ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562
มีหรือไม่
คำตรัสของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาสอน นั่นก็คือ “ตนกระทำ” คือ ตนของตัวกระทำที่ทำได้ และเป็นที่พึ่งของเราท่านต่อไปภายภาคหน้า
พูดฟังง่าย หลักตนพึ่งตน ของพระภูมี สอนให้สร้างตัวกระทำที่เป็นตนที่ดี ให้เป็นพรหมลิขิตที่ดีรอตนในวันข้างหน้านั่นเอง อยากได้แบบไหนเขียนเอา
คำถามก็คือ บุญทานของศาสนา นั้นทำอย่างไร ที่ไหน นี่แหละสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้ มาฟังท่านอาสิ หรือท่านชลอสอนให้ทำ
ทำไมหรือ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ก็เพราะเขามีเจ้าของ ....
แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีเจ้าของ ท่านก็บอกง่ายนิดเดียว ดูผลของตัวกระทำสิ
ท่านจึงยกผลที่ฉกาจฉกรรจ์ ที่สุดของพระพุทธศาสนา นั่นคือธุดงค์ ถ้ามีเจ้าของมีตัวมีตน สงฆ์องค์ใดทำผิด ผลเกิดทันที
นิยายต้นมะม่วงจึงมีแทบทุกยุค บางปีปักในสวนมะม่วง อยากฉัน แต่มีสัจจะฉันมื้อเดียว หัวหมอก็แอบเอามาใส่บาตร ผลคือ บ้างมดขึ้นกลด นอนไม่ได้ บ้างเกิดพายุต้นมะพร้าวล้มทับกลด คลานออกแทบไม่ทัน บางองค์ไม่รอเช้าแอบฉัน ไส้แตกทันทีก็เห็นมาแล้ว
นี่เขามีตัวมีตน ผลจึงเกิด ทำถูกผลถูกเกิด ทำผิดผลผิดก็เกิดทันทีเหมือนกัน
ย้อนไปดูที่อื่น ก็เห็นฉันมะเตี๋ยวกันมากมาย ให้ลูกศิษย์ออกไปซื้อยามค่ำคืน ไม่เห็นเป็นไร มั่วยา มั่วสีกา ตามข่าวก็มากมี ถ้าคนจับไม่ได้ไม่มีใครรู้ ก็ทำกันไปได้ เพราะนั่นไม่มีศาสนาที่แท้จริงนั่นเอง ผลที่ทำก็ได้กรรมชั่วธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงว่า วันใดที่พระพุทธเจ้าประกาศตน นั่นเจ้าของเขามา ใครใส่ผ้าเหลือง กินสองมื้อดูสิ รับเงินดูสิ ผลจะเป็นอย่างไร
อยากรู้ทำตนอยู่ดู จะได้รู้ว่าทำไมคนโบราณถึงไม่นับถือ ก็ยอมรับในบุญญาธิการของพระพุทธเจ้า กฎหมายยังต้องเว้น ในเขตพัทธสีมาเลย ใครหนีเข้าเขตได้รอดอาญา
บทสรุป บุญของศาสนาดีอย่างไร ดีที่ทำแล้วผลเกิดทันทีนั่นเอง ไม่เหมือนกรรมดี ที่ต้องไปรอเอาวันข้างหน้า จึงพาผู้ทำหนีกรรมหนีโรคในวันนี้ได้
มันจึงง่าย ที่ไหนว่าศักดิ์สิทธ์ ที่ไหนว่ามีบุญญาธิการ ท่านก็ว่าเอาเอดส์ เอามะเร็งไปถวายสิ ถ้าช่วยพ้นทุกข์ได้ ที่นั่นแหละมีศาสนา ทำตามแล้วเกิดผลเป็นตนช่วยตนได้
มิใช่วาดฝัน ทำแล้วบุญมหาศาล บุญทานคิดเอาเอง แล้วถึงวันตาย แม่ชีเมี้ยนตรัสในสังคหะว่า “กายไม่รู้ ก็นึกว่าวิญญาณนั้นอยู่สูง ดูสิมาอุบัติในสังขารสัตว์ ทุกข์น่ะมีกาย”
นี่แหละกรรมของมนุษย์ เชื่อโดยขาดพิจารณา กรรมเราทำไว้แล้ว มาอุบัติ จะเอายาเคมี ความเชื่อ พิธีกรรม มาชนะได้หรือ ไม่มีอะไรในโลกศักดิ์สิทธิ์กว่ากรรม แม้นจะไม่เคยเห็นผู้ใดรอด ก็ยังเชื่อ ยังทำ ยังเดินตาม นั่งร้องขอพร ขอให้ผู้อื่นช่วย
ทำใจไว้เลย หากมาเดินในศาสนา เพื่อนร่วมทางน้อยน่ะ หลวงพ่อท่านว่า คงได้สักเจ็ดพัน ไปนั่งสนามมังคลา อุปมาเหมือนไม่มีคนดู เทียบคอนเสิร์ตนักร้องไม่ได้เลย คนเป็นแสน ยัดกันอย่างกับมด
แต่เอาเถิดท่านปลอบว่าเป็นมนุษย์ เขาวัดกันที่ตอนตาย หัวเราะทีหลังดังกว่า
ดูยายแตนสิ เป็นมะเร็งตัดปอดตัดไส้ อายุตอนมาก็หกสิบ อยู่บ่อพลอย เดินไม่ค่อยจะไหว ท่านชี้ให้ไปเก็บใบยา คนข้างบ้านบอกมึงบ้า เชื่อก็ทำตาม ค่อยๆทำจนมีแรง ขึ้นเขาเก็บก็ทำได้ อยู่มาจนทุกวันนี้นับสิบปี กับปอดข้างเดียว ยังไปเก็บใบยาได้ทุกสัปดาห์ ส่วนคนพูด จากดีๆ จนเป็นมะเร็ง เผาไปหลายปีแล้ว
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562
ทางเลือก
การมาของเราท่าน ถ้าแบ่งง่ายๆ ก็ เป็นสองประเภท ตามพุทธลักษณะ หนึ่งคือ ชูชก สองคือ พระเวสสันดร
การดำเนินงานของมูลนิธิไทยกรุณา ตั้งแต่ยุคหลวงพ่อนิพนธ์ คนสองกลุ่มอยู่รวมกัน ภาพที่เห็นจึงไม่เด่นชัด
หากแต่ความจริงคือ ชูชก มันเยอะกว่ามาก ในยุคที่ยังมีหลวงพ่อนิพนธ์ กอปรกับโรคยังไม่ร้ายแรงดังทุกวันนี้ ก็พอได้
ครั้งก่อนลาสังขาร หลวงพ่อนิพนธ์จึงสั่งว่า จะทำแบบเดิมไม่ได้แล้ว วันเวลาผ่านมาสามปี ที่ท่านอาสิทอดมา จึงสมควรแก่เวลาที่จะต้องแยกให้เด่นชัด เพื่อเป็นทางเลือกของมนุษย์ที่ผ่านเข้ามา ชอบแบบไหน เลือกแบบนั้น
หนทางฟื้นฟูที่ให้ผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวดเร็ว ย่อมต้องเป็นแบบพระเวสสันดร ที่แม่ชีเมี้ยนกำหนดให้ทำในอดีต นับตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอก นั่นคือ การมาสร้างคุณสมบัติ รองรับอำนาจบุญ เมื่อมีบุญสมุนไพรก็มีอำนาจทวีคูณ วิญญาณสูง กายก็จะสูงตาม จะมามากมายสักฉันใด ก็พ้นทุกข์ทุกตัวคน ถ้าพรหมลิขิตยังมี
คนยุคถ้ำกระบอก และยุคปี 30 ของหลวงพ่อนิพนธ์ เขามีวันโกน วันพระ บ้างก็เย็นวันศุกร์ บ้างก็เช้าวันเสาร์ เขาจะพาตนและครอบครัว ไปทำกิจกรรมร่วมกับพระ ตกกลางคืน สวดมนต์ ฟังพระ เช้าใส่บาตร สายๆวันอาทิตย์รับสมุนไพรเป็นของแถมกลับบ้าน
บทสรุป ถึงเวลาแล้ว ที่บทพระเวสสันดร จะต้องเด่นชัด ให้เป็นตัวเลือก แข่งกับชูชก ที่คนมา จะทำอะไรก็เอาแต่ตน พอใจ แล้วเราท่านจะได้เห็นว่า “ไม่มีหนทางไหนในโลก ที่ให้ผลเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวดเร็วกว่าหนทางพระภูมี” เอาไม่เอา ไม่ว่ากัน
ทำให้ดู แล้วเลือกกันเอาเอง มิใช่รักชอบวันนั้น เกลียดวันนี้ จึงยุบ แต่ทำให้รู้ สองทางเลือก ระหว่างเดินขาเดียวของสมุนไพร กับเดินสองขา เอาธรรมนำหน้า สมุนไพรเดินตาม ชอบแบบไหน ไปแบบนั้น
ทำไมหรือ ก็เพราะกรรมมันแรงขึ้น โรคก็ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ต้องรอแก่แล้ว เดี๋ยวนี้วัยรุ่นหนุ่มสาวก็เป็นโรคแลเวลานั่นเอง จะมาทำแบบเดิมคงไม่ได้
ยุบจึงมิใช่ไร้เมตตา แต่ด้วยเมตตาของท่านอาสิ นั่นแลจึงต้องยุบ แล้วชี้ร่องที่ควรเดิน รอยพระภูมี ที่ปลอดภัย ชวนไปร่องนั้น ผลเกิดแน่ต่างหาก
หมายเหตุ การแจกสมุนไพรที่ลพบุรี กำหนดการเริ่ม ยังไม่แน่นอน จนกระทั่งพร้อม จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2562
ผิดตรงไหน
ภาพนี้ใช้เพื่อประกอบเรื่องเท่านั้น |
ยังไม่ต้องพูดรายละเอียดการปฏิบัติ ที่ทำให้ถ้ำกระบอกโด่งดัง เอาแค่ของหยาบๆ ที่เห็นกันทุกเมื่อเชื่อวัน นั่นคือ การทำยา ว่าเลยเขาไปคนละทางแล้ว
สมัยเราบวช ที่สำนักลพบุรี หน้าที่หนึ่งของพระในยุคนั้น คือทำยา โดยเฉพาะยามะกรูด ยามะพร้าว ที่ต้องใช้การตำ ชุดละครก อาทิ ยามะพร้าว ตัวยาแต่ละตัว นำมา 9 ชิ้น ด้วยความไม่รู้ จัดให้ได้ชุด แล้วตำให้ครบตามที่เจ้าอาวาสจัดสรรให้ ใครตำเสร็จมักจะคุยว่าฉันทำเก่ง ทำเร็ว
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เราดูว่า สัดส่วนที่ถูกยังไม่พอ ต้องดูรายละเอียด ดีปลีเป็นราไหม กระเทียมมีความร้อนไหม เกลือต้องเป็นตัวผู้ ที่ซึ่งไม่เคยรู้เลย เฮ้ยมันมีตัวผู้ตัวเมียด้วย พริกไทยเม็ดต้องไม่ฝ่อ เป็นต้น
ที่สำคัญกว่า นั่นคือเจตนาและการกระทำ ต้องสมบูรณ์ มิฉะนั้นจะปลุกเสกให้มีวิญญาณช่วยคนไม่ได้ ก่อนทำต้องถวายสัจจะ ทำให้เป็นทาน ขณะทำต้องสงบกาย วาจา ใจ ถ้าจะพูดก็เป็นเรื่องการถกธรรมวินัย ข้อปฎิบัติ มิฉะนั้นให้สวดมนต์ไป
ท้ายสุด ต้องดูตัวกระทำตน ยาที่ตำต้องละเอียดเนียนมือ ไม่มีซาง ปั้นเป็นก้อนไม่แตก ครกหนึ่งคือ ใช้กับมะพร้าวลูกหนึ่งพอดี
นั่นคือเจตสิกที่ผู้ทำใส่ไปในสมุนไพรที่บริสุทธิ์ ปลุกเสกสมุนไพรให้มีวิญญาณ ตามบัญญัติ
ก็แล้วมาวันนี้เล่า คนทำยาก็ทำเหมือนเราในอดีตที่ไม่รู้ แล้วผลจะได้สักแค่ไหน ฤาจะเอาแค่มาทำให้
หากแต่ที่ผ่านมาโรคมันยังไม่ร้ายแรง กรรมคนยังไม่รุมเร้าเหมือนทุกวันนี้ ที่สำคัญยังมีหลวงพ่อนิพนธ์ ก็พอไหวสู้โรคได้ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว แค่ทำให้มันไม่พอ
บทสรุป จึงเชิญชวน มาเรียนรู้รอยกันก่อนดีไหม คนไหนไม่เอา ไม่ว่ากัน คนที่อยากทำและทำได้ มาสามัคคีช่วยกันทำ ผลที่เกิดจะได้มหาศาล ช่วยคนทุกข์ที่มาพึ่งได้
ฤาจะเล่นกันแบบทุกวันนี้ หาความแน่นอนไม่ได้เลย
สมัยเดินธุดงค์ พระรูปหนึ่งแอบฉันมะม่วงตอนกลางคืน ปรากฎว่าไส้แตก ถ่ายเป็นเลือดเต็มสบง รอเช้าหลวงพ่อนิพนธ์มาใส่บาตร ท่านรินยาเขียวให้ทาน แก้วเดียวหยุดถ่ายทันที มาวันนี้ กินกันเป็นปี๊บ บางคนจะหยุดปวดท้องยังยากเลย
ถึงเวลาสังคายนาหรือยัง พิจารณาดู สถานที่นี้ไม่ล้มหายตายจากแน่นอน แต่ทำแล้วหวังผล มิใช่เอาปริมาณ
ใครนำใคร
คนมาหา นั่นก็ชี้ชัดแล้วว่า สิ่งที่ตนมี สิ่งที่ตนทำ ช่วยตนไม่ได้
มาหาทำไม นั่นก็ย่อมให้ผู้รู้ช่วยชี้แนะหนทางดับทุกข์ที่ตนมี
หากแต่ทุกวันนี้ คนที่มาส่วนใหญ่ คิดว่าตนรู้ คิดเอง เออเอง ทำในสิ่งที่ตนชอบ ไม่ได้ถามคนที่ตนมาหาเลย ไม่ดูรอยพระพุทธที่แม่ชีเมี้ยนชี้ ฉันเอาแค่นี้แบบนี้
บทสรุป จึงต้องถามตนเองว่า ถึงวันนี้รู้ไหม ศาสนาสอนให้ตนช่วยตนรอดโดยวิธีใด คงหาคนตอบได้น้อยเต็มที นี่แหละทำไมต้องหยุดรับก่อน
มาเรียนรู้รอยเขาก่อน ใครอยากทำ ทำได้ มาลุยกัน ใครไม่ชอบ ไม่อยากทำ ถอยไปก่อน แล้วดูว่าเป็นดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดไหม โรคอะไรก็ไม่กลัว มาสิบทำได้สิบ มันก็หายทั้งสิบ ที่สำคัญ ไม่ต้องใช้เวลานาน
ไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่อยากหาย ไปนั่งหน้าโบสถ์ก่อน ชะเง้อดูว่า จะหายเขาทำกันอย่างไร วันไหนอยากทำค่อยเข้ามา ถ้าเขาอนุญาติ
กรรมเขามาแรงขึ้นทุกวัน ไม่เฉพาะโรค ภัยพิบัติก็รุนแรงเกิดถี่ขึ้น แล้วจะมารอดโดยกินแต่สมุนไพร ที่ไหนมันว่าแน่ มียาดี วิทยาการดี ให้มันแน่ไป แต่ที่นี่ไม่ประมาทกรรม ถ้ากรรมเขาไม่แน่จริง แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระพุทธเจ้ามีเป็นล้านพระองค์แล้ว แต่เราท่านยังอยู่ในโลกนี้
ถ้ามาหาท่านอาสิ แต่ไม่เดินตาม เขาก็คงไม่เดินตามท่านหรอก บ้านใครบ้านมัน ไปในทางที่ตนชอบ มิตรภาพก็ยังอยู่ ให้วันเวลาพิสูจน์ เชื่อแม่ชีเมี้ยน นั้นมีความหมาย
มาหาทำไม นั่นก็ย่อมให้ผู้รู้ช่วยชี้แนะหนทางดับทุกข์ที่ตนมี
หากแต่ทุกวันนี้ คนที่มาส่วนใหญ่ คิดว่าตนรู้ คิดเอง เออเอง ทำในสิ่งที่ตนชอบ ไม่ได้ถามคนที่ตนมาหาเลย ไม่ดูรอยพระพุทธที่แม่ชีเมี้ยนชี้ ฉันเอาแค่นี้แบบนี้
บทสรุป จึงต้องถามตนเองว่า ถึงวันนี้รู้ไหม ศาสนาสอนให้ตนช่วยตนรอดโดยวิธีใด คงหาคนตอบได้น้อยเต็มที นี่แหละทำไมต้องหยุดรับก่อน
มาเรียนรู้รอยเขาก่อน ใครอยากทำ ทำได้ มาลุยกัน ใครไม่ชอบ ไม่อยากทำ ถอยไปก่อน แล้วดูว่าเป็นดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์พูดไหม โรคอะไรก็ไม่กลัว มาสิบทำได้สิบ มันก็หายทั้งสิบ ที่สำคัญ ไม่ต้องใช้เวลานาน
ไม่ชอบ ไม่อยากทำ แต่อยากหาย ไปนั่งหน้าโบสถ์ก่อน ชะเง้อดูว่า จะหายเขาทำกันอย่างไร วันไหนอยากทำค่อยเข้ามา ถ้าเขาอนุญาติ
กรรมเขามาแรงขึ้นทุกวัน ไม่เฉพาะโรค ภัยพิบัติก็รุนแรงเกิดถี่ขึ้น แล้วจะมารอดโดยกินแต่สมุนไพร ที่ไหนมันว่าแน่ มียาดี วิทยาการดี ให้มันแน่ไป แต่ที่นี่ไม่ประมาทกรรม ถ้ากรรมเขาไม่แน่จริง แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระพุทธเจ้ามีเป็นล้านพระองค์แล้ว แต่เราท่านยังอยู่ในโลกนี้
ถ้ามาหาท่านอาสิ แต่ไม่เดินตาม เขาก็คงไม่เดินตามท่านหรอก บ้านใครบ้านมัน ไปในทางที่ตนชอบ มิตรภาพก็ยังอยู่ ให้วันเวลาพิสูจน์ เชื่อแม่ชีเมี้ยน นั้นมีความหมาย
วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562
รอยใคร
หากแต่คนโบราณ ที่ใกล้พุทธศาสนาเคยเห็นเคยสัมผัส จึงสอนลูกหลาน พาตนไปหาศาสนา
วันเวลาผ่านไป คนทำได้ ไปนิพพานกันหมดแล้ว หนทางบุญ ทาน บารมี จึงหาผู้รู้ได้ไม่
วันนี้ผ่านมา สองพันกว่าปี จึงไม่แปลก ที่คนเอาศาสนาหากิน ย่อมอ้างเอ่ย ว่าทำแบบนี้สิเป็นบุญ ทำแบบนี้สิเป็นทาน
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ผลไม่เกิด เพราะไม่อยู่ในรอยของพระภูมี บุญ ทาน ที่หวังจึงเป็นแค่ลม ช่วยตนไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์เสนอทางเลือก ธรรมของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ลองมาทำแบบนี้สิ ช่วยตนได้ พิสูจน์ตนมากว่าครึ่งศตวรรษ มีคนประสพผลมากมายให้เห็น
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ก็หวังจะมีคนเชื่อ จากคนไทย เจ็ดสิบล้าน เอาแต่เจ็ดพัน มาเดินตาม ทำไมหรือ เพราะแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คนไทยอะไรก็ดี แต่ไม่ยอมรับความจริง เชื่อในสิ่งที่ตนชอบ ไม่ใช่เชื่อในสัจธรรมความจริง นี่แลอุปสรรคใหญ่ ใครเล่าจะฝ่านิสัยอันนี้มาเดินในรอยของพระโคดม ผู้ทำได้จึงเหนือมนุษย์ เหมือนปลาว่ายทวนน้ำ ทวนกระแสกรรม
ทั้งประเทศ เขาสอน สร้างโบสถ์สร้างศาลา เป็นบุญ แม่ชีเมี้ยนชี้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นสร้างมนุษย์ ผู้มีวิญญาณสูง มีสัจธรรมนำตน สิ่งที่สอนให้ทำ ล้วนมีผลแก่มนุษย์ “ให้สุขแก่เขา สุขนั้นจึงย้อนมายังตน”
รอยพระพุทธเจ้า คนเดินตามไม่ถึงแสน ไอ้ที่แห่แหนเป็นแสนเป็นล้าน พากันไป นั่นกระแสธรรม กระแสกรรม พิจารณาให้ดี ที่พาไป ดูเอาเถิด ทำแล้วมีผลกับมนุษย์ผู้ใดบ้าง
วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562
โลกใบนี้ไม่มียารักษาโรค ถ้าโรคนั้นมาเพื่อคร่าชีวิต
คำโบราณที่มักใช้สอนลูกสอนหลาน ที่ทุกคนล้วนได้ยินได้ฟัง “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”
คำถามหนึ่งที่ควรถามเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ทำไมเราต้องไปหาศาสนา หรือศาสนามีไว้ทำไม
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า หลักพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นหลักปราชญ์ ผู้ใดมาฟังพิจารณา เชื่อ แล้วทำ เมื่อทำได้ย่อมกลายเป็นปราชญ์ เป็นมนุษย์เหนือโลก
บัณฑิตหรือผู้รู้ในโลก นั่นมันความคิดโลก วิชากรรม มันไม่มีทางทำให้เหนือโลกเหนือกรรมได้
บทพิสูจน์ไม่ต้องเรื่องลึกซึ้ง เอาแต่ปวดท้อง ศาสตราจารย์ที่ว่าเก่งในโลก คนที่ฉลาดที่สุดในโลกของกรรม มันยังแก้ไม่ได้เลย
ลองไปดูผู้ปฏิบัติที่เชื่อศาสนา แล้วทำได้ ที่สำนักสงฆ์ อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย ต่อให้มะเร็ง ก็รู้ว่าจะทำให้หายได้โดยวิธีใด แม้นตนจะอ่านหนังสือไม่ออกก็ตามที
เราท่านจึงมาหาศาสนา ที่ผู้ปฏิบัติได้คือบัณฑิต สอนวิชาเหนือโลก นั่นคือ การเขียนพรหมลิขิตตน ด้วยตัวกระทำของตน ฉีกพรหมลิขิตเดิม ไม่ปล่อยเป็นไปตามพรหมลิขิตเดิม ที่สร้างกรรมตลอดเวลา มันจึงทุกข์มาสร้างพรหมลิขิตสุขให้ตนแทน
นี่แลทำไมศาสนาแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า เป็นขวัญใจของคนทุกข์ ก็คนที่มีกรรมดีมาก มักหลงในกรรมดีของตน ยังไม่ทุกข์ ยังไม่เจ็บ ศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขา ศาสนาจึงถูกจัดว่า เป็นองค์กรที่สาม จะไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ไม่ได้ถ้าเขาไม่ยอม เรียนแล้วเขียนพรหมลิขิตตนเองได้
บทสรุป ศาสนาจึงมีลักษณะเหมือน น๊อต ที่ทั้งสองฝ่ายต้องทำตัวสอดคล้องกัน ยื่นมือเข้าหากัน ทำตนเป็นน๊อตเกลียวเดียวกัน จึงจะยังผล ฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ แม้นคนอินเดียเป็นร้อยล้าน พระโคดมอยากช่วย แต่ก็ช่วยไม่ได้ ช่วยเฉพาะคนที่เชื่อ แล้วทำตามได้
บทพิสูจน์ เราท่านจะได้เป็นหนึ่งในเจ็ดพัน ของหลวงพ่อนิพนธ์ จะเป็นคนดีที่มีธรรมวินัยของพระภูมีนำตน จะเหนือมนุษย์ ไม่ตายด้วยโรค หรือหายโรคได้ ย่อมต้องคบบัณฑิต หาบัณฑิตให้เจอเสียก่อน แล้วทำตนใกล้ชิด เป็นที่ชอบของตน เพื่อจะได้เขียนพรหมลิขิตที่ดีให้ตนได้ ส่วนหายโรคนั้นแถมให้
นี่แล จะรู้ว่าผู้ใดเป็นบัณฑิต มีวิชาเหนือโลกพระพุทธเจ้าจึงทิ้งแว่นส่องจักรวาลไว้หาศาสนา นั่นคือ เอาคนเป็นโรคร้ายไปถวายสิ ที่ใดทำได้ที่นั้นแลมีบัณฑิต มีปราชญ์ที่มีวิชาของศาสนาที่แท้จริง
ด้วยคำสอนนี้จึงเห็นชัด ทำไมจึงไม่หายโรค ก็วิชาที่เรียนมันวิชาโลกวิชากรรม จะไปชนะกรรมโดยวิธีใด เป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ “โลกใบนี้ไม่มียารักษาโรค ถ้าโรคนั้นมาเพื่อคร่าชีวิต”
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2562
ได้แต่หวัง แต่...
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ หลวงพ่อนิพนธ์นำมาช่วยเพื่อนมนุษย์ ดังคำกล่าวที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้พูดในวันงานถึงเหตุและผลที่ชวนกันมาใช้นั้นท่านก็พูดเสมอว่า ไม่มุ่งหวังจะมีคนเชื่อและทำตามทั้งประเทศแม้นอยากให้เป็น
หากแต่รูปรอยทุกยุคทุกสมัยของพระพุทธเจ้า แม้นแต่พระโคดมที่ปราชญ์เปรื่องปราดแลมีวาทะศิลป์เป็นเลิศ คนอินเดียเป็นร้อยล้านในยุคท่าน ยังพาไปได้ไม่ถึงแสน
ศาสตร์สมุนไพรแลธรรมที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ก็คงไม่ต่างกัน ท่านก็หวังว่ามีคนมาเชื่อและเดินตาม ได้สักเจ็ดพันคนก็พอใจแล้ว
แม้นว่าศาสตร์อันนี้คนมาล้านคน เชื่อทั้งล้านคนก็หายโรคทั้งล้านคนก็ตามที แต่ความจริง มาสิบเชื่อสักสาม ก็รอดสาม ตายเจ็ด แม้นจะตายมากกว่า แต่ก็ยังมีผู้รอด ที่สำคัญคนที่รอดเป็นคนดี มีวินัยของพระพุทธเจ้ามานำตนตามแม่ชีเมี้ยนสอน
บทสรุป แผ่นดินลพบุรี จึงเป็นดินแดนสวรรค์ เป็นที่ชื่นชอบของคนกลุ่มเล็กๆ ที่มาฟังคำสอนท่านอาสิ พิจารณา เชื่อแล้วทำตาม ทำตนอยู่ดูพระพุทธศาสนา สร้างตัวกระทำที่ดีเป็นที่พึ่งของตน แม้นแต่สุขภาพ ก็เชื่อว่า ให้สุขแก่เขาสุขนั้นถึงตน ครั้งสร้างกรรมก็ทำแก่มนุษย์และสัตว์ จะสร้างบุญจะหนีมนุษย์ไปสร้างวัตถุได้กระนั้นหรือ
วันรำลึกคุณหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมาทำตามคำสอน นำสมุนไพรมาใส่บาตร ให้พระนำไปช่วยชีวิตมนุษย์ แล้วดูผล
วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ “ท่านนำสมุนไพรมาช่วยคนเป็นมะเร็ง หายมะเร็ง แล้วจะไปเป็นมะเร็งได้อย่างไร”
ไม่มีวัตถุใดในโลกมีค่าเหนือมนุษย์ ทำไมไปเชื่อคนเอาศาสนาหากินสร้างวัดสร้างโบสถ์ ไม่สร้างมนุษย์ นี่แลท่านว่า ทำไมสิ่งที่ทำไม่ช่วยตน ก็ทำไม่ถูกในร่องธรรม
ดูรอยพระโคดมสิ มีวัดที่ไหนเล่า มีแต่โรงทาน รวมคนทุกข์ มาเพื่อให้คนอยากได้บุญ ได้ทาน มาสร้างตัวกระทำ ช่วยตน
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562
อดตายดีกว่า
ภาพบิดเบือนของพุทธประวัติ เมื่อผ่านกาลเวลาย่อมมีมากมาย เอนเอียงไปตามผู้แต่ง เพื่อผลประโยชน์ของเหล่าผู้แต่งเป็นธรรมดา
แลไม่ต้องแปลกใจ ทำไมพิธีกรรมจึงมากมาย ก็พระไตรปิฎกทุกวันนี้ พราหมณ์เป็นผู้เขียนนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยน ตรัสเล่าครั้งพระโคดมสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ๆ พิจารณาตัวกระทำของตนที่ทำมา ดูแล้วมนุษย์คงทำได้ยาก จึงดำริว่า เราจะอดอาหารเข้าสู่นิพพานเลยเห็นจะดีกว่าเป็นแน่ จึงเป็นที่มาของข้าวมธุปายาส ที่โลกุตระมาให้สติพระโคดมกำลังฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งก็คือชีวิตของพระโคดมเอง ครั้นได้สติแลนางสุชาดานำมาถวายจึงฉันอาหารอีกครั้ง แลเริ่มโปรดสัตว์ นั่นคือต้องมีมนุษย์ที่อยากได้ธรรมของพระองค์แลทำได้ จึงมีสาวกเกือบแสนรูป
ผ่านมาสองพันกว่าปี นิสัยมนุษย์ก็ยังคงเหมือนเดิม ศาสนาขอผู้คนนิยมชมชอบ ดูรูปสิ เป็นวัดดังในไต้หวัน คนมาขอกันจนล้นวัด ทุกวัน เขาลือกันว่าใครมาขอลูกมักประสพผล
ก็นั่นมันเหมือนถูกหวย มาขอร้อยคน มันต้องได้บ้าง คนที่ได้ก็โพทนากระพือข่าว คนก็แห่แหนกันไปเหมือนหวยแม่นนั่นแล
ย้อนดูยุคถ้ำกระบอก พยาบาลจุฬาภรรยานักบินพระที่นั่ง สองผัวเมียอยากมีลูก มาถามหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านก็ให้เณรไปถามแม่ชีเมี้ยน ได้สูตรยามะพร้าวมา ให้บอกโยมจะมีลูกได้ ต้องทานร้อยวันวันละลูก ฝนตกแดดออกอย่างไรก็ห้ามขาด ครบร้อยวันมดลูกจะแข็งแรง มีลูกง่าย แลทั้งสองก็ได้ลูกสมใจ
แม่ชีเมี้ยนจึงเรียกชื่อว่า “ยากำเนิดกุมาร” ที่ซึ่งในยุคต่อมาหลวงพ่อนิพนธ์ให้คนที่อยากมีลูกใช้ ก็ได้สมใจมาตลอด
บทสรุป นี่แหละนิสัยมนุษย์ดูสิ ขนาดแค่เรื่องมีลูก ทานสมุนไพรนี่แหละของจริง แต่กว่าจะได้ คนเป็นแม่ต้องอยู่ในวินัยเคร่งครัด สู้ไปขอที่วัดดังไม่ได้ ง่ายกว่าเยอะ
จะแปลกอะไร ถ้าจะหายแต่ต้องกตัญญต้องยืนระยะ ต้องอดทน ต้องสร้างคุณสมบัติ จะหาคนทำยาก แต่ถ้าบอก มียาวิเศษ จ่ายเงินมา คนเข้าคิวจนล้น ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครประสพผลให้เห็นสักคน ที่เห็นหายนั่นไม่ใช่ อาทิหายมะเร็ง นั่นมันเป็นซีสต์ ก็บอกหายมะเร็ง
ภาพในวันนี้เห็นชัด ดังหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ ศาสนาเป็นไก่รองบ่อน เป็นทางเลือกสุดท้าย คนให้ค่าน้อย ทั้งที่ทุกคนบอกว่าชีวิตสำคัญที่สุด แต่การมาทำเพื่อชีวิต กลับเป็นตัวเลือกแรกที่จะไม่ทำ อยากมาก็มา ภาพคนมาร้อยคนจึงปรากฎ
คงจะถึงยุค ยักษ์หน้าโบสถ์ในไม่ช้า ที่ผู้ปฏิบัติ เขาจะเป็นผู้เลือกบ้าง ใครไม่อยากทำ ไม่ปรารถนาถึง ทำตนอยู่รอดูศาสนา ไม่มีวันโกน วันพระ ทำตนเป็นยักษ์ ท่านไม่คบด้วย ไปรอหน้าวัดก่อน อยากทำเมื่อไหร่ค่อยเข้ามา
คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ย้ำหนักหนาว่า “ศาสนาไม่เป็นขี้ข้าใคร เขาไม่มีเราไม่เป็นไร เราไม่มีเขาเราตาย ขาดที่พึ่ง”
อย่าทำตนให้ท่านอาสิเบื่อ ท่านไม่อดอาหารหลอก แต่ปิดมูลนิธิ แล้วกลับไปใช้วิธีเดิม บวชได้ไหม ถ้าไม่ได้กลับบ้านไป
ถึงตอนนั้น จะเห็นยักษ์ร้องหน้าโบสถ์ ร้องสักฉันใดท่านก็ไม่หันมา เพราะศาสนาเอาเฉพาะคนทำได้
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2562
ศิวิไลซ์
ประเทศทุกประเทศล้วนแล้วแต่มุ่งหมายเป็นประเทศเจริญแล้ว คือมีความศิวิไลซ์
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เมืองนั้นมิใช่เจริญที่วัตถุ หากแต่เป็นที่จิตใจของผู้คนในเมืองนั้นต่างหาก เป็นเมืองของผู้คนมีวิญญาณสูง คือมีธรรมนำตน
ทำไมเมืองนั้นน่าอยู่ เพราะผู้คนล้วนแล้วแต่ดำเนินชีวิตด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย
นี่แหละเป็นเมืองที่ผู้ใฝ่ธรรม ชอบ เป็นจุดหมายที่อยากไปเกิด เมืองที่มีธรรมอำไพ ผู้คนมีสัจธรรมนำตน
การมาหาศาสนา จุดมุ่งหมายจึงสร้างตัวกระทำ ร่วมกับผู้มีธรรมทั้งหลาย จะได้ไปเกิดในแผ่นดินนั้น ทำตนรอพระพุทธเจ้า
ส่วนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เขาแถมสุขภาพให้ คนที่อยากเป็นคนดีมีธรรม แต่ติดที่มีโรค จะได้มีโอกาสทำตนได้สมปรารถนา
บทสรุป จะไปกันอย่างไร เมื่อวันนี้ ตัวกระทำที่สร้าง สถานที่ชอบ มองซ้ายมองขวา หาคนมีธรรมยาก ดังนั้น จะไปได้ก็ต้องพากายตน ไปในที่คนปฏิบัติธรรมมาอยู่รวมกันนั่นเอง เราจึงจะไปกับเขาได้
ที่สำคัญ จะไปที่ชอบ ท่านอาสิชี้ว่า ดูกันที่ตอนตาย ตายแบบไหน จะไปได้ต้องตายดี จึงเสมือนเดินชมสถานที่ เจอที่ชอบแล้วจึงไป มิใช่วิญญาณถูกบีบเค้น วิ่งกระเจิงเหมือนอยู่ในถ้ำ เห็นแสงก็พุ่งไปหา โผล่ออกมาก็ท้องหมูท้องหมา
จะไปก็ต้องสร้างตัวกระทำร่วมกับคนมีธรรม ที่ใฝ่สร้าง ทานบารมี บุญบารมี ที่ซึ่งแผ่นดินแม่ชีเมี้ยนเป็นที่รวมคนเหล่านั้น
ทำไมจึงเชื่อ ก็ดูเอาสิ คนมีโรคมาก็หายโรค คนมีทุกข์มาก็คลายทุกข์ คนไม่ดีมา ก็เปลี่ยนเป็นคนดี แผ่นดินไหนทำได้
เสียดายคนทั้งหลายบอกอยากได้ ท่านอาสิชวนสักฉันใด บอกไม่มีเวลา ครั้นมีเวลา สังขารก็ไม่ไดี
ไม่ต้องแปลกใจเลยทำไมทุกยุค คนของศาสนาจึงน้อย อินเดียคนเป็นร้อยล้านในยุคพระโคดม คนคิดไปมีไม่ถึงแสน คนที่มาทำสะสมแค่สามแสน ศาสนาจึงเป็นเรื่องคนกลุ่มน้อย
คนส่วนใหญ่เขาอยากได้แต่ไม่อยากทำ
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562
ไปที่ชอบ
หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ก่อนลาสังขารว่า แผ่นดินของท่านที่เหลือไว้ ที่ทำแล้วยังผล มีแค่ สองที่
หนึ่ง คือ มูลนิธิไทยกรุณา ที่ทิ้งไว้เป็นแผ่นดินทาน จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แล้วแต่ท่านอาสิ
ท่านชี้ว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ศาสตร์สมุนไพร เหมือนปาหี่ของศาสนา ที่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงอำนาจ แสดงให้มนุษย์เห็น เป็นเสมือนแว่นส่องจักรวาล ที่มนุษย์ใช้หาศาสนา โดยแสดงให้เห็นว่า ความไม่มีโรค ทำได้จริง หากทำตามศาสนาสอน โรคใดๆก็มีทางรักษาได้ ถ้ายังมีพรหมลิขิต หรือวันเวลา พอให้ฟื้นฟูทัน
กระนั้นก็ตาม ศาสตร์สมุนไพรก็ให้ได้แค่เพียงสุขสังขาร คือ ความไม่มีโรค จะไปให้สุขของวิญญาณ ยังไม่ได้ นั่นคือ ปลอดโรค มิใช่ชีวิตจะปลอดภัย เพราะการตายไม่จำเป็นต้องเป็นโรค
จึงเป็นเสมือนไม้เท้า ที่พยุงเดิน พาเดินมาหาศาสนา เมื่อเจอแล้ว พบแล้ว ก็ต้องเดินด้วยตนเอง จะพึ่งไม้เท้าตลอดเป็นไปไม่ได้
สอง คือแผ่นดินบุญ ที่สำนักสงฆ์แม่ชีเมี้ยนกรุณา ลพบุรี ที่มีไว้สร้างบุญ เพื่อทำตนรอดูพระพุทธศาสนา ที่จะอุบัติ
ท่านชี้ว่า ธรรมชาติของศาสนา เป็นของมีเจ้าของ โลกุตระเป็นเจ้าของ เมื่อไปอุบัติแผ่นดินใด ที่นั่นมีสัญญาอรหันต์
แปลว่า เมื่อคนในแผ่นดินนั้น มีผู้ทำตนเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ก็หาสาวก แลสาวกที่จะเป็นอรหันต์ได้ ต้องเกิดในแผ่นดินนั้น อาทิ พระโคดม ที่เป็นพระพุทธเจ้าในแผ่นดินของอินเดีย สาวกทุกพระองค์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนอินเดียทั้งสิ้น
ความหมายของแผ่นดินบุญที่ทิ้งไว้ คือ การเลือกเกิดนั่นเอง ศาสนาสอนให้เขียนพรหมลิขิตแห่งตน คนที่ปรารถนา มรรคผล นิพพาน จึงต้องมีตัวกระทำ มารวมกลุ่มกัน ฝึกฝนนิสัยพระพุทธเจ้า มีการกระทำเสียดสีกัน อันหมายถึง เมื่อตายแล้ว จะได้ไปเกิดในหมู่เดียวกัน ในแผ่นดินของพระพุทธศาสนานั่นเอง จึงจะไปกับเขาได้
การมาบวชหรือปฎิบัติ ที่ท่านอาสิชวน จึงเป็นการมาฝึก มาสัมผัสหนทางบรรลุ ทำแล้วนิสัยลดจริงไหม เดินตามคำสอนแม่ชีเมี้ยน แล้วได้บุญคือสัมผัสสุขจริงไหม ถ้าทำแล้วว่าใช่ ก็เริ่มเขียนพรหมลิขิตตน ให้สมปรารถนา
บทสรุป ศาสนา สอนพึ่งตัวกระทำที่ทำมา เมื่อปรารถนามรรคผล นิพพาน จึงต้องสร้างที่ชอบ ที่ที่มีคนปรารถนานิพพาน เช่นกัน รวมหมู่กัน สร้างธรรมสามัคคี ผลอันนี้เมื่อตาย ก็คล้ายบุพเพสันนิวาสที่คนรักกันทำกัน. ต้องมาเจอกัน เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดในหมู่ตนทำตนได้ ก็สอนคนในหมู่ตนที่ปรารถนาให้เป็นอรหันต์ ตามกันไปในยุคนั้นๆ
ประเด็นก็คือ สิ่งที่ศาสนาสอน ผู้ใดจะขอถึง ต้องพูดจริง ทำจริง คือมีตัวกระทำร่วมในแผ่นดินบุญ เพื่อสร้างที่ชอบ รวมหมู่กัน สามัคคี ร่วมกันสร้างแผ่นดินธรรม เป็นที่พึ่งของหมู่ตน จะมาเอาแต่การสร้างบุญเป็น นั่นยังไม่พอ เพราะยังไม่มีที่ชอบ ชาติหน้าถึงจะมีสุข แต่ไม่รู้ไปเกิดแผ่นดินไหน ไปกับเขาไม่ได้
คนที่ประสพผลในการมาเจอศาสนา จึงวัดกันที่วิญญาณ สร้างที่ชอบของตนไว้ตรงไหน ตัวกระทำก็พาไปเกิดที่นั้น
นี่เห็นแต่คนพูด ปรารถนา มรรคผล นิพพาน แต่ไม่เห็นคนพาตนไปใกล้ชิด ผู้ปฏิบัติ สร้างที่ชอบ มันก็คงเป็นแต่ลม ไปไม่ถึง เพราะขาดตัวกระทำ นำเกิดไปที่ชอบ
ถ้าผู้ใดพิจารณา แล้วจะเห็นค่าของแผ่นดินบุญผืนนี้ ย่อมต้องพากายไป แลน้อมรำลึกคุณ แม่ชีเมี้ยน ที่ทิ้งไว้ให้ แลคุณหลวงพ่อนิพนธ์ ที่นำมา การเวียนว่ายนั่นคือการสร้างที่ชอบ
ถามตนสักนิด เราท่านล้วนต้องตาย แล้วที่ชอบ ที่คนทั้งหลายบอกให้เราไป นั้นอยู่ไหน แผ่นศาสนาที่แม่ชีเมี้ยนอุปมา จะพูดได้อย่างไรว่าคือที่ชอบ เพราะไม่เคยคิดจะไป ถึงได้ไปก็ร้อนลน รีบกลับ เคยมีไหมที่จะอาลัยอาวรณ์เหมือนจะจากคนรัก ที่เมื่อไปแล้วอยากกลับไปหาทุกเมื่อเชื่อวัน ที่มีโอกาส
นี่แลคือเหตุที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ วันโกนวันพระ ก็ให้คนที่ปรารถนาถึง แต่ยังไม่อยากไปในยุคท่านได้สร้างที่ชอบ
พระถามแม่ชีเมี้ยนว่า ใครมันจะมาถ้ำกระบอกขนาดหมายังไม่เดินขึ้นมาเลย เพราะไม่มีอะไรกิน ท่านตรัสตอบ ก็คนสามแสนของพระโคดมไง ที่เขาจะมาทวงสัญญาของเขา ท่านมาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เคยทำไว้แล้วนั่นเอง
ศาสนาจึงต้องมีพุทธบริษัท ที่มารวมตัวกันทำธรรมสามัคคี รอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะไปได้จึงต้องมีที่ชอบเหมือนกัน
หนึ่ง คือ มูลนิธิไทยกรุณา ที่ทิ้งไว้เป็นแผ่นดินทาน จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แล้วแต่ท่านอาสิ
ท่านชี้ว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ศาสตร์สมุนไพร เหมือนปาหี่ของศาสนา ที่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงอำนาจ แสดงให้มนุษย์เห็น เป็นเสมือนแว่นส่องจักรวาล ที่มนุษย์ใช้หาศาสนา โดยแสดงให้เห็นว่า ความไม่มีโรค ทำได้จริง หากทำตามศาสนาสอน โรคใดๆก็มีทางรักษาได้ ถ้ายังมีพรหมลิขิต หรือวันเวลา พอให้ฟื้นฟูทัน
กระนั้นก็ตาม ศาสตร์สมุนไพรก็ให้ได้แค่เพียงสุขสังขาร คือ ความไม่มีโรค จะไปให้สุขของวิญญาณ ยังไม่ได้ นั่นคือ ปลอดโรค มิใช่ชีวิตจะปลอดภัย เพราะการตายไม่จำเป็นต้องเป็นโรค
จึงเป็นเสมือนไม้เท้า ที่พยุงเดิน พาเดินมาหาศาสนา เมื่อเจอแล้ว พบแล้ว ก็ต้องเดินด้วยตนเอง จะพึ่งไม้เท้าตลอดเป็นไปไม่ได้
สอง คือแผ่นดินบุญ ที่สำนักสงฆ์แม่ชีเมี้ยนกรุณา ลพบุรี ที่มีไว้สร้างบุญ เพื่อทำตนรอดูพระพุทธศาสนา ที่จะอุบัติ
ท่านชี้ว่า ธรรมชาติของศาสนา เป็นของมีเจ้าของ โลกุตระเป็นเจ้าของ เมื่อไปอุบัติแผ่นดินใด ที่นั่นมีสัญญาอรหันต์
แปลว่า เมื่อคนในแผ่นดินนั้น มีผู้ทำตนเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ก็หาสาวก แลสาวกที่จะเป็นอรหันต์ได้ ต้องเกิดในแผ่นดินนั้น อาทิ พระโคดม ที่เป็นพระพุทธเจ้าในแผ่นดินของอินเดีย สาวกทุกพระองค์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนอินเดียทั้งสิ้น
ความหมายของแผ่นดินบุญที่ทิ้งไว้ คือ การเลือกเกิดนั่นเอง ศาสนาสอนให้เขียนพรหมลิขิตแห่งตน คนที่ปรารถนา มรรคผล นิพพาน จึงต้องมีตัวกระทำ มารวมกลุ่มกัน ฝึกฝนนิสัยพระพุทธเจ้า มีการกระทำเสียดสีกัน อันหมายถึง เมื่อตายแล้ว จะได้ไปเกิดในหมู่เดียวกัน ในแผ่นดินของพระพุทธศาสนานั่นเอง จึงจะไปกับเขาได้
การมาบวชหรือปฎิบัติ ที่ท่านอาสิชวน จึงเป็นการมาฝึก มาสัมผัสหนทางบรรลุ ทำแล้วนิสัยลดจริงไหม เดินตามคำสอนแม่ชีเมี้ยน แล้วได้บุญคือสัมผัสสุขจริงไหม ถ้าทำแล้วว่าใช่ ก็เริ่มเขียนพรหมลิขิตตน ให้สมปรารถนา
บทสรุป ศาสนา สอนพึ่งตัวกระทำที่ทำมา เมื่อปรารถนามรรคผล นิพพาน จึงต้องสร้างที่ชอบ ที่ที่มีคนปรารถนานิพพาน เช่นกัน รวมหมู่กัน สร้างธรรมสามัคคี ผลอันนี้เมื่อตาย ก็คล้ายบุพเพสันนิวาสที่คนรักกันทำกัน. ต้องมาเจอกัน เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดในหมู่ตนทำตนได้ ก็สอนคนในหมู่ตนที่ปรารถนาให้เป็นอรหันต์ ตามกันไปในยุคนั้นๆ
ประเด็นก็คือ สิ่งที่ศาสนาสอน ผู้ใดจะขอถึง ต้องพูดจริง ทำจริง คือมีตัวกระทำร่วมในแผ่นดินบุญ เพื่อสร้างที่ชอบ รวมหมู่กัน สามัคคี ร่วมกันสร้างแผ่นดินธรรม เป็นที่พึ่งของหมู่ตน จะมาเอาแต่การสร้างบุญเป็น นั่นยังไม่พอ เพราะยังไม่มีที่ชอบ ชาติหน้าถึงจะมีสุข แต่ไม่รู้ไปเกิดแผ่นดินไหน ไปกับเขาไม่ได้
คนที่ประสพผลในการมาเจอศาสนา จึงวัดกันที่วิญญาณ สร้างที่ชอบของตนไว้ตรงไหน ตัวกระทำก็พาไปเกิดที่นั้น
นี่เห็นแต่คนพูด ปรารถนา มรรคผล นิพพาน แต่ไม่เห็นคนพาตนไปใกล้ชิด ผู้ปฏิบัติ สร้างที่ชอบ มันก็คงเป็นแต่ลม ไปไม่ถึง เพราะขาดตัวกระทำ นำเกิดไปที่ชอบ
ถ้าผู้ใดพิจารณา แล้วจะเห็นค่าของแผ่นดินบุญผืนนี้ ย่อมต้องพากายไป แลน้อมรำลึกคุณ แม่ชีเมี้ยน ที่ทิ้งไว้ให้ แลคุณหลวงพ่อนิพนธ์ ที่นำมา การเวียนว่ายนั่นคือการสร้างที่ชอบ
ถามตนสักนิด เราท่านล้วนต้องตาย แล้วที่ชอบ ที่คนทั้งหลายบอกให้เราไป นั้นอยู่ไหน แผ่นศาสนาที่แม่ชีเมี้ยนอุปมา จะพูดได้อย่างไรว่าคือที่ชอบ เพราะไม่เคยคิดจะไป ถึงได้ไปก็ร้อนลน รีบกลับ เคยมีไหมที่จะอาลัยอาวรณ์เหมือนจะจากคนรัก ที่เมื่อไปแล้วอยากกลับไปหาทุกเมื่อเชื่อวัน ที่มีโอกาส
นี่แลคือเหตุที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ วันโกนวันพระ ก็ให้คนที่ปรารถนาถึง แต่ยังไม่อยากไปในยุคท่านได้สร้างที่ชอบ
พระถามแม่ชีเมี้ยนว่า ใครมันจะมาถ้ำกระบอกขนาดหมายังไม่เดินขึ้นมาเลย เพราะไม่มีอะไรกิน ท่านตรัสตอบ ก็คนสามแสนของพระโคดมไง ที่เขาจะมาทวงสัญญาของเขา ท่านมาจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เคยทำไว้แล้วนั่นเอง
ศาสนาจึงต้องมีพุทธบริษัท ที่มารวมตัวกันทำธรรมสามัคคี รอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป จะไปได้จึงต้องมีที่ชอบเหมือนกัน
วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562
ตัดหรือต่อ
แม่ชีเมี้ยน ตรัสชี้ว่า ก็มีปัญญา พิจารณา แล้วทำช่วยตนได้ พ้นทุกข์ได้
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายชี้ให้พิจารณา คำว่าตกนรก นั่นหมายถึงมนุษย์ ที่กรรมนำเกิดให้อุบัติมีกายเป็นสัตว์ เพื่อใช้กรรมที่ทำมา
นั่นหมายความว่า มีแต่นิสัย ไม่มีความคิด สร้างกรรมไม่ได้ จึงช่วยตนพ้นทุกข์ไม่ได้ มีแต่ก้มหน้ารับกรรมจนหมด
พระเคยถามว่า ทำไมหมาที่วัดชอบหอน แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า ก็มันเห็นพระ ก็ร้องบอกว่า ตนนั้นทุกข์ เมื่อไหร่จะไปกับเขาได้บ้าง
ฉะนั้น การใดที่สัตว์กระทำ จึงไม่มีบาปมีกรรม ถึงงูจะกัดเราตาย งูนั้นหามีกรรมไม่ เพราะกรรมอาศัยงู นิสัยงู มาทำให้เราที่มีกรรมต้องตาย ถึงแก่ความตายต่างหาก
แลเราเลี้ยงหมา ก็ไม่ติดหนี้ที่เราเลี้ยง นั่นกรรมทำกันมา หมาแมวนั้นอาจเป็นพ่อเป็นแม่เรา เราจึงเอ็นดู
ถ้าจะบอกว่ารักชอบหมาแมว แล้วทำไมหมาแมวอื่น เราไม่สน
แต่เมื่อเราเป็นมนุษย์ สิ่งที่เวียนว่ายเข้ามา ท่านชี้ว่า นั่นเราทำในอดีต ทำไว้แล้ว ถึงเวลาเขาก็มาให้รับผล เมื่อรับแล้วก็จบ
ส่วนที่ไม่จบ นี่แลคือกรรมใหม่ที่เราท่านเขียน เป็นกงกรรมกงเกวียนไปรอข้างหน้า ทีนี้ จะเขียนอะไร นี่แลขึ้นกับจิตของเราใจของเรา มีใครเป็นผู้นำ หรือเป็นนาย
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกให้ฟัง คนผู้หนึ่งเป็นอัมพฤกษ์ นั่งรถเข็น หากไม่พบเจอศาสนา คนผู้นั้นนานวันย่อมถูกความรู้สึกตนกัดกร่อน เพราะกลายเป็นคนไร้ค่า โรคไม่น่ากลัว แต่ความซึมเศร้า หดหู่ ทำให้กลายเป็นอารมณ์เสีย คนปรนนิบัติ ทำอะไรช้าไม่ทันใจก็ดุด่า พูดจาก้าวร้าว เอาแต่ใจตน ท้ายที่สุด อาจคิดฆ่าตัวตาย กรรมเก่าที่มีก็ให้ทุกข์ ยังสร้างกรรมใหม่มาเป็นพลังต่อ จะหายทุกข์โดยวิธีใด หากเมื่อพบเจอศาสนา จะพยายามรักษาอารมณ์จิตใจตน พยายามทำสิ่งต่างๆเอง ใช้กรรมไปกรรมก็หมด หายโรคได้ สร้างกรรมที่ดีเท่าทีพอทำได้ ไว้รอตน ตามคำสอนท่านอาสิ. เป็นคนป่วยที่ไม่โกรธ ไม่ติเตียนใคร ทำตัวสงบ สวดมนต์ พึ่งตนเองมากที่สุด กรรมที่มีอายุขัย มีวันเวลา มาให้ใช้ เมื่อยอมใช้ วันหนึ่งต้องหายแน่แท้
บทสรุป ไม่ว่าจะเป็นนิสัยกรรม หรือนิสัยธรรม ที่ทำไว้แล้วย่อมย้อนมาให้ผลแห่งตน จะเป็นโรคแล้วเวียนว่ายเข้ามาหาแม่ชีเมี้ยนนั่นทำไว้แล้วในอดีต เมื่อมา ก็ตัดจบหรือใช้สิ่งที่ทำในอดีต ประการสำคัญ สิ่งที่จะมาต่อ มีนิสัยกรรมก็สร้างกรรมต่อ จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมไม่หายโรค หรือหายโรคนี้. เป็นโรคอื่น แต่ถ้ามีนิสัยธรรม ก็ทำนิสัยดีๆที่เคยทำได้ในอดีต ในยุคพระโคดม ให้ทวีคูณ เป็นที่พึ่งของตนในภายภาคหน้า เดี๋ยวก็หายโรค
สัตว์ประเสริฐ จึงมีสิทธิ์เลือกที่จะทำ จะตัดสิ่งไร จะต่อสิ่งไร เขียนกันเอาเอง พรหมลิขิตเรานั่นแหละเขียนเอง อย่าโทษผู้อื่น
อยากรู้ตนจะหายไหม ก็ตนนั่นแหละผู้ตอบ สงบได้ไหม ไม่คุย ได้ไหม ไหนบอกว่าทุกข์
อยากหายโรค แล้วทำไมไม่ทำช่วยตน
มาแล้วไม่ทำ ไม่เงียบ ท่านว่าคนแบบนี้อย่าไปคบ เพราะตัวเองยังไม่รักไม่ทำตนช่วยตน คนแบบนี้หรือจะมารักเรา ทำเพื่อเราได้
บ้านใครบ้านมันดีกว่า มาเพื่อต่อกรรม เสียเวลาทั้งสองฝ่าย แล้วไม่ได้ผล ที่ไหนบอกคุยได้ เล่นโทรศัพท์ได้ ทำให้หายได้ ไปเถอะ ที่นี่บอกจะหายได้ ต้องมีนิสัยพระภูมีเกิดขึ้นในตน แล้วแสดงออกมา ทำให้เกิดผล ให้สุขผู้อื่นก่อน ผลจึงย้อนมายังตนหายโรคได้
ท่านอาสิว่า “วิญญาณสูง ดึงกายสูง”
วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562
เรื่องบังเอิญ
แต่พุทธศาสนาชี้ว่า ไม่มีหรอกบังเอิญ ทุกสิ่งอย่างที่เราพบ เราเห็น เราได้รับ ล้วนแล้วแต่เราทำไว้แล้ว
คนทั้งหลาย ชอบที่จะเอาแต่สุข อยากได้ไม่รู้จบรู้สิ้น ท่านอาสิชี้ว่า ครั้นพอถึงปล้องกรรมชั่วมา ดลบันดาลให้ทุกข์ กลับปฏิเสธ ไม่อยากได้ บ้างอ้างไปโน่น ไม่เคยสร้าง ไม่เคยทำ ฟ้าดินไม่มีตา
สิ่งที่เผชิญ แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้ เราทำไว้แล้ว จะปฏิเสธทุกข์เอาแต่สุขสักฉันใด ตัวทำไว้แล้วไม่ตายเลย ย่อมย้อนมาทำให้เราเจ็บ เราปวด
พุทธศาสนาจึงสอนให้เป็นคนจริง ทำไว้แล้วก็ยอมรับ เมื่อมาก็ยอมใช้ จึงมีคำสอนเป็นหลัก สอนให้พยายาม ขันติและอดทน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ทำไมที่นี่จึงมีคนหายโรค เพราะสอนให้ยอมใช้ นั่นเอง เมื่อกรรมบันดาลโรค ก็ชี้ว่า ถ้าอยากหายโรค ไม่อยากทุกข์กับโรค ก็ทุกข์กับวินัยของศาสนาแทน ไม่ว่าจะเป็นวินัยสมุนไพร หรือ วินัยธรรม ใครทำได้จึงใช้หนี้กรรมได้ หายโรคได้
บทสรุป ศาสนาจึงชี้ ทำไมศาสนามีความสำคัญต่อมนุษย์ ก็สอนให้เป็นปราชญ์ รู้ว่าสิ่งที่ทำวันนี้ จะรอตนในวันข้างหน้า อดีตแก้ไม่ได้แล้ว แต่อนาคต อยากเป็นแบบไหน เขียนเอาเอง มนุษย์ที่รู้เรื่องศาสนา จึงไม่รอพึ่งผู้ใดให้ช่วย พึ่งการกระทำของตนในวันนี้ นี่จึงเรียกหลัก “ตนพึ่งตน”
คนทั้งหลายเขาไม่กลัวกรรม เขาจึงสร้างพรหมลิขิตกรรมแก่ตนตลอดเวลา เพราะคิดว่า หมอช่วยได้ สิ่งโน้นช่วยได้ เขาจึงไม่เปลี่ยนพฤติกรรมใดๆ ดูสิกรรมมาทำลายสังขาร ดลให้เป็นโรค ยังสร้างกรรมอยู่อีก จะหายโรคโดยวิธีใด เพราะใช้ไม่มีวันหมด กรรมของเก่ายังใช้ไม่หมด สร้างหนี้กรรมใหม่เพิ่มตลอดเวลา คนทั้งโลกเขาจึงไม่มีทางหายโรค
นี่จะมาหายโรค ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนกัน ต้องยอมใช้ยอมเจ็บ และที่สำคัญ เอาวินัยธรรม มาล้างหนี้เก่า ไม่สร้างหนี้ใหม่
คนทำได้แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสชี้ว่า มีการกระทำเหนือมนุษย์ทั่วไป เขาจึงได้สัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นเหมือนคนทั้งโลก หายโรคได้
อย่าแปลกใจเลย ทำไมศาสตร์ของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ใช้ช่วยตน ไม่ค่อยพูดเรื่องวัตถุ คือสมุนไพร เพราะนั่นมันปลายเหตุ ต้นเหตุคือกรรมจึงต้องใช้ธรรมนำหน้า มาลดกิริยาสวดมนต์ ไม่ทำเหมือน ที่อื่น คนไข้ต้องพักผ่อนเยอะๆห้ามทำอะไร หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ยิ่งเบียดเบียนผู้อื่น มีแต่หนี้เพิ่ม ไม่มีทางหายโรค
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2562
แค่รู้ - สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
คำสอนที่เป็นหัวใจ ตรัสว่า “ตัวกระทำมีจริง กรรมมีจริง” ที่ซึ่งศาสนา ลัทธิความเชื่อ ความเชื่ออื่นๆ ไม่กล่าวถึง ไม่เชื่อ
ในขณะที่คนที่กล่าวว่าตนเป็นชาวพุทธ ได้ยิน ได้ฟัง รับรู้ เรื่องกรรม มาตั้งแต่เด็ก อาทิ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
หากแต่จบที่รู้ ยังหาซึ้งไม่ ในเรื่องตัวกระทำ หรือ กรรม
ผลก็คือ การกระทำตน คิดเอง เออเอง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำ เชื่อเขากล่าวว่าดี ก็ทำตาม มันจึงช่วยตนพ้นทุกข์ไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า บางคนจึงโทษโน่นนี่นั่น ทำไมตนจึงเป็นเช่นนี้ ลำบากเช่นนี้ ทำดีไม่ได้ดี
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา ทำไมจึงต้องมาหาศาสนา ก็เรียนรู้เรื่อง ตัวกระทำ เรื่องกรรม นั่นเอง เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ จึงอยากเรียนหนทางดับทุกข์ คือเรียนธรรม มาสร้างสุข
คนทุกวันนี้ จะเอาสุข แต่ไม่รู้หนทางสร้างสุข ไม่ยอมทำ อยากได้ แต่ไม่ทำ จึงหันเหไปในการ ร้องขอพร แสวงหาสิ่งที่จะช่วยตนให้พ้นทุกข์ แม้นแต่หายโรค จะดิ้นรนสักฉันใด ก็ไร้ผล
ท่านอาสิ จึงชี้หนทางในการดับทุกข์ เริ่มที่ทำใจตน ให้มีที่ว่าง มานั่งฟัง ศาสนาชี้ก่อน เอาไปพิจารณา ถ้าเห็นว่าเป็นไปได้ ที่ทำแล้วจะพ้นทุกข์ ก็ค่อยทุ่มเททำ ตามคำสอน
นี่จะมาหายโรค แบบเอาตามนิสัยกู ไม่รู้เลยกรรมเราทำมา มากน้อยสักเท่าไร อ้างสมุนไพรดีจริง ต้องช่วยตนให้หาย
ยืนยันอีกครั้ง ศาสนา ช่วยเฉพาะ คนอยากทำตนเป็นคนดี ตามพุทธศาสนา และทำได้ ไม่ใช่ขี้ข้าใคร เมตตาไปทั่ว ทุกตัวคน
วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562
เบอร์สอง
หลวงพ่อนิพนธ์ยังชี้อีกว่า จะทำสิ่งใด ผลแห่งตัวกระทำจะมากน้อย ก็ดูผลที่พึงเกิดกับสรรพสัตว์นั่นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า พระหรือผู้นำศาสนา ลัทธิความเชื่อต่างๆ จึงเป็นผู้ที่ทำแล้วเกิดผลมากที่สุด
รองลงมา ท่านชี้ว่า นั่นคือ “หมอ”
ผอโรงพยาบาลท่านหนึ่ง ได้ฟังคำสอน จึงถามว่า แล้วอย่างไร จึงเป็นหมอที่มีคุณธรรม ท่านจึงยกตัวอย่าง ถ้าคนไข้เป็นเบาหวาน อย่าเห็นแก่ได้ จ้องจะหาเงิน จ่ายยาอย่างเดียว ควรแนะนำคนไข้ ให้เปลี่ยนพฤติกรรม เป็นเบื้องต้น ถ้าทำแล้วหยุดอาการไม่ได้ ก็ค่อยจ่ายยา
บทสรุป ไม่สงสัยหรือ ทำไมคนทั้งหลายเป็นโรค ไม่ว่าจะทำอะไร หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ก็ด้วยทุกอาชีพ ล้วนแล้วมีบาปนั่นเอง
คนมากหลายมักกล่าวอ้าง ไม่เคยทำบาป ไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วทำไมตนเป็นโรคได้ นี่แลไม่รู้เรื่องศาสนา จึงไม่รู้ว่า กรรมมาโดยวิธีใด เราจึงต้องไปหาศาสนา เพื่อเรียนรู้ จะได้มีตัวกระทำที่อยู่ในร่องธรรม มิใช่คิดเอง เออเอง ว่าถูก ว่าใช่ ว่าดี
วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562
กำแพงยักษ์
หากแต่อุปสรรคใหญ่ ที่แฝงมาในนิสัยของคนไทย แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คือ การไม่ค่อยยอมรับความจริง
ผลก็คือ เมื่อไม่รับ ก็ไม่มีอะไรต้องเปลี่ยน เพราะสิ่งที่ตนมี เชื่อว่ามันดีอยู่แล้ว
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ เคยตอบคำถามพระว่า ทำไมไม่เคยเห็นท่านชมพระ
ไม่ว่าจะทำดีสักฉันใด ท่านตอบว่า ตราบใดยังไม่หมดกิเลส ก็ยังไม่ดี คนที่ดีแล้ว คือพระพุทธเจ้าแลสาวก ล้วนไปกันหมดแล้ว ส่วนพวกเรา แม้นทำดี ก็ยังมีกิเลส หากชม แล้วเกิดหลง ก็เสียพระ เมื่อใดหมดกิเลสนั่นแหละ จึงดีแล้ว โลกแลฟ้าดินเขาก็สรรเสริญ
มาวันนี้ มีจิตอาสามากมายเข้ามาช่วยตน ทำตนได้นิดหน่อย สร้างบุญได้บ้าง ก็คิดว่าตนดีแล้ว จึงน่ากลัว เพราะเขาเหล่านั้นก็จะหยุด เอาแค่ที่ตนทำ ไม่พัฒนาตนให้ยิ่งขึ้นไป
เชื่อเถอะ เราท่านยังไม่ดี อย่าประมาทกรรม นิสัยธรรมดีๆที่ทำได้จะสูญไป
นี่แลทำไมต้องรับสัจจะ เอามาบังคับตน
วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562
สอนอะไร
ในขณะที่ องค์การระดับโลกประกาศยืนยัน ว่า รอยพระพุทธบาท สระบุรี เป็นหนึ่งในห้าของโลก ที่เป็นของจริง
แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า พระโคดมเคยเสด็จมาประเทศไทย เมื่อครั้งสระบุรียังเป็นชายทะเล แลมาหลบฝนที่หน้าถ้ำกระบอก ท่านจึงเลือกสถานที่นี้ เป็นที่ก่อตั้งสำนัก
รอยพระบาท ที่บรรพบุรุษเราคนไทยร้องขอจากพุทธองค์ แลทรงประทานเพื่อที่จะเป็นที่รำลึก ว่าอยากถึงสุขให้เดินตามรอยท่าน
จึงไม่แปลกทำไมท่านที่มาทานสมุนไพร ระยะแรกจึงเห็นผลทุกตัวคน ก็เคยทำมากับศาสนาของพระโคดมนั่นเอง ผลนั้นจึงพามาแลให้ผลดี
แต่มันเนิ่นนานมาแล้วกว่าสองพันปี นิสัยดีๆที่เคยทำตามคำสอน มาวันนี้ เลือนลาง จำไม่ได้ บ้าง นิสัยกรรมเข้ามาแทน ผลกรรมจึงบันดาลโรค
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ชวนให้ไปหาผู้ปฏิบัติ ที่มีธรรมเที่ยง ของแม่ชีเมี้ยน ในแผ่นดินลพบุรี ไปรื้อฟื้น คำสอน แล้วจะได้ปฏิบัตินิสัยที่ดีของพระโคดมเป็นที่พึ่งพาของตนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสุขแห่งตน ส่วนพ้นโรคนั่นแถมให้
บทสรุป การมาของท่าน หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า เพราะตัวกระทำไม่ตาย ท่านจึงมาทวงกับศาสนา แต่เมื่อใช้แล้ว วันหนึ่งมันก็หมด บุญเก่าที่ทำมากับพระโคดมหมดลง คำถามก็คือ จะทำต่อไหม หรือจะตัดสายสัมพันธ์กับศาสนา
นี่แลทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงทิ้งแผ่นดินลพบุรีไว้ ก็จะได้ไปรื้อฟื้นแล้วทำต่อ ในสิ่งดีๆที่เคยทำ นิสัยของพระภูมี จะได้เกิดกับตนยิ่งมาก ยิ่งสุขมาก พ้นโรค พ้นภัย
ศาสนาสอนให้เป็นปราชญ์ จะมาเอาแต่สมุนไพร แน่ใจหรือ หายโรคแล้วจะไม่ตาย คนฉลาดจึงพาตนไปเรียนรู้ ว่าธรรมของพระโคดมที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ทำอย่างไร เพราะมันห่างศาสนามานาน สิ่งที่ทำตามความคิด ความเห็น ความเชื่อทุกวันนี้ มันไม่ถูกร่องธรรม มันจึงช่วยตนไม่ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)