สิ่งที่เราสงสัย ว่าทำไม คนที่ไปทานสมุนไพรที่สวนสมุนไพร อ.บ่อพลอย ประสพความสำเร็จอย่างง่ายดาย รวดเร็ว ดูตัวอย่างพวกอัมพฤกต์ที่หายแล้วทิ้งไม้เท้า กันจนเป็นกองพะเนิน ไม่มีที่เก็บ จนพระต้องเผาทิ้ง
การไปทานสมุนไพรที่สวนสมุนไพร นั่นคือ การไปเพื่อทานสมุนไพรเขียวแก้วเดียว ยาไพลเหลือง ยาดำ คนละก้อน บางคนก็ได้ทานยามะพร้าว แล้วก็กลับบ้านมือเปล่า
คนที่มาแรกๆ มากันตอนเที่ยงคืน และคนกลุ่มสุดท้ายที่กลับบ้าน ก็ต้องมีสองทุ่ม
ดินแดนที่ทั้งพื้นที่ มีศาลาเพียงหลังเดียว แลเต็นท์ ที่กางเอาไว้สิบกว่าหลัง ไม่มีพัดลม น้ำกินน้ำใช้ก็มีน้อย แต่ที่มีมาก นั่นคือ ฝุ่น แดด ความร้อน เพราะอยู่ในเขตที่ประเทศไทยระบุว่า เป็นเขตที่แห้งแล้งที่สุด ทำกินปลูกพืชไร่ไม่ได้ ... พิสูจน์จากภาษีที่เก็บนั่นเอง ที่มีราคาต่ำสุดในประเทศ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า วินัยของพระพุทธเจ้าคือ วินัยทุกข์ แลอาศัยศรัทธาเป็นสะพาน ในการทำให้เกิดความเชื่อแล้วทำตาม
การไปทานสมุนไพร ที่สวนสมุนไพร ผู้ที่ไปแลสามารถยืนหยัดได้ ย่อมต้องมีมานะ อดทนสูง ต้องอาศัยศรัทธาอันมหาศาล จึงจะทำได้ เพราะสภาพแวดล้อม มันไม่เอื้ออำนวย ทำให้เหมือนใช้กรรม แลหากขาดขันติ อดทน แลศรัทธา ก็ย่อมทนไม่ได้เลิกราไป เสียก็มาก
ผลของสมุนไพร ที่มีต่อผู้ศรัทธาจึงมหาศาล
ย้อนกลับมายังการทานสมุนไพรที่ศาลา ที่นั่ง ที่นอน ที่กิน ก็มีมากหลายกว่า น้ำท่า อาหารการกิน ก็มีให้ ที่สำคัญ สมุนไพรที่ได้รับ เมื่อเทียบกับที่สวนสมุนไพรแล้ว มากมายหลายเท่านัก
แต่เราก็ได้ยินเสียง หลายคนบ่น เรื่องที่พักรอบ้าง เรื่องอาหารการกินบ้าง เรื่องน้ำบ้าง แลที่สำคัญ เรื่องร้อนบ้าง
แต่ที่ได้ยินมากสุด ก็น่าจะเป็นบ่นเรื่องกิริยา คำพูด ของเจ้าหน้าที่ แล้วก็เอาสิ่งเหล่านี้ มาน้อยใจ ใจน้อย แล้วก็ไม่มา เลิกราไป ก็เยอะ
เหตุแห่งการปิดสวนสมุนไพร เหตุหนึ่งก็คือ ที่นั่นมันทุกข์เกินไป ทำให้คนบางกลุ่มขาดโอกาส เพราะรับกับสภาพแวดล้อมไม่ไหว
แต่เมื่อมาเปิดที่ศาลา หรือ ชมราคนรักสุขภาพ หนีทุกข์อันนั้นมา แล้วจะปฏิเสธกรรมได้อย่างไร เมื่อไม่เอาทุกข์แบบนั้น กรรมก็แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ กับการนั่งฟัง ทุกกับการสวดมนต์ ทุกข์กับการเสียดสีกับเจ้าหน้าที่ แทน
อย่าน้อยใจเลย แลใจน้อยจนทิ้งหนทางช่วยตน ด้วยหวังว่า มาแล้วจะเจอ เจ้าหน้าที่แบบสายการบิน ยิ้มไหว้ พูดจาเพราะๆ ได้มานั่งสวดมนต์ เก้าอี้อย่างดี ห้องแอร์เย็นชั่ำ เหมือนวัดที่ตนชอบ ....
เมื่อกรรมทำให้เป็นทุกข์ เมื่อจะมาดับทุกข์ ก็เตรียมใจไว้เลย เมื่อเผชิญจิตจะได้ไม่ตก
กรรมการท่านหนึ่ง พูดกับเราว่า เมื่อกี้เข้าไปพบหลวงพ่อนิพนธ์ โดนท่านว่ามา ... เราก็ตอบกลับไปว่า หลวงพ่อยังว่าเรา แสดงว่าท่านเมตตาเรา จึงเตือนเราให้กลับมาอยู่ในร่องรอย หากท่านอุเบกขา ไม่ว่ากล่าวเมื่อเราทำผิด นั้นก็แสดงว่าแย่แล้ว
ผู้ที่จะเดินเส้นทางนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้ท่องไว้เลยว่า เรามีกรรม กรรมย่อมทำให้เราเป็นทุกข์ เมื่อจะหนีทุกข์ของกรรม มาเจอธรรมของพระภูมี ก็เปลี่ยนจากทุกข์จากกรรม มาเป็นทุกข์กับวินัยธรรมแทน ... เมื่อเจอสิ่งใด ก็รักษากรรมฐาน คือ ความสงบ ปลงซะ แล้วบอกตนของตนว่า "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"
ประเภทที่นั่งร้อนหน่อย ก็ไม่ทน หาความสงบไม่ได้ ต้องพัด อันนี้บอกได้เลยว่า เดินทางสายนี้ลำบาก โดนคำพูดหน่อย ก็ทนไม่ได้ คิดว่าตนไม่ผิด แต่หากไม่มีกรรม จะทำให้ผู้อื่นมาว่าเราได้โดยวิธีใด เหตุจึงมาจากกรรมของเรา
การมาที่นี่ ย้ำคำเดิมอีกครั้ง ในการดูผล ว่าแพ้หรือชนะ ก็ดูจากการรักษากรรมฐาน ความสงบ ตลอดระยะเวลา ในพีื้นที่แห่งนี้ได้หรือไม่นั่นเอง กรรมฐานอยู่ คนอยู่ กรรมฐานแตก ก็กลับไปหากรรม
จึงไม่แปลกใจที่คนไปสวนสมุนไพร ทนนั่งสงบในที่ร้อนๆ สวดมนต์ ฟังพระเทศน์ แล้วทานสมุนไพร เมื่อเขาทำได้ ทำไมจึงหายวันหายคืนเร็วนัก
ไปในวันหน้า ทุกข์จากการทานยากของสมุนไพร ก็หายไป ก็เล็งเห็นได้เลยว่า พฤติกรรมย่อมมีผลอันมหาศาลขึ้นอย่างแน่นอน เพราะทุกข์ด้วยหนทางอื่น มันปิดลง ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ วันนี้ไม่ควบคุมตน เข้ากระโจม รับยา ยังหาความสงบไม่ได้ การทานอาจมีผล เพราะยังมีทุกข์อื่นให้รับ วันใดที่ช่องอื่นปิดลงแล้วยังมีพฤติกรรมเดิมๆ .... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ทานเป็นแกลลอน หมดเป็นถังก็หาประโยชน์อันใดไม่ได้
หลายคนดีใจ ที่หลวงพ่อนิพนธ์สั่งเครื่องจักรเข้ามา ทำให้สมุนไพรทานง่ายขึ้น ... สำหรับเรา ก็หวั่นๆว่า หลายคนก็จะกระเด็นกระดอนออกไป แลหาผลจากการทานสมุนไพรไม่ได้แล้ว หากยังมีพฤติกรรมเฉกเช่นที่ทำในวันนี้
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557
หน้าม่าน
ช่วงนี้ใครมีเวลาว่างระหว่างนั่งรอ นอนรอ เบื่อๆ ก็เดินไปดูอาคารผู้ป่วยที่กำลังก่อสร้างเล่นๆ ก็ได้
วันใดที่อาคารแล้วเสร็จ นั่นคือ ม่านการเปิดรับผู้ป่วยเพื่อเข้าฟื้นฟูตนเอง จะเริ่มเปิดฉาก นั่นหมายถึง การเปิดเต็มตัว ของชมรมคนรักสุขภาพและมูลนิธิไทยกรุณา
ระหว่างนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็เริ่มสั่งเครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปสมุนไพร เพื่อการแปรรูป อันจะทำให้เมื่อม่านเปิดขึ้น ผู้ป่วยทุกท่านก็จะสามารถมีสมุนไพรที่ทานได้อย่างเต็มที่ ตลอดปี
ในขณะที่ม่านยังไม่เปิด ก็เหมือนลิเกในอดีต ต้องมีการแสดงขัดตาทัพในระหว่างนั่งรอม่านเปิด หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า จะทำให้คนมีความมั่นใจ ก็ต้องมีตัวอย่างให้เขาเห็นเสียก่อน เป็นธรรมดา เพื่อง่ายแก่การตัดสินใจในทางเลือกนี้
โครงการผู้ป่วยมะเร็งชุดแรก ที่จะเป็นการแสดงหน้าม่าน มาถึงวันนี้ ก็ได้สมาชิกที่มาลงชื่อพอประมาณ สามร้อยกว่าชีวิต คณะกรรมการก็ได้ทำการจัดเป็นกลุ่มๆ แล้วเสร็จ ส่งให้หลวงพ่อนิพนธ์พิจารณา
อีกไม่นาน คนไข้กลุ่มนี้ ก็ต้องเข้ารับการอบรม และนั่นหมายถึง การแสดงเจตนาในการฟื้นฟูตน ซึ่ีงหมายถึง การทำตามกติกาที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ในระหว่างการฟื้นฟูตน ผู้ใดที่ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ก็จักถูกคัดออก
คนกลุ่มนี้ ก็ถือว่าโชคดีและโชคร้ายในคราเดียวกัน แล้วแต่ว่าใครจะมอง โชคร้ายก็คือ ไม่สามารถทำตามใจตน เหมือนคนป่วยในอดีตได้แล้ว อยากมาก็มา ไม่อยากก็หยุด นั่นหมายถึงการตัดสิทธิ์การเป็นสมาชิกทันที หากไม่อยู่ในกติกาที่กำหนด หากแต่ความโชคดี นั้นก็คือ จะได้รับการอบรม ให้ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับ อาการของตนที่เป็น ได้รับการดูแลแบบตัวต่อตัว จากหลวงพ่อนิพนธ์ ซึ่งจะเป็นการจัดสมุนไพรให้โดยพิจารณาเป็นรายบุคคล แลที่สำคัญ จะได้สมุนไพรที่เรียกว่าช่วยสำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ เสริมขึ้นมาด้วย
อันหมายความว่า หากไม่ใช่โรคพรหมลิขิต ผู้ที่สามารถผ่านคอร์สนี้ได้ หลวงพ่อนิพนธ์คาดว่า น่าจะมี ๙ ใน ๑๐ อย่างแน่นอน
เมื่อผลของคนไข้ในคอร์สนี้ปรากฎเป็นรูปธรรม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของที่นี่ เพื่อเข้าสู่พุทธบัญญัติ เต็มรูปแบบ ไม่ใช่อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็หยุด พูดง่ายๆ ประตูเข้าเล็กลง แต่ประตูออกใหญ่ขึ้น หากแต่ผู้ที่เข้ามา นั่นคือ ผู้ที่อยากได้ลาภอันประเสริฐอย่างแท้จริง ผลก็คือ ในอนาคต หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า การฟื้นฟู จะรับคนน้อยลง หากแต่ผลที่ได้ คนหายโรคจะเพิ่มสัดส่วนขึ้น และใช้เวลาน้อยลง
บางที ยักษ์หน้าโบสถ์ ที่เราเคยกล่าวไว้ มันอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก
ในอดีตหลายท่านอาจจะรำคาญเจ้าหน้าที่ คอยบอก คอยเตือน อย่าคุย อย่า... แต่เมื่อเข้าระบบนี้ ท่านจะไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว หากแต่เสียงที่จะมาแทน นั่นคือ เสียงจากคณะกรรมการ เชิญท่านออกจากการเป็นสมาชิกไป
หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ถึงเวลาแล้ว เพราะคงไม่มีชาวนาคนไหนที่ทำนา เหนื่อยยาก แต่ไม่ได้ข้าวกลับมาเลย อดีตการทำเพื่อเรียกแขก มาพิสูจน์ว่าสิ่งนี้มีจริง และทำได้ มาวันนี้ แขกไม่จำเป็นแล้ว เลือกเฉพาะคนอยากได้ และมาร่วมมือกันทำ
นั่นหมายความว่า อดีตนั้นคือการซ้อม ใครไม่ยอมฝึก เมื่อถึงเวลาเอาจริง ก็ลำบากหน่อย
เมื่อม่านเปิด ภาพจริงของหลักพระภูมีจะปรากฎ คนไม่มาก แต่สงบ จริงจังในเรื่องของชีวิต ... แลที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อภัยพิบัติมา โรคคุกคามมนุษย์ คนเหล่านี้แหละ จะเดินเชิดไม่กลัวโรค เพราะรู้และสร้างหลุมหลบภัยให้ตนไว้แล้ว ... นั่นคือ รอยของพระภูมีนั่นเอง
ท่านใดอยากรู้ว่า ชื่อของตนมีไหม อยู่ในกลุ่มใด ก็ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ห้องยื่นบัตรได้ ส่วนโรคอื่นๆ ก็ต้องรออีกสักนิด
วันใดที่อาคารแล้วเสร็จ นั่นคือ ม่านการเปิดรับผู้ป่วยเพื่อเข้าฟื้นฟูตนเอง จะเริ่มเปิดฉาก นั่นหมายถึง การเปิดเต็มตัว ของชมรมคนรักสุขภาพและมูลนิธิไทยกรุณา
ระหว่างนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ก็เริ่มสั่งเครื่องจักรที่ใช้ในการแปรรูปสมุนไพร เพื่อการแปรรูป อันจะทำให้เมื่อม่านเปิดขึ้น ผู้ป่วยทุกท่านก็จะสามารถมีสมุนไพรที่ทานได้อย่างเต็มที่ ตลอดปี
ในขณะที่ม่านยังไม่เปิด ก็เหมือนลิเกในอดีต ต้องมีการแสดงขัดตาทัพในระหว่างนั่งรอม่านเปิด หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า จะทำให้คนมีความมั่นใจ ก็ต้องมีตัวอย่างให้เขาเห็นเสียก่อน เป็นธรรมดา เพื่อง่ายแก่การตัดสินใจในทางเลือกนี้
โครงการผู้ป่วยมะเร็งชุดแรก ที่จะเป็นการแสดงหน้าม่าน มาถึงวันนี้ ก็ได้สมาชิกที่มาลงชื่อพอประมาณ สามร้อยกว่าชีวิต คณะกรรมการก็ได้ทำการจัดเป็นกลุ่มๆ แล้วเสร็จ ส่งให้หลวงพ่อนิพนธ์พิจารณา
อีกไม่นาน คนไข้กลุ่มนี้ ก็ต้องเข้ารับการอบรม และนั่นหมายถึง การแสดงเจตนาในการฟื้นฟูตน ซึ่ีงหมายถึง การทำตามกติกาที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ในระหว่างการฟื้นฟูตน ผู้ใดที่ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ก็จักถูกคัดออก
คนกลุ่มนี้ ก็ถือว่าโชคดีและโชคร้ายในคราเดียวกัน แล้วแต่ว่าใครจะมอง โชคร้ายก็คือ ไม่สามารถทำตามใจตน เหมือนคนป่วยในอดีตได้แล้ว อยากมาก็มา ไม่อยากก็หยุด นั่นหมายถึงการตัดสิทธิ์การเป็นสมาชิกทันที หากไม่อยู่ในกติกาที่กำหนด หากแต่ความโชคดี นั้นก็คือ จะได้รับการอบรม ให้ความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับ อาการของตนที่เป็น ได้รับการดูแลแบบตัวต่อตัว จากหลวงพ่อนิพนธ์ ซึ่งจะเป็นการจัดสมุนไพรให้โดยพิจารณาเป็นรายบุคคล แลที่สำคัญ จะได้สมุนไพรที่เรียกว่าช่วยสำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ เสริมขึ้นมาด้วย
อันหมายความว่า หากไม่ใช่โรคพรหมลิขิต ผู้ที่สามารถผ่านคอร์สนี้ได้ หลวงพ่อนิพนธ์คาดว่า น่าจะมี ๙ ใน ๑๐ อย่างแน่นอน
เมื่อผลของคนไข้ในคอร์สนี้ปรากฎเป็นรูปธรรม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของที่นี่ เพื่อเข้าสู่พุทธบัญญัติ เต็มรูปแบบ ไม่ใช่อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็หยุด พูดง่ายๆ ประตูเข้าเล็กลง แต่ประตูออกใหญ่ขึ้น หากแต่ผู้ที่เข้ามา นั่นคือ ผู้ที่อยากได้ลาภอันประเสริฐอย่างแท้จริง ผลก็คือ ในอนาคต หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า การฟื้นฟู จะรับคนน้อยลง หากแต่ผลที่ได้ คนหายโรคจะเพิ่มสัดส่วนขึ้น และใช้เวลาน้อยลง
บางที ยักษ์หน้าโบสถ์ ที่เราเคยกล่าวไว้ มันอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก
ในอดีตหลายท่านอาจจะรำคาญเจ้าหน้าที่ คอยบอก คอยเตือน อย่าคุย อย่า... แต่เมื่อเข้าระบบนี้ ท่านจะไม่ได้ยินเสียงนั้นอีกแล้ว หากแต่เสียงที่จะมาแทน นั่นคือ เสียงจากคณะกรรมการ เชิญท่านออกจากการเป็นสมาชิกไป
หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า ถึงเวลาแล้ว เพราะคงไม่มีชาวนาคนไหนที่ทำนา เหนื่อยยาก แต่ไม่ได้ข้าวกลับมาเลย อดีตการทำเพื่อเรียกแขก มาพิสูจน์ว่าสิ่งนี้มีจริง และทำได้ มาวันนี้ แขกไม่จำเป็นแล้ว เลือกเฉพาะคนอยากได้ และมาร่วมมือกันทำ
นั่นหมายความว่า อดีตนั้นคือการซ้อม ใครไม่ยอมฝึก เมื่อถึงเวลาเอาจริง ก็ลำบากหน่อย
เมื่อม่านเปิด ภาพจริงของหลักพระภูมีจะปรากฎ คนไม่มาก แต่สงบ จริงจังในเรื่องของชีวิต ... แลที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อภัยพิบัติมา โรคคุกคามมนุษย์ คนเหล่านี้แหละ จะเดินเชิดไม่กลัวโรค เพราะรู้และสร้างหลุมหลบภัยให้ตนไว้แล้ว ... นั่นคือ รอยของพระภูมีนั่นเอง
ท่านใดอยากรู้ว่า ชื่อของตนมีไหม อยู่ในกลุ่มใด ก็ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ห้องยื่นบัตรได้ ส่วนโรคอื่นๆ ก็ต้องรออีกสักนิด
วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557
มันเรื่องของกรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นชัดในวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเพื่อการหลุดพ้น หรือเพื่อตวามไม่มีโรค ล้วนแล้วแต่เป็นวินัยทุกข์ จึงมีธรรมเตือนสติเพื่อเผชิญ นั่นคือ ทุกข์วันนี้สุขวันหน้า
ก็ด้วยเหตุแห่งที่มานั้นคือ เราท่านมีกรรมเป็นอำนาจ แถมเป็นการกระทำที่แล้วเสร็จ สมบูรณ์ รอเวลาเอาคืน เท่านั้นเอง
เมื่อเราท่านหวังผล ในขณะที่ผู้ทำก็หวังผล แต่กติกา วินัยมันมีอยู่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ทำ ก็อุปมาเหมือนตบมือข้างเดียว นั่นคือ ผลไม่เกิด การกระทำใดๆ ก็เสียผล ไม่ได้บุญมาเลี้ยงตนไม่ว่า กลับได้หนี้เวรหนี้กรรมมาด้วย เพราะทุกสรรพสิ่งที่มา ล้วนแล้วแต่มีแรงอธิษฐาน มีความหวัง ตั้งรอไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์แปลความหมายของกรรมให้ฟัง นั่นหมายความว่า ทำให้เป็นทุกข์ เมื่อมาสถานที่นี้ จึงมีนัยว่า ทุกคนล้วนทำตัวเป็นเหตุซึ่งกันและกัน หากแต่สิ่งที่จะทำให้ทุกข์นั้นกลายเป็นบุญ ก็ด้วยองค์ความรู้ สติ เพื่อหยุดกรรมนั้น ให้กลายเป็นการใช้กรรม แลแปรเป็นบุญ
แลด้วยความจริงที่ แผ่นดินนี้ไม่มีการสนับสนุนใดๆ อาศัยการพึ่งตัวเองของคนในชมรม ดังนั้น การสูญเสียทรัพยากรใดๆ ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์ รวมไปถึงคณะกรรมการ ไปจนจิตอาสา ย่อมหวงแหนเพราะมีน้อย จึงจำเป็นต้องให้เฉพาะผู้ที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น เพื่อผลบุญตอบกลับมาทั้งสองฝั่ง ได้ไปเลี้ยงตน
หลายต่อหลายครั้งเจ้าหน้าที่ จึงทำตัวเป็นเหตุใหญ่ให้แก่สมาชิก โดยเฉพาะอาจใช้คำพูดที่ค่อนข้างจะถือได้ว่า ไม่แคร์ ไม่ง้อ ไม่มีซึ่งความเมตตา ไปจนถึงหยิ่ง ก็เพราะหวังในผลที่จะเกิด
หรือ อาจจะเกิดจาก สติของเจ้าหน้าที่บางคนยังไม่โตพอ กรรมก็อาศัยในการทำตนให้เป็นเหตุแก่สมาชิก หลายท่าน นั่นคือ กรรมจะทำทุกอย่างทุกรูปแบบ ให้สมาชิกออกจากที่นี้ให้ได้
ไม่ว่าจะเป็นการน้อยใจ ไม่พอใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ หากไม่มีสติพอ หรือ ไม่เอาเหตุ เอาผล ที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้มาเป็นน้ำหนักถ่วง ก็หลุดลอยไปเผชิญกรรมเหมือนเดิม ได้โดยง่าย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกเรื่องครั้งพระโคดม กำลังทำตนเป็นพระพุทธเจ้าให้ฟังเสมอ ในหัวข้อเด็กเลี้ยงควาย อันชี้ให้เห็นมุมมองอันเกิดจากสติ ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งพระโคดม ทำตนมาได้หลายปี ก็มีความคิดว่า ตนของตนนั้นดีแล้ว สามารถตัดกิเลสได้หมด มาวันหนึ่ง เดินผ่านทุ่งนา พบเด็กเลี้ยงควายคนหนึ่ง จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ เด็กเลี้ยงควายเห็นพระโคดม แล้วก็หยิบก้อนหินปาที่ศรีษะของพระโคดม พระโคดมก็เกิดอารมณ์โกรธ เด็กเลี้ยงควายนั้น เมื่อเดินต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง พระโคดมใช้สติพิจารณา เห็นตนของตน ที่เคยเชื่อมั่นว่า หมดกิเลส แต่แค่เด็กเลี้ยงควายทำแค่นี้ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาเต็มประดา แล้วจะเรียกตนว่าหมดกิเลสได้อย่างไร จึงเดินย้อนกลับไปหาเพื่อขอบคุณเด็กเลี้ยงควาย ที่ทำให้ตนมีสติ แลไม่หลงตัวหลงตน ว่าเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว
เฉกเช่นเดียวกัน เราท่านกำลังมาเดินในหนทางนี้ เพื่อลดนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะตั้งใจลดกิเลสนิสัยสิ่งใด เพื่อให้เป็นบุญมาเลี้ยงตน ย่อมต้องมีเหตุมาเพื่อผลแห่งบุญนั้น
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณานั่นคือ หากจะหาบุญ ต้องจับตนค้นตน จึงจะพ้นทุกข์ วันนี้ คนที่มาทำให้เราไม่พอใจ หากเราละเว้นจนเลิกไม่ปฏิบัติแล้วธรรม เราท่านก็จะย้อนไปเป็นทาสกรรมตลอด แต่เมื่อใช้ขันติอดทน เอาเหตุเอาผล วันหนึ่ง เราท่านจะต้องไปขอบคุณ คนผู้นั้น ที่ทำให้เราท่านได้รู้ว่า เราท่านยังไม่ดีพอ ยังมีขันติ อดทน ไม่พอ ยังมีเมตตาไม่พอ ยังมีกิเลสมาก จนใครมากระทบไม่ได้
วันใดที่เราท่าน ผ่านวันนี้ ทำอารมณ์ ทำนิสัยได้ ก็จะขึ้นไปอีกขั้น นั่นคือ เป็นผู้ตักเตือนผู้มีสติน้อยกว่า วันนั้นเหตุก็จะเปลี่ยนไปเป็น คำด่าบ้าง คำชมบ้าง ตามความคิดของคนที่มา หากแต่สติก็ทำให้เราท่านทนได้ มีเมตตาแก่คนเหล่านั้น จะว่าเราท่านหยิ่ง ปากจัด แต่ทำไปด้วยเหตุด้วยผล
ก็ดูครูบาอาจารย์ ที่ต้องพูดทุกวัน ไม่มีวันหยุด แม้นคนที่จะฟัง อาจมีแค่ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องพูด พูดไป บางคนก็ด่าในใจไป บ่นในใจไป เบื่อ รำคาญ หากแต่นั่นคือการคัดกรอง เป็นกระบวนการของศาสนา ที่จะร่อน เอาเฉพาะคนที่เชื่อ ที่ศรัทธา
ไม่ผิด ศาสนา มีเอกลักษณ์ คือ ความหยิ่ง เพราะศาสน์เป็นปราชญ์ จะไม่มาเสียเวลากับผู้ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทนอะไรนิดก็ไม่ได้ หน่อยก็ไม่ได้ เอาแต่ใจ คนประเภทนี้ต้องกรองออก
หลังจากประตูเปิดอ้าซ่ามานาน หลวงพ่อนิพนธ์ก็เปรยๆ ที่จะต้องมีการบีบประตูให้แคบลง คัดเฉพาะคนที่อยากได้ แล้วทำตาม ไม่เสียเวลากับคนที่มากินเล่น ทำเล่น อยากมาก็มา ไม่อยากก็ไม่มา
เรื่องของศาสน์ จึงเป็นองค์กรเฉพาะกลุ่มคนน้อยๆ ที่มารวมกันด้วยเหตุและผล ...
หากจะหมดกรรม จะหวังบุญ แต่ปฏิเสธเหตุ ไม่มีทางเป็นไปได้ ... วินัยของพระภูมี เป็นวินัยทุกข์ ที่ต้องใช้ขันติ อดทน และที่สำคัญ ไม่ได้มาด้วยการขอ อยากได้ต้องทำเอง
วันหนึ่ง เมื่อสติของเราท่านโตขึ้น ผลดีปรากฎ เราท่านจะซึ่ง แล้วจะรู้ว่า ทำไม พระพุทธเจ้าจึงรักโลกุตตระมาก ทำไม พระสงฆ์จึงรักพระพุทธเจ้า และรักวินัยมาก และทำไมเมื่อมีเหตุ คนเหล่านี้ จึงสงบได้ ... เพราะเหตุนั้นคือ บททดสอบ เหมือนข้อสอบ ว่าเราท่าน ทำได้จริง หรือ คิดไปเองว่าทำได้
เหมือนข้อสอบที่คนทั้งโลกสอบตก นั่นคือ การคิดว่าตนของตนรักตัวเอง หากแต่พฤติกรรมทำร้ายตัวเองทุกวี่ทุกวัน นั่นแล กินยาเคมี ฆ่าตัวเอง ใช้นิสัยโดยไม่ควบคุม ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น จนผลย้อนกลับมาหาตน ก็อ้างเหตุว่าช่วยคนนั้น ทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ บริจาคทาน สักฉันใด ก็ช่วยตนไม่ได้เลย ....
แค่นิสัย ไปกินเที่ยว ให้ทิปบ๋อย คนเสิร์ฟได้ แต่จะควักเงินซื้อมะพร้าว คิดแล้วคิดอีก ... นี่แหละ นี่แหละ ... ความไม่คุ้นเคย จะควักได้ ต้องเอาเหตุเอาผลสักเท่าไหร่ จึงจะทำได้ ... ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
เมื่อเข้าใจว่าเราท่านทุกคนต่างก็เป็นนักเรียน นั่นหมายความว่า ต้องเป็นเหตุซึ่งกันและกัน จึงไม่แปลกว่า พื้นฐานของศาสนา จึงเริ่มที่ความเมตตาก่อน เพราะเมื่อมีสติ ก็จักคิดได้ ว่าแท้จริงแล้ว มันคือกรรมของเรา อาศํยผู้อื่นเป็นเหตุนั่นเอง ... เมื่อทำตนของตนได้ ภาพของศาสน์ก็จักบังเกิดแก่คนผู้นั้นที่ทำได้ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของศาสนา ใครก็เลียนแบบไม่ได้ นั่นคือ "ความสงบ"
คนที่มีสติโต เห็นคนทำผิด จึงไม่ติฉิน นินทา ด้วยรู้ว่า ผู้นั้นกำลังเรียน กำลังทำ ยังไม่โต อาศัยความเมตตา จึงให้อภัยคนผู้นั้น แลรักษาความสงบของตนได้ . ก็ต้องให้เวลาคนผู้นั้น หากแต่เมื่อเนิ่นนานผ่านไป ก็ยังไม่เปลี่ยน นั้นจัดว่าเป็นบัวเหล่าที่สี่ หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า ดิบเกินสอน ก็ต้องอุเบกขา เพียงอย่างเดียว เพราะพวกนั้นมันพวกเทวทัต
ก็ด้วยเหตุแห่งที่มานั้นคือ เราท่านมีกรรมเป็นอำนาจ แถมเป็นการกระทำที่แล้วเสร็จ สมบูรณ์ รอเวลาเอาคืน เท่านั้นเอง
เมื่อเราท่านหวังผล ในขณะที่ผู้ทำก็หวังผล แต่กติกา วินัยมันมีอยู่ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ทำ ก็อุปมาเหมือนตบมือข้างเดียว นั่นคือ ผลไม่เกิด การกระทำใดๆ ก็เสียผล ไม่ได้บุญมาเลี้ยงตนไม่ว่า กลับได้หนี้เวรหนี้กรรมมาด้วย เพราะทุกสรรพสิ่งที่มา ล้วนแล้วแต่มีแรงอธิษฐาน มีความหวัง ตั้งรอไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น
หลวงพ่อนิพนธ์แปลความหมายของกรรมให้ฟัง นั่นหมายความว่า ทำให้เป็นทุกข์ เมื่อมาสถานที่นี้ จึงมีนัยว่า ทุกคนล้วนทำตัวเป็นเหตุซึ่งกันและกัน หากแต่สิ่งที่จะทำให้ทุกข์นั้นกลายเป็นบุญ ก็ด้วยองค์ความรู้ สติ เพื่อหยุดกรรมนั้น ให้กลายเป็นการใช้กรรม แลแปรเป็นบุญ
แลด้วยความจริงที่ แผ่นดินนี้ไม่มีการสนับสนุนใดๆ อาศัยการพึ่งตัวเองของคนในชมรม ดังนั้น การสูญเสียทรัพยากรใดๆ ไม่ว่าหลวงพ่อนิพนธ์ รวมไปถึงคณะกรรมการ ไปจนจิตอาสา ย่อมหวงแหนเพราะมีน้อย จึงจำเป็นต้องให้เฉพาะผู้ที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น เพื่อผลบุญตอบกลับมาทั้งสองฝั่ง ได้ไปเลี้ยงตน
หลายต่อหลายครั้งเจ้าหน้าที่ จึงทำตัวเป็นเหตุใหญ่ให้แก่สมาชิก โดยเฉพาะอาจใช้คำพูดที่ค่อนข้างจะถือได้ว่า ไม่แคร์ ไม่ง้อ ไม่มีซึ่งความเมตตา ไปจนถึงหยิ่ง ก็เพราะหวังในผลที่จะเกิด
หรือ อาจจะเกิดจาก สติของเจ้าหน้าที่บางคนยังไม่โตพอ กรรมก็อาศัยในการทำตนให้เป็นเหตุแก่สมาชิก หลายท่าน นั่นคือ กรรมจะทำทุกอย่างทุกรูปแบบ ให้สมาชิกออกจากที่นี้ให้ได้
ไม่ว่าจะเป็นการน้อยใจ ไม่พอใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ หากไม่มีสติพอ หรือ ไม่เอาเหตุ เอาผล ที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้มาเป็นน้ำหนักถ่วง ก็หลุดลอยไปเผชิญกรรมเหมือนเดิม ได้โดยง่าย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกเรื่องครั้งพระโคดม กำลังทำตนเป็นพระพุทธเจ้าให้ฟังเสมอ ในหัวข้อเด็กเลี้ยงควาย อันชี้ให้เห็นมุมมองอันเกิดจากสติ ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งพระโคดม ทำตนมาได้หลายปี ก็มีความคิดว่า ตนของตนนั้นดีแล้ว สามารถตัดกิเลสได้หมด มาวันหนึ่ง เดินผ่านทุ่งนา พบเด็กเลี้ยงควายคนหนึ่ง จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ เด็กเลี้ยงควายเห็นพระโคดม แล้วก็หยิบก้อนหินปาที่ศรีษะของพระโคดม พระโคดมก็เกิดอารมณ์โกรธ เด็กเลี้ยงควายนั้น เมื่อเดินต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง พระโคดมใช้สติพิจารณา เห็นตนของตน ที่เคยเชื่อมั่นว่า หมดกิเลส แต่แค่เด็กเลี้ยงควายทำแค่นี้ ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาเต็มประดา แล้วจะเรียกตนว่าหมดกิเลสได้อย่างไร จึงเดินย้อนกลับไปหาเพื่อขอบคุณเด็กเลี้ยงควาย ที่ทำให้ตนมีสติ แลไม่หลงตัวหลงตน ว่าเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว
เฉกเช่นเดียวกัน เราท่านกำลังมาเดินในหนทางนี้ เพื่อลดนิสัยเป็นบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าจะตั้งใจลดกิเลสนิสัยสิ่งใด เพื่อให้เป็นบุญมาเลี้ยงตน ย่อมต้องมีเหตุมาเพื่อผลแห่งบุญนั้น
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณานั่นคือ หากจะหาบุญ ต้องจับตนค้นตน จึงจะพ้นทุกข์ วันนี้ คนที่มาทำให้เราไม่พอใจ หากเราละเว้นจนเลิกไม่ปฏิบัติแล้วธรรม เราท่านก็จะย้อนไปเป็นทาสกรรมตลอด แต่เมื่อใช้ขันติอดทน เอาเหตุเอาผล วันหนึ่ง เราท่านจะต้องไปขอบคุณ คนผู้นั้น ที่ทำให้เราท่านได้รู้ว่า เราท่านยังไม่ดีพอ ยังมีขันติ อดทน ไม่พอ ยังมีเมตตาไม่พอ ยังมีกิเลสมาก จนใครมากระทบไม่ได้
วันใดที่เราท่าน ผ่านวันนี้ ทำอารมณ์ ทำนิสัยได้ ก็จะขึ้นไปอีกขั้น นั่นคือ เป็นผู้ตักเตือนผู้มีสติน้อยกว่า วันนั้นเหตุก็จะเปลี่ยนไปเป็น คำด่าบ้าง คำชมบ้าง ตามความคิดของคนที่มา หากแต่สติก็ทำให้เราท่านทนได้ มีเมตตาแก่คนเหล่านั้น จะว่าเราท่านหยิ่ง ปากจัด แต่ทำไปด้วยเหตุด้วยผล
ก็ดูครูบาอาจารย์ ที่ต้องพูดทุกวัน ไม่มีวันหยุด แม้นคนที่จะฟัง อาจมีแค่ไม่ถึงครึ่ง ก็ต้องพูด พูดไป บางคนก็ด่าในใจไป บ่นในใจไป เบื่อ รำคาญ หากแต่นั่นคือการคัดกรอง เป็นกระบวนการของศาสนา ที่จะร่อน เอาเฉพาะคนที่เชื่อ ที่ศรัทธา
ไม่ผิด ศาสนา มีเอกลักษณ์ คือ ความหยิ่ง เพราะศาสน์เป็นปราชญ์ จะไม่มาเสียเวลากับผู้ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทนอะไรนิดก็ไม่ได้ หน่อยก็ไม่ได้ เอาแต่ใจ คนประเภทนี้ต้องกรองออก
หลังจากประตูเปิดอ้าซ่ามานาน หลวงพ่อนิพนธ์ก็เปรยๆ ที่จะต้องมีการบีบประตูให้แคบลง คัดเฉพาะคนที่อยากได้ แล้วทำตาม ไม่เสียเวลากับคนที่มากินเล่น ทำเล่น อยากมาก็มา ไม่อยากก็ไม่มา
เรื่องของศาสน์ จึงเป็นองค์กรเฉพาะกลุ่มคนน้อยๆ ที่มารวมกันด้วยเหตุและผล ...
หากจะหมดกรรม จะหวังบุญ แต่ปฏิเสธเหตุ ไม่มีทางเป็นไปได้ ... วินัยของพระภูมี เป็นวินัยทุกข์ ที่ต้องใช้ขันติ อดทน และที่สำคัญ ไม่ได้มาด้วยการขอ อยากได้ต้องทำเอง
วันหนึ่ง เมื่อสติของเราท่านโตขึ้น ผลดีปรากฎ เราท่านจะซึ่ง แล้วจะรู้ว่า ทำไม พระพุทธเจ้าจึงรักโลกุตตระมาก ทำไม พระสงฆ์จึงรักพระพุทธเจ้า และรักวินัยมาก และทำไมเมื่อมีเหตุ คนเหล่านี้ จึงสงบได้ ... เพราะเหตุนั้นคือ บททดสอบ เหมือนข้อสอบ ว่าเราท่าน ทำได้จริง หรือ คิดไปเองว่าทำได้
เหมือนข้อสอบที่คนทั้งโลกสอบตก นั่นคือ การคิดว่าตนของตนรักตัวเอง หากแต่พฤติกรรมทำร้ายตัวเองทุกวี่ทุกวัน นั่นแล กินยาเคมี ฆ่าตัวเอง ใช้นิสัยโดยไม่ควบคุม ให้ทุกข์แก่ผู้อื่น จนผลย้อนกลับมาหาตน ก็อ้างเหตุว่าช่วยคนนั้น ทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ บริจาคทาน สักฉันใด ก็ช่วยตนไม่ได้เลย ....
แค่นิสัย ไปกินเที่ยว ให้ทิปบ๋อย คนเสิร์ฟได้ แต่จะควักเงินซื้อมะพร้าว คิดแล้วคิดอีก ... นี่แหละ นี่แหละ ... ความไม่คุ้นเคย จะควักได้ ต้องเอาเหตุเอาผลสักเท่าไหร่ จึงจะทำได้ ... ด้วยความยินยอมพร้อมใจ
เมื่อเข้าใจว่าเราท่านทุกคนต่างก็เป็นนักเรียน นั่นหมายความว่า ต้องเป็นเหตุซึ่งกันและกัน จึงไม่แปลกว่า พื้นฐานของศาสนา จึงเริ่มที่ความเมตตาก่อน เพราะเมื่อมีสติ ก็จักคิดได้ ว่าแท้จริงแล้ว มันคือกรรมของเรา อาศํยผู้อื่นเป็นเหตุนั่นเอง ... เมื่อทำตนของตนได้ ภาพของศาสน์ก็จักบังเกิดแก่คนผู้นั้นที่ทำได้ เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของศาสนา ใครก็เลียนแบบไม่ได้ นั่นคือ "ความสงบ"
คนที่มีสติโต เห็นคนทำผิด จึงไม่ติฉิน นินทา ด้วยรู้ว่า ผู้นั้นกำลังเรียน กำลังทำ ยังไม่โต อาศัยความเมตตา จึงให้อภัยคนผู้นั้น แลรักษาความสงบของตนได้ . ก็ต้องให้เวลาคนผู้นั้น หากแต่เมื่อเนิ่นนานผ่านไป ก็ยังไม่เปลี่ยน นั้นจัดว่าเป็นบัวเหล่าที่สี่ หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า ดิบเกินสอน ก็ต้องอุเบกขา เพียงอย่างเดียว เพราะพวกนั้นมันพวกเทวทัต
วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557
ลำดับการฟื้นฟูตนตามหลักของพระภูมี
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ย่อมเห็นเหตุแห่งที่มาของกรรม นั่นคือ องค์สาม อันได้แก่ กาย วาจา ใจ
ดังนั้น เหตุแห่งอุปสรรคใหญ่ที่วิธีการทั่วไปใช้เพื่อการรักษาโรค ก็ติดอยู่ที่กายเท่านั้น ไม่เกินเลยไปถึง ใจเลย
ผลของการกระทำ จึงอุปมาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จะใช้ได้ก็แต่เมื่อเป็นกรรมผ่าน ไม่ใช่โรคตาย
การมาสถานที่นี้ จึงมีความจำเป็นต้องฟัง เพราะสิ่งที่ฟัง นั่นคือเหตุและผล ที่พระพุทธเจ้าตรัส หาใช่ของหลวงพ่อนิพนธ์ไม่ เมื่อฟังแล้ว พิจารณาแล้ว เห็นความจริง เห็นความเป็นไปได้ นั่นคือ ประกายเริ่มเกิดหนทางในใจ อันนำมาซึ่งศรัทธาในเหตุและผล แลในพระพุทธเจ้า
ความจริงที่ได้ยินได้ฟังกันมากหลาย แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป นั่นคือ "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
หลวงพ่อนิพนธืจึงชี้ให้เห็นว่า การฟื้นฟูตน ด้วยหลักของพระภูมี จึงเริ่มที่ใจ จากการฟัง เมื่อจิตผ่อนคลาย ความศรัทธาเกิด ก็จักมีพฤติกรรม ปรับตนให้วิญญาณของตนสูงขึ้น
จากไม่เคยให้สุขใคร ก็มามีสติที่พยายามจะให้สุขแก่ผู้อื่น จากคนโกรธง่าย ก็จะลดน้อยถอยลง
สิ่งนี้คือการเริ่มต้นทำวิญญาณให้สูง เมื่อใจสูง กายก็จะสูงตาม ด้วยเคล็ดของพระพุทธเจ้าที่รู้ทันกรรม เป็นโรคเป็นบริวารกรรม มาเพื่อทำให้เป็นทุกข์ แต่เมื่อใจสูง รู้เหตุและผล ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ทุกข์จึงหยุดที่กาย ทำอะไรใจไม่ได้ เมื่อยอมใช้ มันก็ต้องหมด นั่นจึงเห็นหนทางชนะอย่างแน่นอน
ขณะที่วิญญาณเริ่มสูง ก็ปิดช่องกรรม อันเนื่องจากวาจา มาเป็นกล่าวมนต์ ของพระภูมี แทนการกล่าวร้ายผู้อื่นทางวาจา รักษาความสงบ อันเมื่อเหตุมากระทบ ฝึกเป็นสติ จนควบคุมวาจาได้ นั่นหมายความว่า ศึก ๓ ด้าน ที่ร่วมกันสร้างหรือเป็นเหตุแก่กรรม ก็จะกลายมาเป็นพวกสร้างบุญเสียแล้ว ๒ ส่วน เหลือศึกหน้าเดียวคือ กายที่รอวันฟื้น มีกำลังแล้วมาสร้างบุญ
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมต้องฟัง ทำไมต้องสงบ ทำไมต้องสวดมนต์ ไม่มีในหลักสูตรของที่อื่นที่ใดในโลกในการช่วยตน ให้ต้องทำอย่างนี้ ... ก็เพราะไม่มีใครรู้เรื่องบุญของพระพุทธเจ้านั่นเอง แม้นแต่ตัวของหลวงพ่อนิพนธ์เอง หากแม่ชีเมี้ยนไม่นำมาสอน ก็ไม่มีทางรู้เช่นกัน
การฟื้นฟูตน หรือช่วยตน ด้วยการเน้นที่กายเพียงอย่างเดียว จึงไม่มีวันประสพผล ... เพราะเรื่องที่ทำ หาใช่การรักษาโรค แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยของวิญญานต่างหาก การหายโรคหนึ่ง แต่วิญญาณยังต่ำอยู่ ก็จึงต้องประสพเคราะห์กรรม ไปตายด้วยเหตุอื่น ผลสำเร็จที่พระพุทธเจ้าให้ธรรมหมวดสมุนไพร หรือลาภอันประเสริฐนี้ หมายถึงลาภของวิญญาณ ที่เมื่อทำแล้วปลอดภัยทั้งจากการตายห่าและตายโหง ... ดังนั้น หากจะประสพผล ต้องเรียนรู้แล้วทำวิญญาณให้สูงก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งไม่มีในตำราแพทย์ใดๆ ในโลกรู้และเขียนสอนไว้อย่างแน่แท้ นอกจากคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่น่าแปลกว่า ทำไมสถานที่นี้จึงมีคนหายโรค ถึงไม่ทั้งหมด ก็มีให้เห็นมากมาย ... ขึ้นอยู่กับว่า ใครทำ ใครได้
มาอีก ๕
การไปพม่าเพื่อเปิดศูนย์ที่บ้านมิต้า ก็นับได้ว่าเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นมาที่หลวงพ่อนิพนธ์ต้องแบกไว้
ในขณะที่สาธารณสุขเมืองไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่บางท่าน ไม่พอใจในกิจกรรมของชมรมคนรักสุขภาพ หรือ มูลนิธิไทยกรุณา กำลังดำเนินการเพื่อฟ้องเอาผิดทางกฎหมาย ก็ว่ากันไป แต่อย่างน้อยก็มีแพทย์ไทย ๓ ท่าน ที่อาสา และยืนหยัดสนับสนุน
แต่การเปิดตัวในพม่า ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งจากภาครัฐ นักการเมือง พ่อค้า และฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ล้วนแล้วแต่สนับสนุน โดยดูจากการเข้าไปพื้นที่ของศูนย์ ต้องผ่าน เขตพม่า เขตกระเหรี่ยง เขตคนกลุ่มน้อย ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ยอมคุยกัน แล้วให้สิทธิ์ในการผ่านเข้าออกอย่างสะดวก
ในการไปพม่าคร้้งนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีของชาวพม่าอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มของแพทย์สมัยใหม่ในพม่า ๕ ท่าน ที่ได้เห็นได้สัมผัส ผลของสมุนไพรจากคนไข้ของตนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้ แล้วหันมาใช้สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพผลสำเร็จในการช่วยตน หลายต่อหลายกรณี ไม่ว่านักการเมืองระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐ นับร้อยราย ในขณะนี้ จึงรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เกิดขึ้น อย่างเต็มตัว
โดยจะเป็นศูนย์กลาง ตัวเชื่อม และรับรองให้ พร้อมกันนี้ก็ขอเข้ามาศึกษา และดูงาน เพื่อที่จะได้จัดกระบวนการช่วยพี่น้องชาวพม่า ได้อย่างถูกต้องและเต็มที่
ขอแสดงความยินดีกับชาวพม่าด้วย ....
ในขณะที่สาธารณสุขเมืองไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่บางท่าน ไม่พอใจในกิจกรรมของชมรมคนรักสุขภาพ หรือ มูลนิธิไทยกรุณา กำลังดำเนินการเพื่อฟ้องเอาผิดทางกฎหมาย ก็ว่ากันไป แต่อย่างน้อยก็มีแพทย์ไทย ๓ ท่าน ที่อาสา และยืนหยัดสนับสนุน
แต่การเปิดตัวในพม่า ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งจากภาครัฐ นักการเมือง พ่อค้า และฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ล้วนแล้วแต่สนับสนุน โดยดูจากการเข้าไปพื้นที่ของศูนย์ ต้องผ่าน เขตพม่า เขตกระเหรี่ยง เขตคนกลุ่มน้อย ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ยอมคุยกัน แล้วให้สิทธิ์ในการผ่านเข้าออกอย่างสะดวก
ในการไปพม่าคร้้งนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีของชาวพม่าอย่างยิ่ง เพราะกลุ่มของแพทย์สมัยใหม่ในพม่า ๕ ท่าน ที่ได้เห็นได้สัมผัส ผลของสมุนไพรจากคนไข้ของตนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้ แล้วหันมาใช้สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพผลสำเร็จในการช่วยตน หลายต่อหลายกรณี ไม่ว่านักการเมืองระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐ นับร้อยราย ในขณะนี้ จึงรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เกิดขึ้น อย่างเต็มตัว
โดยจะเป็นศูนย์กลาง ตัวเชื่อม และรับรองให้ พร้อมกันนี้ก็ขอเข้ามาศึกษา และดูงาน เพื่อที่จะได้จัดกระบวนการช่วยพี่น้องชาวพม่า ได้อย่างถูกต้องและเต็มที่
ขอแสดงความยินดีกับชาวพม่าด้วย ....
วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557
ศาสน์สมุนไพร สำคัญไฉน
ทรงชี้ให้เห็นความสำคัญของศาสน์สมุนไพร ก็ด้วยเหตุที่พระภูมีทรงตรัสรู้ความจริงของมนุษย์ ว่า มนุษย์เป็นไปตามกรรม นั่นคือ มีกรรมนำเกิด อันหมายความว่า เมื่อตายแล้วต้องไปเกิดนั่นเอง
ด้วยกรรมนำเกิดนี้เอง ก็แปลความหมายขยายความให้ฟังว่า การกระทำในอดีต ก็จะเป็นผลในปัจจุบัน แลการกระทำในปัจจุบัน ก็จะเป็นอนาคตที่รออยู่
พูดให้ฟังง่ายที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนบ่อยๆ นั่นคือ ใครทำ ใครได้ ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ... ใครที่ว่า มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ นั่นแสดงว่าไม่รู้เรื่องศาสนา ... เพราะสิ่งที่เราท่านทำในวันนี้ นั่นแลคือสิ่งที่เราท่านเลือกเตรียมไว้ให้ตนเองในอนาคต
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังง่ายๆ แปลความว่า เมื่อเราเกิด ก็ด้วยอาศัย ธาตุทั้ง ๔ มาประกอบเป็นกาย ดังนั้น เมื่อครบกำหนดตามกรรมที่ทำมา ก็ต้องคืน ความรับผิดชอบต่อสภาพของ ธาตุทั้ง ๔ จึงเป็นผลที่จะไปบังเกิดในอนาคต
หากคืนดีดังเช่นที่ยืมมา นั่นก็หมายถึงวิญญาณเป็นวิญญาณที่ดี เมื่อไปเกิดใหม่ ยืมธาตุทั้ง ๔ มาประกอบสังขารอีกครั้ง ก็ได้สังขารที่ดี หากแต่เมื่อคืน กลับอยู่ในสภาพที่เละเทะ เมื่อเกิดใหม่สังขารที่ได้ ก็จะเป็นเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง ศาสน์สมุนไพร จึงเป็นธรรมที่พระภูมี ทิ้งไว้ให้สาวก หรือที่เรียก พุทธศาสนิกชน ที่ยังไม่หวังนิพพาน ได้ปฏิบัติ เพื่อให้การคืนธาตุทั้ง ๔ สมบูรณ์ เหมือนตอนที่ยืมมาเมื่อแรกเกิด
ผลที่จะปรากฎเมื่อทำได้ นั่นเรียกว่า ได้ มนุษย์สมบัติ นั่นคือ เมื่อวิญญาณไปเกิดใหม่ ก็ได้สังขารที่ดี ไม่มีโรค
จุดสำคัญที่พระภูมีแสดงให้เห็น คือ สมบัติประการเดียวที่ติดวิญญาณได้ นั่นคื่อ โรค
จึงไม่แปลกเลยที่ทารกเกิดมา จึงมีบัญญัติที่เรียกว่า "กรรมพันธ์" ติดมา เป็นตั้งแต่เกิด จะหลบจะเลี่ยงไม่ได้เลย
ศาสน์สมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำเสมอว่า ไม่ใช่เพียงแค่ผลในปัจจุบัน หากแต่ยังผลไปยังอนาคต ไม่ว่าชาตินี้ หรือ ชาติหน้า
ดังนั้น จุดประสงค์ในการมา จึงมิควรหยุดที่สมุนไพร รวมถึง ทำไมจึงไม่มียารักษาโรค ก็เพราะสิ่งที่กำลังสู้ หาใช่โรคเพียงอย่างเดียว นั่นเป็นปลายเหตุ ต้นเหตุใหญ่คือกรรม
แลสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าชนะกรรม ในโลกมีเพียงหนึ่งเดียว คือ ธรรมของพระภูมี เท่านั้น
การมาสถานที่นี้ จึงเสมือนมาหาใครสักคน ที่มีจิตใจงาม สอนให้รู้เรื่องกรรม แลชี้ช่องการปฏิบัติธรรม เพื่อช่วยตน เรียกว่า มาหามหามิตร แลควรจะสร้างความผูกพัน
เหมือนไปหาคนรัก ฉันใดก็ฉันนั้น ... เหมือนมีสายใยผูกพันกัน ต่างห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน ... ชีวิตจึงเหนียวแน่น
ประเภทที่จะมาเอาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่สน ไม่เปลี่ยนอะไรเลย ซ้ำยังกระทำตน เกลียดตัวกินไข่ เห็นผิดอีกต่างหาก ... อย่ามาให้เสียเวลาเลย
เพราะอดีตตั้งแต่ครั้งถ้ำกระบอก ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สมุนไพรเขามีวิญญาณ รับรู้การกระทำ ของทั้งคนทำ และคนทาน ....
ที่สำคัญที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ให้พิจารณา นั่นคือ การหายโรค ก็ไม่ใช่จะปลอดภัยแก่ชีวิต เพราะกรรมยังอยู่ ไม่จำเป็นต้องด้วยโรค มันเปลี่ยนได้ ไม่ตายด้วยโรค ตายด้วยอุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม มันก็ตายเหมือนกัน
ด้วยลำพังแต่สมุนไพร จึงเรียกได้ว่า ถึงอย่างไรก็ส่งไม่ถึงฝั่ง ไปไม่ตลอด ...
การมาจึงต้องเรียนรู้ แล้วทำเพื่อให้ถึง ลาภอันประเสริฐ ที่พระภูมีทิ้งไว้ให้ นั่นคือ ความไม่มีโรค หรือ มนุษย์สมบัติ จึงไม่ได้หยุดที่สมุนไพร แต่ต้องเน้นพฤติกรรม นิสัย ให้เดินในรอยของพระภูมี จนมีคุณสมบัติ ได้รับลาภอันประเสริฐนั้นแล
คนกลุ่มแรกที่จะเข้าคอร์ส หากทำได้ ก็จะเป็นพระมาลัย ทำตนเป็นประวัติศาสตร์ให้คนอ่าน แล้วทำตาม อันนี้เราชอบ แต่พวกที่มาเดินแนวเทวทัต ให้คนอ่านเหมือนกัน มีน้อยหน่อย หรือไม่มีเลยได้ก็ดี ...
แม้นจะดีสักเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ด้วยมนุษย์ทุกคนมีกรรมเลี้ยงจนหมดพรหมลิขิตอยู่แล้ว .... สถานที่นี้ หรือ ศาสน์ของพระภูมี จึงมีประโยชน์เฉพาะกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยากได้
ไปเถอะ ไม่ชอบ ไม่ต้องมา รับรองว่าอยู่ได้ ไม่ตาย จะต่างกันก็แค่ สภาพที่อยู่จนครบพรหมลิขิต มันต่างกัน ... เท่านั้นเอง คนที่เชื่อแล้วทำตาม ... พึ่งตนได้จนวันสุดท้าย เมื่อถึงหรหมลิขิต ก็เหมือนคนง่วงนอน หลับไป ... ไปสบาย เหมือนเดินชมบ้านโน้นที บ้านนี้ที แล้วก็เจอบ้านที่ถูกใจ ชวนไปอยู่ด้วย ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ....หลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันว่า เลือกได้ จะให้เป็นแบบไหน
สรุปง่ายๆ ไม่เชื่อคำสอนพระภูมี นั่นคือ ไม่เชื่อเรื่องกรรม จึงไม่ทำนั่นเอง คนประเภทนี้ ศาสน์สมุนไพร หาประโยชน์ไม่ได้หรอก ... ช้าเร็ว ก็เบื่อ ก็ไป
ขอย้ำคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่ทรงย้ำให้แก่พระบ่อยๆ เพื่อควบคุมตน ...ที่กล่าวว่า "ขันติสงฆ์ กรรมนะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่งแล้วเป็นทุกข์" อันหมายความว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กลัวมาที่สุด มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ กรรม เพราะหากแม้นมีกรรมสักกะผีก ก็ต้องเกิดมารับกรรมนั่นเอง ... หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกให้เป็นสติเมื่อทุกข์มา ก็ให้ขันติ เพราะนั่นคือ กรรมของเรา และทำให้ให้ยินดี เพราะเมื่อใช้ก็ย่อมมีวันหมด ที่สำคัญ อย่าทำกรรมเพิ่มอีก
แม้นไม่ได้ธรรมหลุดพ้น แต่ได้ถึงมนุษย์สมบัติ ก็ไม่เสียชาติแล้ว เพราะนั่นคือ คุณสมบัติ ที่จะให้ถึงซึ่งนิพพานในอนาคต ในวันที่เบื่อโลก ไม่อยากอยู่ แล้วมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น...
วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557
ธรรมของพระภูมี
เมื่อครั้งถ้ำกระบอกใกล้แตก แม่ชีเมี้ยนได้ทรงเรียกหลวงพ่อนิพนธ์เข้าไปหา ในปี ๒๕๑๒ หลังจากที่ถูกให้ออกจากถ้ำไปในปี ๒๕๑๐
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ความตั้งใจในการมาสร้างพระคงไม่สามารถลุล่วง หากแต่ธรรมของพระภูมี มีอยู่สองกลุ่มนั่นคือ ธรรมหมวดหลุดพ้น ใช้สำหรับผู้ประสงค์นิพพาน แลธรรมหมวดสมุนไพร ใช้สำหรับผู้ประสงค์ความไม่มีโรค
เมื่อความตั้งใจสร้างพระไม่สำเร็จ ก็ต้องไปทำใหม่ในประเทศพม่า หากแต่จะทิ้งธรรมหมวดสมุนไพรให้หลวงพ่อนิพนธ์ทำแทน ประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการทดแทนแผ่นดินเกิด แทนตัวท่าน
การใช้ธรรมหมวดสมุนไพร ก็มีข้อจำกัด ด้วยเหตุแห่งฤทธิ์ของสมุนไพรมีจำกัด ซึ่งก็ใช้ช่วยได้ในระดับหนึ่ง หากแต่ผลของสมุนไพรจะมหาศาลเพิ่มมากขึ้น นั่นก็แปรตามพฤติกรรมของผู้ทาน
สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ ในการสอนให้คนป่วยเพื่อช่วยตน ดังนั้น กระบวนการช่วยเหลือในระยะแรกๆ หากจะหวังผลสำเร็จ จึงมักใช้แนวทางให้ชักชวนผู้นั้นให้บวช เพื่อให้มีพฤติกรรมด้วยนั่นเอง
แลคนที่บวชในยุคแรกๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นการลองของก็ว่าได้ เพราะพระส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้ป่วยยาเสพติด ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการประเภทหมอทิ้ง อาทิ โรคเอดส์ มะเร็งสมอง โรคชักรุนแรง .. เป็นต้น แลคนเหล่านั้น ก็ยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้
มาวันนี้ เหลือแต่หนทางสมุนไพรเพียงอย่างเดียว จึงใช้เวลานานในการช่วยตน ผู้คนที่ประสพผลจึงมีน้อย
ความหวังในอนาคต ที่จะต้องพึงเกิดอย่างแน่นอน นั่นคือ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติในพม่า ดังนั้น หนทางที่จะย่นระยะเวลาในการฟื้นฟูตนของผู้ป่วย นั่นคือ การนำพาผู้ป่วย ไปเป็นผู้สนับสนุนในการปฏิบัติ ของพระของพระพุทธเจ้า
นั่นหมายความว่า ในอนาคต จากเดิมที่ใช้สมุนไพร แลข้อปฏิบัติเล็กน้อย เช่นการสวดมนต์ ในการสร้างบุญ ซึ่งก็ได้ในระดับหนึ่ง จะกลายเป็นการสร้างบุญเป็นหลัก แล้วใช้สมุนไพรเสริม ซึ่งจะทำให้ระยะในการช่วยตน สั้นลงกว่าเดิมมากนัก
ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ของการทานสมุนไพร จึงเน้นไปที่คุณสมบัติของผู้ทานเป็นสำคัญ นั่นหมายถึง บทอุเบกขาของพระภูมี กำลังจะถูกนำมาใช้ อันหมายความว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสมาสัมผัส ผู้ที่จะเข้าถึง ต้องมีพฤติกรรมสอดคล้อง กับ หลักของพระภูมี เป็นสำคัญ
เราก็จะเห็นยักษ์หน้าโบสถ์มากมาย แลเห็นผู้ประสพความสำเร็จในแนวทางสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น เมื่อหนทางบุญ หรือ ต้นทางสายบุญได้เปิด ให้สัมผัส
เราจึงอยากเตือนว่า คุณสมบัติดังกล่าวคือการลดกิริยา เมื่ออยู่ในเขตที่กำหนด คือบัตรผ่านที่จะเข้ามาในแผ่นดินของเขา
ใครที่ตอนนี้ไม่ยอมฝึก ไม่หัดควบคุมกิริยา ดำรงกรรมฐาน เมื่อวันนั้นมาถึง แล้วทำไม่ได้ ผู้คัดเลือกก็จักต้องคัดออก กลายไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ อย่างแน่นอน
เพราะศาสน์ของพระภูมีเอาผล ไม่เอาปริมาณ แม้นมีน้อย แต่นั่นหมายถึง ทุกคนที่ถูกคัดกรองมาล้วนสำเร็จตามความตั้งใจของตนทั้งหมดทั้งสิ้น จะไม่มีการมาเสียเวลากับคนที่ไม่ทำเป็นอันขาด
อีกไม่นาน เราท่านจะได้เห็นธรรมทั้งสองหมวดของพระภูมีอุบัติขึ้น นั่นคือ ธรรมหลุดพ้นในประเทศพม่า แลธรรมหลุดจากโรคในประเทศไทย
แล้วจะรู้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนและให้ฝึกปฏิบัติ นี่แหละคือใบผ่านในการไปถึงแผ่นดินนั้น และเมื่อสร้างบุญได้ กลับมาทานสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า ผลสำเร็๗ ก็รวดเร็ว ไม่อืดเป็นเรือเกลือเช่นปัจจุบัน
จึงชวนให้สร้างคุณสมบัติ แล้วรอวันที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ประกาศตน อันเป็นการสิ้นสุดยุคพระโคดม แลเริ่ม พุทธศํกราชที่ ๑
ประเภทที่ยังยึดว่าไปเหยียบแผ่นดินอินเดีย เพื่อแสวงบุญ นั้นไม่มีแล้ว เพราะพระโคดมท่านไปแล้ว แผ่นดินนั้นหมดค่าไปแล้ว... ทำให้ตายก็หาบุญมาเยียวยาตนไม่ได้สักกะผีก
โน่นไปพม่า แล้วรับธรรมมาปฏิบัติสักข้อ เท่านี้ โรคก็เผ่นป่าราบแล้ว หากปฏิบัติธรรมที่รับมานั้นได้
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ความตั้งใจในการมาสร้างพระคงไม่สามารถลุล่วง หากแต่ธรรมของพระภูมี มีอยู่สองกลุ่มนั่นคือ ธรรมหมวดหลุดพ้น ใช้สำหรับผู้ประสงค์นิพพาน แลธรรมหมวดสมุนไพร ใช้สำหรับผู้ประสงค์ความไม่มีโรค
เมื่อความตั้งใจสร้างพระไม่สำเร็จ ก็ต้องไปทำใหม่ในประเทศพม่า หากแต่จะทิ้งธรรมหมวดสมุนไพรให้หลวงพ่อนิพนธ์ทำแทน ประการหนึ่งก็เพื่อเป็นการทดแทนแผ่นดินเกิด แทนตัวท่าน
การใช้ธรรมหมวดสมุนไพร ก็มีข้อจำกัด ด้วยเหตุแห่งฤทธิ์ของสมุนไพรมีจำกัด ซึ่งก็ใช้ช่วยได้ในระดับหนึ่ง หากแต่ผลของสมุนไพรจะมหาศาลเพิ่มมากขึ้น นั่นก็แปรตามพฤติกรรมของผู้ทาน
สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับหลวงพ่อนิพนธ์ ในการสอนให้คนป่วยเพื่อช่วยตน ดังนั้น กระบวนการช่วยเหลือในระยะแรกๆ หากจะหวังผลสำเร็จ จึงมักใช้แนวทางให้ชักชวนผู้นั้นให้บวช เพื่อให้มีพฤติกรรมด้วยนั่นเอง
แลคนที่บวชในยุคแรกๆ ก็เรียกได้ว่าเป็นการลองของก็ว่าได้ เพราะพระส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ผู้ป่วยยาเสพติด ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ป่วยที่มีอาการประเภทหมอทิ้ง อาทิ โรคเอดส์ มะเร็งสมอง โรคชักรุนแรง .. เป็นต้น แลคนเหล่านั้น ก็ยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้
มาวันนี้ เหลือแต่หนทางสมุนไพรเพียงอย่างเดียว จึงใช้เวลานานในการช่วยตน ผู้คนที่ประสพผลจึงมีน้อย
ความหวังในอนาคต ที่จะต้องพึงเกิดอย่างแน่นอน นั่นคือ พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติในพม่า ดังนั้น หนทางที่จะย่นระยะเวลาในการฟื้นฟูตนของผู้ป่วย นั่นคือ การนำพาผู้ป่วย ไปเป็นผู้สนับสนุนในการปฏิบัติ ของพระของพระพุทธเจ้า
นั่นหมายความว่า ในอนาคต จากเดิมที่ใช้สมุนไพร แลข้อปฏิบัติเล็กน้อย เช่นการสวดมนต์ ในการสร้างบุญ ซึ่งก็ได้ในระดับหนึ่ง จะกลายเป็นการสร้างบุญเป็นหลัก แล้วใช้สมุนไพรเสริม ซึ่งจะทำให้ระยะในการช่วยตน สั้นลงกว่าเดิมมากนัก
ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ของการทานสมุนไพร จึงเน้นไปที่คุณสมบัติของผู้ทานเป็นสำคัญ นั่นหมายถึง บทอุเบกขาของพระภูมี กำลังจะถูกนำมาใช้ อันหมายความว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสมาสัมผัส ผู้ที่จะเข้าถึง ต้องมีพฤติกรรมสอดคล้อง กับ หลักของพระภูมี เป็นสำคัญ
เราก็จะเห็นยักษ์หน้าโบสถ์มากมาย แลเห็นผู้ประสพความสำเร็จในแนวทางสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น เมื่อหนทางบุญ หรือ ต้นทางสายบุญได้เปิด ให้สัมผัส
เราจึงอยากเตือนว่า คุณสมบัติดังกล่าวคือการลดกิริยา เมื่ออยู่ในเขตที่กำหนด คือบัตรผ่านที่จะเข้ามาในแผ่นดินของเขา
ใครที่ตอนนี้ไม่ยอมฝึก ไม่หัดควบคุมกิริยา ดำรงกรรมฐาน เมื่อวันนั้นมาถึง แล้วทำไม่ได้ ผู้คัดเลือกก็จักต้องคัดออก กลายไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ อย่างแน่นอน
เพราะศาสน์ของพระภูมีเอาผล ไม่เอาปริมาณ แม้นมีน้อย แต่นั่นหมายถึง ทุกคนที่ถูกคัดกรองมาล้วนสำเร็จตามความตั้งใจของตนทั้งหมดทั้งสิ้น จะไม่มีการมาเสียเวลากับคนที่ไม่ทำเป็นอันขาด
อีกไม่นาน เราท่านจะได้เห็นธรรมทั้งสองหมวดของพระภูมีอุบัติขึ้น นั่นคือ ธรรมหลุดพ้นในประเทศพม่า แลธรรมหลุดจากโรคในประเทศไทย
แล้วจะรู้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนและให้ฝึกปฏิบัติ นี่แหละคือใบผ่านในการไปถึงแผ่นดินนั้น และเมื่อสร้างบุญได้ กลับมาทานสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า ผลสำเร็๗ ก็รวดเร็ว ไม่อืดเป็นเรือเกลือเช่นปัจจุบัน
จึงชวนให้สร้างคุณสมบัติ แล้วรอวันที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ประกาศตน อันเป็นการสิ้นสุดยุคพระโคดม แลเริ่ม พุทธศํกราชที่ ๑
ประเภทที่ยังยึดว่าไปเหยียบแผ่นดินอินเดีย เพื่อแสวงบุญ นั้นไม่มีแล้ว เพราะพระโคดมท่านไปแล้ว แผ่นดินนั้นหมดค่าไปแล้ว... ทำให้ตายก็หาบุญมาเยียวยาตนไม่ได้สักกะผีก
โน่นไปพม่า แล้วรับธรรมมาปฏิบัติสักข้อ เท่านี้ โรคก็เผ่นป่าราบแล้ว หากปฏิบัติธรรมที่รับมานั้นได้
วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557
น้ำทิพย์หรือน้ำกรด
กติกาดังกล่าว ย่อมเป็นที่น่าเบื่อหน่าย แต่ก็ต้องทำอย่างเสียมิได้ ฟังไปบ่นไป ฟังไปเบื่อไป หรือไม่ก็นั่งเล่นโทรศัพท์ นั่งเล่นเกม อ่านแชท อ่านหนังสือ หรือทำงานของตน ไปแก้เซ็ง ก็มีให้เห็นกันดาดดื่น นั่นคือ กลุ่มคนที่มาเพื่อหวังสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
หากแต่ความเป็นจริงที่พบเห็นกันดาดดื่น นั่นคือ คนทั้งโลก ล้วนแล้วแต่ค้นหายารักษาโรค แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่ประสพผล ไม่ว่าวิธีใด ก็ล้วนแล้วแต่เหมือนพลุที่จุดขึ้นท้องฟ้า ให้ความหวังเพียงวูปเดียว นั่นคือ แรกๆ ที่กำลังใจดี มีความหวัง สุดท้าย ก็ดับแล้วตกวูบ
ก็แล้วคนที่มา จะมาทำแบบเดียวกันที่นี่ ให้ประสพผล หลวงพ่อนิพนธ์บอก ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะโรคมันเป็นเพียงปลายเหตุ หากแต่ต้นเหตุแห่งโรค คือ กรรมที่ทำมา จะปฏิเสธสักฉันใด ก็หนีไม่พ้น
หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ จึงชี้ให้เห็น การรักษาโรค ด้วยหลักตนพึ่งตน นั้น จักต้องทำสองทางในเวลาเดียวกัน จึงจักพ้น นั่นคือ ทานสมุนไพรรักษาโรค และปฏิบัติธรรมเพื่อแก้กรรม ที่ทำมา อันเป็นต้นเหตุแห่งโรค
ผลแห่งโรค นั่นปฏิเสธเลยไม่ได้ว่า เป็นผลจากการกระทำที่ผิด หากแต่ผิดอย่างไร ในเมื่อทุกคนยืนยันว่า ตัวเองเป็นคนดี ไม่เคยทำผิด ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เข้าวัดเข้าวา ทำบุญมาตั้งแต่เด็ก สร้างโบสถ์ สร้างศาลา มาแต่อ้อนแต่ออก
การมาฟัง นั่นคือ การชี้หรือสอนให้เห็นว่า การกระทำนั้นผิดอย่างไร แลที่ถูกต้องทำอย่างไร เรียนรู้แล้วไปทำเพื่อช่วยตน
ยิ่งกว่าถูกครูตีเสียอีก เพราะคำพูดที่สอนมันเสียดแทงใจ จนแม่ชีเมี้ยนเคยตรัสว่า คำสอนของพระภูมี ยิงปุทะลุใจ มันบาดจิตบาดใจเหลือเกิน
ดังนั้นคำสอน สำหรับบางคน จึงเป็นดั่งน้ำทิพย์ที่ชโลมใจ ทำให้เกิดความสงบ นั่นคือ ปลงแล้วยอมรับ ในความเจ็บที่จะต้องเกิด ความทุกข์ ไม่ว่าจากการมานั่งสวดมนต์ ทำกรรมฐาน แลปฏิบัติธรรม เรียกได้ว่า ทำใจให้ยอมทุกข์ เพื่อสัมผัสพุทธดำรัส ที่ตรัสว่า ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า ยิ้มรับทุกข์ที่ต้องเผชิญ เพราะรู้ดีว่า ทุกครั้งที่ทุกข์ นั่นย่อมหมายถึงหนี้กรรมที่ลดน้อยถอยลงไป แลสักวันจักต้องหมด
ในขณะที่บางส่วน คำสอน มันบาดใจ แล้วยังรับไม่ได้ เพราะคนพูดไม่ใช่พระ แถมพูดเรื่องที่ไม่ถูกกับจริตของตนเสียอีก คิดแต่ว่า เมื่อไหร่จะจบว่า เบื่อฉิบหาย ตัวของตัว ก็มีครูบาอาจารย์มากหลาย เป็นเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมีชื่อเสียง แล้วสิ่งที่ทำจักผิดได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณาทางเลือกสองทาง ทางแรกคือ วางเกจิอาจารย์ของตนไว้ชั่วคราวก่อน แล้วลองมาใช้แนวทางของแม่ชีเมี้ยนเพื่อช่วยตน เมื่อพ้นแล้วจะกลับไปทำเหมือนเดิม นับถือเกจิเดิม ก็ไม่ว่ากัน
หรือ เมื่อรับไม่ได้ ไม่อยากทำ แนวทางของแม่ชีเมี้ยน จะมัวมาหวังแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็จักเสียเวลาเปล่า หาผลสำเร็จไม่ได้ อย่างดีด้วยฤทธฺ์ของสมุนไพร ก็ได้แค่ปะทังหรือยืดเวลาเท่านั้น จึงเป็นการดีสำหรับคนกลุ่มนี้ ที่จะบ้านใครบ้านมัน
นั่นคือ การร้องขอให้ทำบุญ ด้วยการจากไป เพื่อให้สมุนไพรที่จะต้องเสียไป ได้ไปสู่คนที่ต้องการและจำเป็น มุ่งมั่นช่วยตน จะดีกว่าไหม
บทสรุปของคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ มีวงจำกัด และที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ จะมีผลก็แต่เฉพาะคนอยากทำ อยากได้
ภาพที่ชัดเจน นั่นคือ ย้อนยุคพระโคดม ที่เรียกได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ ด้วยวรรณะ วาจา ทำให้ได้รับการยอมรับโดยง่าย ยังมีสาวกแค่ไม่ถึงแสน เมื่อเทียบกับ คนอินเดียที่มีเป็นร้อยล้านคน ก็ว่าน้อยแล้ว ถ้าเทียบกับคนทั้งโลก ยิ่งน้อยกว่าน้อย
คนมีพรหมลิขิตเป็นอำนาจ ถึงไม่มีศาสนา ก็ดำรงตนอยู่ได้ ด้วยกรรมเลี้ยง จนจบพรหมลิขิต ... สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ คือ ธรรมหมวดสมุนไพร จึงเหมาะแก่คนที่เบื่อการเจ็บ อยากให้วิญญาณปลอดจากโรค พูดง่ายๆ อยากสัมผัส ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค ... หากแต่คนที่ไม่เลือกแนวทางนี้ เขาก็อยู่ได้ จนครบพรหมลิขิตเช่นกัน และเป็นส่วนใหญ่เสียด้วย ...
นั่นหมายความว่า คนที่คิดจะเดินทางสายนี้ การประพฤติตน จึงต้องมีความแตกต่างจากคนทั่วไป มีกาละเทศะ มีที่เว้น ที่วาง ละพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง มีภาระผูกพัน นั่นคือ วันเวลาในการทำกิจกรรม ...
สิ่งเหล่านี้ ย่อมได้มาจากการฟัง เรียนรู้ แล้วไปทำเอง เพื่อช่วยตน ... คำสอน จึงเป็นน้ำทิพย์ที่จำเป็นยิ่ง เพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง วิญญาณสงบ สามารถสู้กับกรรม ... ที่คนทั้งโลกสู้ไม่ได้ ได้อย่างมั่นใจว่า ท้ายที่สุด ตนของตน ย่อมจักเป็นผู้ชนะ ด้วยธรรมชนะอธรรม ตามพุทธดำรัสนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนจึงบอกเคล็ดในการดูว่า ผลสำเร็จจักเกิดกับผู้ใดว่า ก็ดูว่าผู้นั้น รักษาความสงบ รักษากรรมฐานของตนได้หรือไม่ เพราะเมื่อคนเรียนรู้ แล้วทำ ก็จะควบคุมตน ลดกิริยา หลักนี้ ใครทำ ใครได้ .. คนที่หาความสงบไม่ได้ ... ย่อมไม่มีทางประสพผล แลความสงบนี้เอง เป็นสัญญลักษณ์ อันโดดเด่นของศาสน์พระภูมี ที่กรรมมันกลัว
วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557
ยักษ์พวกแรก ยุคนี้
บรรดาเกจิคณาจารย์ ทั้งหลาย ที่ตั้งตนเองขึ้นมา หลังจากการแตกของถ้ำกระบอก ทั้ง ๗ สำนักนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อนิพนธ์ ทั้งหมด ทั้งสิ้น
เมื่อแตกออกไป ก็หาได้นำคำสอนของแม่ชีเมี้ยน และหลวงพ่อนิพนธ์ไปปฏิบัติไม่ หากแต่นำเอาวิชาความรู้ที่ได้ ไปสร้างวัตถุ สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเองแทน นั่นหมายความว่า ล้วนแล้วแต่เดินในเส้นทาง เอาศาสนามาหากิน
วันเวลาผ่านไป เกจิเหล่านั้น ก็มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชา สร้างวัดที่ใหญ่โต หลายร้อยล้าน เป็นที่นับหน้าถือตา
การช่วยของหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เกจิเหล่านั้น เมื่อหายดี มีกำลัง แรกๆก็เลื่อมใส อยากบวช ทำตามคำสอนพระภูมี หากแต่เมื่อแตกออกไป ล้วนแล้วแต่นำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด
ผลก็คือ เมื่อวันเวลามาถึง พระเกจิเหล่านี้ ก็ถึงทางตัน นั่นคือ ผลผิดเกิด กลายเป็นโรคร้ายแรง ครบถ้วยทุกตัวคน
เมื่อเกจิเหล่านี้ ทราบว่าหลวงพ่อนิพนธ์เปิดให้การรักษาอีกครั้ง ก็รู้ดีว่า คนทั้งโลกใครก็่ช่วยไม่ได้ จะมีก็แต่หลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้น ก็ตั้นด้นมาหา หวังในความเป็นลูกศิษย์เก่าแก่
อาทิเช่น ท่านโกวินทะ แห่งวัดไผ่รื่นรมย์ ที่โด่งดังของนครปฐม ผู้ซึ่งเป็นโรคหัวใจร้ายแรง เมื่อแพทย์ตรวจและรายงานผลให้ทราบ ก็มาหาหลวงพ่อนิพนธ์
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ ให้แก่ท่านโกวินทะ นั่นคือ ใครคนใดในโลก ก็สามารถรักษาให้ได้ หากแต่ท่าน เป็นผู้ที่เรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระภูมีแล้วไซร้ แต่กลับนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ด้วยความรู้นี้ ทำให้ตนรอดพ้นวิกฤตในอดีตมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อผลผิดบังเกิดด้วยเหตุนี้ นั่นหมายความว่า ธรรมไม่มีผลอันใดต่อท่าน นั่นย่อมหมายถึง สมุนไพร ก็จักไม่มีผลอันใดเฉกเช่นเดียวกัน ทานไปก็ไร้ประโยชน์
ยักษ์หน้าโบสถ์กลุ่มแรก ในยุคนี้ จึงเป็นพระถ้ำกระบอกนั่นเอง หลายต่อหลายองค์ ที่เมื่อประสพชะตากรรม ก็ได้แต่ชะแง้ดูคนเขาช่วยตนจนหาย ส่วนตัวเองได้แต่เห็น ได้แต่มอง อยากสักเพียงใด ก็เข้ามาไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น ท่านโกวินทะ ท่านแพง ...
นั่นหมายถึง รู้ว่ามีหนทางรอด แต่ไปไม่ได้นั่นเอง
ยักษ์รุ่นต่อไป ที่เรามองเห็น ก็เป็นพวกคนไข้ที่มาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพผล แล้วก็ทำตัวเหมือน ขึ้นฝั่งได้ ทุบท่าทิ้งเลย โดยไม่คิดว่าวันข้างหน้าของตน อาจจะต้องมาพึ่งท่าอีกก็เป็นได้ นั่นคือ ไปไม่เหลียวหลัง ไปแล้วไปลับ ทำตนเหมือนไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นกัน ไม่มีเยื่อใยใดๆ กับแผ่นดินที่ตนเองเคยมาใช้กอบกู้ชีวิตเลย
ยักษ์เหล่านี้ เมื่อกรรมปล้องต่อไปมาถึง ด้วยความอายก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะรอยที่ทำมันค้ำอยู่ ก็หันไปพึ่งทางอื่น จนในที่สุด ความจริงก็ฟ้อง นั่นคือ สภาพร่างกายไม่ไหว ... ก็มาร้องขอ ให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยอีกครั้ง
ยักษ์พวกนี้ ยิ่งวันยิ่งเยอะ หากแต่ด้วยพฤติกรรมที่ทำ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ต้องอุเบกขา ปฏิเสธการเข้ามาของพวกเขา
เราจึงอยากเตือนว่า จะทำอะไร ก็พึงคิดบ้าง อย่ามีพฤติกรรม เหมือนคนรุ่นเก่า ที่ทำรอยให้เห็น เพราะนั่นเท่ากับตัดทางเลือกของตนเอง และวงศ์วานว่านเครือ ไม่ให้เข้ามาถึงสิ่งที่ดีงามได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักพูดเล่นๆ เสมอว่า ... ตัวของหลวงพ่อนิพนธ์ ขาดเราท่าน ไม่เป็นไร เพราะจะมีคนใหม่ที่อยากได้มาแทนอย่างแน่นอน หากแต่เราท่าน ขาดหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นหมายถึง ทางเลือกที่จะช่วยให้รอด ถูกปิดลง
นั่นแลพฤติกรรมที่จะทำให้ตนของเราท่าน กลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ รู้เห็นอยากได้ แต่เอื้อมไม่ถึง
เมื่อแตกออกไป ก็หาได้นำคำสอนของแม่ชีเมี้ยน และหลวงพ่อนิพนธ์ไปปฏิบัติไม่ หากแต่นำเอาวิชาความรู้ที่ได้ ไปสร้างวัตถุ สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเองแทน นั่นหมายความว่า ล้วนแล้วแต่เดินในเส้นทาง เอาศาสนามาหากิน
วันเวลาผ่านไป เกจิเหล่านั้น ก็มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชา สร้างวัดที่ใหญ่โต หลายร้อยล้าน เป็นที่นับหน้าถือตา
การช่วยของหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เกจิเหล่านั้น เมื่อหายดี มีกำลัง แรกๆก็เลื่อมใส อยากบวช ทำตามคำสอนพระภูมี หากแต่เมื่อแตกออกไป ล้วนแล้วแต่นำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด
ผลก็คือ เมื่อวันเวลามาถึง พระเกจิเหล่านี้ ก็ถึงทางตัน นั่นคือ ผลผิดเกิด กลายเป็นโรคร้ายแรง ครบถ้วยทุกตัวคน
เมื่อเกจิเหล่านี้ ทราบว่าหลวงพ่อนิพนธ์เปิดให้การรักษาอีกครั้ง ก็รู้ดีว่า คนทั้งโลกใครก็่ช่วยไม่ได้ จะมีก็แต่หลวงพ่อนิพนธ์เท่านั้น ก็ตั้นด้นมาหา หวังในความเป็นลูกศิษย์เก่าแก่
อาทิเช่น ท่านโกวินทะ แห่งวัดไผ่รื่นรมย์ ที่โด่งดังของนครปฐม ผู้ซึ่งเป็นโรคหัวใจร้ายแรง เมื่อแพทย์ตรวจและรายงานผลให้ทราบ ก็มาหาหลวงพ่อนิพนธ์
คำตอบที่หลวงพ่อนิพนธ์ ให้แก่ท่านโกวินทะ นั่นคือ ใครคนใดในโลก ก็สามารถรักษาให้ได้ หากแต่ท่าน เป็นผู้ที่เรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระภูมีแล้วไซร้ แต่กลับนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ด้วยความรู้นี้ ทำให้ตนรอดพ้นวิกฤตในอดีตมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อผลผิดบังเกิดด้วยเหตุนี้ นั่นหมายความว่า ธรรมไม่มีผลอันใดต่อท่าน นั่นย่อมหมายถึง สมุนไพร ก็จักไม่มีผลอันใดเฉกเช่นเดียวกัน ทานไปก็ไร้ประโยชน์
ยักษ์หน้าโบสถ์กลุ่มแรก ในยุคนี้ จึงเป็นพระถ้ำกระบอกนั่นเอง หลายต่อหลายองค์ ที่เมื่อประสพชะตากรรม ก็ได้แต่ชะแง้ดูคนเขาช่วยตนจนหาย ส่วนตัวเองได้แต่เห็น ได้แต่มอง อยากสักเพียงใด ก็เข้ามาไม่ได้ เอื้อมไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็น ท่านโกวินทะ ท่านแพง ...
นั่นหมายถึง รู้ว่ามีหนทางรอด แต่ไปไม่ได้นั่นเอง
ยักษ์รุ่นต่อไป ที่เรามองเห็น ก็เป็นพวกคนไข้ที่มาใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จนประสพผล แล้วก็ทำตัวเหมือน ขึ้นฝั่งได้ ทุบท่าทิ้งเลย โดยไม่คิดว่าวันข้างหน้าของตน อาจจะต้องมาพึ่งท่าอีกก็เป็นได้ นั่นคือ ไปไม่เหลียวหลัง ไปแล้วไปลับ ทำตนเหมือนไม่เคยพบ ไม่เคยเห็นกัน ไม่มีเยื่อใยใดๆ กับแผ่นดินที่ตนเองเคยมาใช้กอบกู้ชีวิตเลย
ยักษ์เหล่านี้ เมื่อกรรมปล้องต่อไปมาถึง ด้วยความอายก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะรอยที่ทำมันค้ำอยู่ ก็หันไปพึ่งทางอื่น จนในที่สุด ความจริงก็ฟ้อง นั่นคือ สภาพร่างกายไม่ไหว ... ก็มาร้องขอ ให้หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยอีกครั้ง
ยักษ์พวกนี้ ยิ่งวันยิ่งเยอะ หากแต่ด้วยพฤติกรรมที่ทำ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ต้องอุเบกขา ปฏิเสธการเข้ามาของพวกเขา
เราจึงอยากเตือนว่า จะทำอะไร ก็พึงคิดบ้าง อย่ามีพฤติกรรม เหมือนคนรุ่นเก่า ที่ทำรอยให้เห็น เพราะนั่นเท่ากับตัดทางเลือกของตนเอง และวงศ์วานว่านเครือ ไม่ให้เข้ามาถึงสิ่งที่ดีงามได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักพูดเล่นๆ เสมอว่า ... ตัวของหลวงพ่อนิพนธ์ ขาดเราท่าน ไม่เป็นไร เพราะจะมีคนใหม่ที่อยากได้มาแทนอย่างแน่นอน หากแต่เราท่าน ขาดหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นหมายถึง ทางเลือกที่จะช่วยให้รอด ถูกปิดลง
นั่นแลพฤติกรรมที่จะทำให้ตนของเราท่าน กลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ รู้เห็นอยากได้ แต่เอื้อมไม่ถึง
วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557
ผ่าน
การไปพม่าครั้งนี้ เราคิดว่ามีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเราท่าน โดยเฉพาะการตอกย้ำคำขออนุญาตในการทำสมุนไพร ที่ถูกเรียกขานว่า ราชาสมุนไพร นั่นคือ ยาตัด
เมื่อครั้งวันงาน ก็ยังไม่รู้หรือแน่ใจว่า แม่ชีเมี้ยนจะทรงอนุญาตหรือไม่ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ยังลังเลในการดำเนินโครงการ
หากแต่การเยือนพม่าครั้งนี้ ได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้ทำได้แล้วนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับอนุญาตให้ทำสมุนไพรที่เป็นสมุนไพรสนับสนุนในการแก้ไขอาการเฉพาะของโรค เช่นมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ... อีกชุดหนึ่งด้วย
นั่นย่อมหมายความว่า โอกาสที่คนที่เชื่อ ศรัทธา ในสมุนไพรแมพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ย่อมมีโอกาสประสพความสำเร็จ ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น
นี่เป็นเรื่องน่ายินดี .. หากแต่มีสิ่งที่น่ายินดีที่มาพร้อมกันอีกอย่าง ที่มีผลต่อคนป่วย
หลังจากการแจ้งของแพทย์ประจำโรงพยาบาลอำเภอ ในการแจ้งร้องเรียนไปยังกรม เพื่อดำเนินการกับมูลนิธิ ดังที่เคยเล่าไปก่อนหน้า
ก็มีแพทย์ ๓ ท่าน ที่สองท่านแรก แม่เป็นมะเร็ง แล้วมาใช้แนวทางสมุนไพรจนประสพผลสำเร็จ อีกท่านหนึ่ง เป็นสมาชิกที่มีอาการดีวันดีคืน ในการรักษาดวงตาของคุณหมอเองที่อาจารย์ของหมอที่เป็นหมอมือหนึ่งของโลกในสาขานี้ บอกไม่มีทางรักษา ทั้งสามท่าน ยินดีที่จะมาร่วม โดยอนุญาตให้ใช้ชื่อ เพื่อผลทางกฎหมาย และประจำการ ในโครงการมะเร็ง ที่กำลังก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่นี้
นั่นยิ่งทำให้เห็นแววของโครงการนี้ว่า โอกาสในการช่วยฟื้นฟูผู้ป่วย ย่อมมีโอกาสสูง กว่าปัจจุบันมากนัก
การทำสมุนไพรสูตรสำคัญ ได้รับอนุญาต .. ผ่าน การสนับสนุนจากแพทย์ เพื่อผลทางกฎหมาย ... ผ่าน เครื่องจักรที่จะนำมาใช้ในการแปรรูป เพื่อให้ทานง่าย และได้ปริมาณ ... หลวงพ่อนิพนธ์รับผิดชอบเอง ... ผ่าน เหลือแต่การร่วมมือร่วมใจชองสมาชิก ที่จะลงแรง ในการสร้า่งอาคาร ่ร่วมกับการจัดหาวัสดุของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้อาคารแล้วเสร็จ พร้อมใช้ แลการสนับสนุนวัตถุดิบสมุนไพร บางสิ่ง บางอย่าง เพื่อลดภาระของหลวงพ่อนิพนธ์ จนกว่า แหล่งวัตถุดิบในพม่า จะสามารถออกดอก ออกผล มาสนับสนุน ไม่ต้องซื้อ ... นี่ซิน่าห่วง จะผ่านหรือไม่
แต่ภาพในอดีต ทำให้เราเชื่อว่า ต้องมีสมาชิกที่เห็นค่า แล้วมาร่วม ทำให้กิจกรรมไปรอด โดยไม่ต้องพึ่งพาคนนอก ที่ไม่ได้มาทานสมุนไพร หรือได้ประโยชน์จากสมุนไพร .... อันแสดงให้เห็น ซึ่งหลัก ตนพึ่งตน เป็นแน่แท้
รออีกนิด ม่านกำลังจะเปิดแล้ว แล้วมาดูกันว่า ฤทธิ์ของสมุนไพร เมื่อครั้งถ้ำกระบอก จะกลับมาให้เห็นอีกครั้ง แล้วจะได้รู้ว่า ทำไมถ้ำกระบอกจึงเป็นตำนานเล่าขานมาจนทุกวันนี้
เมื่อครั้งวันงาน ก็ยังไม่รู้หรือแน่ใจว่า แม่ชีเมี้ยนจะทรงอนุญาตหรือไม่ ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ยังลังเลในการดำเนินโครงการ
หากแต่การเยือนพม่าครั้งนี้ ได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้ทำได้แล้วนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับอนุญาตให้ทำสมุนไพรที่เป็นสมุนไพรสนับสนุนในการแก้ไขอาการเฉพาะของโรค เช่นมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ... อีกชุดหนึ่งด้วย
นั่นย่อมหมายความว่า โอกาสที่คนที่เชื่อ ศรัทธา ในสมุนไพรแมพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ย่อมมีโอกาสประสพความสำเร็จ ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น
นี่เป็นเรื่องน่ายินดี .. หากแต่มีสิ่งที่น่ายินดีที่มาพร้อมกันอีกอย่าง ที่มีผลต่อคนป่วย
หลังจากการแจ้งของแพทย์ประจำโรงพยาบาลอำเภอ ในการแจ้งร้องเรียนไปยังกรม เพื่อดำเนินการกับมูลนิธิ ดังที่เคยเล่าไปก่อนหน้า
ก็มีแพทย์ ๓ ท่าน ที่สองท่านแรก แม่เป็นมะเร็ง แล้วมาใช้แนวทางสมุนไพรจนประสพผลสำเร็จ อีกท่านหนึ่ง เป็นสมาชิกที่มีอาการดีวันดีคืน ในการรักษาดวงตาของคุณหมอเองที่อาจารย์ของหมอที่เป็นหมอมือหนึ่งของโลกในสาขานี้ บอกไม่มีทางรักษา ทั้งสามท่าน ยินดีที่จะมาร่วม โดยอนุญาตให้ใช้ชื่อ เพื่อผลทางกฎหมาย และประจำการ ในโครงการมะเร็ง ที่กำลังก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่นี้
นั่นยิ่งทำให้เห็นแววของโครงการนี้ว่า โอกาสในการช่วยฟื้นฟูผู้ป่วย ย่อมมีโอกาสสูง กว่าปัจจุบันมากนัก
การทำสมุนไพรสูตรสำคัญ ได้รับอนุญาต .. ผ่าน การสนับสนุนจากแพทย์ เพื่อผลทางกฎหมาย ... ผ่าน เครื่องจักรที่จะนำมาใช้ในการแปรรูป เพื่อให้ทานง่าย และได้ปริมาณ ... หลวงพ่อนิพนธ์รับผิดชอบเอง ... ผ่าน เหลือแต่การร่วมมือร่วมใจชองสมาชิก ที่จะลงแรง ในการสร้า่งอาคาร ่ร่วมกับการจัดหาวัสดุของหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อให้อาคารแล้วเสร็จ พร้อมใช้ แลการสนับสนุนวัตถุดิบสมุนไพร บางสิ่ง บางอย่าง เพื่อลดภาระของหลวงพ่อนิพนธ์ จนกว่า แหล่งวัตถุดิบในพม่า จะสามารถออกดอก ออกผล มาสนับสนุน ไม่ต้องซื้อ ... นี่ซิน่าห่วง จะผ่านหรือไม่
แต่ภาพในอดีต ทำให้เราเชื่อว่า ต้องมีสมาชิกที่เห็นค่า แล้วมาร่วม ทำให้กิจกรรมไปรอด โดยไม่ต้องพึ่งพาคนนอก ที่ไม่ได้มาทานสมุนไพร หรือได้ประโยชน์จากสมุนไพร .... อันแสดงให้เห็น ซึ่งหลัก ตนพึ่งตน เป็นแน่แท้
รออีกนิด ม่านกำลังจะเปิดแล้ว แล้วมาดูกันว่า ฤทธิ์ของสมุนไพร เมื่อครั้งถ้ำกระบอก จะกลับมาให้เห็นอีกครั้ง แล้วจะได้รู้ว่า ทำไมถ้ำกระบอกจึงเป็นตำนานเล่าขานมาจนทุกวันนี้
วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557
ย้อนเกล็ด
หากแต่หลักของพระภูมี โรคมีความหมายว่าจะทำให้นอน ให้เราพึ่งผู้อื่น ดังนั้น หากทำเช่นนั้่นก็เข้าทางโรค ไม่มีวันหายอย่างเด็ดขาด
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอให้ย้อนเกล็ด เมื่อเราท่านรู้อยู่แล้วว่าเหตุที่มาของโรคคือกรรม ไม่ได้มาทำให้เราท่านตาย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำนั่นคือ การไม่ยอมนอน ทำตัวปกติ
แลยิ่งการใช้แรงที่เหลือไปทำในสิ่งที่ถูก นั่นคือ ให้สุขแก่ผู้อื่นด้วยแล้ว ยิ่งทำแรงก็ยิ่งเยอะ ยิ่งแข็งแรง
คนแล้วคนเล่าที่ใช้วิธีการนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลานสาวท่านชาติชาย ที่เป็นรูมะตอยด์ นั่งรถเข็น ทำอะไรไม่ได้ รอวันตาย หลวงพ่อนิพนธ์ก็ใช้แนวทางนี้ในการให้เขาช่วยตน จนกลายเป็นร้านขนมปังที่ขายในชมรมทุกวันนี้
ตัวอย่างล่าสุด ก็กรรมการที่เป็นอัมพฤกต์ ถึงขั้นต้องใช้ไม้เท้าประคองตัว เมื่อช่องทางการให้สุขผู้อื่นเปิดแก่เขา ก็ไม่รอช้าที่จะคว้าไว้
กรรมการท่านนี้ เป็นเจ้าของบริษัทเจาะเข็มระดับประเทศ รับงานเมืองนอก ตอกเข็มในทะเล หากแต่งานเหล่านั้น ก็ได้แต่ควบคุมสั่งการ เพราะนั่นเพียงแค่สัมมาอาชีพ
หากแต่การสร้างอาคารผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยความเป็นคนมีปัญญา เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์พูดสอนก็เข้าใจ ดังนั้น งานนี้เขาจึงเป็นผู้ลงมือเอง ควบคุมเอง ส่องกล้องเอง ดูแลงานอย่างใกล้ชิด เพียงแค่สองสัปดาห์ ก็ทิ้งไม้เท้า
หากเป็นที่อื่น ก็ต้องไปนั่ง นอน รอให้คนช่วย แล้วก็มีแต่ทรงกับทรุด วันนี้ด้วยการย้อนเกล็ด มาทำในสิ่งที่ถูก มายืนตากแดด เดินในที่ลำบาก ชี้มือชี้ไม้สั่งการดังในรูป ทำให้สภาพของเขาดีวันดีคืน
เมื่อผลถูกเกิด นั่นหมายความว่า สิ่งที่ทำนั้นถูก หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แนวทางนี้จึงใช้ได้กับทุกคน ดังนั้น จึงเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคน ที่อยากใช้แนวทางนี้ ในวันพฤหัส และอาทิตย์ ก็มาร่วมด้วยช่วยกัน ในการสร้างอาคารหลังนี้
รอยในอดีตของคนหายจากโรคที่ว่าไม่มีวันหาย ไม่ว่าอาคารมูลนิธิ อาคารสวดมนต์ อาคารโรงอาหาร ล้วนแล้วแต่เกิดจากคนป่วยทั้งสิ้น แลผลก็ทำให้คนเหล่านั้นไม่ผิดหวัง
เมื่อช่องนี้เปิด ก็ควรรีบคว้า อย่าทำตนเป็นคนนั่งดูอย่างเดียว เมื่อถึงเวลาแล้วเสร็จ ก็มาใช้ประโยชนฺ์ นั่นคือ ชูชก หากแต่ใช้น้ำเหงื่อน้ำแรงของเรา แม้นจะน้อยนิด แต่ก็มีส่วน เวลามาใช้ก็ไม่เป็นหนี้ใคร ...
ศาสนาของแม่ชีเมี้ยน คือ ศาสนาทำ ใครทำใครได้ อยากได้ เรียนรู้แล้วทำเอง .. นั่งรอ ขอพร ขอให้ตายก็ไม่มีวันสมหวัง
โอกาสทองมาแล้ว ไปลองดูกันไหม
สิ่งนี้ทำให้เรานึกย้อนอดีตที่สร้างอาคารมูลนิธิ มีคนไข้ท่านหนึ่งเป็นโรคหัวใจ หลวงพ่อนิพนธ์บอกไปเข้าแถวหิ้วปูนไป เขาก็ไปเป็นคนแรก ยืนหัวแถว หิ้วปูนเป็นชั่วโมง จนแล้วเสร็จ เพื่อนที่เป็นคนพามาเห็นเข้า ร้องตะโกนบอกว่า เฮ้ย หมอบอกเอ็งออกแรงไม่ได้น่ะ เหนื่อยมากหัวใจจะล้มเหลว ตายเอาง่ายๆ หากแต่เขาก็ทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ จนอาคารแล้วเสร็จ โรคหัวใจก็หายไปโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย
ไม่รู้จะมีคนที่บอกใกล้ตายใจกล้าแบบนี้ให้เห็นอีกไหม
วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557
ได้อย่างเสียอย่าง
การทานสมุนไพร ในรูปแบบเดิม หลายคนจะพบประสพปัญหา นั่นคือ ทานยาก
การมาทำกิจกรรม อาทิเช่นการสวดมนต์ หลายคนก็สู้ไม่ไหว ทนไม่ได้ต่อการนั่งกับพื้น ทำให้รักษากรรมฐานของตนไม่ได้
ปัญหาทำนองนี้ ทำให้หลายคนหมดโอกาสในการช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ด้วยความมีเมตตา อยากให้คนเหล่านี้มีโอกาส จึงได้ดำริ โครงการแปรรูปสมุนไพร และสร้างอาคารสวดมนต์ขึ้นใหม่ ให้เป็นแบบมีเก้าอี้นั่งให้ทุกคน
นั่นหมายความว่า ความสะดวกสบาย จะมากขึ้น ถูกจริตคนมากขึ้น โอกาสที่หลายคนจะฝ่าฟันให้พ้นในการช่วยตน ก็เปิดกว้างขึ้น
หากแต่สิ่งที่เสียไป นั่นคือ ขันติ อดทน ยิ่งไปกว่านั้น ก็เสียหนทางใช้กรรมไป อีกทางหนึ่ง
นั่นหมายความว่า ในอนาคต สมุนไพรจะทานได้ง่ายขึ้น มีจำนวนพอเพียงกับความจำเป็นของแต่ละบุคคล
แต่ผลแพ้ชนะ จะขึ้นกับพฤติกรรมของผู้ทาน มากยิ่งขึ้น
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในอนาคตอันใกล้ ใช่ว่าทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการช่วยตน หากแต่จะต้องผ่านการคัดกรอง คุณสมบัติ อย่างเข้มงวด เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าเลือกบุรุษที่จะมาเป็นสาวก ฉันใดก็ฉันนั้น
ในไม่ช้า เราท่านจะได้เห็นยักษ์หน้าโบสถ์ นั่นคือ คนที่อยากเข้ามาทานสมุนไพร แต่ไม่มีคุณสมบัตินั่นเอง ก็ได้แต่คอยชะแง้ แล้วเงี่ยหูฟัง ว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะพูดอะไร ที่จะเป็นการสร้างบุญ แล้วตนเองจะได้ไปทำบ้าง เพื่อเป็นบุญเลี้ยงตัว ส่วนประตูสมุนไพรนั้นถูกปิดตายสำหรับคนเหล่านี้ เพราะขาดคุณสมบัติ เขาจึงไม่อนุญาติให้เข้าโบสถ์นั่นเอง
ตอนนี้หลายคนอาจจะเบื่อเจ้าหน้าที่บางคน ที่คอยห้ามโน่น ห้ามนี่ ห้ามคุย ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามเล่นโทรศัพท์ ... หารู้ไม่ นั่นแหละเขาเตือนแล้วว่า การทำเช่นนั้นไม่เหมาะสม เพราะสถานที่นี้ต้องการความสงบ สมาธิ เพื่อสร้างกรรมฐาน วันหนึ่ง คนเหล่านี้แหละ จะกลายไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ เมื่อเป็นโรค อยากหาย จะเข้ามาก็ไม่ได้ จึงได้แต่เฝ้าอยู่หน้าโบสถ์นั่นเอง
การมาทำกิจกรรม อาทิเช่นการสวดมนต์ หลายคนก็สู้ไม่ไหว ทนไม่ได้ต่อการนั่งกับพื้น ทำให้รักษากรรมฐานของตนไม่ได้
ปัญหาทำนองนี้ ทำให้หลายคนหมดโอกาสในการช่วยตน
หลวงพ่อนิพนธ์ด้วยความมีเมตตา อยากให้คนเหล่านี้มีโอกาส จึงได้ดำริ โครงการแปรรูปสมุนไพร และสร้างอาคารสวดมนต์ขึ้นใหม่ ให้เป็นแบบมีเก้าอี้นั่งให้ทุกคน
นั่นหมายความว่า ความสะดวกสบาย จะมากขึ้น ถูกจริตคนมากขึ้น โอกาสที่หลายคนจะฝ่าฟันให้พ้นในการช่วยตน ก็เปิดกว้างขึ้น
หากแต่สิ่งที่เสียไป นั่นคือ ขันติ อดทน ยิ่งไปกว่านั้น ก็เสียหนทางใช้กรรมไป อีกทางหนึ่ง
นั่นหมายความว่า ในอนาคต สมุนไพรจะทานได้ง่ายขึ้น มีจำนวนพอเพียงกับความจำเป็นของแต่ละบุคคล
แต่ผลแพ้ชนะ จะขึ้นกับพฤติกรรมของผู้ทาน มากยิ่งขึ้น
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ในอนาคตอันใกล้ ใช่ว่าทุกคนจะได้รับสิทธิ์ในการช่วยตน หากแต่จะต้องผ่านการคัดกรอง คุณสมบัติ อย่างเข้มงวด เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าเลือกบุรุษที่จะมาเป็นสาวก ฉันใดก็ฉันนั้น
ในไม่ช้า เราท่านจะได้เห็นยักษ์หน้าโบสถ์ นั่นคือ คนที่อยากเข้ามาทานสมุนไพร แต่ไม่มีคุณสมบัตินั่นเอง ก็ได้แต่คอยชะแง้ แล้วเงี่ยหูฟัง ว่า หลวงพ่อนิพนธ์จะพูดอะไร ที่จะเป็นการสร้างบุญ แล้วตนเองจะได้ไปทำบ้าง เพื่อเป็นบุญเลี้ยงตัว ส่วนประตูสมุนไพรนั้นถูกปิดตายสำหรับคนเหล่านี้ เพราะขาดคุณสมบัติ เขาจึงไม่อนุญาติให้เข้าโบสถ์นั่นเอง
ตอนนี้หลายคนอาจจะเบื่อเจ้าหน้าที่บางคน ที่คอยห้ามโน่น ห้ามนี่ ห้ามคุย ห้ามอ่านหนังสือ ห้ามเล่นโทรศัพท์ ... หารู้ไม่ นั่นแหละเขาเตือนแล้วว่า การทำเช่นนั้นไม่เหมาะสม เพราะสถานที่นี้ต้องการความสงบ สมาธิ เพื่อสร้างกรรมฐาน วันหนึ่ง คนเหล่านี้แหละ จะกลายไปเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ เมื่อเป็นโรค อยากหาย จะเข้ามาก็ไม่ได้ จึงได้แต่เฝ้าอยู่หน้าโบสถ์นั่นเอง
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557
เสียงจากพม่า
การไปเปิดศูนย์ชั่วคราวในพม่า ที่วัดเมตตา ทำให้รู้ได้ว่า แนวทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ได้รับการตอบรับ และเป็นความหวังของชาวพม่า
ด้วยศาลาวัด ขนาดเท่ากับห้องสวดมนต์ของชมรม สองชั้นเต็มไปด้วยผู้คน เจ้าหน้าที่พม่าแจ้งว่าประมาณเจ็ดร้อยครอบครัวที่มาในวันนี้
ทุกคนยินดีที่จะร่วมมือ สนับสนุนกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ปฐมฤกษ์ก็เป็นการปลูกต้นมะพร้าวนับหมื่นต้น ที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในอนาคต ได้โดยไม่ต้องซื้อ และเจอราคาที่โหดของพ่อค้า
สิ่งที่สำคัญยิ่งในการไปครั้งนี้ นั่นคือ คำเตือนจากแม่ชีเมี้ยนที่ฝากผ่านหลวงพ่อนิพนธ์ มายังคนไทย
ด้วยความเป็นห่วงว่า พฤติกรรมของคนไทยที่ถูกพราหมณ์ หรือพวกนอกรีต อาศัยศาสนามาหากิน ทำให้หลงทาง หลงไปกับการสร้างวัตถุ แลการสร้างพฤติกรรมที่จะทำกับพระแบบผิดๆ โดยอ้างบุญ จนทำให้คิดว่าเชื่อว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง ถูกครรลองของศาสนา
หากแต่วันใดที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่อุบัติขึ้นในแผ่นดินพม่า และสาวกเปิดตัวขึ้นวันใด สิ่งที่ปรากฎจะไม่เหมือนกับสิงที่คิด ที่เชื่อ และทำมาตลอดนั้นเลย
โดยเฉพาะการนำเงินไปถวายพระ อันเป็นการส่งเสริมกิเลสให้พระ ได้ทำตามความอยากของตน เรียกว่าเป็นการทำลายพระ ที่สำคัญ พระที่จะเป็นอรหันต์เสียด้วย ... นั่นหมายถึงกรรมอันมหาศาล
แลของจริงที่จักปรากฎ ก็จักย้อนอดีตกาลของพระโคดม นั่นคือ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีศาลา ให้เห็นเลย
หนทางบุญที่พระโคดมได้ทำรอยไว้ จักเห็นได้ว่า เริ่มจากการทิ้งวัง ทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดทั้งปวง นั่นหมายความว่า หนทางบุญที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาด้วยเงิน หากแต่มาด้วยการทำนิสัย ลดกิเลส ที่ตนมีต่างหาก
บทสรุปของคำเตือน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อบุญญาธิการของศาสนา คือ พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวกอุบัติ พฤติกรรมที่ถูกหรือผิด ผลจักมหาศาลทวีคูณ
นั่นหมายความว่า ข้าวถ้วยแกงขัน เมื่อได้ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะมีคุณค่ามหาศาล แค่ครั้งเดียว มะเร็งก็เผ่นป่าราบแล้วนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน หากแม้นนำเงินไปถวาย ก็ฉิบหาย ได้ในทันตาเห็นเช่นเดียวกัน
ด้วยคำเตือนถึงผลอันมหาศาลนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงเริ่มที่จะพูดย้ำบ่อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมใดที่ถูก อันไหนที่ผิด
นิสัย สร้างโบสถ์ ปิดทอง ฝังลูกนิมิต ... ไม่มีในพระพุทธศาสนาหรอก นั่นมันของพราหมณ์ แลพวกนอกรีต อ้างศาสนาหากิน ทำให้ตายก็ไม่ได้บุญ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเตือนให้เริ่มปรับตัว วันใดที่ของจริงเขาอุบัติ จะได้ไม่ทำผิด ... ตอนนี้มีแต่ของเก๊ ในยามที่ของจริงยังไม่ปรากฎ จึงแยกไม่ออก วันใดที่ปรากฎโฉม พวกเกจิคณาจารย์ ที่แอบอ้างทั้งหลาย ... จะล้มเป็นใบไม้ร่วง
ด้วยศาลาวัด ขนาดเท่ากับห้องสวดมนต์ของชมรม สองชั้นเต็มไปด้วยผู้คน เจ้าหน้าที่พม่าแจ้งว่าประมาณเจ็ดร้อยครอบครัวที่มาในวันนี้
ทุกคนยินดีที่จะร่วมมือ สนับสนุนกิจกรรมของหลวงพ่อนิพนธ์ ปฐมฤกษ์ก็เป็นการปลูกต้นมะพร้าวนับหมื่นต้น ที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในอนาคต ได้โดยไม่ต้องซื้อ และเจอราคาที่โหดของพ่อค้า
สิ่งที่สำคัญยิ่งในการไปครั้งนี้ นั่นคือ คำเตือนจากแม่ชีเมี้ยนที่ฝากผ่านหลวงพ่อนิพนธ์ มายังคนไทย
ด้วยความเป็นห่วงว่า พฤติกรรมของคนไทยที่ถูกพราหมณ์ หรือพวกนอกรีต อาศัยศาสนามาหากิน ทำให้หลงทาง หลงไปกับการสร้างวัตถุ แลการสร้างพฤติกรรมที่จะทำกับพระแบบผิดๆ โดยอ้างบุญ จนทำให้คิดว่าเชื่อว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง ถูกครรลองของศาสนา
หากแต่วันใดที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่อุบัติขึ้นในแผ่นดินพม่า และสาวกเปิดตัวขึ้นวันใด สิ่งที่ปรากฎจะไม่เหมือนกับสิงที่คิด ที่เชื่อ และทำมาตลอดนั้นเลย
โดยเฉพาะการนำเงินไปถวายพระ อันเป็นการส่งเสริมกิเลสให้พระ ได้ทำตามความอยากของตน เรียกว่าเป็นการทำลายพระ ที่สำคัญ พระที่จะเป็นอรหันต์เสียด้วย ... นั่นหมายถึงกรรมอันมหาศาล
แลของจริงที่จักปรากฎ ก็จักย้อนอดีตกาลของพระโคดม นั่นคือ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีศาลา ให้เห็นเลย
หนทางบุญที่พระโคดมได้ทำรอยไว้ จักเห็นได้ว่า เริ่มจากการทิ้งวัง ทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดทั้งปวง นั่นหมายความว่า หนทางบุญที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาด้วยเงิน หากแต่มาด้วยการทำนิสัย ลดกิเลส ที่ตนมีต่างหาก
บทสรุปของคำเตือน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เมื่อบุญญาธิการของศาสนา คือ พระพุทธเจ้าและสงฆ์สาวกอุบัติ พฤติกรรมที่ถูกหรือผิด ผลจักมหาศาลทวีคูณ
นั่นหมายความว่า ข้าวถ้วยแกงขัน เมื่อได้ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะมีคุณค่ามหาศาล แค่ครั้งเดียว มะเร็งก็เผ่นป่าราบแล้วนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน หากแม้นนำเงินไปถวาย ก็ฉิบหาย ได้ในทันตาเห็นเช่นเดียวกัน
ด้วยคำเตือนถึงผลอันมหาศาลนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงเริ่มที่จะพูดย้ำบ่อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมใดที่ถูก อันไหนที่ผิด
นิสัย สร้างโบสถ์ ปิดทอง ฝังลูกนิมิต ... ไม่มีในพระพุทธศาสนาหรอก นั่นมันของพราหมณ์ แลพวกนอกรีต อ้างศาสนาหากิน ทำให้ตายก็ไม่ได้บุญ
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเตือนให้เริ่มปรับตัว วันใดที่ของจริงเขาอุบัติ จะได้ไม่ทำผิด ... ตอนนี้มีแต่ของเก๊ ในยามที่ของจริงยังไม่ปรากฎ จึงแยกไม่ออก วันใดที่ปรากฎโฉม พวกเกจิคณาจารย์ ที่แอบอ้างทั้งหลาย ... จะล้มเป็นใบไม้ร่วง
วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557
พระมาลัยโปรดสัตว์
เมื่อตนของตน พ้นทุกข์ รู้วิธีการพ้นทุกข์ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระภูมี เลื่อมใส เกิดศรัทธา แล้วนำมาปฏิบัติเพื่อช่วยตน แล้วไซร้ จึงจักไปช่วยผู้อื่น ชี้ทางให้เดินตาม
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณาว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนจำนวนมากมาย ที่ดูว่าเป็นคนดี มีเมตตา ช่วยคนโน้น ช่วยคนนี้ เมตตาต่อสรรพสัตว์ บริจาคทานอันมหาศาล หากแต่พฤติกรรมที่ทำไปนั้น ไม่มีผลที่จะย้อนกลับมาช่วยตนเลย ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกพฤติกรรม ทำลายตนเอง ลบทิ้งไปเสียสิ้น
ในขณะที่เมตตาผู้อื่น แต่ทานยาเคมี ทำลายตับ ไต ไส้ พุง ของตน จนพัง พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่า การฆ่าตนเอง ซึ่งพระภูมีชี้ให้เห็นว่า เป็นกรรมหนักอย่างยิ่ง
และเมื่อผลผิดนี้เกิด ยิ่งไปทำเรื่องห่างตัว เร่งทำความดีกับผู้อื่น ร้องให้คนสิ่งนั้น สิ่งนี้ช่วยตน ยิ่งหลงทางไปกันใหญ่ กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ทำไม่มีผล ก็วันตายนั้นแล
การมาสถานที่นี้ วิทยากร อ.อร่าม จึงมักแนะนำให้กลับมาที่ตนเองก่อน ไม่ทำบาปกับตัวเอง นั่นคือ ให้พยายามเลิกทานยาเคมีให้เร็วที่สุด เพื่อหยุดบาปอันนี้
คนที่ผ่านการช่วยตนจนสำเร็จ นั่นหมายถึงรู้หนทางที่ถูกต้องเพื่อกอบกู้ชีวิต หากแต่มีจิตเมตตา และอยากช่วยผู้อื่น นั่นจึงเรียกว่า กำลังเดินในเส้นทางรอยของพระมาลัยโปรดสัตว์
คนที่มีจิตเช่นนี้ จึงมักเก็บรายละเอียดในสิ่งที่ตนเองเป็น เรียนรู้พฤิตกรรมของตนในอดีต ว่าผิดอย่างไร แล้วที่ถูกควรจะเป็นเช่นไร เมื่อวันที่คนเหล่านี้สำเร็จ และมีโอกาส ก็จะกลายมาเป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ นั่นคือ อุทิศตนเป็นวิทยากร ให้ความรู้แก่คนรุ่นหลังที่กำลังเดินตามมา
เราจึงไม่แปลกใจว่า คนที่มีจิตใจเช่นนี้ ทำไมจึงหายเร็ว เพราะความมุ่งมั่นหนึ่ง และจิตใจที่ดีเยี่ยงนี้หนึ่ง แลคนเหล่านี้ เมื่อช่วยตนจนลุล่วงแล้ว ก็มักจะนำข้อมูลตั้งแต่เริ่ม จนหาย มาให้หลวงพ่อนิพนธ์เสมอ
ตอนนี้ ฐานของอาคารกำลังจะเริ่ม เราจึงอยากเชิญชวนคนเหล่านี้ เตรียมตัว วันใดที่คอร์สมะเร็งเปิด สิ่งที่กอบกู้ได้ในวันเดียว นั่นคือ สภาวะจิต พระมาลัยก็จะได้ทำหน้าที่ สร้างสภาวะจิต ความเชื่อมั่น ให้กับคนที่มาเหล่านั้น
เราท่าน จะไม่ได้เพียงได้ยินตำนานของพระมาลัยโปรดสัตว์ แต่จะได้เห็นพระมาลัยตัวจริง มาโปรดสัตว์ แลได้เห็นผู้ทุกข์ผู้ยาก รวมทั้งญาติมิตร กลับมายิ้มแย้ม แจ่มใส มีชีวิตที่เป็นสุข เดินกันเกลือน
รอยที่พระภูมีทำให้ดูในการแสวงหาบุญ เริ่มจากการทิ้งสมบัติ ราชวัง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า บุญจึงไม่ได้มาจากการทำด้วยสมบัติ หากแต่บุญเกิดจากการลดกิเลส นิสัย ต่างหาก ... ทุกคนมีกิเลสนิสัยด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนจึงมีโอกาสสร้างบุญได้เท่าเทียมกัน ...
ที่ไหนจะยุยงส่งเสริมให้หาบุญด้วยการใช้สมบัติทำโน่น ทำนี่ แต่ที่นี่ไม่ใช่ ไม่ต้องหา ไม่มี มีแต่สอนให้เดินตามคำสอนพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา อยากได้บุญ ไปหาคนทุกข์ แล้วให้สุขแก่เขา ... ข่มนิสัยตน เอานิสัยพระภูมีบางสิ่งบางอย่างมาใช้บังคับตน ...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มะกรูด มะนาว มะพร้าว มีค่า เพราะนิสัยของเราท่าน ก็มักจะให้แต่ลูกหลาน ญาติ คนที่มีกรรมผูกพันกัน หากแต่การฝืนนิสัย นำมาให้ผู้อื่น เพื่อสร้างสุขให้แก่ผู้อื่นให้ผลทุกข์ จึงไม่คุ้นเคย แลทำได้ยาก ... หากแต่ผลจากการทำนี้แหละ พระภูมีทรงตรัสว่า เป็นแนวทางแห่งบุญ ... เพราะทำให้คุ่คล้องกรรม ไม่ได้อะไร หากแต่ทำให้คนอื่น ทำให้ดีที่สุด นี่แหละจึงเป็นบุญ
วันของเราท่าน ที่จะได้เห็นพระมาลัยที่กล่าวในพุทธกาลใกล้มาแล้ว
คนใกล้ชิดหลายคนสงสัย ถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า จะทำได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีบุคคลากร หากจะเปิดคอร์สมะเร็ง ไต อัมพฤกษ์ เอดส์ .... คำตอบก็คือ พระมาลัยเหล่านี้นั่นเอง
จึงเป็นที่มาแห่งคำ เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก อย่างไรเสีย โลกนี้ คนไทยนี้ ก็ต้องมีผู้ที่เป็นพระมาลัยมาช่วยในกิจกรรมนี้อย่างแน่นอน
ไม่ต้องจ้าง เพราะไม่มีเงินจ้าง .... ก็ทำได้ ..รอดูกันว่าจะจริงไหม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)