คำหนึ่ง ที่เราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ นั่นคือ "ตัวกระทำ"
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนว่า พระภูมีชี้ให้เห็นว่า ตัวกระทำ ก็คือ สิ่งที่เราท่านได้ทำไปแล้ว จากความนึกคิด กลายเป็นผลเกิด เช่นคิดจะตีหัวเขา มันก็แค่คิด หากแต่เมื่อตีไปแล้ว นั่นแหละเป็นตน เป็นตัวกระทำสมบูรณ์
ประเด็นก็คือ ตัวกระทำ เมื่อทำแล้ว กลายเป็นพรหมลิขิต รอเราท่านอยู่วันข้างหน้า ที่สำคัญ คือ ตัวกระทำไม่ตาย จะทำสักฉันใด แม่ชีเมีี้ยนตรัสว่า ไม่ตายเลย หลวงพ่อนิพนธ์อธิบายว่า นั่นคือ เมื่อทำแล้วผลต้องเกิด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อตัวกระทำไม่ตาย พระภูมี แม้นมีธรรมเป็นอำนาจ ก็ไม่ก้าวล่วง หากแต่เปลี่ยนทุกข์ที่เกิดจากตัวกระทำในอดีตนั้น และไม่รอจนผลเกิด ก็สอนให้ทุกข์กับวินัย ทุกกับธรรม ใช้ก่อน ค่อยๆใช้ไป ไถ่ถอนกรรมไปเรื่อยๆ ผลที่เกิดก็จะไปหนักจนเกินไป จนรับไม่ได้
คำสอนของศาสนา ที่ผิดเพี้ยน ที่กล่าวว่า ธรรมล้างกรรม แล้วกล่าวว่า เราท่านจะปฏิเสธ ไม่ใช้กรรม ไม่ต้องรับเลย นั้นจึงไม่ใช่
หากแต่การใช้กรรมนั้น กระทำโดยที่พระภูมีบัญญัติ แทนนั่นเอง
สิ่งที่วิเศษ ของธรรม นั่นคือ อำนาจ การทุกข์กับธรรมวินัย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ทำหนึ่งได้สิบ นั่นหมายความว่า หากเราท่านรอผลกรรม หากต้องรับทุกข์สิบส่วน เมื่อมาใช้วินัย ก็ทุกข์เหมือนกัน แต่เพียงแค่ส่วนเดียว ก็เพียงพอใช้กรรมอันนั้นได้นั่นเอง
นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมต้องมีพิธีกรรม ต้องสวดมนต์ นั่นคือบัญญัติทุกข์ ให้เราท่านใช้กรรมประการหนึ่ง ชอบไม่ชอบ ก็ต้องมาทนเมื่อย มาหยุดด่า หยุดว่า มาสงบจิต สงบใจ สงบกาย แม้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงก็ตามที
การทานสมุนไพร จึงต้องมาเอง ทำเอง เมื่อมาแล้ว อย่างน้อย ผลแห่งการทำในห้องสวดมนต์ ก็เป็นรายได้บุญ ที่จะกลายเป็นอำนาจให้สมุนไพร ย้อนกลับไปช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ทำไมไม่มาไม่ได้ ก็เพราะสมุนไพร อุปมาเสมือนตัวปืน แลบุญทีทำเสมือนลูก หากไร้เสียซึ่งบุญ สมุนไพรก็เหมือนเหล็กก้อนหนึ่ง จะไปฆ่าโรคได้อย่างไร อย่างดีก็แค่ปาหัวให้เจ็บเท่านั้นเอง
การมาทานสมุนไพร จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ ในเรื่อง กรรม ตัวกระทำ แลบุญ ให้กระจ่าง เพราะการกระทำที่ถูกตามพุทธบัญญัติเท่านั้น ผลถูกจึงจะเกิด หาใช่ทำตามใจชอบ ถูกใจแล้วทำ แล้วนึกเอาเอง ว่าได้บุญ ถึงเวลากรรมชนโครม บุญนึกเอาเอง มันช่วยไม่ได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้หนทางบุญ ไม้ไผ่ลำเดียว หนทางสายเดียว ที่พระภูมีทรงบัญญัติ แม่ชีเมี้ยนชี้ไว้ให้ บุญเกิดจากนิสัย อยากได้บุญ ต้อง "ลดนิสัย" ไม่มีทางอื่นให้เลือก ให้เดิน
ใครบอกว่าบริจาค โน่น นี่ นั่น สร้างวัด สร้างโบสถ์ .. ได้บุญ ก็ว่ากันไป นั่นมันบุญนึกเอาเอง ... แต่กรรมที่มาเป็นทุกข์ เป็นโรค นั่นของจริง ทุกข์จริง เจ็บจริง บุญนึกเอาเอง ช่วยไม่ได้
แลหวังยาเคมี เป่าเสก มนต์คาถา หมอผี ยิ่งแล้วใหญ่ จะมาชนะกรรม ไม่มีทางเลย มีแต่เข้าตำรา แกว่งตีนหาเสี้ยน
ยิ่งปฏิเสธไม่ยอมใช้ ไม่ยอมทุกข์ ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่
เล่ห์กลกรรมที่ซ่อนไว้ แลใหญ่ที่สุด ที่นักวิชาการทั้งหลายในโลกไม่รู้ นั่นคือ บาปใดจะเท่าบาปทำร้ายตนเองนั้นไม่มีเลย
เมื่ออาศัยผู้อื่น มาแก้บาปตน สิ่งนั้นกลายเป็นบาปทำร้ายตน นั่นคือ ดาบซ่อนรูป ที่คมกว่าดาบอื่นใด ทำลายพรหมลิขิต ได้
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมหมอผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งของญี่ปุ่น จึงกล่าวว่า ผู้ป่วยมะเร็ง แล้วไม่ใช้วิธีทางการแพทย์หรือทำการรักษาใดๆ ปล่อยไปตามธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่มีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ทำการรักษาทั้งสิ้น แถมยังตายสบายกว่าเสียอีก
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
อดีตศาสตร์
จุดอ่อนของความล้มเหลวในการช่วยตน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นเสมอว่า นั่นคือ การขาดความรู้
หลายคน หวังแต่สมุนไพรในการช่วยตน แลปิดการเรียนรู้อื่นใดทั้งสิ้น จึงเสียโอกาส
หากมองย้อนไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะการกินบุญเก่าที่ส่งผลนั่นเอง ดังนั้น เมื่อมาแรกๆ ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องเปลี่ยนสิ่งใดๆ ค่าของสมุนไพรก็ยังทำให้สภาพของตนดีขึ้นทุกตัวคน
ทีนี้จิดก็จดจ่อ หลงผิดคิดว่า สภาพของตนจะต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆจนหายอย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรของตนเลยนั่นเอง
เรื่องในอดีต หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักถูกหยิบยกมาให้ฟังเสมอ เพื่อเตือนสติ และเป็นข้อคิดว่า การกระทำใด เมื่อทำแล้ว เป็นการทำลายคุณสมบัติแห่งตน นั่นหมายถึงการทำลาย คุณค่าของสมุนไพรที่ทาน เมื่อทำลายสิ้น แม้นจะทานสมุนไพรมากเท่าใด ก็ไม่มีผลต่อตนเลยแม้นแต่น้อย
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกพ่อเลี้ยงทางเหนือให้ฟังว่า เมื่อมา มาในสภาพหิ้วเปลมา มาทานสมุนไพร จนกลับมาทำงานปกติได้ เวลาทานสมุนไพร กลับไปนึกถึง คนที่นับถือทางเหนือ รอวันหายจะไปแก้บน ท้ายที่สุด สภาพก็กลับไปเหมือนเดิม หามเปลกลับบ้าน แม้นจะทานสมุนไพร ก็หยุดอาการ แม้แต่เล็กน้อยก็ไม่ได้เลย
หรือทหารท่านหนึ่ง ที่ติดเชื้อเอดส์มา จากภรรยาที่เจ้าชู้ มาในสภาพ เดินแทบไม่ไหว จนกลับมาขุดดิน ปลูกต้นมะพร้าว ขับรถไปมาไกลๆ โดยไม่ต้องพักได้ หากแต่เขาก็ละเลยคำเตือนของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนที่เป็นโรคนี้ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ตราบใดที่ยังไม่หายขาด เชื้อยังไม่หมด แลเมื่อเขาพลาด เชื่อกรรม สมุนไพรที่เคยช่วยหยุดอาการต่างๆได้ จนในช่วงท้ายๆ แทบจะไม่ต้องทานสมุนไพรก็อยู่ได้สบาย กลายเป็นทานเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ก็หยุดอาการอะไรไม่ได้เลย แม้นการตายจะไม่ใช่ด้วยโรคเอดส์ แต่อยู่ดีๆ ม้ามก็แตก เลือดไหลไม่หยุด แล้วก็จากไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เมื่อเป็นโรคตาย นั่นแสดงว่า เราท่านจะใช้นิสัยเดิม มาเพิ่มน้ำหนักกรรมอีกไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้นิสัยธรรม ของพระภูมี มาแก้ไข เพื่อสร้างบุญใหม่มาช่วย และใช้กรรมเก่าให้เบาบางจนหมดลง
บทสรุป จึงแบไต๋ให้เห็นหมดว่า ผลแพ้ชนะในการช่วยตน คือ "นิสัย"
ถ้าจะถามว่า จะหายไหม ก็ตอบง่ายๆว่า หากมีคนทักว่า นิสัยเราท่านเปลี่ยนไป ดีกว่าก่อนเป็นคนละคน แล้วละก็ นั่นคือเครื่องการันตีว่า หายแน่
หากการหายโรค แต่นิสัยยังคงเดิม นั่นเป็นเพราะบุญเก่าแต่อดีต หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว โรคก็จะหวนคืน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ เท่านั้นเอง แต่ผลก็เหมือนเดิม คือ ไม่รอด
จึงขอย้ำเตือนว่า สมุนไพร เป็นเพียงผู้ช่วย ให้โอกาสเท่านั้นเอง เป็นพาหนะชั่วคราว ใช้ตลอดไปไม่ได้ พาหนะที่ดีที่สุด และให้ความปลอดภัยที่สุด คือ "นิสัยของพระพุทธเจ้า" เมื่อมีแล้ว โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว อุบัติภัยไม่กล้ำกรายแน่นอน จึงเรียกว่า "มนุษย์สมบัติ"
ใครจะเลือกอย่างไร แบบไหน ไม่ว่ากัน ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ศาสนา ไม่มีเหลียม มีมุม เผยให้เห็นทุกสิ่งอย่าง ไม่โอ้อวดว่าสมุนไพรดี ช่วยได้ทุกคน ... แต่อวดว่า ธรรมของพระภูมี นี่สิของดี ช่วยได้ทุกคน ถ้าทำได้
หลายคน หวังแต่สมุนไพรในการช่วยตน แลปิดการเรียนรู้อื่นใดทั้งสิ้น จึงเสียโอกาส
หากมองย้อนไป ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะการกินบุญเก่าที่ส่งผลนั่นเอง ดังนั้น เมื่อมาแรกๆ ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องเปลี่ยนสิ่งใดๆ ค่าของสมุนไพรก็ยังทำให้สภาพของตนดีขึ้นทุกตัวคน
ทีนี้จิดก็จดจ่อ หลงผิดคิดว่า สภาพของตนจะต้องดีขึ้นไปเรื่อยๆจนหายอย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรของตนเลยนั่นเอง
เรื่องในอดีต หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักถูกหยิบยกมาให้ฟังเสมอ เพื่อเตือนสติ และเป็นข้อคิดว่า การกระทำใด เมื่อทำแล้ว เป็นการทำลายคุณสมบัติแห่งตน นั่นหมายถึงการทำลาย คุณค่าของสมุนไพรที่ทาน เมื่อทำลายสิ้น แม้นจะทานสมุนไพรมากเท่าใด ก็ไม่มีผลต่อตนเลยแม้นแต่น้อย
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกพ่อเลี้ยงทางเหนือให้ฟังว่า เมื่อมา มาในสภาพหิ้วเปลมา มาทานสมุนไพร จนกลับมาทำงานปกติได้ เวลาทานสมุนไพร กลับไปนึกถึง คนที่นับถือทางเหนือ รอวันหายจะไปแก้บน ท้ายที่สุด สภาพก็กลับไปเหมือนเดิม หามเปลกลับบ้าน แม้นจะทานสมุนไพร ก็หยุดอาการ แม้แต่เล็กน้อยก็ไม่ได้เลย
หรือทหารท่านหนึ่ง ที่ติดเชื้อเอดส์มา จากภรรยาที่เจ้าชู้ มาในสภาพ เดินแทบไม่ไหว จนกลับมาขุดดิน ปลูกต้นมะพร้าว ขับรถไปมาไกลๆ โดยไม่ต้องพักได้ หากแต่เขาก็ละเลยคำเตือนของหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนที่เป็นโรคนี้ ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ตราบใดที่ยังไม่หายขาด เชื้อยังไม่หมด แลเมื่อเขาพลาด เชื่อกรรม สมุนไพรที่เคยช่วยหยุดอาการต่างๆได้ จนในช่วงท้ายๆ แทบจะไม่ต้องทานสมุนไพรก็อยู่ได้สบาย กลายเป็นทานเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ก็หยุดอาการอะไรไม่ได้เลย แม้นการตายจะไม่ใช่ด้วยโรคเอดส์ แต่อยู่ดีๆ ม้ามก็แตก เลือดไหลไม่หยุด แล้วก็จากไป
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า เมื่อเป็นโรคตาย นั่นแสดงว่า เราท่านจะใช้นิสัยเดิม มาเพิ่มน้ำหนักกรรมอีกไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องใช้นิสัยธรรม ของพระภูมี มาแก้ไข เพื่อสร้างบุญใหม่มาช่วย และใช้กรรมเก่าให้เบาบางจนหมดลง
บทสรุป จึงแบไต๋ให้เห็นหมดว่า ผลแพ้ชนะในการช่วยตน คือ "นิสัย"
ถ้าจะถามว่า จะหายไหม ก็ตอบง่ายๆว่า หากมีคนทักว่า นิสัยเราท่านเปลี่ยนไป ดีกว่าก่อนเป็นคนละคน แล้วละก็ นั่นคือเครื่องการันตีว่า หายแน่
หากการหายโรค แต่นิสัยยังคงเดิม นั่นเป็นเพราะบุญเก่าแต่อดีต หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว โรคก็จะหวนคืน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ เท่านั้นเอง แต่ผลก็เหมือนเดิม คือ ไม่รอด
จึงขอย้ำเตือนว่า สมุนไพร เป็นเพียงผู้ช่วย ให้โอกาสเท่านั้นเอง เป็นพาหนะชั่วคราว ใช้ตลอดไปไม่ได้ พาหนะที่ดีที่สุด และให้ความปลอดภัยที่สุด คือ "นิสัยของพระพุทธเจ้า" เมื่อมีแล้ว โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว อุบัติภัยไม่กล้ำกรายแน่นอน จึงเรียกว่า "มนุษย์สมบัติ"
ใครจะเลือกอย่างไร แบบไหน ไม่ว่ากัน ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ศาสนา ไม่มีเหลียม มีมุม เผยให้เห็นทุกสิ่งอย่าง ไม่โอ้อวดว่าสมุนไพรดี ช่วยได้ทุกคน ... แต่อวดว่า ธรรมของพระภูมี นี่สิของดี ช่วยได้ทุกคน ถ้าทำได้
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
แค่เสีัยวหนึ่งก็พอ
เรื่องของศาสนา ธรรมของพระพุทธเจ้า นั้นมีมากหลาย แลไม่มีความจำเป็นต้องรู้มากมาย แค่จับส่วนใดส่วนหนึ่งมาปฏิบัติ ให้เหมาะกับตน ก็เพียงพอที่จะทำให้ตนมีความสุข อยู่รอดปลอดภัย จากทั้ง "ตายโหง และ ตายห่า" แล้ว
จึงไม่แปลก หากใครนั่งยานย้อนเวลาได้ ก็จะเห็นว่า เมื่อคนอีกซีกโลก ทราบข่าวพระพุทธเจ้าในยุคนั้นๆ จึงส่งคนมาศึกษา แล้วนำกลับไปให้หมู่ตนปฏิบัติ ทุกยุคทุกสมัย
ศาสนาคำสอน จึงมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน อย่างแน่นอน และนั่นคือ ศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้านั่นเอง
คนกลุ่มนั้นมาด้วยกัน เมื่อกลับไป มีคัมภีร์คำสอนไป แยกกันเป็นสองชุด ชุดหนึ่งอยู่ในหินดำ อีกชุดหนึ่งแยกไปอยู่ในบราซิล กลายเป็นสองศาสนายักษ์ใหญ๋อีกฟากโลก
การแตกกัน ก็ด้วยเนื่องการที่จะยกคำสอนใด มาเป็นตัวเอกในการปฏิบัตินั่นเอง ฝ่ายหนึ่ง เอาการนับถือพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือ เน้นความศรัทธา เป็นผู้นำในการปฏิบัติ
อีกฝ่ายเน้นความเมตตา อันเกาะติด ด้วยเหตุแห่งการรับโทษทัณฑ์ อันเนื่องมาจากความเมตตา ที่ใช้อำนาจบุญของตนไปล่วงอำนาจกรรม จนกลายเป็นต้องแบกรับโทษนั้นเอง เป็นตัวเอกของเรื่อง
แม่ชีเมี้ยน ได้ทรงยกตัวอย่างอดีต ครั้งพระพุทธเจ้าโคดม นั่นคือ พระอัครสาวกทั้งเบื้องซ้าย และขวา คือ พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร ผู้ซึ่งเป็นผู้มีเมตตามาก เห็นใครทุกข์ก็อยากช่วย
จึงมักใช้บุญของตน เข้าไปขวางเพื่อช่วยคนเป็นประจำ ให้คนเหล่านั้นพ้นทุกข์โดยไม่ต้องทำเอง
ธรรมหมวดนี้ ผู้ฟังจึงอุปมาเสมือนถูกตรึงเพื่อรับโทษทัณฑ์แทน เพราะทั้งสององค์ ก่อนจะข้ามความเมตตาแบบผิดๆนี้ได้ ล้วนต้องถูกท่อนจันทร์ ฟาดซะจนปางตาย นั่นเอง
วันหน้า ภาพที่จะปรากฎเมื่อพระพุทธเจ้าประกาศตน นั่นคือ วันที่ท่านสังคายนาศาสนาของโลกอีกครั้ง ศาสนาของโลกก็จะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งนั่นเอง
ประวัติศาสตร์ จึงสอนให้เห็นว่า การจะช่วยตน จึงจำเป็นต้องฟัง พิจารณา แล้วทำตาม หากแต่แม้นเพียงเสี้ยงหนึ่งของธรรมคำสอน ก็มีอำนาจพอจะปกป้องตนได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้ธรรมมากมาย แต่รู้แล้วเอามาข่มกัน ว่าตนรู้ นั่นเพียงแต่รู้ แล้วไม่ทำ ผลก็คือช่วยตนไม่ได้ จะรู้ไปทำไม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราทำ เป็นหลัก เริ่มจากสิ่งที่เราพอทำได้ ทีละเล็กละน้อย จึงสอนให้เราทำสัจจะ วันละชั่วโมง เริ่มจากหนึ่งข้อ นั่นเอง
ไม่ต้องไปเรียนหรอกว่า ธรรมทั้งหมดมีเท่าใด มีอะไรบ้าง ได้เปรียญกี่ประโยค รู้แต่ไม่ทำ ก็เสียเปล่า ทำเท่าที่รู้ดีกว่าเยอะ
จึงไม่แปลก หากใครนั่งยานย้อนเวลาได้ ก็จะเห็นว่า เมื่อคนอีกซีกโลก ทราบข่าวพระพุทธเจ้าในยุคนั้นๆ จึงส่งคนมาศึกษา แล้วนำกลับไปให้หมู่ตนปฏิบัติ ทุกยุคทุกสมัย
ศาสนาคำสอน จึงมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน อย่างแน่นอน และนั่นคือ ศาสนาพุทธ ของพระพุทธเจ้านั่นเอง
คนกลุ่มนั้นมาด้วยกัน เมื่อกลับไป มีคัมภีร์คำสอนไป แยกกันเป็นสองชุด ชุดหนึ่งอยู่ในหินดำ อีกชุดหนึ่งแยกไปอยู่ในบราซิล กลายเป็นสองศาสนายักษ์ใหญ๋อีกฟากโลก
การแตกกัน ก็ด้วยเนื่องการที่จะยกคำสอนใด มาเป็นตัวเอกในการปฏิบัตินั่นเอง ฝ่ายหนึ่ง เอาการนับถือพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว นั่นคือ เน้นความศรัทธา เป็นผู้นำในการปฏิบัติ
อีกฝ่ายเน้นความเมตตา อันเกาะติด ด้วยเหตุแห่งการรับโทษทัณฑ์ อันเนื่องมาจากความเมตตา ที่ใช้อำนาจบุญของตนไปล่วงอำนาจกรรม จนกลายเป็นต้องแบกรับโทษนั้นเอง เป็นตัวเอกของเรื่อง
แม่ชีเมี้ยน ได้ทรงยกตัวอย่างอดีต ครั้งพระพุทธเจ้าโคดม นั่นคือ พระอัครสาวกทั้งเบื้องซ้าย และขวา คือ พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร ผู้ซึ่งเป็นผู้มีเมตตามาก เห็นใครทุกข์ก็อยากช่วย
จึงมักใช้บุญของตน เข้าไปขวางเพื่อช่วยคนเป็นประจำ ให้คนเหล่านั้นพ้นทุกข์โดยไม่ต้องทำเอง
ธรรมหมวดนี้ ผู้ฟังจึงอุปมาเสมือนถูกตรึงเพื่อรับโทษทัณฑ์แทน เพราะทั้งสององค์ ก่อนจะข้ามความเมตตาแบบผิดๆนี้ได้ ล้วนต้องถูกท่อนจันทร์ ฟาดซะจนปางตาย นั่นเอง
วันหน้า ภาพที่จะปรากฎเมื่อพระพุทธเจ้าประกาศตน นั่นคือ วันที่ท่านสังคายนาศาสนาของโลกอีกครั้ง ศาสนาของโลกก็จะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งนั่นเอง
ประวัติศาสตร์ จึงสอนให้เห็นว่า การจะช่วยตน จึงจำเป็นต้องฟัง พิจารณา แล้วทำตาม หากแต่แม้นเพียงเสี้ยงหนึ่งของธรรมคำสอน ก็มีอำนาจพอจะปกป้องตนได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้ธรรมมากมาย แต่รู้แล้วเอามาข่มกัน ว่าตนรู้ นั่นเพียงแต่รู้ แล้วไม่ทำ ผลก็คือช่วยตนไม่ได้ จะรู้ไปทำไม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนให้เราทำ เป็นหลัก เริ่มจากสิ่งที่เราพอทำได้ ทีละเล็กละน้อย จึงสอนให้เราทำสัจจะ วันละชั่วโมง เริ่มจากหนึ่งข้อ นั่นเอง
ไม่ต้องไปเรียนหรอกว่า ธรรมทั้งหมดมีเท่าใด มีอะไรบ้าง ได้เปรียญกี่ประโยค รู้แต่ไม่ทำ ก็เสียเปล่า ทำเท่าที่รู้ดีกว่าเยอะ
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ใบ้กิน
นักการทหารท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ในการรบ "รู้เขา รู้เรา" รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอว่า ศาสนามีไว้ ให้คนที่มีปัญหาชีวิต ได้พิจารณา แล้วทำ เพื่อกอบกู้ทั้งจิตวิญญาณ และร่างกาย
ดังนั้น ศาสตร์อันนี้ มีความสำคัญ แต่ไม่จำเป็น เพราะแม้นไม่มีศาสตร์ของพระภูมี ทุกผู้ทุกนาม ก็สามารถดำรงตนอยู่ได้ตามพรหมลิขิต หรือ กรรมลิขิตแห่งตนได้อยู่แล้ว
แม่ชีเมี้ยนจึงทรงถือว่า ศาสนา เป็นองค์กรที่สาม ที่ยื่นมือเข้ามายุ่ง กับ องค์กรทั้งสองของโลก คือ กรรมดี กรรมชั่ว
ด้วยเหตุที่ว่า อำนาจกรรม เป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้ เราท่านล้วนอยู่ในอำนาจกรรม การที่ศาสนา หรือ อำนาจธรรม จะเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือ ยื่นมือเข้ายุ่งกับเราท่านได้ จึงมีกำหนดกฎเกณฑ์
หลวงพ่อนิพนธ์ อุปมาให้ฟังว่า อยู่ดีดี อำนาจธรรมเขาจะมาเกื้อกูลเราท่านเองนั้น ทำไม่ได้ นั่นเอง
เราท่านต้องยื่นมือเอื้อมไป นั่นคือ การทำคุณสมบัติรองรับ อำนาจธรรมจึงยื่นมาเกื้อกูลเราท่านได้
ดังนั้น การเรียนรู้ ในการสร้างคุณสมบัติ จึงเป็นเรื่องจำเป็นยิ่ง หากผู้หนึ่งผู้ใด ปรารถนาจะเปลี่ยนพรหมลิขิต ชะตากรรมของตน
คำถามก็คือ แล้วสมุนไพรหล่ะ มีขอบเขต อำนาจ หน้าที่ อย่างไร
ก็ด้วยผลย่อมมาแต่เหตุ คนที่มา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ย่อมเป็นผู้ที่เคยมีตัวกระทำกับศาสนา ในอดีตมานั่นเอง พูดง่ายๆ ก็อาทิ เคยตักบาตร กับพระพุทธเจ้า แลสงฆ์สาวก ประมาณนั้น
โรคที่เป็นจึงเป็นเหตุให้เวียนว่ายมาหาศาสนา อาศัยสมุนไพรเรียกแขก ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไม ทุกผู้คนที่มาทานสมุนไพร จึงมีสภาพที่ดีขึ้น นั่นเป็นเพราะผลในอดีต ทำให้เราท่านได้โอกาส จะพัฒนาตนอีกครั้ง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ด้วยเหตุนี้ สมุนไพรจึงไม่ใช่ปลายทางของศาสนา หากแต่ความจริงเป็นเพียงต้นทาง หรือใบเบิกทางเท่านั้นเอง
ผลแห่งการทานสมุนไพร ก็ว่ากันไปตามสภาพ จะถึงขั้นหายก็มีมากมาย แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่เอาเป็นที่พึ่งได้ นั่นคือ ไม่ควรจะยึดสมุนไพรเป็นที่พึ่งตลอดไปนั่นเอง
ความปรารถนาอยากมีสุขของเราท่าน มิใช่จบที่การหายโรค หากแต่หมายถึงชีวิตที่เป็นสุขในภายภาคหน้า หรือ ภพหน้าด้วยต่างหาก
คนอีกกลุ่ม ทานสมุนไพร แล้วดีขึ้นระดับหนึ่ง แล้วก็ทรงอยู่อย่างนั้น ไม่หายสักที คนกลุ่มนี้ ก็กลายเป็นคนติดสมุนไพร นั่นคือ พอหยุด อาการก็เกิด พอทานอาการก็หาย จึงต้องทานสมุนไพรตลอด แต่ก็ไม่หายสักที
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ผลที่เกิด ก็เนื่องด้วยข้อจำกัดของสมุนไพรนั่นเอง พลังของสมุนไพรเดิม ก็มาจากตัวกระทำเดิมกับศาสนาในอดีต เมื่อหมดไป ก็ขาดพลังหนุน เพราะผู้ทานไม่ยอมที่จะสร้างพลังหรืออำนาจธรรมขึ้นมาใหม่ หรือ ไม่มีบุญเป็นพลังมาเกื้อหนุนต่ออีกนั่นเอง
สมุนไพรจึงทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยง ที่ทำให้เราท่านได้มาเดินในรอยของศาสนา ดังนั้น เมื่อถึงเวลา ก็ต้องจากไป เราท่านต้องพึ่งลำแข้งตัวเอง ในการเดินต่อให้ถึงจุดหมาย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การรู้เรา คือ รู้ว่า สมุนไพรจะไม่มีประโยชน์กับผู้ใดเลย จึงสำคัญ นั่นคือ เมื่อไหร่ที่การทานสมุนไพรจะไร้ค่ากับเราท่านนั่นเอง
บทสุดท้าย ผลแห่งความสำเร็จ อยู่รอด ปลอดภัย ไร้โรคา จึงจำเป็นต้องอาศัย อำนาจธรรม อำนาจบุญ เพียงอย่างเดียว ทุกตัวคน
แลบุญนั้น แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ทางให้ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่าไม่มีทางอื่นใด ไม่ได้มาด้วยการสร้างวัตถุ หรือ อื่นใด นอกจาก ลดนิสัยตน และนำเอานิสัยพระพุทธเจ้ามาใช้เป็นบางสิ่งบางอย่าง เพียงอย่างเดียว
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า คนกลุ่มหนึ่ง ทานสมุนไพรแล้ว สภาพดีขึ้น จนหาย เมื่อหายแล้ว ไม่นึกทบทวนว่า การกระทำใดที่ทำให้ตนหาย แล้วก็ละเลย กลับไปใช้ชีวิตตามนิสัยเดิม สิ่งที่จะเจอ คือ การหวนคืนของโรคมาในแบบโรคใหม่ ทีนี้จะมาใช้สมุนไพร เพื่อช่วยตนเช่นเดิม คนกลุ่มนี้ จะพบว่า ทานเท่าไหร่ ก็ยากจะประสพผล ทั้งนี้เพราะ สิ่งที่ทำ ทำทั้งที่ผ่านการเรียนรู้เรื่องของศาสนามาแล้วนั่นเอง
จะเรียกว่า การทานสมุนไพร ในตอนแรก ก็เสมือนการกินบุญเก่าในอดีตชาติ คนไหนทำมามากก็อาจดันให้ถึงฝั่งฝัน คือ หายโรค แต่บุญเก่าก็หมดไป เมื่อยังมีนิสัยกรรม สร้างกรรมต่อ ก็เสมือนสร้างโรคใหม่ หวนกลับมายังตน หากบุญเก่าน้อยหน่อย ก็ได้แค่ทรง จะทานสักฉันใด ก็ไม่ถึงฝันคือหายโรคสักที
การเรียนรู้ จึงมีความสำคัญยิ่ง เพื่อสร้างคุณสมบัติ ด้วยการเรียนรู้ทางบุญที่ถูกต้อง ฟัง แล้วพิจารณา แล้วทำ .... ใครทำ ใครได้
ดังนั้น จะเรียกว่า พวกที่มาถึง ก็คือพวกที่เป็นสาวกของอดีตพระพุทธเจ้าก็ว่าได้ ที่ทรงสร้างทิ้งไว้ให้ จึงดลบันดาลให้มาถึง เมื่อมาแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอน และให้พิจารณาเลือกว่า จะสร้างต่อเพื่อช่วยตน หรือจะกินบุญเก่าให้หมดไป ได้แค่ไหนก็แค่นั้น
สมุนไพรจึงมีวิญญาณ รับรู้ คนทาน หากไร้เสียซึ่งบุญ สมุนไพรที่ทานก็เป็นเพียงแค่ผ่านมาผ่านไป ไม่ให้คุณให้โทษอะไรเลย จะทานมากสักฉันใดก็ไร้ผล
มีคนกล่าวว่า ทำไมต้องบังคับสวดมนต์ ต้องให้ถวายสัจจะ ต้องมาทุกสัปดาห์ ต้อง.... ก็เพราะไม่มีใครช่วยใครได้ อยากได้ต้องทำเอง หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ทำได้แค่เพียงสอนชี้ช่องให้ทำเท่านั้นเอง
แลก็ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ใครจะลักเอาไปขาย ไปทาน โดยไม่คิดจะทำอะไรเลย หลวงพ่อนิพนธ์ จึงไม่กลัว เพราะมันไร้ผลนั่นเอง หากผู้ทานไร้เสียซึ่งคุณสมบัติ
จึงควรเรียนรู้ว่า จะสู้กรรม สู้โรค อาวุธของเราท่านคือสมุนไพร จะฟาดฟันสู้ได้ จะคมกล้าหรือทื่อบิ่น อยู่ที่นิสัยของผู้ถือดาบเป็นสำคัญ จิตใจยิ่งสุง ลดนิสัย ได้มาก ควบคุมตนได้ดีเท่าไหร่ ให้สุขคนมากเท่าใด ดาบสมุนไพรยิ่งคมกล้าเท่านั้น ยาเขียวแก้วเดียว มะเร็งก็แทบเผ่นแน่บไม่ทันแล้ว หากจิตใจยังเหมือนเดิม นิสัยเดิมล้วนๆ บุญเก่าหมดวันใด เราท่านก็จะเจอของจริง ดาบสมุนไพรทื่อๆ ให้ฟันมากสักฉันใด ฟันกรรมไม่ลง ฟันโรคไม่ขาด หรอก
ถึงเวลาแห่งความจริง ขนาดสมุนไพรของพระภูมี ยังฟันโรคไม่เข้า จะไปหวังพึ่งยาเคมี สมุนไพรที่ขายกันเกร่อ ยาผีบอก .... อย่าไปหวังฟันโรคเลย มีแต่ดาบจะกระดอนมาฟันตัวเองเหวอะมากขึ้นเท่านั้นเอง
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ถามเส้นทางไปสำนักลพบุรี
เส้นทางจาก พระพุทธบาท ให้วิ่งไปยังวงเวียน โคกตูม อ.เมือง ลพบุรี
เส้นทางเพชรบูรณ์ หล่มสัก ให้วิ่งไปยังแยกเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แยกพัฒนานิคม ซอย ๑๒
หากจะตั้งพิกัด GPS ให้ตั้งที่ บริษัท สุรินทร์ ออมย่า เคมิคอล
สำนักลพบุรี จะอยู่ตรงบริเวณ สี่แยก ใกล้กับบริษัทสุรินทร์ ออมย่า ไปทาง อุทยานสัจจะธรรม ประมาณ สามร้อยเมตร กำแพงสำนักสงฆ์ สีเหลือง ด้านขวา ฝั่งเดียวกับอุทธยาน
สามารถสอบถามเส้นทางได้ ที่เบอร์คุณอิ๊ด 081 858 9878
สำนักสงฆ์ ตั้งอยู่ ซอย ๖ สายตรี กำแพงสีเหลือง ก่อนถึงวัดซอย ๕
เส้นทางเพชรบูรณ์ หล่มสัก ให้วิ่งไปยังแยกเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ แยกพัฒนานิคม ซอย ๑๒
หากจะตั้งพิกัด GPS ให้ตั้งที่ บริษัท สุรินทร์ ออมย่า เคมิคอล
สำนักลพบุรี จะอยู่ตรงบริเวณ สี่แยก ใกล้กับบริษัทสุรินทร์ ออมย่า ไปทาง อุทยานสัจจะธรรม ประมาณ สามร้อยเมตร กำแพงสำนักสงฆ์ สีเหลือง ด้านขวา ฝั่งเดียวกับอุทธยาน
สามารถสอบถามเส้นทางได้ ที่เบอร์คุณอิ๊ด 081 858 9878
สำนักสงฆ์ ตั้งอยู่ ซอย ๖ สายตรี กำแพงสีเหลือง ก่อนถึงวัดซอย ๕
วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ภาพมันฟ้อง
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ทั่วผืนแผ่นดินไทย เป็นที่กำลังนิยม และมีผู้คนหลั่งไหลกันไป ศรัทธาเนืองแน่นไม่ขาดตอน ไม่ว่าที่ใด นั่นคือ การสร้างสิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เรามีพระโน่น พระนี่ ใหญ่ที่สุดในโลก โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลก ... ที่สุดในโลก กันมากมาย และก็ชวนให้เชื่อว่า นั่นแลเป็นทางบุญ ใครได้ร่วมอานิสงฆ์มากมายมหาศาล สวรรค์รออยู่เบื้องหน้า
แล้วก็มีพระทันใจ ผุดกันขึ้นอย่างกับดอกเห็ด เสมือนสินค้าฮิตติดตลาด สนองความต้องการผู้คน ที่ต่างมากราบไหว้เพื่อขอ
เราก็ไม่ก้าวล่วงไป เพราะเป็นความคิดความชอบส่วนตัว ดั่งสมัยพ่อขุน ใครใคร่ทำ ใครใคร่ศรัทธา นับถือ ก็ทำไป เพื่อความสบายใจแห่งตน
แต่สถานที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ ภาพก็กำลังปรากฎถึง ความคิด ของผู้ที่มาเช่นกัน
พฤติกรรมที่แสดงออก ย่อมสะท้อนถึงจิตวิญญาณ ของผู้กระทำ อย่างแน่นอน
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ สร้างให้เป็นแหล่งบุญ นั่นคือ การให้ การเสียสละ เพื่อคนทุกข์ สัญญลักษณ์ คือ การสร้าง ด้วยจิตเมตตา
เราท่านจึงพึงระลึกว่า สถานที่นี้ ไม่มีองค์กร หรือ หน่วยงานใด มาอุดหนุนจุนเจือ ทุกสรรพสิ่ง จึงต้องอาศัย ความร่วมมือของคนในชุมชน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทุกชุมชน ย่อมมีบุคคลสองกลุ่ม หนึ่งคือ ชูชก สองคือ เวสสันดร เป็นธรรมดา
สถานที่นี้ ไม่อวดอ้าง สร้างภาพบุญ ให้แก่ผู้คน เสมือนการสร้างวัด เจดีย์ หรือ พระใดๆ อย่างแน่นอน หากแต่โบราณกล่าวว่า ช่วยคนหนึ่งคน ดีกว่าสร้างเจดีย์ เจ็ดวัด
ภาพที่ปรากฎ ก็จะฟ้องตัวมันเองว่า สถานที่นี้ พลังของเหล่าพระเวสสันดร จะสู้เหล่าชูชกได้หรือไม่
เราจึงอยากให้พิจารณา หากท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สถานที่นี้ ควรหรือไม่ที่จะสถิตย์อยู่ ด้วยพฤติกรรมทุกวันนี้
ก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องไปทำที่ลพบุรี และคัดคน
และก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แผ่นดินนั้น ใครได้มา หากไม่ถึงพรหมลิขิต หมดอายุขัย รอดแน่
มีคนถามเราว่า คนที่แผ่นดินลพบุรี เขาอยู่กันอย่างไร เอาเงินที่ไหนใช้ เพราะเห็นมาเสียสละ ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำทั้งวัน ยิ่งกว่ากรรมกรที่ได้เงินอีกเป็นไหนๆ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า แผ่นดินที่จะช่วยให้รอด รองรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิดจากความเสียสละ เสมือนพระโคดมสละบัลลังค์ ฉันใดก็ฉันนั้น
ตาชั่งของมูลนิธิจะเอนเอียงไปทางใด มีไว้ให้เราท่านเสียสละ เพื่อรองรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีไว้ให้เราท่านมาเอาเปรียบ แสดงนิสัยตน เอาแต่ได้ แลท้ายที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เผ่นป่าราบ กลายเป็นถ้ำกระบอก ๒
ภาพทุกวันนี้มันฟ้อง คนมาเป็นพัน หากแต่ต้นยา ยืนแห้ง ต้นหญ้าปกคลุม คนที่ทำก็ทำตาย คนมากมายวางเฉย
เราจึงสงสัยยิ่งนัก คนที่มาทานสมุนไพร นี่เป็นคนเช่นไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะเกื้อหนุนหรือไม่
กว่าจะรู้ตัว ก็เสียสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว กลายเป็นถ้ำกระบอก ๒ อันน่าคิดว่า เราท่านมา ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากขึ้นด้วยพลังสามัคคี และความเมตตา หรือ ทำให้เสื่อมถอยลง ด้วยนิสัยสันดาน เฉกถ้ำกระบอก
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมยามที่ศาสนาเกิด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงมีสาวกไม่มาก ทั้งที่ศาสนามีอำนาจมหาศาล เหนือกรรม ก็เพราะคนที่อยากได้ แล้วทำ มันมีน้อย
ใครที่ว่า ที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนต้องเยอะ นั่นผิดแล้ว เพราะแหล่งที่คนแห่แหนกันไป ล้วนแล้วแต่คนอยากได้ แต่ไม่อยากทำ
สุดท้ายหลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า อย่าไปสนโรค หรือ สนว่าจะได้ทานสมุนไพรมากน้อย ควรจะสนใจว่า ตนอยากได้ และอยากทำ ทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ลดนิสัยตน
ใครพิจารณา แล้วทำ เมื่อทำนิสัยตนได้ ทานสมุนไพร หายโรคนั้นเป็นของแถม และเมื่อพัฒนาวิญญาณ นิสัยได้ ความเจริญย่อมมาสู่ตน และความสุขจะย้อนมา จากการเป็นผู้ให้สุขผู้อื่นอย่างแน่นอน
จะทำให้เป็นแผ่นดินรอด หรือ ถ้ำกระบอก ๒ ก็ทำเอา แต่ที่ลพบุรี ใครไม่อยาก ใครไม่ทำ ไม่มีที่ให้แน่นอน
เพราะสถานที่ลพบุรี หลวงพ่อนิพนธ์จะสร้างเป็นแผ่นดินรอด นั่นเอง ใครจะว่าโหด ไม่เมตตา ... แต่เวลานี้ มันถึงบทอุเบกขาแล้ว
เรามีพระโน่น พระนี่ ใหญ่ที่สุดในโลก โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลก ... ที่สุดในโลก กันมากมาย และก็ชวนให้เชื่อว่า นั่นแลเป็นทางบุญ ใครได้ร่วมอานิสงฆ์มากมายมหาศาล สวรรค์รออยู่เบื้องหน้า
แล้วก็มีพระทันใจ ผุดกันขึ้นอย่างกับดอกเห็ด เสมือนสินค้าฮิตติดตลาด สนองความต้องการผู้คน ที่ต่างมากราบไหว้เพื่อขอ
เราก็ไม่ก้าวล่วงไป เพราะเป็นความคิดความชอบส่วนตัว ดั่งสมัยพ่อขุน ใครใคร่ทำ ใครใคร่ศรัทธา นับถือ ก็ทำไป เพื่อความสบายใจแห่งตน
แต่สถานที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ ภาพก็กำลังปรากฎถึง ความคิด ของผู้ที่มาเช่นกัน
พฤติกรรมที่แสดงออก ย่อมสะท้อนถึงจิตวิญญาณ ของผู้กระทำ อย่างแน่นอน
สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ สร้างให้เป็นแหล่งบุญ นั่นคือ การให้ การเสียสละ เพื่อคนทุกข์ สัญญลักษณ์ คือ การสร้าง ด้วยจิตเมตตา
เราท่านจึงพึงระลึกว่า สถานที่นี้ ไม่มีองค์กร หรือ หน่วยงานใด มาอุดหนุนจุนเจือ ทุกสรรพสิ่ง จึงต้องอาศัย ความร่วมมือของคนในชุมชน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทุกชุมชน ย่อมมีบุคคลสองกลุ่ม หนึ่งคือ ชูชก สองคือ เวสสันดร เป็นธรรมดา
สถานที่นี้ ไม่อวดอ้าง สร้างภาพบุญ ให้แก่ผู้คน เสมือนการสร้างวัด เจดีย์ หรือ พระใดๆ อย่างแน่นอน หากแต่โบราณกล่าวว่า ช่วยคนหนึ่งคน ดีกว่าสร้างเจดีย์ เจ็ดวัด
ภาพที่ปรากฎ ก็จะฟ้องตัวมันเองว่า สถานที่นี้ พลังของเหล่าพระเวสสันดร จะสู้เหล่าชูชกได้หรือไม่
เราจึงอยากให้พิจารณา หากท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สถานที่นี้ ควรหรือไม่ที่จะสถิตย์อยู่ ด้วยพฤติกรรมทุกวันนี้
ก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องไปทำที่ลพบุรี และคัดคน
และก็อย่าแปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แผ่นดินนั้น ใครได้มา หากไม่ถึงพรหมลิขิต หมดอายุขัย รอดแน่
มีคนถามเราว่า คนที่แผ่นดินลพบุรี เขาอยู่กันอย่างไร เอาเงินที่ไหนใช้ เพราะเห็นมาเสียสละ ทำกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำทั้งวัน ยิ่งกว่ากรรมกรที่ได้เงินอีกเป็นไหนๆ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า แผ่นดินที่จะช่วยให้รอด รองรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิดจากความเสียสละ เสมือนพระโคดมสละบัลลังค์ ฉันใดก็ฉันนั้น
ตาชั่งของมูลนิธิจะเอนเอียงไปทางใด มีไว้ให้เราท่านเสียสละ เพื่อรองรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ มีไว้ให้เราท่านมาเอาเปรียบ แสดงนิสัยตน เอาแต่ได้ แลท้ายที่สุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เผ่นป่าราบ กลายเป็นถ้ำกระบอก ๒
ภาพทุกวันนี้มันฟ้อง คนมาเป็นพัน หากแต่ต้นยา ยืนแห้ง ต้นหญ้าปกคลุม คนที่ทำก็ทำตาย คนมากมายวางเฉย
เราจึงสงสัยยิ่งนัก คนที่มาทานสมุนไพร นี่เป็นคนเช่นไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจะเกื้อหนุนหรือไม่
กว่าจะรู้ตัว ก็เสียสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว กลายเป็นถ้ำกระบอก ๒ อันน่าคิดว่า เราท่านมา ทำให้สมุนไพรมีฤทธิ์มากขึ้นด้วยพลังสามัคคี และความเมตตา หรือ ทำให้เสื่อมถอยลง ด้วยนิสัยสันดาน เฉกถ้ำกระบอก
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมยามที่ศาสนาเกิด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงมีสาวกไม่มาก ทั้งที่ศาสนามีอำนาจมหาศาล เหนือกรรม ก็เพราะคนที่อยากได้ แล้วทำ มันมีน้อย
ใครที่ว่า ที่ไหนศักดิ์สิทธิ์ แล้วคนต้องเยอะ นั่นผิดแล้ว เพราะแหล่งที่คนแห่แหนกันไป ล้วนแล้วแต่คนอยากได้ แต่ไม่อยากทำ
สุดท้ายหลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า อย่าไปสนโรค หรือ สนว่าจะได้ทานสมุนไพรมากน้อย ควรจะสนใจว่า ตนอยากได้ และอยากทำ ทำนิสัยของพระพุทธเจ้า ลดนิสัยตน
ใครพิจารณา แล้วทำ เมื่อทำนิสัยตนได้ ทานสมุนไพร หายโรคนั้นเป็นของแถม และเมื่อพัฒนาวิญญาณ นิสัยได้ ความเจริญย่อมมาสู่ตน และความสุขจะย้อนมา จากการเป็นผู้ให้สุขผู้อื่นอย่างแน่นอน
จะทำให้เป็นแผ่นดินรอด หรือ ถ้ำกระบอก ๒ ก็ทำเอา แต่ที่ลพบุรี ใครไม่อยาก ใครไม่ทำ ไม่มีที่ให้แน่นอน
เพราะสถานที่ลพบุรี หลวงพ่อนิพนธ์จะสร้างเป็นแผ่นดินรอด นั่นเอง ใครจะว่าโหด ไม่เมตตา ... แต่เวลานี้ มันถึงบทอุเบกขาแล้ว
วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
วิชาปราชญ์
ศาสนาพุทธ ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่สอนให้คนเป็นปราชญ์
แม้นมีความรู้เพียงน้อยนิด ก็เรียกได้ว่าเหนือคนธรรมดาทั่วไป
ด้วยรู้เหตุแห่งที่มาของปัญหา และรู้ควรว่าจะแก้โดยวิธีใดนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ อุปมาให้เห็นอย่างง่ายๆว่า คนผู้หนึ่งค้าขายไม่ดี ก็โทษนั่นโทษนี่ เปลี่ยนสถานที่ก็แล้ว สร้างอวงจุ้ยก็แล้ว นางกวัก ก็ไม่กวัก ไปรดน้ำมนต์ ใช้ทุกกลยุทธวิธี ... ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จ
แต่พระพุทธเจ้า ชี้ให้เห็น เหตุมาแต่กรรม กรรมมาจากการกระทำแห่งตน ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่แก้ไข ล้วนเป็นปลายเหตุ ทำให้การค้าขายไม่ประสพผล หากแต่สิ่งที่เป็นต้นเหตุ นั่นคือ นิสัยตน กลับเพิกเฉยไม่ถูกแก้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การฟื้นฟูตน กระบวนการที่ใช้ แลช่วยตนได้ เมือนำไปใช้ทางโลก ก็ไม่ยากเลยที่จะประสพผล
เมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้า จุดเริ่มของการค้าก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่มีเป้าหมาย อะไรก็ได้ ขายหมด ขอให้ได้กำไรยิ่งเยอะยิ่งดี ฝักปลาจะเน่า ก็ดองฟอร์มาลีน เอามาขายได้ ไม่สนว่าคนทานจะเป็นเช่นไร ของเน่าก็ซุกไว้ด้านล่าง ปนไปกับของดีด้านบน ขายเหล็ก ก็ไม่เต็มน้ำหนัก ขายรถก็ย้อมแมว แล้วก็มานั่งดีใจ คนซื้อมันโง่ ...
เมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้า ความคิดก็เปลี่ยนที่จะให้สขแก่ลูกค้า เป็นสำคัญ เพราะเชื่อตามคำสอนที่ว่า ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว เป็นเป้าหมาย ของดี ก็บอกว่า ดี ของไม่ดี ก็บอกว่าไม่ดี ราคาก็ยุติธรรม พูดจาก็เสมือนดั่งสัจจะ รักษาคำพูด ซื่อสัตย์ ไม่มีเหลี่ยมมีคู หลอกต้มลูกค้า
นิสัยที่ฝึกในการใช้ฟื้นฟูตน ก็จะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า นะเมตตา ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็หลง เป็นคนน่าคบ น่าเชื่อถือ น่าทำการค้าด้วย เพราะสบายใจ การค้าก็จะเจริญรุ่งเรือง จากปากต่อปาก
น่าเสียดาย คนสมัยนี้ เรียนตำราต่างประเทศ แล้วก็เชื่อ ไม่คิดพิจารณา เดินตามก้นฝรั่ง คิดว่าเป็นตำราชั้นเลิศ ในที่สุด ก็ทำลายธุรกิจตนเสียสิ้น
เราจึงอยากกระตุ้น ให้คนที่ฟื้นฟูตนจนสำเร็จ ควรที่จะนำไปพิจารณา แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด จากกำไร ขาดทุน ไปเป็นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน
มีคำกล่าวว่า "ลูกค้าถูกเสมอ" หากแต่เราว่า นั่นมันแคบไป หากเราท่าน เอาสัจจะไปประกบ "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" ไม่ว่า ผู้ร่วมงาน คู่ค้า หรืออื่นใด อะไรจะเกิดขึ้น
ร้านค้า ที่มุ่งจะให้สุขอยู่เสมอ ... คนซื้อจะคิดอย่างไร
เมื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ฝึก แม้นเริ่มต้น จะเพียงเพื่อช่วยตน ให้หายโรค เริ่มจาก "ไม่โกรธ" "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" ในเมื่อมีผลมหาศาลแก่ตนได้ หากนำไปใช้ในทางการค้า ในองค์กรของตน ย่อมฟื้นฟูกิจการได้อย่างแน่นอน เช่นกัน
อย่าไปบ้าจี้ตามฝรั่ง หาเหตุแห่งความล้มเหลว โทษนั่นโทษนี่กันอยู่เลย กลับมาแก้ที่ตน นิสัยแห่งตน อันเป็นเหตุแห่งกรรม กันดีกว่าไหม ตามหลวงพ่อนิพนธ์สอน แล้วดูผล
ใครถามว่า ทำไมจึงทำแบบนี้ ก็ตอบไปว่า "พระพุทธเจ้าทรงสอน"
นี่แล เราท่านจึงจะเป็นเสมือนพระมาลัย และกล่าวได้เต็มปากว่า เราท่านเป็นพุทธศาสนิกชน ทำตนรอพระพุทธเจ้า
เมื่อเดินอยู่ในแนวให้สุขผู้อื่น เป็นกรรมแห่งตน ผลที่ได้ จะเป็นทุกข์ กิจการจะล่มจม เป็นไปไม่ได้เลย
หลักปราชญ์ จึงใช้ได้กับทุกสรรพสิ่ง อย่าเพียงแค่ทำอยู่ในมูลนิธิ เดินออกไป ก็วางทิ้ง แล้วจะพบว่า นี่แลสุดยอดเมตตามหานิยม ใครเห็น ใครรัก ใครเห็นใครหลง
ก็คนคิดแบบพระพุทธเจ้า มองไปในโลกใบนี้ มันมีที่ไหนกันเล่า มีแต่ คิดจะเปรียบกัน แย่งกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างแม่ค้าท่านหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เมื่อฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำตาม จากเคยชั่งก็ไม่ค่อยครบ กลายเป็นมีแต่เกิน ของไม่ดี ก็ยอมคัดทิ้ง ไม่เอามาขาย ไม่นานแม่ค้าผู้นี้ ก็หาย ถามสิว่า เขาได้หรือเขาเสีย เขาอาจจะเสียรายได้ แต่ได้ชีวิต และไม่ต้องเสียค่ารักษา แถมยังทำมาหาเลี้ยงตนได้อีก ไม่ต้องนอนรักษาตัว ... ที่สำคัญ ขายของได้มากขึ้น เพราะลูกค้าต่างเชื่อถือ .... นี่เรียกว่า ได้หรือเสีย
บทสรุป ใครที่คิดว่า มาในแผ่นดินนี้มีแต่เสีย งานก็ไม่ได้ทำ ไหนจะเสียเวลา เสียค่ารถ เสียค่ากิน ... นั่นมันคนโง่ คิดตื้นๆ เป็นคนที่มองค่าของชีวิตตนเองต่ำ คนแบบนี้ยากจะประสพผล เพราะหวังแต่ผลเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
แม้นมีความรู้เพียงน้อยนิด ก็เรียกได้ว่าเหนือคนธรรมดาทั่วไป
ด้วยรู้เหตุแห่งที่มาของปัญหา และรู้ควรว่าจะแก้โดยวิธีใดนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ อุปมาให้เห็นอย่างง่ายๆว่า คนผู้หนึ่งค้าขายไม่ดี ก็โทษนั่นโทษนี่ เปลี่ยนสถานที่ก็แล้ว สร้างอวงจุ้ยก็แล้ว นางกวัก ก็ไม่กวัก ไปรดน้ำมนต์ ใช้ทุกกลยุทธวิธี ... ก็ยังไม่ประสพผลสำเร็จ
แต่พระพุทธเจ้า ชี้ให้เห็น เหตุมาแต่กรรม กรรมมาจากการกระทำแห่งตน ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่แก้ไข ล้วนเป็นปลายเหตุ ทำให้การค้าขายไม่ประสพผล หากแต่สิ่งที่เป็นต้นเหตุ นั่นคือ นิสัยตน กลับเพิกเฉยไม่ถูกแก้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า การฟื้นฟูตน กระบวนการที่ใช้ แลช่วยตนได้ เมือนำไปใช้ทางโลก ก็ไม่ยากเลยที่จะประสพผล
เมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้า จุดเริ่มของการค้าก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่มีเป้าหมาย อะไรก็ได้ ขายหมด ขอให้ได้กำไรยิ่งเยอะยิ่งดี ฝักปลาจะเน่า ก็ดองฟอร์มาลีน เอามาขายได้ ไม่สนว่าคนทานจะเป็นเช่นไร ของเน่าก็ซุกไว้ด้านล่าง ปนไปกับของดีด้านบน ขายเหล็ก ก็ไม่เต็มน้ำหนัก ขายรถก็ย้อมแมว แล้วก็มานั่งดีใจ คนซื้อมันโง่ ...
เมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้า ความคิดก็เปลี่ยนที่จะให้สขแก่ลูกค้า เป็นสำคัญ เพราะเชื่อตามคำสอนที่ว่า ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว เป็นเป้าหมาย ของดี ก็บอกว่า ดี ของไม่ดี ก็บอกว่าไม่ดี ราคาก็ยุติธรรม พูดจาก็เสมือนดั่งสัจจะ รักษาคำพูด ซื่อสัตย์ ไม่มีเหลี่ยมมีคู หลอกต้มลูกค้า
นิสัยที่ฝึกในการใช้ฟื้นฟูตน ก็จะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า นะเมตตา ใครเห็นใครก็รัก ใครเห็นใครก็หลง เป็นคนน่าคบ น่าเชื่อถือ น่าทำการค้าด้วย เพราะสบายใจ การค้าก็จะเจริญรุ่งเรือง จากปากต่อปาก
น่าเสียดาย คนสมัยนี้ เรียนตำราต่างประเทศ แล้วก็เชื่อ ไม่คิดพิจารณา เดินตามก้นฝรั่ง คิดว่าเป็นตำราชั้นเลิศ ในที่สุด ก็ทำลายธุรกิจตนเสียสิ้น
เราจึงอยากกระตุ้น ให้คนที่ฟื้นฟูตนจนสำเร็จ ควรที่จะนำไปพิจารณา แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิด จากกำไร ขาดทุน ไปเป็นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน
มีคำกล่าวว่า "ลูกค้าถูกเสมอ" หากแต่เราว่า นั่นมันแคบไป หากเราท่าน เอาสัจจะไปประกบ "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" ไม่ว่า ผู้ร่วมงาน คู่ค้า หรืออื่นใด อะไรจะเกิดขึ้น
ร้านค้า ที่มุ่งจะให้สุขอยู่เสมอ ... คนซื้อจะคิดอย่างไร
เมื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้ฝึก แม้นเริ่มต้น จะเพียงเพื่อช่วยตน ให้หายโรค เริ่มจาก "ไม่โกรธ" "ไม่เห็นผู้อื่นผิด" ในเมื่อมีผลมหาศาลแก่ตนได้ หากนำไปใช้ในทางการค้า ในองค์กรของตน ย่อมฟื้นฟูกิจการได้อย่างแน่นอน เช่นกัน
อย่าไปบ้าจี้ตามฝรั่ง หาเหตุแห่งความล้มเหลว โทษนั่นโทษนี่กันอยู่เลย กลับมาแก้ที่ตน นิสัยแห่งตน อันเป็นเหตุแห่งกรรม กันดีกว่าไหม ตามหลวงพ่อนิพนธ์สอน แล้วดูผล
ใครถามว่า ทำไมจึงทำแบบนี้ ก็ตอบไปว่า "พระพุทธเจ้าทรงสอน"
นี่แล เราท่านจึงจะเป็นเสมือนพระมาลัย และกล่าวได้เต็มปากว่า เราท่านเป็นพุทธศาสนิกชน ทำตนรอพระพุทธเจ้า
เมื่อเดินอยู่ในแนวให้สุขผู้อื่น เป็นกรรมแห่งตน ผลที่ได้ จะเป็นทุกข์ กิจการจะล่มจม เป็นไปไม่ได้เลย
หลักปราชญ์ จึงใช้ได้กับทุกสรรพสิ่ง อย่าเพียงแค่ทำอยู่ในมูลนิธิ เดินออกไป ก็วางทิ้ง แล้วจะพบว่า นี่แลสุดยอดเมตตามหานิยม ใครเห็น ใครรัก ใครเห็นใครหลง
ก็คนคิดแบบพระพุทธเจ้า มองไปในโลกใบนี้ มันมีที่ไหนกันเล่า มีแต่ คิดจะเปรียบกัน แย่งกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างแม่ค้าท่านหนึ่งที่เป็นมะเร็ง เมื่อฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำตาม จากเคยชั่งก็ไม่ค่อยครบ กลายเป็นมีแต่เกิน ของไม่ดี ก็ยอมคัดทิ้ง ไม่เอามาขาย ไม่นานแม่ค้าผู้นี้ ก็หาย ถามสิว่า เขาได้หรือเขาเสีย เขาอาจจะเสียรายได้ แต่ได้ชีวิต และไม่ต้องเสียค่ารักษา แถมยังทำมาหาเลี้ยงตนได้อีก ไม่ต้องนอนรักษาตัว ... ที่สำคัญ ขายของได้มากขึ้น เพราะลูกค้าต่างเชื่อถือ .... นี่เรียกว่า ได้หรือเสีย
บทสรุป ใครที่คิดว่า มาในแผ่นดินนี้มีแต่เสีย งานก็ไม่ได้ทำ ไหนจะเสียเวลา เสียค่ารถ เสียค่ากิน ... นั่นมันคนโง่ คิดตื้นๆ เป็นคนที่มองค่าของชีวิตตนเองต่ำ คนแบบนี้ยากจะประสพผล เพราะหวังแต่ผลเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
หายอะไรดี
หลวงพ่อนิพนธ์ยกคำสอนแม่ชีเมี้ยนมาให้เห็นภาพว่า อะไรเล่าเป็นตัวกำหนด ทำให้เกิดโรคหรือความเจ็บ
วิทยาการสมัยใหม่ สอนให้เราท่านตระหนักว่า สาเหตุของการเกิดโรค หรือความเจ็บ ต้นเหตุมาจากเชื้อโรค หรือ ความผิดปกติ ... ว่ากันไป
หากแต่ความเป็นจริง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทุกเวลานาที ร่างกายของคนเรา ก็รับเชื้อต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว หากแต่สิ่งที่น่าพิศวง นั่นคือ ทำไมคนบางคนถึงเป็นโรค ในขณะที่บางคนไม่เป็นเล่า
แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่แท้จริง จึงไม่ใช่เชื้อ ไม่ใช่สิ่งอื่นใดทำให้เป็น ต้นเหตุของการเกิดทุกข์ นั่นคือ กรรม
ทรงอรรถาธิบายว่า ในปากของเราท่านทั้งหลายจะมีเขี้ยวกรรม ๒ เขี้ยว ทำหน้าที่ตามกรรมที่ทำมา ทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามา เมื่อถึงปล้องกรรมใด กรรมก็จะทำให้เขี้ยวนั้นๆทำงาน
เมื่อมีกรรมดี คนจนเก็บของในถังขยะกิน เขี้ยวกรรมดีทำงาน อาหารนั้นก็ให้สุข กินดี อิ่มท้อง ยามมีกรรมชั่ว แม้นมหาเศรษฐี จะทานอาหารปรุงอย่างดี อนามัยสูง ห้องปลอดเชื้อ ก็เกิดอาหารเป็นพิษได้
เมื่อเราท่านมา จุดประสงค์แรก ย่อมมุ่งเน้น ที่การหายโรคเป็นสำคัญ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อทานสมุนไพร ย่อมมีโอกาสทุกตัวคน หากแต่ต้นกำเนิด อยู่ที่กรรม แลผลกรรมที่สร้าง ย่อมมาจากนิสัยตน หรือ นิสัยกรรมที่ตนมีนั่นแล
การหายโรค จึงเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือนิสัยกรรมที่เราท่านใช้สร้างกรรม มันยังอยู่ ช้าเร็ว มันก็มาอีก เสมือนน้ำสูบที่ปลายทางสักเท่าไหร่ ก็แห้งพักเดียว เพราะต้นสายมันยังไหลบ่ามาอีกนั่นแล
ธรรมหมวดสมุนไพร เนื้อแท้ที่จริง จึงเน้นที่การโค่นนิสัยตน ที่เป็นเหตุแห่งการสร้างกรรม โดยนำนิสัยพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่าง มานำตนแทน นั่นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ การสวดมนต์จึงเป็นภาคบังคับ ความสงบจึงเป็นความจำเป็น เพราะนั่นเป็นพื้นฐาน การฝึกฝืนนิสัยตนนั่นเอง
ความจริงของจักรวาล ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ นั่นคือ อำนาจที่แท้จริง ในโลก มีเพียงสอง คือ อำนาจกรรม และอำนาจธรรม
เมื่อกรรมแสดงอำนาจ ทำให้ทุกข์ การจะโค่นโดยใช้วัตถุ พิธีกรรม ที่มนุษย์บัญญัติ คิดค้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย นี่แลคือความสำคัญของธรรม ที่เป็นเครื่องมือให้มนุษย์สร้าง เพื่อใช้แก้กรรมที่ตนทำมา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า อำนาจสมุนไพรนั้นมีจำกัด อำนาจที่มีมหาศาลไร้ขีดจำกัด นั่นคือ อำนาจธรรม จะมีมากน้อย ก็ขึืนกับตัวกระทำที่เราท่านทำได้ ยิ่งมีนิสัยธรรมหรือนิสัยพระพุทธเจ้าในตนมากเท่าใด อำนาจธรรมก็มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อสร้างอำนาจธรรม จนกลายเป็นนิสัยตนได้ การทานสมุนไพรก็จะเหลือแต่เพียงยามวิกฤต ที่เผชิญกรรมหนักที่ทำมาในอดีตเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องทานทุกวันทุกเวลา
ความปลอดภัยของชีวิต และวิญญาณ ที่สามารถตามติดไปทุกภพทุกชาติ นั่นจึงไม่ใช่การหายโรคที่เป็นในปัจจุบัน หากแต่เป็นนิสัยที่สร้างกรรม ทำให้เกิดโรคต่างหาก หากหายไป กลายเป็นนิสัยธรรม จึงเป็นความปลอดภัยทั้งภพนี้ และภพหน้า นั่นแลลาภอันประเสริฐ
ผู้ใดได้ทำ ก็จักพึงรู้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงมีเมตตาธรรมอันมหาศาล ก็เพราะเมื่อทำนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว แม้นเพียงสักครู่สักยาม ก็จะรู้ว่ามันทำยาก เมื่อเปลี่ยนตนเพื่อสุขแห่งตนยังยาก จะเปลี่ยนผู้อื่น ให้ผู้อื่นทำตามใจเรา ยิ่งยากเย็นแสนเข็ญเข้าไปอีก
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ นอกจากจะใช้ความเมตตาแล้วไซร้ ต้องมีขันติ อดทน มากมายมหาศาล พูดแล้วพูดอีก ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย กว่าจะได้คนเชื่อ แล้วทำตามสักคน
กระนั้นก็ตาม แม้นจะยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้อยากได้ สามารถทำได้ เราท่านจึงเห็นประวิติศาสตร์ มีพระพุทธเจ้าแลสาวก สืบทอดพระพุทธศาสนา มาทุกรอบ ๒๕๐๐ ปี ตลอดมา
เมื่อของจริงยังไม่ปรากฎโฉม สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่านให้ทำ ก็เรียกว่าแค่น้ำจิ้ม พอให้คุ้นเคย รู้ทาง แต่ก็เพียงพอในการช่วยตน ยิ่งแค่หายโรคนั้น กระจอก ... ไม่สนหรอกโรคอะไร เพราะเปลี่ยนโรค มันง่ายกว่าเปลี่ยนนิสัยมากนัก
คำบอกใบ้ ของแม่ชีเมี้ยนที่ทรงให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำมาบอกแก่เราท่าน จึงตรงเป้าตรงประเด็น อยากให้ชีวิตรอดปลอดภัย และรุ่งเรือง ก็ลดนิสัยตน นำนิสัยพระพุทธเจ้ามานำแทน ... นิสัยเดิมหาย โรคไม่ต้องพูดถึง กระโดดหนีแทบไม่ทัน
เมื่อธรรมเป็นอำนาจ ผู้ที่ทำได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จึงกล่าวว่า ก็เสมือนมียักษ์ในตะเกียง อยากได้อะไรก็สั่งเอา ไม่ใช่ไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งขอ ขอให้ตาย เสมือนอยากกินข้าว ก็เอาข้าวไปซาวน้ำ ใส่หม้อ ติดไฟ แล้วรอ มัวแต่นั่งรอ ข้าวมันไม่มีวันสุกมาเองให้กิน นี่แลคือความจริงของจักรวาล
ช้าเร็ว ทฤษฏี พึ่งผู้อื่น อยากหายแล้วให้ผู้อื่นช่วย ก็จะถึงทางตันไปเรื่อยๆ แลภาพที่ปรากฎมาแทนคือ อยากหายโรค ก็ทำนิสัยสัยให้หายไปสิ ได้หายโรคแน่ จะเด่นชัดขึ้น ยิ่งพระพุทธเจ้าปรากฎโฉม ภาพนี้ก็จะทำให้ทุกคนยอมรับ แม้นไม่นับถือ ก็ยังส่งคนมาขอคำสอนบางสิ่งบางอย่างไปปฏิบัติในหมู่ตน เฉกเช่นในอดีตยุคพระโดคม
เมื่อโลกถึงทางตัน วิกฤตศรัทธาจะรุนแรงมหาศาล คนที่เชื่อพิจารณา และทำตนตามพระพุทธเจ้า ได้ จะเป็นหมู่คนที่กลัวกรรม ไม่สร้างทุกข์ให้ผู้อืน เป็นคนซื่อสัตย์ จะกลายเป็นหมู่ชนที่มีค่าที่สุดของโลก ผู้คนจะไม่เชื่อถือ ผู้ที่มีแต่องค์ความรู้ หรือฐานันดร เช่นในอดีต ความซื่อสัตย์ จะกลับมามีค่ายิ่ง ในการเป็นผู้นำ
การหายแต่โรคจึงมีคุณค่าน้อยเพียงเฉพาะหน้า การหายนิสัยสร้างกรรม นี่สิให้ผลมหาศาล ได้หายโรค แลชีวิตปลอดภัย ทั้งยังทำให้ตน กลายเป็นผู้มีคุณค่าของโลก เป็นคนที่ผู้คนแสวงหา และยอมรับ เพราะมันทำยาก ผู้ทำได้จึงไม่ธรรมดา
วิทยาการสมัยใหม่ สอนให้เราท่านตระหนักว่า สาเหตุของการเกิดโรค หรือความเจ็บ ต้นเหตุมาจากเชื้อโรค หรือ ความผิดปกติ ... ว่ากันไป
หากแต่ความเป็นจริง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทุกเวลานาที ร่างกายของคนเรา ก็รับเชื้อต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว หากแต่สิ่งที่น่าพิศวง นั่นคือ ทำไมคนบางคนถึงเป็นโรค ในขณะที่บางคนไม่เป็นเล่า
แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า สาเหตุที่แท้จริง จึงไม่ใช่เชื้อ ไม่ใช่สิ่งอื่นใดทำให้เป็น ต้นเหตุของการเกิดทุกข์ นั่นคือ กรรม
ทรงอรรถาธิบายว่า ในปากของเราท่านทั้งหลายจะมีเขี้ยวกรรม ๒ เขี้ยว ทำหน้าที่ตามกรรมที่ทำมา ทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามา เมื่อถึงปล้องกรรมใด กรรมก็จะทำให้เขี้ยวนั้นๆทำงาน
เมื่อมีกรรมดี คนจนเก็บของในถังขยะกิน เขี้ยวกรรมดีทำงาน อาหารนั้นก็ให้สุข กินดี อิ่มท้อง ยามมีกรรมชั่ว แม้นมหาเศรษฐี จะทานอาหารปรุงอย่างดี อนามัยสูง ห้องปลอดเชื้อ ก็เกิดอาหารเป็นพิษได้
เมื่อเราท่านมา จุดประสงค์แรก ย่อมมุ่งเน้น ที่การหายโรคเป็นสำคัญ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อทานสมุนไพร ย่อมมีโอกาสทุกตัวคน หากแต่ต้นกำเนิด อยู่ที่กรรม แลผลกรรมที่สร้าง ย่อมมาจากนิสัยตน หรือ นิสัยกรรมที่ตนมีนั่นแล
การหายโรค จึงเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือนิสัยกรรมที่เราท่านใช้สร้างกรรม มันยังอยู่ ช้าเร็ว มันก็มาอีก เสมือนน้ำสูบที่ปลายทางสักเท่าไหร่ ก็แห้งพักเดียว เพราะต้นสายมันยังไหลบ่ามาอีกนั่นแล
ธรรมหมวดสมุนไพร เนื้อแท้ที่จริง จึงเน้นที่การโค่นนิสัยตน ที่เป็นเหตุแห่งการสร้างกรรม โดยนำนิสัยพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่าง มานำตนแทน นั่นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ การสวดมนต์จึงเป็นภาคบังคับ ความสงบจึงเป็นความจำเป็น เพราะนั่นเป็นพื้นฐาน การฝึกฝืนนิสัยตนนั่นเอง
ความจริงของจักรวาล ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ นั่นคือ อำนาจที่แท้จริง ในโลก มีเพียงสอง คือ อำนาจกรรม และอำนาจธรรม
เมื่อกรรมแสดงอำนาจ ทำให้ทุกข์ การจะโค่นโดยใช้วัตถุ พิธีกรรม ที่มนุษย์บัญญัติ คิดค้น จึงเป็นไปไม่ได้เลย นี่แลคือความสำคัญของธรรม ที่เป็นเครื่องมือให้มนุษย์สร้าง เพื่อใช้แก้กรรมที่ตนทำมา
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า อำนาจสมุนไพรนั้นมีจำกัด อำนาจที่มีมหาศาลไร้ขีดจำกัด นั่นคือ อำนาจธรรม จะมีมากน้อย ก็ขึืนกับตัวกระทำที่เราท่านทำได้ ยิ่งมีนิสัยธรรมหรือนิสัยพระพุทธเจ้าในตนมากเท่าใด อำนาจธรรมก็มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อสร้างอำนาจธรรม จนกลายเป็นนิสัยตนได้ การทานสมุนไพรก็จะเหลือแต่เพียงยามวิกฤต ที่เผชิญกรรมหนักที่ทำมาในอดีตเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องทานทุกวันทุกเวลา
ความปลอดภัยของชีวิต และวิญญาณ ที่สามารถตามติดไปทุกภพทุกชาติ นั่นจึงไม่ใช่การหายโรคที่เป็นในปัจจุบัน หากแต่เป็นนิสัยที่สร้างกรรม ทำให้เกิดโรคต่างหาก หากหายไป กลายเป็นนิสัยธรรม จึงเป็นความปลอดภัยทั้งภพนี้ และภพหน้า นั่นแลลาภอันประเสริฐ
ผู้ใดได้ทำ ก็จักพึงรู้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงมีเมตตาธรรมอันมหาศาล ก็เพราะเมื่อทำนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว แม้นเพียงสักครู่สักยาม ก็จะรู้ว่ามันทำยาก เมื่อเปลี่ยนตนเพื่อสุขแห่งตนยังยาก จะเปลี่ยนผู้อื่น ให้ผู้อื่นทำตามใจเรา ยิ่งยากเย็นแสนเข็ญเข้าไปอีก
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ นอกจากจะใช้ความเมตตาแล้วไซร้ ต้องมีขันติ อดทน มากมายมหาศาล พูดแล้วพูดอีก ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย กว่าจะได้คนเชื่อ แล้วทำตามสักคน
กระนั้นก็ตาม แม้นจะยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ผู้อยากได้ สามารถทำได้ เราท่านจึงเห็นประวิติศาสตร์ มีพระพุทธเจ้าแลสาวก สืบทอดพระพุทธศาสนา มาทุกรอบ ๒๕๐๐ ปี ตลอดมา
เมื่อของจริงยังไม่ปรากฎโฉม สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราท่านให้ทำ ก็เรียกว่าแค่น้ำจิ้ม พอให้คุ้นเคย รู้ทาง แต่ก็เพียงพอในการช่วยตน ยิ่งแค่หายโรคนั้น กระจอก ... ไม่สนหรอกโรคอะไร เพราะเปลี่ยนโรค มันง่ายกว่าเปลี่ยนนิสัยมากนัก
คำบอกใบ้ ของแม่ชีเมี้ยนที่ทรงให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำมาบอกแก่เราท่าน จึงตรงเป้าตรงประเด็น อยากให้ชีวิตรอดปลอดภัย และรุ่งเรือง ก็ลดนิสัยตน นำนิสัยพระพุทธเจ้ามานำแทน ... นิสัยเดิมหาย โรคไม่ต้องพูดถึง กระโดดหนีแทบไม่ทัน
เมื่อธรรมเป็นอำนาจ ผู้ที่ทำได้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็จึงกล่าวว่า ก็เสมือนมียักษ์ในตะเกียง อยากได้อะไรก็สั่งเอา ไม่ใช่ไม่ทำอะไร เอาแต่นั่งขอ ขอให้ตาย เสมือนอยากกินข้าว ก็เอาข้าวไปซาวน้ำ ใส่หม้อ ติดไฟ แล้วรอ มัวแต่นั่งรอ ข้าวมันไม่มีวันสุกมาเองให้กิน นี่แลคือความจริงของจักรวาล
ช้าเร็ว ทฤษฏี พึ่งผู้อื่น อยากหายแล้วให้ผู้อื่นช่วย ก็จะถึงทางตันไปเรื่อยๆ แลภาพที่ปรากฎมาแทนคือ อยากหายโรค ก็ทำนิสัยสัยให้หายไปสิ ได้หายโรคแน่ จะเด่นชัดขึ้น ยิ่งพระพุทธเจ้าปรากฎโฉม ภาพนี้ก็จะทำให้ทุกคนยอมรับ แม้นไม่นับถือ ก็ยังส่งคนมาขอคำสอนบางสิ่งบางอย่างไปปฏิบัติในหมู่ตน เฉกเช่นในอดีตยุคพระโดคม
เมื่อโลกถึงทางตัน วิกฤตศรัทธาจะรุนแรงมหาศาล คนที่เชื่อพิจารณา และทำตนตามพระพุทธเจ้า ได้ จะเป็นหมู่คนที่กลัวกรรม ไม่สร้างทุกข์ให้ผู้อืน เป็นคนซื่อสัตย์ จะกลายเป็นหมู่ชนที่มีค่าที่สุดของโลก ผู้คนจะไม่เชื่อถือ ผู้ที่มีแต่องค์ความรู้ หรือฐานันดร เช่นในอดีต ความซื่อสัตย์ จะกลับมามีค่ายิ่ง ในการเป็นผู้นำ
การหายแต่โรคจึงมีคุณค่าน้อยเพียงเฉพาะหน้า การหายนิสัยสร้างกรรม นี่สิให้ผลมหาศาล ได้หายโรค แลชีวิตปลอดภัย ทั้งยังทำให้ตน กลายเป็นผู้มีคุณค่าของโลก เป็นคนที่ผู้คนแสวงหา และยอมรับ เพราะมันทำยาก ผู้ทำได้จึงไม่ธรรมดา
วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
สุดยอดปฏิมากรรม
โลกใบนี้กล่าวกันว่า มีสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์หลายที่หลายแห่ง ที่แม้นแต่บางที่มนุษย์ยุคนี้จะสร้างก็ยังยากลำบาก
หากแต่ปฏิมากรรมที่ทรงคุณค่าที่สุด ย่อมควรมาจากสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกเฉกเช่นเดียวกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า โลกนี้สิ่งที่มีค่ามากที่สุด คือ "มนุษย์"
เพราะมนุษย์สามารถทำอะไรได้ มีความคิดความอ่าน ไม่ว่าทางดีหรือร้าย ก็อาจมีผลมหาศาลแก่ผู้อื่น แลสรรพสัตว์ทั่วโลกได้
ดังนั้น ปฏิมากรรมล้ำค่าที่สุดในโลก ก็หาเปรียบได้กับ การสร้างคนให้เป็นคนดี ตามครรลองของศาสนาไม่ แม้นมีเพียงหนึ่ง ก็มีคุณค่าสุดประมาณ
เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดทำตนได้ กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเรียกว่า สามารถสะเทือนฟ้า สะเทือนดิน ที่ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ
หากเราท่านอยากรู้ว่า กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าลำบากเพียงใด ก็ลองเอาสัจจะบางสิ่ง บางอย่าง ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ แม่ชีเมี้ยนนำมาให้หลวงพ่อนิพนธ์สอน แล้วทำดู จะรู้ว่า มันยากยิ่ง โดยเฉพาะตอนเริ่ม
เราท่านจะได้สัมผัสรู้ว่า มารผจญเป็นเช่นไร ที่จะทำให้เราท่านเสียซึ่งสัจจะนั้นๆไป
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า อุปมาเสมือน เมื่อเราท่านเชื่อธรรม กรรมเขาก็ต้องลองของ ลองตบะเราท่านดู นั่นเอง
พระพุทธเจ้าทำตนได้ ตลอดเวลา ท่านจึงมีความสุขตลอดเวลา เพราะกรรมไม่สามารถมาเป็นผู้นำท่านได้ และก่อให้เกิดทุกข์ในภายภาคหน้า
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นหมายถึงนิพพาน
หากแต่เราท่านที่มาเดินตาม กระทำตน เดินอยู่ในสัจจะ ชั่วครู่ชั่วยาม เช่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผู้อื่นผิด หากทำได้ แม้นจะเพียงวันละชั่วโมง ก็ตาม ผลแห่งการกระทำนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราท่าน ได้รับสมบัติของศาสนา คือ ความไม่มีโรคแล้ว
การสร้างตน ควบคุมตน จึงเป็นปฏิมากรรมขั้นสุดยอด ที่แต่ละบุคคล จะพึงสร้างขึ้นมาเองได้ เพราะน้อยคนที่จะทำได้ จึงไม่แปลกที่คำกล่าวในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะได้ยินกันทั่วไปว่า "สาสนาของพระพุทธนั้นดี แต่ไม่เอา เพราะมันทำยาก ไปขอพรดีว่า ไม่ต้องทำอะไร"
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมี สมุนไพรจึงเป็นจุดเริ่มในการหายโรค เท่านั้นเอง หากแต่ไม่ใช่แก่นที่จริงแท้ของธรรม เพียงแต่เป็นเครื่องมือให้โอกาส ได้เรียนรู้ ได้พิจารณา แล้วทำ ผู้ใดสามารถนำธรรมคำสอน คือ นิสัยของพระพุทธเจ้า มานำตนได้ กลายเป็นนิสัยตนแล้วไซร้ นั่นแลคือ ถึงซึ่งสมบัติของศาสนา คือ ความไม่มีโรคแล้ว
เมื่อผู้ใดทำตนได้ ก็อุปมาเสมือนได้คาถาปลุกเสกสมุนไพร ได้เองแล้วนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่ทำตนได้ แม้นจะไปอยู่ในที่ห่างไกล ไม่มีสมุนไพร ก็สามารถนำน้ำ แล้วตั้ง่จิค ทำสัจจะควบคุมนิสัยตน เมื่อครบตามกำหนด น้ำนั้นก็อุปมามีฤทธฺิ์เสมือนสมุนไพรได้เช่นกัน
เราจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า หนทางเดียวที่รอด จึงไม่ได้อยู่ที่การทานสมุนไพร หากแต่อยู่ที่การลดนิสัยเดิมของตนที่ทำร้ายผู้อื่น เปลี่ยนมาใช้นิสัยพระพุทธเจ้านำตน
จึงน่าเสียดายยิ่งนัก ที่หลายคน อาจจะหยุดแค่ทานสมุนไพร แล้วหายโรค นั่นก็แค่เบื้องหน้า ตราบใดที่นิสัยยังคงอยู่ สักวันมันก็ต้องย้อนกลับมา ไม่จำเป็นหรอกต้องโรคเดิม โรคอะไรก็ตายเหมือนกัน
เฉกเช่นในอดีต ชายผู้หนึ่งเป็นเอดส์ แล้วไปบวชเป็นพระ จนอาการของตนเลวร้าย ทราบข่าวมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้รับสัจจะบวชเป็นพระในหลักของแม่ชีเมี้ยน ๓ ปี ชายผู้นั้นรับปาก หากแต่เวลาผ่านไป ๓ เดือน จากอาการเลวร้ายสุดๆ เนื้อผิวหนังเน่าเปื่อย กลายมาเป็นคนปกติ แข็งแรง ทำงานได้ แล้วพระรูปนี้ก็หนีกลับบ้าน ไม่ถึงปี ทางบ้านก็ส่งข่าวมาว่า พระรูปนี้เสียแล้ว หากแต่ไม่ใช่โรคเอดส์ แต่ด้วยเหตุไตวายฉับพลัน เกิดน้ำท่วมปอด
ใครจะทำตนฉลาด คิดจะมาหลอกทานสมุนไพร พอหายก็ชิ่ง นั่นจึงเป็นการไม่ฉลาดเลย อย่างแท้จริง
ผู้ใดทำตนได้ จนได้นิสัยพระพุทธเจ้าติดตนไป นั่นแลเราว่าผู้นั้นเป็นปฏิมากรชั้นเลิศ และจะกลายเป็นคนดี ที่ดีจริงๆ ดีตามศาสนาบัญญัติ เป็นผู้ให้สุขแก่ผู้อื่นในสำนึก ตลอดเวลา ใครได้คบย่อมยินดี
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ประกาศขออาสา
เนื่องด้วยการจัดงานรำลึกคุณแม่ชีเมี้ยนในปีนี้ วันที่ ๑๗ และ ๑๘ มีนาคม ศกนี้นั้น จะจัดขึ้นที่ลพบุรี ในแผ่นดินที่แม่ชีเมี้ยนทรงเคยใช้เพื่อเปลี่ยนผ้าครองจากชี ที่ซึ่งนุ่งขาว เป็นการห่มสีกลัก แล้วพาพระขึ้นถ้ำกระบอกในวันปีใหม่ ในปี ๒๕๐๑
ดังนั้น จึงต้องมีการจัดเตรียมสถานที่ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ และ ๒๘ กุมภาพันธ์ ศกนี้ เพื่อการดังกล่าว
ทางมูลนิธิจึงขออาสา เพื่อไปช่วยในกิจกรรมดังกล่าว โดยสามารถแจ้งได้ที่คุณฝน
อนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้อาสาที่ไปช่วยงานรับสมุนไพรที่ลพบุรีแทนได้
ท่านใดที่ประสงค์ จะไปช่วยกิจกรรมนี้ ควรที่จะแจ้งชนิดของสมุนไพรที่ได้รับปกติด้วย เพื่อที่จะได้จัดเตรียมไว้ให้ได้ถูกต้อง
ดังนั้น จึงต้องมีการจัดเตรียมสถานที่ ในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ และ ๒๘ กุมภาพันธ์ ศกนี้ เพื่อการดังกล่าว
ทางมูลนิธิจึงขออาสา เพื่อไปช่วยในกิจกรรมดังกล่าว โดยสามารถแจ้งได้ที่คุณฝน
อนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์อนุญาตให้อาสาที่ไปช่วยงานรับสมุนไพรที่ลพบุรีแทนได้
ท่านใดที่ประสงค์ จะไปช่วยกิจกรรมนี้ ควรที่จะแจ้งชนิดของสมุนไพรที่ได้รับปกติด้วย เพื่อที่จะได้จัดเตรียมไว้ให้ได้ถูกต้อง
ปีใหม่ชีวิตใหม่
หลวงพ่อนิพนธ์มักให้สติเสมอในวันปีใหม่ อย่าพึงใหม่แต่ปี ควรจะได้นิสัยใหม่ คือ นิสัยของพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างมานำตน แลได้ชีวิตใหม่ คือ ความไม่มีโรค เป็นของแถม หากแต่ชีวิตใหม่ที่ได้นี้ ก็ควรยิ่งที่จะมีคำตอบแก่ตนว่า จะนำพลังที่ได้ ชีวิตใหม่ที่มี ไปใช่เพื่อสิ่งใด ควรอย่างยิ่งที่จะดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท นั่นคือ อย่าทำตนเหมือนเก่า หากแต่ชีวิตต้องกลายเป็นคนสองแผ่นดิน แผ่นดินหนึ่ง ทำเพื่อดำรงชีวิตหาเลี้ยงตนและครอบครัว อีกแผ่นดินหนึ่งทำเพื่อบุญไว้หล่อเลี้ยงวิญญาณ ให้สุขทั้งแก่สังขารแลวิญญาณ นั่นเอง
ประการที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้พึงระวังตน เพราะทุกยุคทุกสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรากฎโฉม นั่นย่อมหมายถึงมหาวิบัติจะต้องพึงเกิดก่อน เพื่อรอพระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ จึงพึงอย่าประมาท อะไรก็สามารถเกิดได้ทุกเวลา คนดีเท่านั้นที่รอดแน่ แลคนดีก็คือคนที่มีนิสัยพระพุทธเจ้าอยู่ในตน
นี่จึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มาปลุกปั่นให้ทานสมุนไพร นั้นเป็นเรื่องรอง หากแต่จุดใหญ่ใจความอยู่ที่ยุยงให้พวกเราหันมาใช้นิสัยพระพุทธเจ้ามานำตนเป็นบางสิ่งบางอย่าง ฤาจะเรียกว่า ทำตนเป็นคนดี เพื่อรอดภัยพิบัติ รอพระพุทธเจ้าอุบัตินั่นเอง
แลนั่น เราท่านจะได้อยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าที่สามารถพูดได้ สอนได้ ไม่ใช่ดั่งองค์พระประทานในโบสถ์ และจะได้เห็นความงดงามของศาสนา ว่าทำไมทุกยุคทุกสมัย ผู้คนจึงยอมรับ แม้นจะไม่นับถือก็ตามที
ประการที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้พึงระวังตน เพราะทุกยุคทุกสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรากฎโฉม นั่นย่อมหมายถึงมหาวิบัติจะต้องพึงเกิดก่อน เพื่อรอพระพุทธเจ้ามาดับยุคเข็ญ จึงพึงอย่าประมาท อะไรก็สามารถเกิดได้ทุกเวลา คนดีเท่านั้นที่รอดแน่ แลคนดีก็คือคนที่มีนิสัยพระพุทธเจ้าอยู่ในตน
นี่จึงเป็นเหตุที่หลวงพ่อนิพนธ์มาปลุกปั่นให้ทานสมุนไพร นั้นเป็นเรื่องรอง หากแต่จุดใหญ่ใจความอยู่ที่ยุยงให้พวกเราหันมาใช้นิสัยพระพุทธเจ้ามานำตนเป็นบางสิ่งบางอย่าง ฤาจะเรียกว่า ทำตนเป็นคนดี เพื่อรอดภัยพิบัติ รอพระพุทธเจ้าอุบัตินั่นเอง
แลนั่น เราท่านจะได้อยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าที่สามารถพูดได้ สอนได้ ไม่ใช่ดั่งองค์พระประทานในโบสถ์ และจะได้เห็นความงดงามของศาสนา ว่าทำไมทุกยุคทุกสมัย ผู้คนจึงยอมรับ แม้นจะไม่นับถือก็ตามที
วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
คิดเอามือปิดฟ้า
ยุคสมัยเปลี่ยนไป การสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการโฆษณา ที่เคยใช้ได้ผลเช่นในอดีต มาวันนี้ เริ่มใช้ไม่ได้ดีเหมือนเดิมแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ด้วยความด้อยของการเข้าถึงข้อมูล ทำให้เพียงแค่ไม่กี่ปี สถานพยาบาลที่ไปถึงยากหนักหนาในอดีต ปัจจุบันยาเคมี กลายเป็นยาสามัญประจำบ้าน มีติดกันทุกครัวเรือน
และยาก็กลายเป็นพระเจ้า ที่ทุกคนร้องหา ยามประสพโรคภัย โดยไม่สนว่า ทานไปแล้วจะเป็นอย่างไรในอนาคต หวังผลเฉพาะหน้าเท่านั้นเอง
การปิดบังข้อมูลที่สำคัญ หรือข้อจำกัดในการใช้ยาเคมี ถูกปกปิดเป็นความลับ ทั้งที่เป็นส่วนสำคัญมีผลต่อชีวิตผู้ทานเป็นอย่างยิ่ง นั่นหมายความว่า หากใช้ถูก ยาเคมีก็มีประโยชน์มหาศาล หากใช้ผิดวิธี โทษก็อนันต์เช่นกัน
แต่เมื่อข้อมูลข่าวสารรวดเร็วขึ้น กว้างขวางมากขึ้น ข้อมูลก็เริ่มทยอยถูกเปิดมาให้คนทั่วไปได้พิจารณา และไตร่ตรองให้ดีว่า หนทางที่ถูกเสนอมานับตั้งแต่อดีต และความเชื่อเดิมที่มีมานั้น ถูกหรือผิด และการวางใจเอาชีวิตไปฝากไว้กับผู้อื่น โดยเชื่อมั่นเพียงแค่เห็นเครื่องมือ และใบรับรองนั้นสมควรหรือ
เราจึงอยากแนะนำหนังสือเล่มหนึ่ง ที่คนควรจะอ่าน เพื่อใช้ในการตัดสินใจ เมื่อยามที่ตัวเองประสพโรคภัย และกำลังหาหนทางวิธีเพื่อแก้ไข อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า สิ่งที่กำลังคิด ทางที่เลือก เหมาะสมกับตนหรือไม่
หนังสือ ชื่อ "อย่าให้คุณหมอฆ่าคุณ"
เขียนโดยแพทย์ประจำภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอ ผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณ ของประเทศญี่ปุ่น
เป้าหมายของคุณหมอคือ ให้คุณห่างไกลยาและการรักษาที่ไม่จำเป็น
เนื้อหาที่น่าสนใจอาทิเช่น ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งในญี่ปุ่น หากปล่อยเนื้อร้ายทิงไว้ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างแข็งแรงมากกว่า การเข้ารับการรักษา
ยาต้านมะเร็งหรือเคมีบำบัด (คีโม) เป็นพิษที่ร้ายแรง มีฤทธิ์แค่ "ทำก้อนเนื้อร้ายให้เล็กลงชั่วคราว" ไม่ได้ช่วยรักษาหรือมีประโยชน์ในการยื้อชีวิตออกไปแต่อย่างใด
มีการปรับมาตรฐานค่าความดันโลหิตสูงสุดจาก ๑๖๐ ลงมาเป็น ๑๔๐ ในปี ๒๐๐๐ และเป็น ๑๓๐ ในปี ๒๐๐๘ ทำให้อยู่ดีๆ คนจำนวนมากกลายเป็นโรคความดันทันที
มะเร็งไม่สร้างความเจ็บปวดแม้จะปล่อยไว้ก็มีไม่น้อย เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งมดลูก ...
ก้อนมะเร็งมีทั้งของจริงของปลอม แต่ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม การรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำคีโม จะเปล่าประโยชน์เสีย ๙๐ เปอร์เซ็นต์
ก้อนมะเร็งไม่ได้ทำให้เราต้องทุกข์ทรมานจนกระทั่งเสียชีวิตหรอก แต่สาเหตุคือ "กระบวนการรักษามะเร็ง" ต่างหาก
ยาลดคลอเลสตรอรอลที่ขายกันทั่วไป มีโอกาสป้องกันโรคได้น้อยกว่าการถูกล็อตเตอรี่เสียอีก และมีการปรับค่าลงเช่นเดียวกับความดัน จนคนอเมริกา ๘ ใน ๙ คนกลายเป็นผู้มีไขมันเกิน ทำให้เกิดการประท้วงกันอย่างกว้างขวาง
การฉายรังสีหรือซีทีแสกน แม้นแต่ผู้ที่มีร่างกายดี ก็เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง
หากไม่รักษามะเร็ง เราก็สามารถควบคุมความเจ็บปวดได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด สติอยู่ครบถ้วน ไม่มีการเลอะเลือนจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต และเมื่อเทียบกับผู้ที่ทำการรักษา หัวสมองจะปลอดโปร่งกว่ามาก และไม่สูญเสียกิจกรรมหลายๆอย่าง เช่น การเดินเล่น ด้วย
ผู้เขียน Kondo Makoto แปลโดย ชุติมน ยงมานิตชัย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนเสมอว่า อย่าตื่นตูม กลัวคำโฆษณา เอาคำว่าตายมาแปะ ก็วิ่งหาหมอหายากัน จนเกินเหตุ พาชีวิตหายนะไป ไม่ใช่ด้วยโรคที่เป็น หากแต่ผลแห่งการรักษานั่นเอง
คำส่งท้ายที่มักใช้เตือนสติ ให้คิดพิจารณา ว่า บรรพบุรุษของเราท่าน ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มียาเม็ด ไม่มีหมอ เครื่องมือที่ทันสมัยเฉกเช่นปัจจุบัน แล้วพวกเขาสืบต่อลูกหลานกันมาอย่างไร ได้จนถึงวันนี้
สารพันจากโรคที่เป็นเพิ่มขึ้นมาในตัวเรา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มีที่มาจากการเลี่ยงกรรม ไม่ยอมรับความเจ็บปวด แม้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม มันจึงมีบทเริ่มจากการทานยาแก้ปวด นั่นเอง กลายมาเป็นผลข้างเคียงลูกโซ่ ก่อให้เกิดโรคใหม่ ไปเรื่อยๆ ...
คำที่หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้งไว้ให้คิด ถ้ายารักษาโรคได้จริง ป่านนี้โรงงานเจ๊งไปหมดแล้ว เพราะคนทานมีแต่ลด นี่กลับกัน โรงงานขยายเอาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผลิตไม่ทัน คนกินคนเก่าก็ยังอยู่ คนใหม่ก็เพิ่มขึ้น
วิชาการแพทย์ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า มีประโยชน์ หากแต่ใช้ยามประสพอุบัติเหตุแห่งชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่พร่ำเพรื่อ กลายเป็นปัจจัยห้าของชีวิต กินกันยิ่งกว่าอาหาร ๓ มื้ออีก
ประเทศชั้นนำผู้ผลิตยาส่งออกทั่วโลก จึงออกกฎหมายห้ามประชาชนของตน ซ์้อยาเคมีเกินความจำเป็น
เมื่อข้อมูลข่าวสารเปิดเผย แพร่กระจายมาก การถูกหลอก เสมือนให้กินน้ำมันพืชในการทำอาหารแทนน้ำมันสัตว์ ด้วยอ้างวิชาการมัวๆ เพราะเหตุอุตสาหกรรมสีตกต่ำ น้ำมันพืชที่ใช้ทำสีขายไม่ได้ ก็มาหลอกให้เลิกทานน้ำมันหมู มาทานน้ำมันพืชแทน วันนี้ก็ประจักษ์ว่า น้ำมันที่ใช้ทำอาหารดีที่สุด ไม่มีอะไรเกินน้ำมันหมู เสมือนที่บรรพบุรุษเราท่านทำกินกันมาตั้งแต่ในอดีตนั่นแล
ก็ถ้ายารักษาโรคมันมีจริง ประเทศผู้ผลิต ก็คงไม่มีคนตายด้วยโรคนั้นๆเป็นแน่แท้ ใครเล่าจะไม่ช่วยพวกตนก่อน ... แต่นี่เห็นตายกันโครมๆ
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ที่ชอบกับที่ใช่
ภาพที่ใครๆก็ชอบ นั่นคือ ภาพลักษณ์ที่ดูดี กิริยาที่ดูสุภาพ อ่อนหวาน เรียบร้อย และที่สำคัญที่สุดคือความสะดวกสบาย
จึงไม่แปลกที่ว่า ทำไมศาสนสถานที่มีอยู่กลาดเกลื่อนในโลกนี้ จึงพยายามสร้างให้ใหญ่โต รโหฐาน น่าเชื่อถือ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องน้ำสะอาด ห้องปฏิบัติศาสนพิธี ลุกนั่งสบาย มีพัดลม เครื่องปรับอากาศ มีบรรยากาศที่มองแล้วสบายตาสบายใจ
และก็ไม่แปลก ที่สถานที่เหล่านั้น จะมีคนแห่แหนกันไปเรือนแสน มืดฟ้ามัวดิน ยิ่งถ้ามีคำร่ำลือว่า ขออะไรก็ได้ ... คนถล่มทลาย
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ชอบ ถูกจริตนิสัยของตน
มองภาพให้เล็กลง เมื่อพิจารณาว่า หมอ ก็คือ พระเจ้าองค์หนึ่ง ที่สร้างความเชื่อให้กับคน และหมอใดสร้างความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มาก คนก็ไปพึ่งพาอาศัยมากไม่ต่างกับศาสนสถานนั่นเอง
เราท่านจึงเห็นว่า ด้วยความชอบความเห็นของคนป่วยเป็นเช่นไร หมอย่อมรู้ดี ดังนั้น สถานที่จึงมีความสำคัญ ต้องใหญ่โตรโหฐาน โอ่อ่าเสมือนศาสนสถานฉันใดฉันนั้น
ยิ่งมีเครื่องมือทางการแพทย์ก้าวล้ำเพียงใด ยิงสร้างความขลัง ความน่าเชื่อถือของสถานที่ ให้คนแห่แหนกันเข้ามาเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นความจริง ให้เราท่านได้พิจารณา ไม่ว่าศาสนสถาน หรือ พระเจ้าที่เป็นหมอ สุดท้าย ความจริงจะปรากฎว่ามีอิทธฤทธิ์ ปาฏิหารย์ มีความสามารถหรือไม่เพียงใด ก็ต่อเมื่อเจอของจริง นั่นคือ ทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิด กลายเป็นโรคร้าย ที่กำลังจะมาคร่าชีวิต
ทุกข์นี้เป็นของจริง อยู่กับตนทุกเวลานาที และเป็นที่หวังในการไปหาพระเจ้า ไม่ว่าที่ศาสนสถาน หรือ โรงพยาบาล ก็มุ่งหวังให้ทุกข์อันนี้หายไปทั้งหมดทั้งมวล
แต่ผลที่ประจักษ์กับตน เป็นเช่นไร ย่อมรู้แก่ใจตนดี ว่า สิ่งที่ตนหวังพึ่งนั้น เป็นสิ่งชอบหรือสิ่งที่ใช่
กรรมการหลายท่าน กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ทำไมจึงไม่สร้างอาคารดีๆ สะดวกสบาย ให้คนที่มาจะได้รู้สึกดี ไม่ลำบาก นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อาคารแบบนั้น ช่วยให้สบาย แต่ไม่ช่วยชีวิตคน
แลยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ช่วยชีวิต หรือศักดิ์สิทธิ์ ควรมีที่มาจากการให การเสียสละ ไม่จำเป็นต้องดูรโหฐาน ไม่จำเป็นต้องสะดวกสบาย หากแต่เมื่อผู้ใดมาถึง แล้วทำได้ ผลคือ ผู้นั้นรอด
อาคารในแต่ละยุคและสถานที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักมีบุคคลต่างๆ มาร่วมแรงร่วมใจ ตามความสามารถที่มี ทำในสิ่งที่ตนทำได้ รวมกันจนกลายเป็นสถานที่และอาคารขึ้นมา
อาทิ ศาลาขนมไทย ที่เป็นจุดเริ่มของไทยกรุณา อันเป็นที่ตั้งศาลาขนมไทย ที่ถูกรื้อไป เสาไม้ก็มาจากป้าอ๋า ที่นำไม้จากบ้านตนที่รื้อออกมา มาถวาย ไม้อื่นๆ ก็จากบ้านป้าป้อม พี่สาวของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่รื้อจากคลองเตย คนก่อสร้าง ก็ได้แรงงานจากคนป่วยยาเสพติด โครงเหล็ก ทั้งอาคาร ก็ได้ช่างเชื่อมมือดีจากอิตัลไทย ที่เป็นเอดส์ การออกแบบก็ได้มาจากลุงวิทย์ ที่ทำงานออกแบบให้วังของกษัตริย์ตะวันออกกลาง ช่างสีก็ได้จากคนที่มาเลิกเหล้า ... เป็นต้น
ภาพแบบนี้ เราท่านก็ยังสามารถพบเห็นได้จนปัจจุบัน และหลายเรื่องหลายราวอาจเป็นตำนานเล่าขานขอคนในอดีต อาทิ คู่แต่งงานที่แต่งงานกันมาหลายปี ไม่มีบุตร หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้มาช่วยกันสร้างอาคารที่ใช้สวดมนต์กันอยู่ทุกวันนี้ มาทำตั้งแต่ยังไม่มี จนแฟนตั้งครรภ์ และทำจนท้องแก่ และคลอดลูก ก็มีเป็นประวัติศาสตร์มาแล้ว
วันนี้ เราท่านก็อาจจะได้ยิน คนป่วยมะเร็งกลุ่มหนึ่ง ที่บางคนอาจจะอาการหนักอยู่ จับกลุ่มกันอาสา ไปพัฒนาที่ดิน ที่ลพบุรี จนกลายมาเป็นอาคารสวดมนต์ จากผืนดินรกชัด กลายมาเป็นสวนที่ใช้ปลูกผลไม้ และต้นสมุนไพร
อาคารอาจไม่สวยงาม ทันสมัย ห้องน้ำอาจไม่เริดหรู เท่าปั๊มน้ำมันบางปั๊ม แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า อันนี้แหละใช่ สถานที่ที่ให้ชีวิตคน
ต้นสายธารของสิ่งที่ชอบ มาจากความคิดของคนโลภ แต่ต้นสายธารของสิ่งที่ใช่ มาจากเมตตาธรรม คุณธรรม ความเสียสละ
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้แก่กรรมการ นั่นคือ ก็ในเมื่อสถานที่นี้จะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาจากความเสียสละ เดินในรอยธรรมพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็มาพิสูจน์กันว่า เมื่อทางเลือกนี้ถูกเสนอ จะมีมนุษย์แหแหนกันมาไหม
แล้วเลือกเอา ไปหาที่ชอบ แล้วชีวิตก็ล่มสลายไป หรือจะมาหาสิ่งที่ใช่ เพื่อกอบกู้ชีวิต
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า รอยพระภูมีที่ทำไว้ให้ ในการหาสิ่งที่ใช่ นั่นคือ ทิ้งเวียงวัง ความสะดวกสบาย ทิ้งรถ ทิ้งม้า มาเดิน ทิ้งคนโฑทอง มากินน้ำรอยตีนควาย ทิ้งการพึ่งพาผู้อื่น มาอาศัยตนพึ่งตน
จึงเป็นเคล็ดอันหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ ว่าผู้ที่จะประสพผล ก็ต้องอาศัยตนของตน ดีไปกว่านั้น ก็เป็นฝ่ายให้ นั่นคือ พระเวสสันด จะมาทำตนเป็นผู้รับ แบบมือขอฝ่ายเดียวนั้นไม่ควร เพราะนั่นคือชูชก จุดจบก็มีแต่ท้องแตกตาย ไม่มีทางสำเร็จผล
คนนั้นช่วยกันปลูก คนนั้นช่วยกันเก็บ คนนั้นช่วยกันทำสมุนไพร คนนั้นช่วยกันหา แล้วเราท่านเล่า จะทำตนเป็นชูชก รอทานอย่างเดียว แล้วหวังผล ยิ่งไปกว่านั้น นั่งติอย่างเดียว ทำไมช้าจัง ทำไมให้น้อยจัง ทำไมไม่ทำสถานที่ให้ดีๆ ทำไมไม่รีบแจก จะได้กลับ ไม่ต้องรอใหเสียเวลา ... บางคนก็เลยไปโน่น ดึงเอาไว้จะได้ขายของใช่ไหม ได้เงินเยอะๆ
เราจึงอยากเตือนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศตน ปรากฎโฉม หลายคนอาจปรับตัวไม่ทัน เราท่านอาจจะไปเจอพระพุทธเจ้าเช่นดั่งพระกัสสปะ ที่เป็นชาวกะเหรี่ยง ชนชาติพม่า เยี่ยงในอดีตอีกครั้ง ที่มีวาจาดุดัน ไม่นุมนวลเหมือนพระโคดม อีกครั้งก็ได้ เพราะท่านไม่สนคนชอบ แต่สนคนเชื่อแล้วทำตาม ใครรับไม่ได้ก็ถอยไป
สิ่งที่ใช่ จึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงรูปโฉม สร้างภาพ ให้ชอบ แต่ก็ไม่เกินเลยจนรับไม่ได้ หากแต่พิสูจน์ความใช่ที่ผลงาน ... ใครเชื่อ พิจารณา แล้วทำตาม หากไม่ใช่พรหมลิขิตแล้วไซร้ รอดทุกตัวคน
ตอนนี้นาทีทอง เพราะสถานที่กำลังถุกพัฒนา เสมือนกำลังปลูกมะม่วง เมื่อเสร็จ ก็เสมือนมะม่วงออกลูก เราท่านจะทำตนเป็นคนปลูก หรือ จะเป็นคนรอกิน แล้วรอผลอิ่มท้อง หรือ อิ่มบุญ ในผลมะม่วงที่ให้สุขแก่ผู้ทาน
จึงไม่แปลกที่ว่า ทำไมศาสนสถานที่มีอยู่กลาดเกลื่อนในโลกนี้ จึงพยายามสร้างให้ใหญ่โต รโหฐาน น่าเชื่อถือ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ห้องน้ำสะอาด ห้องปฏิบัติศาสนพิธี ลุกนั่งสบาย มีพัดลม เครื่องปรับอากาศ มีบรรยากาศที่มองแล้วสบายตาสบายใจ
และก็ไม่แปลก ที่สถานที่เหล่านั้น จะมีคนแห่แหนกันไปเรือนแสน มืดฟ้ามัวดิน ยิ่งถ้ามีคำร่ำลือว่า ขออะไรก็ได้ ... คนถล่มทลาย
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ชอบ ถูกจริตนิสัยของตน
มองภาพให้เล็กลง เมื่อพิจารณาว่า หมอ ก็คือ พระเจ้าองค์หนึ่ง ที่สร้างความเชื่อให้กับคน และหมอใดสร้างความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มาก คนก็ไปพึ่งพาอาศัยมากไม่ต่างกับศาสนสถานนั่นเอง
เราท่านจึงเห็นว่า ด้วยความชอบความเห็นของคนป่วยเป็นเช่นไร หมอย่อมรู้ดี ดังนั้น สถานที่จึงมีความสำคัญ ต้องใหญ่โตรโหฐาน โอ่อ่าเสมือนศาสนสถานฉันใดฉันนั้น
ยิ่งมีเครื่องมือทางการแพทย์ก้าวล้ำเพียงใด ยิงสร้างความขลัง ความน่าเชื่อถือของสถานที่ ให้คนแห่แหนกันเข้ามาเท่านั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นความจริง ให้เราท่านได้พิจารณา ไม่ว่าศาสนสถาน หรือ พระเจ้าที่เป็นหมอ สุดท้าย ความจริงจะปรากฎว่ามีอิทธฤทธิ์ ปาฏิหารย์ มีความสามารถหรือไม่เพียงใด ก็ต่อเมื่อเจอของจริง นั่นคือ ทุกข์ โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิด กลายเป็นโรคร้าย ที่กำลังจะมาคร่าชีวิต
ทุกข์นี้เป็นของจริง อยู่กับตนทุกเวลานาที และเป็นที่หวังในการไปหาพระเจ้า ไม่ว่าที่ศาสนสถาน หรือ โรงพยาบาล ก็มุ่งหวังให้ทุกข์อันนี้หายไปทั้งหมดทั้งมวล
แต่ผลที่ประจักษ์กับตน เป็นเช่นไร ย่อมรู้แก่ใจตนดี ว่า สิ่งที่ตนหวังพึ่งนั้น เป็นสิ่งชอบหรือสิ่งที่ใช่
กรรมการหลายท่าน กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ทำไมจึงไม่สร้างอาคารดีๆ สะดวกสบาย ให้คนที่มาจะได้รู้สึกดี ไม่ลำบาก นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า อาคารแบบนั้น ช่วยให้สบาย แต่ไม่ช่วยชีวิตคน
แลยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ช่วยชีวิต หรือศักดิ์สิทธิ์ ควรมีที่มาจากการให การเสียสละ ไม่จำเป็นต้องดูรโหฐาน ไม่จำเป็นต้องสะดวกสบาย หากแต่เมื่อผู้ใดมาถึง แล้วทำได้ ผลคือ ผู้นั้นรอด
อาคารในแต่ละยุคและสถานที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักมีบุคคลต่างๆ มาร่วมแรงร่วมใจ ตามความสามารถที่มี ทำในสิ่งที่ตนทำได้ รวมกันจนกลายเป็นสถานที่และอาคารขึ้นมา
อาทิ ศาลาขนมไทย ที่เป็นจุดเริ่มของไทยกรุณา อันเป็นที่ตั้งศาลาขนมไทย ที่ถูกรื้อไป เสาไม้ก็มาจากป้าอ๋า ที่นำไม้จากบ้านตนที่รื้อออกมา มาถวาย ไม้อื่นๆ ก็จากบ้านป้าป้อม พี่สาวของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่รื้อจากคลองเตย คนก่อสร้าง ก็ได้แรงงานจากคนป่วยยาเสพติด โครงเหล็ก ทั้งอาคาร ก็ได้ช่างเชื่อมมือดีจากอิตัลไทย ที่เป็นเอดส์ การออกแบบก็ได้มาจากลุงวิทย์ ที่ทำงานออกแบบให้วังของกษัตริย์ตะวันออกกลาง ช่างสีก็ได้จากคนที่มาเลิกเหล้า ... เป็นต้น
ภาพแบบนี้ เราท่านก็ยังสามารถพบเห็นได้จนปัจจุบัน และหลายเรื่องหลายราวอาจเป็นตำนานเล่าขานขอคนในอดีต อาทิ คู่แต่งงานที่แต่งงานกันมาหลายปี ไม่มีบุตร หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้มาช่วยกันสร้างอาคารที่ใช้สวดมนต์กันอยู่ทุกวันนี้ มาทำตั้งแต่ยังไม่มี จนแฟนตั้งครรภ์ และทำจนท้องแก่ และคลอดลูก ก็มีเป็นประวัติศาสตร์มาแล้ว
วันนี้ เราท่านก็อาจจะได้ยิน คนป่วยมะเร็งกลุ่มหนึ่ง ที่บางคนอาจจะอาการหนักอยู่ จับกลุ่มกันอาสา ไปพัฒนาที่ดิน ที่ลพบุรี จนกลายมาเป็นอาคารสวดมนต์ จากผืนดินรกชัด กลายมาเป็นสวนที่ใช้ปลูกผลไม้ และต้นสมุนไพร
อาคารอาจไม่สวยงาม ทันสมัย ห้องน้ำอาจไม่เริดหรู เท่าปั๊มน้ำมันบางปั๊ม แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า อันนี้แหละใช่ สถานที่ที่ให้ชีวิตคน
ต้นสายธารของสิ่งที่ชอบ มาจากความคิดของคนโลภ แต่ต้นสายธารของสิ่งที่ใช่ มาจากเมตตาธรรม คุณธรรม ความเสียสละ
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้แก่กรรมการ นั่นคือ ก็ในเมื่อสถานที่นี้จะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มาจากความเสียสละ เดินในรอยธรรมพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็มาพิสูจน์กันว่า เมื่อทางเลือกนี้ถูกเสนอ จะมีมนุษย์แหแหนกันมาไหม
แล้วเลือกเอา ไปหาที่ชอบ แล้วชีวิตก็ล่มสลายไป หรือจะมาหาสิ่งที่ใช่ เพื่อกอบกู้ชีวิต
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า รอยพระภูมีที่ทำไว้ให้ ในการหาสิ่งที่ใช่ นั่นคือ ทิ้งเวียงวัง ความสะดวกสบาย ทิ้งรถ ทิ้งม้า มาเดิน ทิ้งคนโฑทอง มากินน้ำรอยตีนควาย ทิ้งการพึ่งพาผู้อื่น มาอาศัยตนพึ่งตน
จึงเป็นเคล็ดอันหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ ว่าผู้ที่จะประสพผล ก็ต้องอาศัยตนของตน ดีไปกว่านั้น ก็เป็นฝ่ายให้ นั่นคือ พระเวสสันด จะมาทำตนเป็นผู้รับ แบบมือขอฝ่ายเดียวนั้นไม่ควร เพราะนั่นคือชูชก จุดจบก็มีแต่ท้องแตกตาย ไม่มีทางสำเร็จผล
คนนั้นช่วยกันปลูก คนนั้นช่วยกันเก็บ คนนั้นช่วยกันทำสมุนไพร คนนั้นช่วยกันหา แล้วเราท่านเล่า จะทำตนเป็นชูชก รอทานอย่างเดียว แล้วหวังผล ยิ่งไปกว่านั้น นั่งติอย่างเดียว ทำไมช้าจัง ทำไมให้น้อยจัง ทำไมไม่ทำสถานที่ให้ดีๆ ทำไมไม่รีบแจก จะได้กลับ ไม่ต้องรอใหเสียเวลา ... บางคนก็เลยไปโน่น ดึงเอาไว้จะได้ขายของใช่ไหม ได้เงินเยอะๆ
เราจึงอยากเตือนว่า เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศตน ปรากฎโฉม หลายคนอาจปรับตัวไม่ทัน เราท่านอาจจะไปเจอพระพุทธเจ้าเช่นดั่งพระกัสสปะ ที่เป็นชาวกะเหรี่ยง ชนชาติพม่า เยี่ยงในอดีตอีกครั้ง ที่มีวาจาดุดัน ไม่นุมนวลเหมือนพระโคดม อีกครั้งก็ได้ เพราะท่านไม่สนคนชอบ แต่สนคนเชื่อแล้วทำตาม ใครรับไม่ได้ก็ถอยไป
สิ่งที่ใช่ จึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงรูปโฉม สร้างภาพ ให้ชอบ แต่ก็ไม่เกินเลยจนรับไม่ได้ หากแต่พิสูจน์ความใช่ที่ผลงาน ... ใครเชื่อ พิจารณา แล้วทำตาม หากไม่ใช่พรหมลิขิตแล้วไซร้ รอดทุกตัวคน
ตอนนี้นาทีทอง เพราะสถานที่กำลังถุกพัฒนา เสมือนกำลังปลูกมะม่วง เมื่อเสร็จ ก็เสมือนมะม่วงออกลูก เราท่านจะทำตนเป็นคนปลูก หรือ จะเป็นคนรอกิน แล้วรอผลอิ่มท้อง หรือ อิ่มบุญ ในผลมะม่วงที่ให้สุขแก่ผู้ทาน
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ความอยากกับความจริง
เชื่อได้ว่า คนที่ตั้งใจบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ทุกคนล้วนอยากเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
หากแต่เมื่อบวชไปนานๆ เรียกว่า ทำตนจนมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส ก็ย่อมต้องมีกรรมดีเป็นของตน พอสมควร
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดตามมานั่นคือ การหลั่งไหลมาของลูกศิษย์ และสิ่งของ
เจอพระไตรปิฏก ว่าญาติโยมถวายของสิ่งใด ก็ต้องรับ ไม่รับไม่ได้
ท้ายที่สุด ก็ติดกับความเมตตา ก็รับไว้
จึงติดหล่ม ของที่รับมาทับตัวเอง กลายเป็นเราท่านต้องเสียพระดีๆ ที่เป็นพระปฏิบัติ ไปจนมากมาย
ความอยาก หรือ ความชอบของคน จึงมักกล่าวว่า พระที่ดี เห็นคนทุกข์ ก็ต้องช่วยทุกคน และยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเมตตามาก ก็หมายความว่า จะขออะไรก็ให้ ไม่ปฏิเสธฃ
เราท่านจึงเห็นพระเจ้าทันใจ เห็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มนุษย์สร้างไว้ขอ เต็มไปหมดทั่วโลก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง แม้นมีเมตตามหาศาล แต่จะไม่ช่วยใครเลยสักคน จะมีก็แต่เพียงคำสอน ให้ไปปฏิบัติ อยากได้ ต้องทำเอง
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณา ธรรมหมวดสมุนไพร จึงควรพิจารณาว่า สมุนไพรมีไว้เพื่ออะไร
หลายคนกล่าวอ้าง สมุนไพรมีไว้เพื่อรักษาโรค หากเป็นเช่นนั้นจริง คนเป็นโรค ทานสมุนไพรก็ต้องย่อมหายกันทั่วทุกตัวคน
ธรรมหมวดสมุนไพร หาใช่มีไว้เพื่อการกรักษาโรคไม่ หากแต่การหายโรคนั้น เป็นปลายเหตุ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นของแถมที่ศาสน์ให้ แก่ผู้ที่อยากทำ และทำได้
ความเป็นจริงของการหายโรค จึงเกิดจากการเรียนรู้ พิจารณา แล้วทำ ตามธรรมคำสอน ลดนิสัยตน แล้วนำนิสัยพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่าง มานำตน มากน้อย ตามแต่จะทำได้ ต่างหาก
แลสมุนไพรก็เสมือน ผู้ช่วย ทำให้เราท่าน มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยตนให้ลุล่วง ผลแห่งการปฏิบัติ นั่นเอง ที่ช่วยตน
ความจริงที่ปรากฎ สมุนไพรของศาสน์ จึงกล่าวได้ว่า มีวิญญาณ มีฤทธิ์ ตามตัวกระทำของผู้ทาน จึงเป็นได้เสมือนไร้ค่า ทานแล้วผ่านเลย ไม่เกิดผลอะไรเลย กินแล้วก็ถ่ายออก ไปจนถึงกินแล้วเสมือนเกิดปาฏิหารย์ มิเพียงหายโรค หากแต่เสมือนปฏิวัติร่างกายของผู้ทาน กลายสภาพเสมือนคนหนุ่มสาว ที่มีสภาพร่างกายแข็งแกร่ง หูตา แจ่มใส สติปัญญาเฉียบแหลม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ให้ ที่ซึ่งมีเวลาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จำกัด เป็นผู้มีปัญญา จึงมักไม่ยอมเสียเวลากับผุ้ทีไม่อยากทำตน เพื่อช่วยตน เป็นแน่แท้
คำกล่าวอ้างว่า พระภูมี ทรงเป็นผู้มีเมตตามหาศาล แท้จริงแล้ว ความเมตตานั้น มีให้เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเท่านั้นเอง ดั่งคำกล่าว พระภูมีจะทรงสอนเฉพาะผู้ที่สามารฝึกได้เท่านั้นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า สาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทำไมจึงมีน้อย แค่เรือนแสนเท่านั้นเอง
เมื่อธรรมสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของธรรมของพระภูมี ย่อมต้องเดินรอยตามเป็นแน่แท้ จึงอยากเตือนว่า ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้
ในอนาคตอันใกล้ จะพึงเห็นว่า ผู้ที่จะเข้าถึงหลวงพ่อนิพนธ์ จะต้องถูกคัดสรร ว่ามีคุณสมบัติตามพระภูมี หรือ ฟ้าดินบัญญัติหรือไม่ เป็นแน่แท้
แลผู้ใดเข้าถึง ฟัง พิจารณา แล้วทำตาม ผลแห่งการปฏิบัติ ย่อมช่วยตนให้พ้น ได้พัฒนาวิญญาณ และได้การหายโรคเป็นของแถมอย่างแน่นอน
เราจึงอยากเตือนว่า ศาสน์ไม่ใช่ไก่รองบ่อน ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่สนองความอยากของเราท่านแน่ คนที่คิดว่าตนฉลาด จะมาเอาแต่สมุนไพร ก็ไม่ว่ากัน หากแต่จะหวังถึงได้สมบัติของศาสนา คือมนุษย์สมบัติ อันหมายถึง ความไม่มีโรค ที่ซึ่งเป็นลาภอันประเสริฐ สามารถพาติดตัวไปยังภพหน้าได้นั้น อย่าหมายเลย
แลวันนี้ ก็เลยวันที่จะต้องคอยจ้ำจี้ จ้ำไช ในการควบคุมให้ปฏิบัติแล้ว ปล่อยกันตามอิสระ เข้าทำนอง ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
ใครที่ทานแล้วไม่ได้ผล อย่าโทษอื่นใดเลย เพราะท่านไม่ช่วยตน นั่นแล
ประเภท เห็นคนอื่นหาย จึงตามมา แล้วก็หวังให้ช่วยตน ให้หายบ้าง แต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เปลี่ยนนิสัยแม้นแต่น้อยนิด ... ทานสมุนไพรหมดเป็นถังๆ ความฝันก็ไม่มีทางเป็นความจริง แม้นจะทานสมุนไพรที่มาจาก หม้อเดียวกัน ถ้วยเดียวกัน กับคนที่หาย ก็ตามที
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า มิต้องแปลกใจว่า ที่กล่าวอย่างมั่นใจว่า ถ้าเป็นโรคตาย โลกนี้ไม่มียาใดรักษาได้อย่างแน่นอน และถ้าสมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ยังช่วยไม่ได้แล้วไซร้ สิ่งอื่นใดในโลก ยิ่งไม่มีค่าในการช่วยตนเลย
หากแต่เมื่อบวชไปนานๆ เรียกว่า ทำตนจนมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส ก็ย่อมต้องมีกรรมดีเป็นของตน พอสมควร
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดตามมานั่นคือ การหลั่งไหลมาของลูกศิษย์ และสิ่งของ
เจอพระไตรปิฏก ว่าญาติโยมถวายของสิ่งใด ก็ต้องรับ ไม่รับไม่ได้
ท้ายที่สุด ก็ติดกับความเมตตา ก็รับไว้
จึงติดหล่ม ของที่รับมาทับตัวเอง กลายเป็นเราท่านต้องเสียพระดีๆ ที่เป็นพระปฏิบัติ ไปจนมากมาย
ความอยาก หรือ ความชอบของคน จึงมักกล่าวว่า พระที่ดี เห็นคนทุกข์ ก็ต้องช่วยทุกคน และยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเมตตามาก ก็หมายความว่า จะขออะไรก็ให้ ไม่ปฏิเสธฃ
เราท่านจึงเห็นพระเจ้าทันใจ เห็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มนุษย์สร้างไว้ขอ เต็มไปหมดทั่วโลก
หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง แม้นมีเมตตามหาศาล แต่จะไม่ช่วยใครเลยสักคน จะมีก็แต่เพียงคำสอน ให้ไปปฏิบัติ อยากได้ ต้องทำเอง
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณา ธรรมหมวดสมุนไพร จึงควรพิจารณาว่า สมุนไพรมีไว้เพื่ออะไร
หลายคนกล่าวอ้าง สมุนไพรมีไว้เพื่อรักษาโรค หากเป็นเช่นนั้นจริง คนเป็นโรค ทานสมุนไพรก็ต้องย่อมหายกันทั่วทุกตัวคน
ธรรมหมวดสมุนไพร หาใช่มีไว้เพื่อการกรักษาโรคไม่ หากแต่การหายโรคนั้น เป็นปลายเหตุ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นของแถมที่ศาสน์ให้ แก่ผู้ที่อยากทำ และทำได้
ความเป็นจริงของการหายโรค จึงเกิดจากการเรียนรู้ พิจารณา แล้วทำ ตามธรรมคำสอน ลดนิสัยตน แล้วนำนิสัยพระพุทธเจ้าบางสิ่งบางอย่าง มานำตน มากน้อย ตามแต่จะทำได้ ต่างหาก
แลสมุนไพรก็เสมือน ผู้ช่วย ทำให้เราท่าน มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยตนให้ลุล่วง ผลแห่งการปฏิบัติ นั่นเอง ที่ช่วยตน
ความจริงที่ปรากฎ สมุนไพรของศาสน์ จึงกล่าวได้ว่า มีวิญญาณ มีฤทธิ์ ตามตัวกระทำของผู้ทาน จึงเป็นได้เสมือนไร้ค่า ทานแล้วผ่านเลย ไม่เกิดผลอะไรเลย กินแล้วก็ถ่ายออก ไปจนถึงกินแล้วเสมือนเกิดปาฏิหารย์ มิเพียงหายโรค หากแต่เสมือนปฏิวัติร่างกายของผู้ทาน กลายสภาพเสมือนคนหนุ่มสาว ที่มีสภาพร่างกายแข็งแกร่ง หูตา แจ่มใส สติปัญญาเฉียบแหลม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ให้ ที่ซึ่งมีเวลาในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จำกัด เป็นผู้มีปัญญา จึงมักไม่ยอมเสียเวลากับผุ้ทีไม่อยากทำตน เพื่อช่วยตน เป็นแน่แท้
คำกล่าวอ้างว่า พระภูมี ทรงเป็นผู้มีเมตตามหาศาล แท้จริงแล้ว ความเมตตานั้น มีให้เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเท่านั้นเอง ดั่งคำกล่าว พระภูมีจะทรงสอนเฉพาะผู้ที่สามารฝึกได้เท่านั้นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า สาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทำไมจึงมีน้อย แค่เรือนแสนเท่านั้นเอง
เมื่อธรรมสมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งของธรรมของพระภูมี ย่อมต้องเดินรอยตามเป็นแน่แท้ จึงอยากเตือนว่า ไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้
ในอนาคตอันใกล้ จะพึงเห็นว่า ผู้ที่จะเข้าถึงหลวงพ่อนิพนธ์ จะต้องถูกคัดสรร ว่ามีคุณสมบัติตามพระภูมี หรือ ฟ้าดินบัญญัติหรือไม่ เป็นแน่แท้
แลผู้ใดเข้าถึง ฟัง พิจารณา แล้วทำตาม ผลแห่งการปฏิบัติ ย่อมช่วยตนให้พ้น ได้พัฒนาวิญญาณ และได้การหายโรคเป็นของแถมอย่างแน่นอน
เราจึงอยากเตือนว่า ศาสน์ไม่ใช่ไก่รองบ่อน ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่สนองความอยากของเราท่านแน่ คนที่คิดว่าตนฉลาด จะมาเอาแต่สมุนไพร ก็ไม่ว่ากัน หากแต่จะหวังถึงได้สมบัติของศาสนา คือมนุษย์สมบัติ อันหมายถึง ความไม่มีโรค ที่ซึ่งเป็นลาภอันประเสริฐ สามารถพาติดตัวไปยังภพหน้าได้นั้น อย่าหมายเลย
แลวันนี้ ก็เลยวันที่จะต้องคอยจ้ำจี้ จ้ำไช ในการควบคุมให้ปฏิบัติแล้ว ปล่อยกันตามอิสระ เข้าทำนอง ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น
ใครที่ทานแล้วไม่ได้ผล อย่าโทษอื่นใดเลย เพราะท่านไม่ช่วยตน นั่นแล
ประเภท เห็นคนอื่นหาย จึงตามมา แล้วก็หวังให้ช่วยตน ให้หายบ้าง แต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่เปลี่ยนนิสัยแม้นแต่น้อยนิด ... ทานสมุนไพรหมดเป็นถังๆ ความฝันก็ไม่มีทางเป็นความจริง แม้นจะทานสมุนไพรที่มาจาก หม้อเดียวกัน ถ้วยเดียวกัน กับคนที่หาย ก็ตามที
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า มิต้องแปลกใจว่า ที่กล่าวอย่างมั่นใจว่า ถ้าเป็นโรคตาย โลกนี้ไม่มียาใดรักษาได้อย่างแน่นอน และถ้าสมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ยังช่วยไม่ได้แล้วไซร้ สิ่งอื่นใดในโลก ยิ่งไม่มีค่าในการช่วยตนเลย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)