หรือกรรมที่คนทั้งโลกสร้างย้อนมาอุบัติ ให้ทุกข์กับมนุษย์

หนทางพ้นทุกข์ คือการเดินตามรอยพระภูมี น้อมนำนิสัยของท่านมาเป็นวินัย เพื่อพัฒนาวิญญาณตน หากแต่วินัยนี้เป็นวินัยทุกข์ ด้วยเป็นวินัยที่ต้องทำด้วยตนเอง ทำสุขให้ผู้อื่น ฝืนนิสัยสันดานตน ยิ่งไปกว่านั้น เป็นการทำที่ไม่หวังผลตอบแทน มีผู้เรียกวินัยนี้ว่า "วินัยกรรมกร" ดังนั้นผู้ที่จะทำวินัยนี้เพื่อช่วยตนได้ จึงต้องมีคุณสมบัติของคนขี้คลอกที่ต้องทำ ต้องอดทน เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้นั่นเอง ส่วนคนที่ทำตนเป็นผู้ดี ท่านว่า พวกนี้ตีนแดง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ขาดความขันติอดทน จะทำไม่ได้

กรรมที่อุบัติ จะครอบคลุมพื้นที่ ท่านอาสิชี้ว่า เมื่อถึงขั้นสุด จะมีเชื้อโรคมาร่วมด้วย พร้อมที่จะแพร่ไปในอากาศ อันเป็นเชื้อที่ฝังในดิน พุ่งขึ้นสู่อากาศ เมื่อถึงวันนั้นผู้ใดสูดอากาศในบริเวณที่กรรมอุบัติ ก็จะเกิดโรค ตายเป็นใบไม้ร่วง

เราท่านก็จะเห็นคนดังพุทธดำรัส หนึ่งคือผู้ที่ทำตนเป็นผู้ดี ต้องย้ายตนไปเดินในตรอก หรืออยู่ในที่จำกัด ด้วยกลัวอากาศกลัวเชื้อเหล่านั้น ไปไหนตามใจไม่ได้

แต่พวกที่ทำตนเป็นขี้คลอก ขันติ อดทน ทำวินัยของพระภูมี พัฒนาวิญญาณตนขึ้นที่สูง สร้างบุญเป็นเกราะป้องกันตน จะเดินถนนได้อย่างปลอดภัย

บทสรุป ภัยในวันนี้นั้น เป็นแค่ปฐมบท เป็นสัญญาในเตือน แต่คงหยุดพฤติกรรมมนุษย์ให้สร้างกรรมน้อยลง คงยังไม่ได้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงสร้าง แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน ที่ลพบุรี ให้คนกลุ่มเล็กๆที่เชื่อในคำสอนคำเตือนของแม่ชีเมี้ยน มาเดินตามรอยพระภูมีที่แท้จริง

ใครจะเห็นว่าบ้า หัวเราะเยาะเราท่านที่เดินตามในวันนี้ ช่างปะไร วันที่กรรมอุบัติ พุทธพยากรณ์มาถึง ผู้ทำได้จะยังคงอยู่ หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติว่า "จงพยายาม ขันติ และอดทน หัวเราะทีหลังดังกว่า"

ท่านอาสิจึงมักยกคำกล่าวเล่นของหลวงพ่อนิพนธ์ให้ฟังว่า ถ้าอยากรวย ก็ทำออกซิเจนกระป๋องรอไว้เลย รวยแน่


วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

รอยปั๊ม




คนทั้งโลกมองคนไทย ว่าเป็นคนไม่มีวินัย เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน การแซงกัน การฝ่าฝืนจราจร

ผู้ใหญ่บางกลุ่ม อยากสอนวินัยเด็ก ออกกฎกติกา ให้แต่งกายตามเครื่องแบบ

หากแต่การจะอบรมบ่มนิสัย ต้องใช้เวลา ที่สำคัญ คือ ต้นแบบ ที่จะนำมาปั๊มขึ้นรูป ให้ได้ตามที่ต้องการ

ความล้มเหลว คือผล ที่จะบอกและยืนยันว่า ต้นแบบ ที่ใช้ปั๊มมันผิด มันเพี้ยน

ฉันใดก็ฉันนั้น มนุษย์ทั้งโลก ล้วนแต่อยากเป็นคนดี ทำไมมันจึงเป็นไม่ได้

สิ่งที่น่าพิจารณา นั่นคือ สิ่งที่นำมาสอนนั้น เกิดจากใคร ถูกต้องหรือไม่ มีเหตุมีผลอย่างไร มิใช่จบแค่ มีอ้างในตำรา หรือ เป็นคำสอนที่ตกทอดกันมา ห้ามวิจารณ์ ห้ามแย้ง ต้องปฏิบัติ

วินัยของคนไทย ทำไมเละตุ้มเป๊ะ ก็เพราะสอนในสิ่งที่ทำไม่ได้ กลายเป็นการทำผิดเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไร

ดูสิ สอนให้ไม่ฆ่าสัตว์ ใครทำได้ ถ้าว่ากันตามจริง ผลคือ กลายเป็นคนพูดแล้วทำไม่ได้ มีวินัยแล้วทำไม่ได้ แลมันคงยิ่งไปกันใหญ่

ถ้ากล่าวว่า ไม่เป็นไร ผิดแล้ว ขาดแล้ว ก็ต่อได้ ท้ายสุดกลายเป็นนิสัย เป็นคนพูดแล้ว ไม่ทำก็ได้ มีวินัย ไม่ทำก็ได้

ทำกันมาตั้งแต่เด็ก เราก็ทำคนนั้นคนนี้ก็ทำ พูดแล้วก็แล้วไป เป็นวัฒนธรรม ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ไม่สนสิ่งที่ตนพูดไป ประกาศไป

บทสรุป เมื่อรอยปั๊มมันผิด ยิ่งทำยิ่งเสื่อม แม่ชีเมี้ยนจึงสอนให้ใช้สัจจะ คนที่จะทำ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทำไม่ได้อย่าพูด เพราะผลที่เกิดมันมหาศาล เป็นนิสัยติดตัว ไปทุกภพทุกชาติ เมื่อพูดจริง ทำจริง ผลก็เกิดขึ้นจริง นี่จึงเป็นแนวทางที่จะถูกนำมาใช้ ในการฟื้นฟูตน ของมูลนิธิ พูดว่าจะสวด ก็สวด แลทำถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ มีผลช่วยตนได้เชื่อหรือไม่ หากพูดแล้วไม่ทำ หรือทำไม่ได้ มันก็มีผลย้อนมาทิ่มแทงตนเช่นกัน หลายคนบอกไม่เคยทำบาป ก็แล้วบาปอะไรเล่า บอกสรรพสัตว์ว่าฉันจะไม่ฆ่า เดินออกไปก็เหยียบตาย ยุงกัดก็ตบ ยาฆ่าแมลงก็ฉีดกัน ขายดิบขายดี ไหนบอกไม่ฆ่าสัตว์ กรรมอันนี้แหละย้อนมาทิ่มแทงตนเป็นโรคแล้วในวันนี้ จะปฏิเสธสักฉันใด ไม่พ้นเลย

แล้วมาดูวัดของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้าง สอนให้พูดจริง ทำจริง ตามพระภูมี เป็นแบบปั๊ม ผลแห่งการทำ ช่วยตนสมปรารถนาใครทำตามพูดได้ หายโรคได้

ถ้าปากบอกนับถือพุทธ ระหว่างรับไม่ฆ่าสัตว์ กับ ไม่ซื้อขายพระ ไม่สนับสนุน ลองพิจารณาสิว่า พยานใหญ่ที่อ้างในคำพูดตน เขาจะคิดว่าอันไหน ที่เราท่านจะทำได้จริง เป็นที่พึ่งของตนได้จริง

แค่เปิดไฟในบ้าน แมลงก็บินมาเล่น ตายเกลื่อน จะอ้างสักฉันใดไม่เกี่ยวกับตน ตนไม่ได้ทำ แล้วไฟที่เปิดนั้นเป็นของใคร

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

บุญสำคัญไฉน



สำหรับคนทั่วไป ที่กรรมยังไม่อุบัติมาเป็นโรค จนทุกข์ยากจะทนแล้ว แค่กรรมดี คนเหล่านั้นก็เพลิดเพลิน ไม่จำเป็นต้องการหาศาสนา หาบุญ จะหาหมอ หาเจ้า ซินแส ก็เล่นไป

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทุกคนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุมครองตนอยู่แล้ว คือ พรหมลิขิตตนนั่นแล ไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตแน่แท้

ดูคนเมาหมาเป็นตัวอย่าง ขับรถกลับถึงบ้าน ยังไม่รู้เลยมาโดยวิธีใด ตอนไหน

แต่คนเป็นโรคตาย ความตายกำลังมาเยือน หรือ ความทุกข์ความเจ็บยากเกินทน ทรมาน นั่นแลดิ้นรน เพราะเชื่อว่า ศาสนาช่วยให้พ้นทุกข์พ้นโรคได้

สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนสอนคือ ให้สร้างบุญ โดยการสร้างนิสัยพระภูมี แล้วทานสมุนไพร

ท่านอาสิชี้ว่า เพราะ "กรรมมันจำนิสัย"

เมื่อนิสัยเปลี่ยนกรรมมันจำไม่ได้ เมื่อวันเวลากรรมมา ก็ไม่แน่ใจ ใช่ไม่ใช่ ลังเล แต่มันมีวันเวลา เหมือนดาวเทียม เมื่อไม่เจอก็ต้องไปวนหาใหม่

หลวงพ่อนิพนธ์เรียกเวลานี้ว่า เวลาทอง เพราะมีเพียงอำนาจเดียวที่ให้ผล

หากเวลานี้กรรมมา แสดงอำนาจ ทำลายเราท่าน ร่างกายก็ทรุดโทรมลง แย่ลง แต่ถ้ากรรมผ่านไป นั่นหมายความว่า ได้ประโยชน์ทั้ง ไม่ถูกทำลาย แลมีวันเวลาให้สมุนไพรฟื้นฟูร่างกาย เมื่อกรรมมาเจออีก จะทำลาย ก็ไม่แย่ลงกว่าเดิม

บทสรุป การช่วยตนจึงต้องใช้ธรรมนำ สร้างบุญ เปลี่ยนนิสัย ยิ่งทำได้มาก สมุนไพรก็มีโอกาสฟื้นฟูมากเท่านั้น

จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมโรคร้าย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักแนะนำให้บวช ให้เวลาฟื้นฟูตน ทุกเวลา สักปีหนึ่ง แลมักจะได้ผลทุกตัวคนถ้าทำได้

มองให้ชัด เหมือนทานข้าว ถ้ามีกรรมดีบันดาล ข้าวที่ทานนั้นเป็นคุณ สร้างประโยชน์ แต่ถ้ากรรมบันดาล ข้าวนั้นทำให้เป็นเบาหวานให้ทุกข์

ยามนี้ของคนทุกข์ คือ การชักคะเย่อกัน ว่าจะให้อำนาจใดมีบทบาทกับตน อยากหายโรคเร็ว ช้า หรือไม่หาย จึงขึ้นกับนิสัยตน ไม่ใช่สมุนไพร

นี่แลทำไมต้องสวดมนต์ ทำไมต้องสงบเงียบ เพื่อให้ได้บุญ ปลุกเสกสมุนไพรให้ช่วยตนด้วยตนของตน ไม่ใช่จบแค่ขอสมุนไพร


วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562

ของเป็น - สมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน



หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนให้ "เป็นของเป็น" คือมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน

แปลความว่า ค่าของสมุนไพร จะมากน้อย ขึ้นกับคุณสมบัติ เป็นตัวแปร หรือตัวคูณ

ถ้าเป็นนักคณิตศาสตร์ จะเห็นว่า ทำไมยาของถ้ำกระบอก จึงหาค่าได้น้อย หรือไม่ได้ หลังจากการจากไปของแม่ชีเมี้ยน หลวงพ่อนิพนธ์บอก ตัวคูณที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า คือ "ทำให้" ยิ่งตัวคูณใหญ่มหาศาล ปริมาณของสมุนไพรก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นแล้ว เมื่อเก็บเงิน ตัวคูณของผู้ทำมันน้อยหรือเป็นศูนย์ นั่นเอง ค่ามันจึงน้อย

ในทางกลับกัน ยุคถ้ำกระบอก เขาทานยากัน 5 แก้ว จบ นั่นหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ด้วยสมัยนั้นเขาให้คนทานสร้างคุณสมบัติก่อน ทำได้จึงให้ทาน ดังนั้น เมื่อคุณสมบัติดี ยิ่งทำมาก การทานก็ยิ่งให้ผลมหาศาล ชะงัดทุกตัวคน

วันนี้ ท่านอาสิชี้ กรรมเขามาแรงขึ้น จะมาทำเหมือนเดิม คงหยุดโรคได้ยาก

นั่นแปลว่า ปีนี้ จะมารับสมุนไพร วิธีการคงไม่เหมือนอดีต ไม่ง่ายแล้ว นั่นเอง

คนทำก็วิรัติ ทำให้ถูกตามแม่ชีเมี้ยนชี้
คนทานก็ต้องสร้างคุณสมบัติมารองรับ
เพื่อสู้กรรมที่มาแรง

ใครไม่อยากทำ ก็มีสถานที่อื่นที่ทำสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนแจกหลายที่ ให้แบบอยากได้เท่าไหร่ก็ได้เอาไป จะไปรับที่นั้นก็ได้ไม่ว่ากัน

แต่ไม่รับผิดชอบ ไม่รู้ว่าทานแล้วจะเกิดอะไร ไม่เกี่ยวกับมูลนิธิ

บทสรุป
ไม่สงสัยหรือ ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า "โลกนี้ไม่มียารักษาโรค" ก็นั่นมันของตาย ยาตาย ดูสิ เนื้อเน่าตายเสียแล้ว จะทานแล้วเป็นคุณได้ไหม


ก็ดูกัน ใครทำได้ ยืนระยะได้ ทำตามคำสอนแม่ชีเมี้ยน เราท่านจะทานสมุนไพร ต้องเอาธรรมพระโคดมนำหน้า นั่นแลจึงจะประสพผล โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว

ไม่เอาธรรม ไม่อยากทำ เชิญที่อื่น หรือ ออกไปยืนดูคนที่เขาอยากทำ อยากหายโรค ดูผลที่เกิด พร้อมแล้วค่อยมาก็ยังได้ แต่อย่ามาแล้วไม่ทำ "ตายทั้งที่ทานสมุนไพรนั่นแล"

แล้วมาพิสูจน์คำของหลวงพ่อนิพนธ์ที่ว่า "ธรรมและสมุนไพรนี่แล เป็นทางลัดในการหายโรค ให้ผลเร็วที่สุด"


วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562

คนรู้กับคนคิด


ครั้งแรก! ยารักษาโรคภูมิแพ้จาก “ไพล” ยกระดับสู่ MODERN HERBAL MEDICINE

พูดคุยกับ “หมอแอน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ กับการพัฒนายารักษาโรคภูมิแพ้จาก “ไพล” สมุนไพรไทย พร้อมดันขึ้นทะเบียนเป็นยาแผนปัจจุบัน

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2561

“โรคภูมิแพ้” เป็นอีกหนึ่งโรคที่คนไทยมักป่วย และไม่ใช่เพียงแค่คนไทยเท่านั้น ยังรวมไปถึงคนอีกหลายล้านคนทั่วโลกด้วย โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จำนวนมาก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต และอาจรุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ ซึ่งในบ้านเรานั้นยังไม่มียาต้นแบบที่ผลิตจากประเทศไทย และต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด

จากปัญหาดังกล่าว จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการคิดค้นและพัฒนายาต้นแบบที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้เพื่อตอบโจทย์คนไทยของ “หมอแอน” ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อรพรรณ โพชนุกูล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ กับผลงานเรื่อง "ผลของยาไพลต่ออีโอซิโนฟิลและไซโตไคน์ในโพรงจมูกของผู้ป่วยโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Effect of Zingiber Cassumunar (PLAI capsule) on nasal eosinophils and cytokine productions in allergic rhinitis)"  ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากโครงการ BRAND'S Health Research Awards 2018 และได้ลงนามความร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรม เพื่อต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมยาสมุนไพรชนิดแคปซูลที่ได้จาก “ไพล” ซึ่งมีสรรพคุณรักษาอาการโรคภูมิแพ้และหอบหืดด้วย

กว่า 12 ปี กับการคิดค้นและพัฒนายารักษาโรคภูมิแพ้จาก “ไพล” ซึ่งเป็นสมุนไพรไทย ร่วมกับทีมนักวิจัยหลาย ๆ ฝ่าย เพราะแต่ละขั้นตอนต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และความร่วมมือจากหลายสถาบัน รวมถึงได้จดสิทธิบัตรยาไปแล้วด้วย โดย “หมอแอน” ต้องการพัฒนาสมุนไพรไทยให้เป็น Modern Herbal Medicine คือ สมุนไพรที่มีข้อมูลงานวิจัยรองรับ มีความทันสมัย และเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน

“ไพล” มักนำมาใช้ในเชิงอุตสาหกรรมสปา ใช้เฉพาะภายนอก ไม่ใช่ยารับประทาน ซึ่งไพลชนิดรับประทานยังไม่เคยมีมาก่อน ไพลที่นำมาใช้เฉพาะภายนอก กับไพลที่นำมารับประทาน จะมีสูตรที่แตกต่างกัน โดยสูตรที่ใช้รับประทานได้สิทธิบัตรสกัดมาเรียบร้อยแล้ว เป็นยาชนิดแคปซูล สามารถรับประทานได้ง่าย

“หมอแอน” เล่าว่า ผลงานวิจัยนี้แบ่งการทดสอบออกเป็น 3 เฟส โดยเฟสที่ 1 จะทดสอบในอาสาสมัครปกติ หลังจากผ่านการทดลองในหนูกับลิง ส่วนเฟสที่ 2 ทดลองในคนไข้ที่มีอาการแพ้อากาศหรือจมูกอักเสบภูมิแพ้ เพื่อดูกลไกการออกฤทธิ์ของยาในคน ซึ่งมีความยากกว่าการทดลองในหลอดทดลอง เพราะต้องนำสารคัดหลั่งหรือเลือดมาตรวจ และปัจจุบันกำลังพัฒนาในเฟสที่ 3 มีกลุ่มตัวอย่างราว 500 คน โดยกลุ่มอาสาสมัครมาจากคนไข้ที่มาจากหลายสถาบันทั่วประเทศ เช่น โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี วชิรพยาบาล และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นต้น โดยพยายามทำข้อมูลวิจัยหลาย ๆ ด้าน เพื่อรองรับการนำไปใช้ในอนาคต และเพื่อให้แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับ

นอกจากเป้าหมายหลักของการพัฒนายาจาก “ไพล” เพื่อนำมารักษาโรคภูมิแพ้ “หมอแอน” ยังมุ่งมั่นผลักดันยาตัวนี้ให้กลายเป็นยาแผนปัจจุบันที่ใช้ทดแทนหรือเทียบเคียงกับยาที่มีอยู่ในท้องตลาด โดยวางแผนการทำงานของตัวเองให้อยู่ในระดับสากล ซึ่งนอกจากการขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทยได้แล้ว ต้องได้มาตราฐานสากล และสามารถนำไปจำหน่ายที่ต่างประเทศได้ด้วย

ด้านมุมมองในการพัฒนายาในบ้านเรา “หมอแอน” มองว่า ประเทศไทยมีจุดเด่นด้านใด ก็ควรนำจุดเด่นนั้น ๆ ออกมาใช้ แล้วพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย อย่างเช่นสมุนไพร เพราะเมื่อพูดถึงสมุนไพร คนมักมองว่าเป็นของโบราณ ในขณะที่เราเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ก็พยายามผลักดันให้สมุนไพรไทยเป็น Modern Herbal Medicine โดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน ซึ่งจะทำให้เราก้าวออกไปสู่เวทีระดับโลกได้

ส่วนหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยให้สำเร็จนั้น เราต้องมีความรู้สึกอยากทำ ไม่ไช่ทำเพราะถูกบังคับ “ความสุข” ของการทำวิจัย ไม่ไช่การตีพิมพ์ แต่ความสุขของนักวิจัยในมุมมองของตัวเอง คือ สิ่งที่เราคิดค้นได้ถูกนำไปใช้ได้จริง เนื่องจากเราเป็นหมอ และโจทย์ของงานวิจัยของเรามาจากหน้างาน เรียกว่า "From Routine to Research" จากงานประจำต่อยอดเป็นงานวิจัย เพราะเราอยากทำให้การรักษามันดีขึ้น จึงใช้วิจัยเป็นตัวตอบโจทย์เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนไข้มากที่สุด “หมอแอน” กล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบัน “ไพล” เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่รัฐบาลสนับสนุน และผลักดันให้เกิดเป็นชิ้นงาน แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมไพลไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมในเชิงทางการแพทย์ ไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อการรักษา ซึ่งงานวิจัยนี้จะเป็นครั้งแรก และเป็นยาตัวแรกที่มีโอกาสขึ้นทะเบียนยาแผนปัจจุบันได้

หากย้อนไปยุคถ้ำกระบอก เมื่อคนป่วยมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านก็ให้รีบวิ่งไปหาแม่ชีเมี้ยน แล้วท่านก็บอกสูตรมาให้

คนรู้จริง ถามปุ๊บก็ตอบปั๊บ คนไม่รู้แต่อยากรู้ ก็ใช้ค้นคว้าเพื่อได้รู้

หลวงพ่อนิพนธ์บอก สิ่งที่สำคัญคือสัดส่วน คนไม่รู้ก็ลองผิดลองถูก แต่แม่ชีเมี้ยนเป็นผู้รู้ ทุกสูตรสัดส่วนเป๊ะ ใช้ได้เลย ไม่ต้องลองผิดลองถูก

ยาไพลของแม่ชีเมี้ยน ใช้กับคนเป็นโรคภูมิแพ้ และโรคเลือด มาหกสิบปีแล้ว คนทั้งหลายไม่ตื่นเต้น มาวันนี้ แค่วิจัยพบว่า มีผล คนตื่นเต้นมากมาย บอกเป็นความหวัง

บทสรุป น่าเสียดาย คนไทยปากบอกอยากได้คนดี สนับสนุนคนดี ผู้ที่สอนการปฏิบัติที่ดี ให้สูตรสมุนไพรที่ดี คนไทยเมินเฉย เหมือนไร้ตัวตน ไม่เห็นค่า เราพยากรณ์ไว้เลยว่า วันหนึ่งคนไทยจะหมดหนทาง ประเทศจะเข้าตาจน วิกฤติเกิด ลุกลาม เดือดร้อน ทั่วทุกหย่อมหญ้า สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้นี่แหละ กอบกู้ประเทศได้

ทุกวันนี้ที่ทานกัน แค่สิบกว่าขนาน แต่ที่ท่านทิ้งไว้ให้กว่าครึ่งร้อย หลวงพ่อนิพนธ์บอก ตั้งแข่งโรงพยาบาลได้เลย

ใครบอกจะพัฒนาประเทศให้รุ่งเรือง ถามกรรมเสียก่อน ดูกรรมของประเทศเสียก่อน แน่มาจากไหนชนะกรรมได้

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทำตามสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนสอน เอาตนรอดอยู่ดูศาสนา รอพระพุทธเจ้าในพม่าอุบัติ

ปาบึกน่ะ แค่น้ำจิ้ม ของจริงยังไม่มา รอดูเอา ประเทศจะพัฒนาก่อน หรือจะพบกับมหาภัยพิบัติที่ให้เราต้องเอาตัวรอดก่อน

ไม่เชื่อไม่ว่า จะว่าบ้าไม่เป็นไร แต่ชี้ว่า สำนักลพบุรี ของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้าง เป็นหลุมหลบภัย ให้คนไปเรียนรู้วิธี

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562

สาละ - ธรรมชนะกรรม


หลวงพ่อนิพนธ์นำต้นสาละมาปลูกในมูลนิธิ ท่านว่ามีในพุทธประวัติ ที่สำคัญคือ ชื่อ เป็นสิ่งที่เราท่านต้องพิจารณา ว่าสิ่งใดควรเชื่อ มีแก่นสาร ที่สำคัญเป็นที่พึ่งของตนได้

ท่านเล่าอดีตครั้งบวชว่า สิ่งหนึ่งที่คนไม่รู้ของตัวท่านนั่นคือ กลัวผี แม้นแต่ในวัยเด็ก ที่แก่นแก้วในตรอกไผ่สิงโต ด้วยบ้านอยู่กลางซอย ในอดีตไม่มีไฟฟ้า เมื่อเดินกลับบ้าน ต้องผ่านต้นมะขามใหญ่ กิจกรรมที่ทำประจำ คือแวะฉี่ก่อนเข้าบ้าน ทำเช่นนี้มาหลายปี มาวันหนึ่งมีคนเอาผ้าเจ็ดสีมาผูก เอาศาลมาตั้งแล้วบอกมีผีเจ้าที่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับแต่นั้นด้วยความกลัว ถึงต้นมะขาม หลับตากลั้นใจวิ่งผ่านกลับบ้านทุกครั้ง

ครั้นมาบวช แม่ชีเมี้ยน รู้นิสัยความเชื่ออันนี้ของท่าน ดังนั้นธุดงค์หนึ่ง แม่ชีเมี้ยนบอกต้องทำลายความเชื่ออันนี้ลงเสีย เดินมากับหมู่คณะช่วงหนึ่ง แม่ชีเมี้ยนสั่งให้หลวงพ่อนิพนธ์แยกเดินเดี่ยวไปคนเดียว

วันหนึ่งท่านไปปักกลด บริเวณนั้น ชาวบ้านบอกผีดุ ครั้นค่ำชาวบ้านก็กลับ ตกกลางคืน ขณะจะหลับ ปรากฎว่ากลดสั่นไหวไปหมด เป็นพักๆแล้วหยุด อยู่อย่างนี้จนเช้า หลวงพ่อนิพนธ์ด้วยความกลัวผี คิดว่าโดนผีเล่นซะแล้ว ไม่กล้านอน ไม่กล้า ออกจากกลด จนเช้าฟ้าสว่างปรากฎว่า มีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งมานอนที่กลดท่าน มันจึงเกาทำให้กลดสั่นทั้งคืน

เมื่อเดินไปอีก วันหนึ่งเดินจนพลบค่ำ แล้วจึงหาที่ปักกลด เห็นเนินดินตรงทางสามแพร่ง เหมาะที่จะปักกลดจึงปักบนเนินดินนั้น ชาวบ้านผ่านมาเห็น สักพักก็มีผู้ใหญ่บ้านพร้อมลูกบ้านมาหาด้วยความดีใจ แต่ก็รีบลากลับ หลวงพ่อนิพนธ์สงสัยแต่ก็ถามไม่ทัน กะว่าพรุ่งนี้ค่อยถาม ครั้นเช้า ผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้านถือกับข้าวมาใส่บาตรหน้าตายิ้มแย้มดีใจ รอจนฉันเสร็จ จึงถามข้อสงสัย ผู้ใหญ่บ้านบอก ชาวบ้านดีใจที่ท่านมาปราบผี เพราะดุมากหลอกหลอนคนหลายครั้ง หลายหน หลวงพ่อนิพนธ์ถามผีที่ไหน ชาวบ้านบอกก็ตรงเนินดินที่ท่านปักกลดนั่นแหละ เป็นหลุมศพผีตายทั้งกลมดุมาก หลอกคนไปทั่วจนชาวบ้านไม่กล้าเดินผ่านเมื่อค่ำแล้ว 

หลวงพ่อนิพนธ์จึงรู้ว่า ผีไม่มีจริง ท่านนอนหลับสบาย ตั้งแต่ธุดงค์นั้น ท่านก็เลิกกลัวผี

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า สิ่งต่างๆล้วนแล้วแต่มนุษย์สร้างขึ้น คิดเอง เออเอง ไม่มีจริง ไม่ว่าผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีกันเกลื่อนบ้าน เกลื่อนเมือง เมื่อไม่มีจริง จึงให้คุณให้โทษใครไม่ได้ แต่ที่ประสพผลนั่น กรรมดี กรรมชั่วของคนนั้นต่างหาก

วันนี้บทพิสูจน์จะมีให้เห็น เมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองพระพุทธศาสนาของแดนใต้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย วัดเต็มเมือง จะหยุดภัยพิบัติลงได้ไหม ในเมื่อสิ่งที่มาเป็นอำนาจกรรมหมู่ที่มีจริง มีตนมาเป็นลมแล้ว

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระภูมี ทรงชี้ให้ผู้ทุกข์ ด้วยภัยพิบัติ จะพ้นก็ด้วยการทำนิสัย ให้สุขผู้อื่น ทั่วทั้งหมู่เหล่าในชุมชนนั้น ถ้ามัวแต่ร้องขอ อ้อนวอน เชื่อว่าจะมีผู้อื่นหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไม่มีทาง ยิ่งถ้าเชื่อว่าวิทยาการ จะช่วยได้ สร้างวัตถุมาสู้ยิ่งไม่มีทางชนะ

เมื่อเราจะมาชนะโรค สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปร้องขอ หรือวิทยาการทางการแพทย์ ก็ไม่ต่างกัน หยุดลมกรรมที่มาเป็นโรคไม่ได้หรอก

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ถ้าใช้ตาใช้ความชอบความคิดความเห็นตน ไม่มีทางเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าใช้เหตุและผล นั่นแลจึงจะเห็น รู้ด้วยตนเองว่า อันไหนจริงอันไหนปลอม "กรรมมา อันไหนหยุดได้ อันนั้นแหละ" ท่านจึงมักพูดว่า โรคมันเป็นกรรม หมอไหน เกจิไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้าง คนไหน ที่ว่าตัวเองแน่ พ่ายแพ้หมด อยากรู้อยู่ที่ไหน ก็ที่ไหนทำให้ โรคหายได้ ที่นั้นแลมีธรรมคำสอนที่แท้จริง ด้วย "ธรรมชนะกรรม"

เมื่อมันไม่มีจริง สิ่งที่ทำจึงไม่เป็นสาละ ผลจึงไม่มี หยุดกรรม หยุดโรค หยุดภัยพิบัติไม่ได้

เมื่อมนุษย์ประสพชะตากรรม มนุษย์จะร้องหาศาสนาที่แท้จริง และรู้ว่าสิ่งที่ตนเชื่อ ตนทำ ในอดีต นั้นไม่มีตัว ไม่มีตน ช่วยตนไม่ได้ ไม่เป็นสาระ

พูดฟังง่าย ภัยพิบัตินี้แหละเป็นตัวหยุดอหังกานิสัยของมนุษย์ เมื่อทุกข์แสนสาหัส พระพุทธเจ้าจะอุบัติมาสอนวิธีดับทุกข์นั้น

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2562

ใครจะเหนียวกว่ากัน


เมื่อกรรมมาถึงตน บรรดาลให้เป็นโรค เป็นทุกข์กับตน ทุกคนย่อมต้องแสวงหาสิ่งต่างๆมาช่วยตน
เราท่านก็เล่นไปตามความเห็น ความเชื่อ 

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า แบ่งเป็น 4 กลุ่ม

หนึ่ง
เชื่อเกจิ คณาจารย์ ลัทธิ ก็ไปทำตามที่ตนเชื่อ ตนชอบ ใช้พิธีกรรม นั่งร้องขอ ตามแบบคนตะวันออก และอัฟริกา ไม่ก็เชื่อมั่นวิทยาการ การแพทย์สมัยใหม่ ตามแบบตะวันตก หรือยุโรป บ้างก็เอาหมด ยาเคมีก็กิน บนบานศาลกล่าว เอาหมด คนพวกนี้ ที่เชื่อมั่นย่อมมาจากความเห็น ที่เกิดกับการที่ทำแล้วได้ผล กับโรคกรรมผ่าน มาชั่วคราว เป็นแล้วก็ผ่านไป เช่น ปวดหัวกินยาแก้ปวด นั่งสมาธิ สวดมนต์ ใช้สมุนไพร แต่โรคที่เป็นวันนี้ มันกรรมตาย โรคตาย มาทำให้ตาย ต่อให้ทำกรรมดีก็เอาไม่อยู่

สอง
คนที่มาทานสมุนไพร ของแม่ชีเมี้ยน แล้วก็มุ่งมั่นทาน

สาม
คนที่มาทานสมุนไพร ของแม่ชีเมี้ยน แล้วเป็นจิตอาสา

สี่
คนที่มาทานสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน แล้วพัฒนานิสัยตน ตามธรรมคำสอนของแม่ชีเมี้ยน

ปีนี้ ท่านอาสิชี้ว่า เหตุการณ์ต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า กรรมมันแรง สำคัญก็คือ ทำแบบไหนถึงจะช่วยตนได้

แบบแรก ตัวเลขการตายของอนามัยโรคก็ชี้ชัด
แบบที่สอง ในยุคหลวงพ่อนิพนธ์ ก็อาจพอได้
แบบสาม ถ้าเป็นยุคหลวงพ่อนิพนธ์ โอกาสช่วยตนได้สูง

แต่วันนี้ หนทางนั้นๆ อาจไม่เพียงพอแล้วที่จะสู้กับกรรมในวันนี้ เพราะมีแต่กายที่ทำ

แม่ชีเมี้ยนชี้ว่า ต้องทำแบบที่สี่ คือ นิสัยของพระภูมี ให้เกิดกับตน สำคัญยิ่งคือ ทำให้ถึงพร้อม ด้วย กาย วาจา ใจ ทำได้ อันนี้รอดแน่ ใช้ธรรมนำหน้า สมุนไพรเดินตาม

บทสรุป ไม่นานเราท่านก็จะได้เห็นความเด่นชัด ว่าทำแบบไหน ชีวิตจึงเหนียวแน่น หายโรค มิใช่ว่าไม่ตาย ช่วยตนจึงต้องให้รอด ปลอดโรค แลปลอดอุบัติภัย ด้วย จึงจะเรียกว่า รอด
แล้วจะเห็นความจริงของจักรวาลนี้ว่า วิทยาการ หรือ กรรมดี มันแก้ไขผลแห่งกรรมชั่ว ที่มาเป็นโรคไม่ได้เลย แลธรรมของพระภูมี มีของจริง ของปลอม วัดกันที่ผล

ใครจะว่าธรรมนั้นดี ธรรมนี้ดี ก็ทำกันไป วิทยาการความเชื่อนั้นดี ก็เล่นกันไป แต่เชื่อเถอะ ธรรมคำสอน มีเจ้าของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สิทธิ์ มีเจ้าของ เจอของจริง ทำจริง ผลก็เกิดจริง

คนสี่กลุ่มนี้ จะชี้ชัดว่า ทำแบบไหน ชีวิตเหนียวแน่น คนกลุ่มที่หัวเราะคนสุดท้าย เสียงจะดังที่สุด แลจะบอกว่าทำผิด ด้วยขัดกับความคิดความเห็นตนนั้นไม่ได้ ถึงไม่ชอบก็ต้องยอมรับ

แต่เราเชื่อ คนที่บ้าทำตามคำสอนแม่ชีเมี้ยน พัฒนาวิญญาณตนให้สูง ด้วยวินัยของพระภูมี จะได้กายที่ดี ได้หัวเราะเป็นกลุ่มสุดท้ายแน่นอน

คำถามที่ควรหาคำตอบ กรรมดี ช่วยไม่ได้ เป็นคนดี ทำกรรมดี ไม่พอ แล้วอะไรที่ช่วยได้ ใครหาเจอ ทำได้ คนนั้นรอด ใครไม่รู้ ผู้ปฏิบัติของแม่ชีเมี้ยน มีคำตอบ

ท่านอาสิชี้ให้พิจารณา เวลาทำกรรม พร้อม กาย วาจา ใจ แล้วเวลาจะมาแก้หล่ะ อย่าแปลกใจเลย ทำไมมีคนที่ตายด้วยโรค ทั้งที่ทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนตลอด

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44