ปัจจัยตัดสินผลแพ้ชนะ ไม่ได้อยู่ที่โรค หรือ อยู่ที่สมุนไพร แต่แท้จริงแล้วอยู่ที่อำนาจที่มองไม่เห็นนั่นแหละ ว่าอำนาจอะไรที่มีเหนือกว่ากัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า ทำไม เมื่อเป็นโรค หรือมีทุกข์ จะทำความดี หรือ กรรมดี สักฉันใด ก็ไม่สามารถบันดาลสุขให้เกิดกับตนได้ ก็เนื่องด้วย สถานะที่เท่ากัน ทำอะไรกันไม่ได้ ก้าวก่ายกันไม่ได้ ดังนั้น จะทำดีสักฉันใด บริจาคหรือช่วยคนสักฉันใด จึงช่วยตนให้พ้นทุกข์พ้นโรคไม่ได้ ด้วยเหตุที่ ณ.วันนี้ เราท่านอยู่ในปล้องกรรมชั่ว มาบันดาลทุกข์นั่นเอง
อำนาจมีผลอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ในปากของเราท่านมีเขี้ยว กรรมดี หนึ่ง กรรมชั่ว หนึ่ง เขี้ยวใดจะให้ผล เหมือน ผลบวก ผลลบ ก็ขึ้นกับอำนาจกรรมดลบันดาล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมเศรษฐีกินอาหารดีๆ ท้องเสียได้ ในขณะที่คนบางคนเก็บเศษอาหารในถังขยะมาทาน กลับไม่เป็นอะไร นี่แหละทำไมเมื่อปล้องกรรมชั่วมา กรรมบันดาลให้เป็นโรค อาหารที่เคยทานแล้วดี กลับให้โทษเสียซะงั้น
กินข้าวมาชั่วชีวิต วันหนึ่งบอกกินข้าวแล้วเป็นอันตราย ทานน้ำตาลมาจนเคย วันหนึ่งบอก กินแล้วเป็นอันตราย ... ก็แล้วทำไมมันเพิ่งมาอันตรายเอาตอนนี้เล่า ถ้าเป็นสิ่งไม่ดี เริ่มกินมันก็ต้องอันตรายแล้ว เหมือนยาฆ่าหญ้า เป็นยาอันตราย กินตอนไหนก็ตายตอนนั้น
ความจริงอันนี้เอง เป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ เน้นย้ำว่า สมุนไพรจะมีฤทธิ์สักฉันใด จึงต้องอาศัยคุณสมบัติ พฤติกรรม ที่ทำตามศาสนา ให้เป็นอำนาจ เพื่อมาแก้ไข ไม่มีอำนาจบุญ สมุนไพรก็ใบ้กิน เสมือนน้ำ กินผ่านมาก็ผ่านไป เฉกเช่นถ้ำกระบอกในวันนี้ ตำราสมุนไพรก็ตำราเดียวกัน คนสอนก็คนเดียวกัน หรือ อีกหลายสำนักที่แตกออกจากถ้ำกระบอก รู้หมด สมุนไพรตัวนี้ ใช้อะไรบ้าง แต่ทำแล้วทำไมไร้ผล เพราะขาดซึ่งอำนาจนั่นเอง
อำนาจ จึงเสมือนเสบียงที่ส่งให้ แต่ละฝ่าย ถ้าเราท่านไม่มีอำนาจบุญ อำนาจกรรม ก็ดลบันดาล เขี้ยวกรรมชั่ว ให้ทำงาน นั่นก็หมายความถึง โรคจะมีเสบียงกรัง จะมีสภาพเกื้อหนุนในการทำศึกที่ดีกว่า เซลล์ของร่างกายเรา นั่นเอง ในทางกลับกัน ถ้าเราท่านสามารถสร้างบุญ อำนาจบุญก็ดลบันดาล เขี้ยวกรรมดี ให้ทำงาน ผลก็คือ อาหารที่ทานเข้าไป ก็สามารถให้ผล เป็นกำลังแก่ร่างกาย สนับสนุนสมุนไพร ทำให้เซลล์แข็งแกร่ง มีภูมิต้านทานที่สูง สู้และขับไล่เชื้อโรคร้ายออกไปได้นั่นเอง
ภาพที่ อ.อร่าม มักจะนำมาฉายให้ฟัง ให้เห็น นั่นก็คือ คนป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านม หลายต่อหลายคน ร่างกายและสมุนไพร ไม่ได้เดินหน้าฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด หากแต่ทำให้เซลล์มะเร็งถูกขับไล่ และแยกตัวออก จึงเห็นก้อนของเซลล์มะเร็ง ที่หลุดออกจากเต้านม เมื่อก้อนเซลล์มะเร็งหลุดออกแล้ว ก็ฟื้นฟูเซลล์บริเวณนั้นกลับคืนมาดังเดิม เป็นการฟื้นฟูที่สะอาดหมดจด ไร้เชื้อแน่นอน และจะไม่กลับมาเป็นอีก
หรือบางท่าน ที่เป็นมะเร็งมดลูก ก็ถ่ายหลุดออกมาเป็นก้อนเซลล์มะเร็ง ก็มีมากหลาย แต่จะผ่านกระบวนการแยกส่วนได้ ก็ต้องปวดกันพอสมควร ศัลยกรรมธรรมชาติ มีผู้เปรียบเปรยว่า คลอดลูกสามคน ยังปวดไม่เท่าตอนที่ก้อนมะเร็งมันแยกตัวออกเลย กว่าจะหลุดออกจากเต้านม หรือ ในกรณีมะเร็งมดลูก แทบจะต้องนอนกอดโถส้วม ชีวิตอยู่ในห้องน้ำแทบจะกล่าวได้ว่า กินนอนในห้องน้ำเลย จึงเป็นที่แซวกันเล่นๆ ที่ อ.อร่าม มักยกมากล่าวคือ ห้องน้ำจะกลายเป็นห้องที่ท่านคลุกคลีมากที่สุด และดูแลยิ่งกว่าห้องใดๆเสียอีก
บทสรุป อำนาจจึงเป็นผลชี้ชนะที่แท้จริง แลที่สำคัญ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า อำนาจกรรม จะดลบันดาลแก่ผู้ใด ด้วยการจดจำนิสัยคนผู้นั้น นั่นจึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนดกิจกรรม เพื่อเปลี่ยนนิสัย พฤติกรรม ให้กรรมมันงงงวย จำไม่ได้ แล้วรีบสร้างอำนาจบุญ ด้วยเดินตามธรรมคำสอน มาดลบันดาล สนับสนุนสมุนไพร กว่ากรรมจะมาเจออีกที อวัยวะก็แข็งแกร่ง ภูมิต้านทานดีขึ้น เสบียงและอาหารบริบูรณ์ ด้วย กินได้ นอนหลับ นี่แหละ ทำไมศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ผู้ทำได้ จึงมีโอกาสหายโรคได้ ไม่ใช่แต่สมุนไพรดี ... ไม่ใช่ ... ไม่ใช่ .... จะมากินแต่สมุนไพร นั้นเข็นครกขึ้นภูเขา ยากจะชนะได้
หลายคนก็อ้างเอ่ย แล้วทำไมหลายคนทำตามแล้วไม่รอด บอกได้ไงว่าหายมะเร็ง หรือหายโรค หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้เห็นว่า นั่นเพราะเขาหมดพรหมลิขิต แต่การตายที่ปรากฎ ก็เห็นเด่นชัดว่า มิใช่การตายด้วยโรค อันจะเห็นได้ว่า คนป่วยมะเร็งหลายคน จากไปอย่างสบาย คือ ไม่มีภาพการปวดจนขาดใจ เหมือนคนป่วยมะเร็งทั่วไป ในระยะสุดท้าย ที่ทนปวดไม่ไหว แล้วต้องฉีดมอร์ฟีนช่วย จากวันละเข็ม เป็นชั่วโมงละเข็ม จนสิบห้านาทีเข็ม แล้วก็ยังเอาไม่อยู่ ปวดจนตาย ในขณะที่คนป่วยมะเร็งที่เดินตามศาสตร์พระภูมี ปวดก็อยู่ในระดับที่ทนได้ เพราะนั่นเป็นกรรมที่ทำมา จะไม่ปวดเลยนั้นไม่ได้ แต่ไม่ต้องใช้ยาเคมี มอร์ฟีนช่วยแต่อย่างใด มีสติ ช่วยตนเองได้ เข้าใจสัจจธรรม กรรมเราทำมาก็ต้องใช้ เมื่อใช้หมดก็หมดกรรม การตายจึงตายอย่างสงบ ด้วยใช้จนหมดแล้วนั่นเอง การตายจึงเรียกว่า ตายดี เพราะตายไปด้วยความไม่มีโรคติดตัวอีกแล้ว เพราะใช้หมดแล้ว เกิดชาติหน้า ก็ไม่ต้องมาเป็นโรคนี้อีก
แต่ถ้าบอกทานสมุนไพรแล้วต้องหาย ต้องไม่ตาย นั่นผิดแล้ว ก็ขนาดพระพุทธเจ้า ถึงอายุขัย ยังต้องดับขันธ์เลย อย่าเอามามั่ว ว่า สมุนไพรดี กินแล้วต้องไม่ตาย .... ครั้นพอตาย ก็บอกว่า สมุนไพรและธรรมไม่ดี ช่วยตนไม่ได้ ... นั่นคนไม่เอาเหตุเอาผล ...