วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

น้อยเดียวของมะกรูด


คนมากมายมักจะอดคิดไม่ได้ว่า มาทั้งวันแต่ได้สมุนไพรไปนิดเดียว

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สมุนไพรที่ทานไม่จำเป็นต้องมาก ด้วยเหตุว่า เข้าถึงที่เกิดเหตุโดยตรง ด้วยการนำของอาหารที่เป็นแสลงทั้งหลาย

นี่เองทำให้วิทยากรมักแนะนำว่า ทำไมต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ โดยเฉพาะของแสลงที่ด่านภูมิต้านทานของร่างกายปล่อยผ่าน ให้เข้าถึงต้นเหตุของโรคได้

สมุนไพรน้อยเดียว อาทิ สมุนไพรมะกรูด ช่วยอะไรได้บ้าง

ประโยชน์ของมะกรูด


  1. มะกรูดมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรค
  2. ช่วยทำให้เจริญอาหาร
  3. น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเครียด คลายความกังวล ทำให้จิตใจสงบนิ่ง ด้วยการสูดดมผิวมะกรูดหรือน้ำมันมะกรูดจะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่การใช้ไม่ควรจะใช้ความเข้มข้นมากกว่า 1% เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  4. ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ด้วยการใช้ผิวมะกรูด รากชะเอม ไพล เฉียงพร้า ขมิ้นอ้อย ในปริมาณเท่ากัน นำมาบดเป็นผง นำมาชงละลายน้ำร้อนหรือต้มเป็นน้ำดื่ม
  5. ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนแกง เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง (เปลือกผล)
  6. ช่วยแก้ลม หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ด้วยการใช้เปลือกมะกรูดฝานบาง ๆ ชงกับน้ำเดือดใส่การบูรเล็กน้อย แล้วนำมารับประทานแก้อาการ (เปลือกผล)
  7. ช่วยแก้อาการไอ ขับเสมหะ ด้วยการใช้ผลมะกรูดนำมาผ่าซีก เติมเกลือ นำไปลนไฟให้เปลือกนิ่ม แล้วบีบน้ำมะกรูดลงในคอทีละน้อย ๆ จะช่วยแก้อาการไอได้ สูตรนี้ก็สามารถใช้เป็นยาขับเสมหะได้ด้วยเช่นกัน
  8. ใช้แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำในได้อีกด้วย
  9. ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำผลมะกรูดสดมาผ่าเป็น 2 ซีกแล้วนำไปดองกับเกลือหรือน้ำผึ้งประมาณ 1 เดือน แล้วรินเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยฟอกโลหิตได้เป็นอย่างดี
  10. ใบมะกรูดมีสรรพคุณช่วยยับยั้งหรือชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยต่อต้านมะเร็งได้ เนื่องจากใบมะกรูดนั้นอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน
  11. ช่วยแก้เสมหะเป็นพิษ ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนแกง เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง (เปลือกผล, ราก)
  12. น้ำมะกรูดใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟันได้ โดยหลังแปรงฟันเสร็จให้ใช้น้ำมะกรูดถูบาง ๆ บริเวณเหงือก
  13. ใช้ปรุงเป็นยาช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียด ท้องอืด แน่นท้อง ด้วยการใช้ผิวมะกรูดสดฝานเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 1 ช้อนแกง เติมการบูรหรือพิมเสน 1 หยิบมือ ชงด้วยน้ำเดือด แช่ทิ้งไว้ แล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม 1-2 ครั้ง (เปลือกผล)
  14. ช่วยแก้อาการปวดท้องหรือใช้เป็นยาแก้ปวดท้องในเด็กอ่อน ด้วยการนำผลมะกรูดมาคว้านไส้กลางออก นำมหาหิงคุ์ใส่และปิดจุก แล้วนำไปเผาไฟจนดำเกรียมและบดจนเป็นผงละลายกับน้ำผึ้งไว้รับประทานแก้อาการปวดได้ หรือจะนำมาป้ายลิ้นเด็กอ่อน ใช้เป็นยาขับขี้เทาก็ได้เช่นกัน
  15. ช่วยขับระดู ขับลม ด้วยการใช้ผลมะกรูดนำมาดองทำเป็นยาดองเปรี้ยวไว้รับประทานแก้อาการ
  16. ช่วยกระทุ้งพิษ ช่วยรักษาฝีภายใน (ราก)
  17. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้เป็นอย่างดี
  18. น้ำมันมะกรูดมีฤทธิ์อ่อน ๆ ช่วยยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้
  19. ใช้สระผมเพื่อทำความสะอาด ทำให้ผมดกเงางาม ป้องกันผมหงอก แก้ปัญหาผมร่วง ความเปรี้ยวของน้ำมะกรูดยังมีฤทธิ์เป็นกรดช่วยขจัดคราบแชมพู หรือชำระล้างสิ่งอุดตันต่าง ๆ ตามรูขุมขนบนหนังศีรษะ แล้วยังทำให้ผมหวีง่ายอีกด้วย ด้วยการผ่ามะกรูดเป็น 2 ชิ้น เมื่อสระผมเสร็จ ให้เอามะกรูดสระผมซ้ำ ด้วยการใช้มะกรูดยีให้ทั่วบนผม แล้วล้างออก จะช่วยทำความสะอาดผมได้
  20. ช่วยล้างสารเคมีในเส้นผม เนื่องจากในแต่ละวันเราต้องโดนทั้งฝุ่นละออง แสงแดด ยาสระผม ซึ่งเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ผมแห้งกรอบได้ แม้จะใช้ครีมนวดผมหรือทรีตเมนต์บำรุงและซ่อมแซมผมก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีส่วนผสมของสารเคมีอยู่ สำหรับวิธีการปกป้องเส้นผมและล้างสารเคมีก็ง่าย เพียงแค่ใช้น้ำมะกรูดมาชโลมบนผมที่เปียกชุ่ม แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วล้างซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผมเงางามและมีน้ำหนักขึ้น และยังช่วยถนอมเส้นผมและบำรุงเส้นผมไปในตัวอีกด้วย
  21. ใช้รักษารังแคและชันนะตุ ด้วยการนำมะกรูดมาเผาไฟ นำมาผ่าเป็นซีกแล้วใช้สระผม จะช่วยรักษาอาการชันนะตุได้
  22. ใช้ผสมเป็นน้ำอาบเพื่อทำความสะอาด ช่วยทำให้ผิวไม่แห้ง ด้วยการนำมะกรูดมาผ่าซีกลงในหม้อต้มเป็นน้ำอาบ
  23. มีอาหารบางชนิดที่นิยมใช้น้ำมะกรูดเป็นส่วนผสม
  24. เนื่องจากน้ำมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหยอยู่มาก มีกลิ่นฉุน สามารถนำไปใช้ไล่แมลงบางชนิดได้ เช่น มอดและมดในข้าวสาร ด้วยการใช้ใบมะกรูดสด ๆ ประมาณ 4-5 ใบต่อข้าว 1 ถัง แล้วฉีกใบเป็น 2 ส่วนให้กลิ่นออก แล้วใส่ลงในถังข้าวสาร เมื่อใบมะกรูดแห้งแล้วก็ให้เปลี่ยนใบใหม่ เพียงแค่นี้ก็จะไม่มีแมลงมอดมากวนใจท่านแล้วครับ
  25. มะกรูดสามารถใช้ในการไล่ยุงและกำจัดลูกน้ำได้ เมื่อทานหรือคั้นเอาน้ำแล้วก็อย่าทิ้งเปลือก ให้นำเปลือกมาตากแห้งและเผาไฟจะช่วยไล่ยุงได้ดีนัก (เปลือกผล)
  26. ในปัจจุบันมีการผลิตน้ำมันหอมระเหยในรูปแบบแคปซูลเพื่อใช้ไล่แมลงและหนอนสำหรับเกษตรกร ด้วยการใช้โปรยไว้ใต้ต้นไม้ที่ต้องการไล่แมลง แคปซูลก็จะค่อย ๆ ปล่อยน้ำมันออกมา แถมยังไม่มีอันตรายอีกด้วย
  27. น้ำมันจากใบมะกรูดมีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด เช่น ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยของราพวกมูเคอร์ แอสเปอร์จิลลัส อัลเทอร์นาเรีย และกระตุ้นการสร้างสปอร์ของแอสเปอร์จิลลัส
  28. ใบมะกรูดและน้ำมะกรูดสามารถใช้ดับกลิ่นคาวในอาหารได้
  29. ใช้ในการประกอบอาหารและแต่งกลิ่นคาวหวานของอาหาร เช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่ ห่อหมก ทอดมัน โรยหน้าข้าวเหนียวหน้ากุ้ง ฯลฯ
  30. น้ำมะกรูดสามารถใช้แทนน้ำมะนาว หรือใช้ร่วมกับมะนาวได้ จะได้รสเปรี้ยวและความหอมของน้ำมันหอมระเหยที่ผิวมะกรูดเพิ่มขึ้นไปด้วย
  31. มะกรูดยังใช้ในพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีโสกันต์ ซึ่งระบุไว้ว่าจะต้องมีผลมะกรูดและใบส้มป่อยในการประกอบพิธี
  32. ยาฟอกเลือดสตรี ขับระดู ยาบำรุงประจำเดือน หรือยาแก้ผอมแห้งแรงน้อย มักจะมีมะกรูดอยู่ในตำรับยาเสมอ
  33. มีการนำเปลือกของมะกรูดมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางบางชนิด อย่างเช่น สบู่ แชมพูมะกรูดหรือยาสระผมมะกรูด ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงและแมลง เป็นต้น
  34. หากถูกปลิงกัด ไม่ควรดึงออก เพราะจะทำให้แผลฉีกขาดและเลือดจะไหลไม่หยุด แต่วิธีที่ควรทำในเบื้องต้นให้ใช้น้ำมะกรูดมาราดใส่ตรงที่ถูกปลิงเกาะ ก็จะทำให้ปลิงหลุดออกมาเอง
  35. ช่วยแก้ปัญหากลิ่นเท้าเหม็น มีกลิ่นอับเชื้อรา ด้วยสูตรมะกรูด ขิง ข่า เกลือ อย่างละเท่า ๆ กัน นำมาต้มรอให้อุ่นสักนิดแล้วแช่เท้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีก็จะช่วยลดกลิ่นอับแถมยังคลายความปวดเมื่อยได้อีกด้วย
  36. ช่วยดูดกลิ่นในรองเท้าหรือตู้รองเท้า ด้วยการใช้ผิวมะกรูด ตะไคร้หอม ถ่านป่น และสารส้ม อย่างละ 1 ส่วน นำมาใส่ถุงที่ทำจากผ้าขาวบางหรือผ้าที่มีช่องระบายอากาศ แล้วนำไปใส่ไว้ในตู้รองเท้าหรือในรองเท้า จะช่วยดูดกลิ่นได้อย่างหมดจดเลยทีเดียว
  37. ช่วยทำความสะอาดคราบตามซอกเท้าเพื่อลดความหมักหมมด้วยการใช้สับปะรด 2 ส่วน, สะระแหน่ 1/2 ส่วน, น้ำมะกรูด 1/2 ส่วน, เกลือ 2 ส่วน นำมาปั่นรวมกันแล้วนำไปขัดเท้า
  38. การอบซาวน่าสมุนไพรเพื่อขับสารพิษผ่านเหงื่อและรูขุมขน มักจะมีสมุนไพรที่ประกอบไปด้วย ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ไพล ตะไคร้ พิมเสน การบูร และผิวมะกรูดผสมอยู่ด้วย ซึ่งแต่ละตัวก็มีสรรพคุณในการช่วยขับสารพิษทั้งสิ้น


นั่นคือสรรพคุณที่คนทั้งหลายรู้ แต่ที่เราได้เห็น ได้ยิน

หลวงพ่อนิพนธ์ให้ อาภัสรา หงสกุล ทานก่อนไปประกวด แต่การทานครั้งนั้น เธอทานถึง สองปี๊บ

หลวงพ่อนิพนธ์ให้คนที่น้ำเหลืองเป็นพิษ ที่เรียกว่า เน่าตั้งแต่ยังไม่ตาย มีน้ำเหลืองใหลเยิ้มทั่วตัว ตลอดเวลา

หลวงพ่อนิพนธ์ให้อาน้อง ที่เป็นน้องชาย อาเล็ก ธานินทร์ อินทรเทพ เคี้ยว เพราะฟันโยกทั้งปาก กลายมาเป็นฟันที่แข็งแรง ไม่โยกคลอน ไม่มีแมง

หลวงพ่อนิพนธ์ให้คนที่เป็นโรคลม โรคขาดเลือด ....

ด้วยสมุนไพรมะกรูดน้อยเดียวนี้แหละ แต่เข้าถึงจุด ใช้ประโยชน์เต็มที่ ท่านจึงมักเรียกว่า ถ้าทานถูก และทำถูก จะกลายเป็นเสมือนระเบิดปรมาณู ให้คุณค่ามหาศาล


บทสรุป การทานน้อย ทานมาก จึงมักไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะจุดใหญ่ใจความอยู่ที่ ร่างกายรับหรือไม่ ทำงานได้ตรงจุดหรือไม่ นี่แหละทำไมต้องการคุณสมบัติ เสมือนทานข้าว จะเป็นคุณเป็นโทษ อำนาจกรรมบันดาล ทานสมุนไพร จะกลายเป็นอะไร ก็ต้องอาศัยอำนาจบุญ ถ้าปราศจากบุญ การทานผ่านมาก็ผ่านไป ทานมากสักเท่าใด ก็ไร้ค่า

... หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า นี่แหละทำไม ความสงบ ชั่วครู่ชั่วยาม การลดกิริยา จึงเป็นความจำเป็น ถุงน้อยเดียวนี่แหละ ทำถูก มีคุณสมบัติ ให้คุณค่ามหาศาล ช่วยตนได้

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561

ลงแดง


ศัพท์ของถ้ำกระบอกในยุคเฟื่องฟูแลเป็นที่รู้กันจากหนังเรื่อง น้ำพุ นั่นคือ "ลงแดง"

คนมากหลายไม่รู้ ก็บอกมันหมายถึงการอาเจียนพุ่งออกมา นั่นแหละลงแดง บางคนเหมารวมไปถึงว่า การรักษายาเสพติดของถ้ำกระบอกนั้น ก็คือ ทานยาตัด แล้วทานน้ำเยอะๆ ให้อาเจียนออก นั่นพูดโดยไม่รู้

ซ้ำร้ายกว่านั้นอีก บางที่ บางแห่ง ก็เลยทำเลียนแบบ หาตัวยามา แล้วก็ให้ทานน้ำ พยายามให้อาเจียนมากๆ จนในที่สุด ก็ดั่งเป็นข่าว คือ อาเจียนเป็นเลือดตาย ก็มีให้เห็น นั่นทำไปโดยไม่รู้

หากแต่ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า กระบวนการทำงานของสมุนไพรนั้น คือ การทำให้เซลล์ของร่างกายถูกกระตุ้น ตื่นตัว และเกิดการขยับตัว ดิ้นรน ทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออก หรือ ลอยตัว นั่นแหละคือ อาการลงแดง

ในกรณีของยาเสพติด เมื่อร่างกายขาดสารยา จะเกิดอาการเสี้ยนยา และรู้สึกเจ็บปวดทรมาน อันเป็นผลเนื่องจาก การรัดตัวของสารยาที่กระดูก คนทั้งหลายจึงทนไม่ได้ เมื่อทานสมุนไพรยาตัด จะทำหน้าที่ไปกระตุ้นเซลล์ของร่างกาย ให้ขยับตัว แล้วสารยาเสพติดนั้น จะหลุดออกหรือ ลอยตัว และถูกกระบวนการของร่างกาย รีดผ่านต่อมไร้ท่อ ลงมาที่กระเพาะ แล้วจึงอาเจียนออก

หากยังเสพยาอยู่ อาการรัดตัวดังกล่าวก็จะไม่เกิด การกระตุ้นเซลล์ก็ได้ผลไม่เต็มที่ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่บทเริ่มของถ้ำกระบอก จึงต้องให้หยุดเสพ แล้วรอจนกว่าอาการลงแดงจะเกิดขึ้น จึงให้ยาตัด

ความแตกต่างของกระบวนการสมุนไพรของถ้ำกระบอกกับวิธีอื่น ในอดีต ที่ยุโรปและอเมริกาส่งรถโมบายมาตรวจสอบที่ถ้ำ นั่นก็คือ การวัดค่าของเลือด แลที่ได้รับการยอมรับ นั่นก็คือ สามารถทำให้ค่าเลือดกลับมาปกติได้นั่นเอง มิใช่ หยุดยาเสพติดได้ เท่านั้นยังไม่พอ เหมือนดั่งที่เป็นเป้าหมายของหลายที่ในวันนี้ ที่เอาไปกักพื้นที่ ๗ วันให้หลัง ก็ไม่เสพได้ แล้วก็กล่าวว่านั่นคือการบำบัดได้แล้ว แต่ไม่สนค่าเลือด ไม่สนสารยาที่ตกค้างในกระดูกแต่อย่างใด เอาแต่กายภาพ ผลก็คือ ในไม่ช้า ก็จะเวียนกลับไปเสพอีกอย่างง่ายดาย จะรอดก็แต่เฉพาะคนที่มีสภาพยังดีอยู่ เสพไม่นาน ไม่มีโรคซ่อน เท่านั้นเอง

สิ่งหนึ่ง ที่คนทั่วไปไม่รู้ นั่นคือ การเสพยาในอดีต หรือ เฮโรอีน คนมากหลายไม่ได้เสพ เพราะอยากเสพ แต่เมื่อเสพแล้ว สามารถหยุดอาการที่เกิดจากโรคที่ตนเป็นได้ เพราะความแรงของฤทธิ์ยาเสพติดนั่นเอง นี่ก็เป็นปัญหาที่กระบวนการของยุคนี้ผจญ เพราะวันใดที่อาการของโรคหวนเพราะขาดสารยา คนก็จักย้อนไปเสพอีก ไม่ใช่เพราะนิสัยสันดาน แต่เพราะทนอาการโรคไม่ไหว

สิ่งนี้เอง เป็นจุดเริ่มของการรักษาโรคทั่วไป เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์พบว่า คนเสพยาที่มาบำบัด เมื่อหายแล้ว โรคดังกล่าวก็หายด้วย นั่นคือ สรรพคุณของยาตัด ถ้ำกระบอกยุคนั้น เคลียร่างกายให้หมดจดนั่นเอง

หากแต่การรักษาคนทั่วไปในยุคนั้น ต่างกับยุคนี้อย่างสิ้นเชิง นั่นคือ เริ่มด้วยการสร้างคุณสมบัติก่อน นั่นคือ การมีวันพระ ที่คนต้องมาทำการพัฒนาฟื้นฟูจิดใจ จิตวิญญาณของตน ให้อยู่ในร่องธรรม ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อทำได้ จึงพิจารณา ให้ยาตัด แก่คนที่เป็นโรคทั่วไป แล้วก็กลายกันเป็นที่ร่ำลือว่า ผู้ใดได้ทานยาตัด ครบ ๕ แก้ว หายทุกตัวคน

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะมีคุณสมบัติ มีวัตรปฏิบัติ เป็นเครื่องรองรับเป็นสำคัญ หาใช่ด้วยสมุนไพรประการเดียวไม่ นั่นคือ มีเป้าหมายว่า การทานสมุนไพรนั้นเพื่อสิ่งใด ไม่ใช่แค่การหายโรค แต่อยู่ที่การเป็นคนดี มีธรรม

มาวันนี้ การทานสมุนไพรที่มูลนิธิไทยกรุณา คนส่วนใหญ่จะเอาแต่สมุนไพร ไม่สนใจคุณสมบัติ ที่สาหัสยิ่งกว่าก็คือ ไม่เอา "ลงแดง" ด้วยนี่สิ นั่นคือ เมื่อสมุนไพรคุ้ยโรค ย่อมต้องเกิดอาการ ย่อมต้องเกิดผลที่โรคแสดงอาการ ปวด ร้อน คัน อึแตก ฉี่แตก อ๊วกแตก ดั่งที่คุณปรียานุชเขียนในหนังสือ แต่คนยุคนี้ไม่เอาเลย จะเอาแต่หายแบบสบายๆ เดินพรมแดง ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่เกิด นั่นกรรมเราทำมา เราให้ทุกข์แก่ผู้อื่น วันนี้ มันย้อนมาให้ทุกข์แก่ตน .... พูดง่ายๆ ไม่เชื่อว่า "กรรมมีจริง" ไม่เชื่อว่า "โรคเกิดจากกรรม"

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สิ่งดีที่ปรากฎ นั่นคือ "ลงแดง" อันเป็นการบ่งบอกว่า ร่างกายมีความสามารถในการคุ้ยเขี่ย เข้าถึงเหตุแห่งโรคแล้ว กลายเป็นสิ่งเลวร้าย ที่คนไม่ยอมรับ ปฏิเสธ แล้วบอกว่าไม่ดี ทั้งๆที่เป็นปฐมบท เป็นการเปิดแง้มประตูของการหายโรค ไม่เรียก เห็นดอกบัวเป็นกงจักร ได้ไง

ไม้ตายของการหายโรค นั่นคือ "ขันติ อดทน" ท่านอาสิชี้ว่า คือ การทำตนเป็นคนจริง กรรมเราทำไว้แล้ว เราก็ยืดอกยอมรับ ยอมทุกข์กับอาการ ยอมทุกข์กับการทานสมุนไพร ผู้ใดทำได้ หายโรคก็เป็นไปได้ทุกตัวคน

พวกผู้ดีตีนแดง เหยียบขึ้ไก่ไม่ฝ่อ ... หนทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ... คงไม่เหมาะ คงช่วยไม่ได้ เพราะแค่เจ็บนิด ร้อนหน่อย คันก็ไม่เอาแล้ว สิ่งที่ทำมาก็ไร้ผล ในที่สุดก็ย้อนกลับไปหายาเคมี หายาแก้ปวด แก้คัน

จำไว้น่ะ ถ้าลงแดง แล้วทนได้ ก็หายโรคได้ ควรปิติว่าวันที่เราท่านจะหายโรค นับถอยหลัง ตั้งแต่วันเริ่มลงแดงแล้วนั่นเอง ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ทนอีกนิดเท่านั้นเอง

แต่ที่สำคัญกว่า หายแล้วจะทำตนอย่างไร ฤาจะเวียนไปทำนิสัยเดิม ที่สร้างทุกข์ในวันนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น บทสรุปก็คงไม่ต่างจากเดิม ถ้าโรคไม่หวน หายโรคนี้ก็ไปเป็นโรคนั้น หนักหน่อยหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เจอกรรมสรุปเลย เล่นอุบัติภัย จบชีวิตเลย ก็มีให้เห็นมากมายนับแต่ยุคปี ๓๐ มาแล้ว


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

ได้ที่หนึ่ง

หลายคนสงสัยว่า ทำไมถ้ำกระบอกที่ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งรักษายาเสพติด หากแต่เมื่อเวลาผ่านไป การตั้งสำนักของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ ต.โคกตูม ลพบุรี ในปี ๓๐ จึงมีการรักษาโรคทั่วไปด้วย
เหตุประการหนึ่ง ด้วยคนทั่วไปสนใจแต่ยาเสพติด นั่นเอง แลการรักษาโรค ก็เป็นคนส่วนน้อย ที่ซึ่งมักจะเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ ผู้เป็นน้อง ต่างกับท่านจรูญแลท่านเจริญ ที่รับหน้าที่คนป่วยส่วนใหญ่ คือ ยาเสพติดนั่นเอง

คำสั่งเสียประการหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยนมีต่อหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งต้องออกจากถ้ำกระบอกในปี ๒๕๑๐ ท่านกล่าวว่า ตำราสมุนไพรที่ฉันให้ รวมถึงโรคที่ยังไม่มีในวันนี้ แต่จะบังเกิดเป็นที่รู้จักในอีก ๒๐ ปี ข้างหน้า นั่นคือ โรคเอดส์ ท่านจึงแนะนำหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ถ้าจะเอาผล นั่นคือ โรคที่คนป่วยมักจะให้ความร่วมมือ ก็ควรเลือก คนป่วยยาเสพติด และ เอดส์ นี้แหละ เพราะทั้งสองโรคนี้ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ที่สำคัญ มีผลต่อชีวิตอย่างใหญ่หลวง อันจะทำให้ผลสำเร็จเกิดได้ง่าย

หากแต่ ด้วยความมีเมตตาของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านจึงยังคงรับโรคทุกชนิด เฉกที่เคยทำในยุคถ้ำกระบอก นั่นจึงเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะไม่ใช่โรคตาย หรือที่เรียกโรคทรมาน เป็นแล้วยังอยู่ได้อีกนาน อาทิ อัมพฤกต์ เบาหวาน โรคไต ... ทำให้คนเหล่านั้น ยากที่จะร่วมมือ ร่วมใจ เดินตามแนวทางให้พ้น ด้วยยังมีทางเลือก ยังมีพรหมลิขิต ยังมีวันเวลา คนเหล่านี้จึงประมาท ไม่กระตือรือล้น
แลกล่าวว่า ตำราที่ฉันให้ ให้เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน

มาวันนี้ สถิติก็ชี้ชัด ประเทศไทย มีสถิติผู้ป่วยเอดส์ มากที่สุดในอาเซียน นั่นคือ นับล้านคนแล้ว เรียกได้ว่า จากคนที่เดินผ่านกันไปมา ทุก หกเจ็ดสิบคนที่สวนกัน จะมีผู้ติดเชื้อหนึ่งคน นั่นเอง แลสถิติล่าสุด เฉพาะในเขตกรุงเทพ ก็มีเกือบแสนคน นั่นยังไม่สำคัญ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว แต่สถิติที่น่ากลัวนั่นคือ ในกรุงเทพ จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากประมาณการณ์ในปีนี้ กว่าสองพันคน ...

คนทั้งหลาย กลัวลูกติดเกมส์ กลัวลูกติดยาเสพติด กลัวลูกไปแว้น .. หากแต่มีน้อยคนจะคิดว่า ลูกเราจะเป็นหนึ่งในสองพันนั้นหรือไม่ เพราะนั่นคือ หายนะของอนาคตในชีวิตของลูกเราท่านนั่นเอง ที่ต้องสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย เช่น คุณแก้ว

ความทุ่มเทอุตสาหะตั้งใจ มุ่งมั่นเรียน เพื่ออนาคต กลับต้องมลายหายไป ด้วยภัยมืด ที่ผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง ไม่มีใครกระตุ้นเตือนให้พึงระวังระไว นี่คือ หายนะของบ้านเมือง เป็นระเบิดเวลาที่รออยู่
หลวงพ่อนิพนธ์เคยพูดเล่นๆเสมอว่า วันหนึ่งที่บ้านเมืองประสพวิกฤต สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ ขาดเงินคงคลัง นั่นย่อมหมายถึง ความพึ่งพาของคนเหล่านี้ การเข้าถึงยาของคนเหล่านี้ ที่เคยได้ในยามเศรษฐกิจดี จะหดหาย ลดน้อยถอยลง แลคนเหล่านี้ เสพติดยา จนเรียกว่า ขาดไม่ได้ ด้วยเชื่อในหมอ ในวิทยาการสมัยใหม่ เรียกได้ว่า แค่ CD4 ค่าเดียว ก็สร้างโรคประสาทเพิ่มขึ้นแก่คนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย

คำถามง่ายๆ แต่เป็นเรื่องไม่ง่าย จะทำอย่างไร ถ้าคนเหล่านี้ออกมาเรียกร้อง มาเดินถนน พร้อมกัน แลถ้าสิ่งที่เรียกร้องไม่ได้ อาจจะมีเหมือนกรณีในอดีต นั่นคือ เอาเข็มแทงตัวเอง แล้วไปจิ้มใส่คนอื่น
เราก็อยากจะบอกคนเหล่านั้นว่า อย่าทำเช่นนั้นเลย วันนี้ ท่านทั้งหลายที่เป็น อาจจะเชื่อมั่นในหมอ ในวิทยาการ ทั้งๆที่ไม่เคยมีคนประสพผลสำเร็จ ไม่เคยมีใครหาย อย่างดีก็อยู่ได้ในสภาพที่ตนรับได้ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ทำให้เห็น ว่าสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา แลธรรมคำสอนของพระภูมี สามารถเปลี่ยนพรหมลิขิตอันนี้ได้ หากเชื่อ พิจารณา แล้วทำตาม

บทสรุป น่าเสียดายที่วันนี้ ไม่มีแม้นแต่คนเดียว ที่มีอำนาจ วาสนา คิดจะช่วย แต่แม่ชีเมี้ยน พร้อม ที่จะช่วยคนเหล่านี้ เสมือนครั้งหนึ่ง ที่เคยช่วยประเทศ ในการแก้ปัญหายาเสพติด ที่สำคัญ สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ มิเพียงแต่ได้คนหายโรค ได้ทรัพยากรบุคคลของประเทศที่ดี กลับคืนมา ที่สำคัญกว่าคือ ได้คนดี
ก็ยังคงกล่าวคำเดิม น่าเสียดาย คนที่เป็นแล้วหาย เขาก็ไปกันหมดแล้ว ไม่มีใครรู้จัก คนที่เป็นที่รู้จักเป็นโรคนี้ ก็ยังไม่มีใครอาสามาทำตนรอด ให้คนทั้งหลายดู แต่ก็นั่นแหละ วันเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ วันนี้ มันไม่มี เพราะผลประโยชน์มันใหญ่ แต่วันหน้า เมื่อผลประโยชน์มันไม่มี ด้วยขาดเงิน งบประมาณแต่ผลทุกข์ของคนเหล่านี้ จะเป็นตัวพามาหาสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนเอง สิ่งที่ท่านทิ้งไว้ให้ ก็คงได้ตอบแทนคุณแผ่นดิน

วันนี้ ก็ตัวใครตัวมัน ลูกใคร หลานใคร เอาแค่กรุงเทพฯ จะเป็นหนึ่งในสองพัน เสี่ยงกันเอง
ใครหน้าไหน ว่ามียาดี ก็ว่ากันไป ใครหน้าไหนรอยารักษา ก็รอไปเถอะ ไม่มีวันถึง น่าสงสัย ทำไมเชื่อหมอ เชื่อยา แต่ไม่เชื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นี่แหละกรรม

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

สมุนไพร ทานอย่างไรแล้วเกิดผล


คนมากมายบอกตนว่า ชอบทำบุญ แลเมื่อวันหนึ่งทุกข์มาถึงตน ตีโพยตีพาย ทำไมบุญที่ทำจึงไม่ช่วย แล้วก็พาลว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วเลยดีกว่า เมื่อดีไม่ได้

ก็ไม่แปลกที่คนทั้งหลายจะคิดแบบนั้น เพราะดูผิวเผินเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนแล้วคนเล่า

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะ บุญ ที่ทำ เป็นบุญนึกเอาเอง เป็นบุญที่คนเขาอ้างเอ่ยแล้วก็ทำตาม หาใช่ทางบุญของพระภูมีไม่

ดูเขาเชิญชวน เทศกาลบุญใหญ่ กันมากมายในทุกที่ ทุกวัด ทุกศาลเจ้า ทุกตำบล นี่ก็ทอดกฐิน บุญใหญ่ กำลังมาแล้ว ไม่คิดบ้างหรือ ทำไมรถกฐินมันคว่ำ ไปทำบุญ บุญไปไหนไม่คุ้มครอง

ที่ยิ่งมั่วไปใหญ่ เรียกว่าตามน้ำเลย คือมั่วกรรมดี กับบุญ หรือกับทาน จนคนงง ตกลงที่ทำนั้นกรรมดี หรือเป็นทาน หรือเป็นบุญ ทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น ไม่รู้เลย ทำไปก็บอกเป็นบุญ นี่แลผลออกมา จึงร้อง บุญไม่ช่วย

มันจึงเป็นความจำเป็นที่ต้องหาผู้รู้ ผู้ปฏิบัติ ศาสน์ของพระภูมีที่แท้จริง เรียนให้รู้ก่อน ทำแบบนี้ ผลจะเป็นอย่างไร แลทำอย่างไร เรียกว่าทาน แบบไหนเรียกว่าบุญ แลสิ่งที่จะตอบแทนกลับจากผลการกระทำนั้นๆ เป็นอย่างไร

ถ้าไม่เรียน ไม่รู้ แล้วทำ ต่อให้สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างพระ ทอดกี่สิบกฐิน แค่ทุกข์ปวดท้อง ยังแก้ไม่ได้เลย

บทสรุป แม่ชีเมี้ยนจึงสอนสงฆ์ให้รู้ก่อน แล้วทำ เมื่อทำได้มันจึงเป็นธรรม มีผลช่วยตน ฉันใดก็ฉันนั้น สมุนไพร ก็ไม่ต่าง มีคนอ้าง สรพคุณกันมากมาย ไม่รู้เลยว่า สมุนไพร มีไว้ทำไม ทำอย่างไรจึงทานแล้วเกิดผล ที่ไหนว่าดี ก็คว้าหมด กินสักฉันใด ก็ยากจะช่วยตน ท้ายที่สุด ก็พ่ายแพ้ เลิกรา

แม่ชีเมี้ยนตรัสชี้การกระทำของเราท่านว่า ที่ทำแล้วไม่เห็นผล ก็ด้วยทำไม่ถูกต้องในร่องธรรม นั่นเอง
เชื่อหรือไม่ “ธรรมมีชีวิต มีวิญญาณ สมุนไพรก็มีชีวิต มีวิญญาณ” จะเอาผล ต้องมีคุณสมบัติ ตามฟ้าดินกำหนด

ถามตนสักนิด ทางที่เดิน สิ่งที่รู้ เดินตามใคร

คนโลภสร้างยา เดินตามแล้วจะหายโดยวิธีใด คนไม่เอาธรรม ชวนสร้างวัตถุ แล้วจะถึงบุญทานโดยวิธีใด หลวงพ่อนิพนธ์อุปมา สิ่งที่ทำเหมือนหว่านข้าวบนปูน แล้วรอผล หาผลไม่ได้เพราะมีแต่นกมาจิกกิน รอจนตายก็ไม่มีรวงมาเป็นข้าวให้กิน ทำสักฉันใด มันจึงแก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย นี่แลทำไปโดยไม่รู้ ...
ถึงเวลาหรือยัง ไปเรียนรู้แล้วทำ อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย มะเร็งยังไม่กลัวเลย

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

รอยอดีต


ผู้ป่วยในอดีตของถ้ำกระบอก ในยุคของแม่ชีเมี้ยนยังอยู่ หลังจากหลวงพ่อนิพนธ์ออกจากถ้ำกระบอกในปี ๒๕๑๐ ส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นพวกยาเสพติด

แลคนทั่วไป ก็อาจไม่เคยรู้เลยว่า ผู้ป่วยยาเสพติดที่มีอายุน้อยที่สุดในยุคถ้ำกระบอกนั้น อายุยังไม่ถึงสิบขวบ

แม้นแต่พระในยุคนั้นยังสงสัย เด็กเล็กนิดเดียวติดฝิ่นได้อย่างไร คำตอบก็คือ บ้านของเขาเป็นกระต๊อบเล็กๆ แลมีพ่อที่สูบฝิ่น ไม่ต่างกับโฆษณาสมัยนี้ ที่ชี้ให้เห็นโทษของการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะในที่สาธารณะแบบปิด เช่นห้องอาหาร

กระนั้นยังมีกลุ่มคนน้อยๆ ที่มารักษาโรคอื่นๆ ที่ซึ่งมักอยู่ในความรับผิดชอบของแม่ชีเมี้ยนโดยตรง ในคนกลุ่มนี้ ก็รวมถึง เสธทวี ที่มักจะมาพร้อมภริยาคือ คุณหญิงอารีย์ แลก็ทำให้คนใกล้ชิดได้เวียนมา อาทิ เจ้ากรมประสิทธ์

หากใครในยุคนั้นยังอยู่ ก็มักจะได้เห็นพฤติกรรมประการหนึ่ง ของคนกลุ่มนี้ ที่กระทำกันเป็นประจำจนชินตา นั่นคือ การขับรถพาครอบครัวมายังถ้ำกระบอก ในเย็นวันศุกร์ แลกลับกันเช้าวันอาทิตย์ หลังใส่บาตรเสร็จ

สิ่งนี้หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนเราถ้าจะเอาปลอดภัยในชีวิต ก็ย่อมต้องมีวันพระ นั่นเองจึงเป็นปกตินิสัยของสาวกฝ่ายฆราวาส ที่ส่งผลให้ หนึ่งสัปดาห์มีวันพระหนึ่งวัน เพื่อที่จะไปทำนิสัย ทำบุญทำทาน ใช้หนี้กรรมหนี้เวรที่ทำมา ให้ลดทอนลง หรือ เหลือเก็บไว้ในภายภาคหน้า

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า สมุนไพร จะมีฤทธิ์ ก็ต้องปลุกเสก ด้วยการกระทำของตนที่ทำได้ พิธีกรรมนี้ คนยุคถ้ำกระบอกใช้กันมากมาย แลเห็นผลกันจนเล่าลือ และทำตาม จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมถ้ำกระบอก ที่ไปมาลำบาก และเปลี่ยว จึงมีผู้คนมาเรือนหมื่นทุกสัปดาห์

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ว่า ศาสตร์สมุนไพร ใช้ธรรมนำหน้า สมุนไพรเดินตาม ผลจึงมหาศาล คนยุคก่อนเมื่อปฏิบัติจึงมีคุณสมบัติ แค่ทานยาตัด ครบ ๕ แก้ว ไม่ว่าโรคใด ล้วนแล้วแต่หายเป็นปลิดทิ้ง จนผู้คนยอมรับ

เสียดาย วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ทิ้ง สำนักปฏิบัติธรรม หรือ แผ่นดินบุญไว้ให้คนไปพึ่ง ผู้ใดอยากได้ ก็เดินตามรอยยุคถ้ำกระบอก แต่ดูแล้ว คนยุคนี้ เขาเอาแต่ที่ชอบ เอาสบาย เอาแต่สมุนไพร ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย แต่อยากหาย เราเลยไม่รู้ว่า ที่คนทั้งหลายบอก ชีวิตสำคัญ แต่ตอนทำ กลับไม่ให้ค่าในสิ่งที่จะทำแล้วช่วยชีวิตตน ... กลายเป็น งานหาเงินสำคัญ โน่นก็สำคัญ นี่ก็สำคัญ แต่สิ่งที่ทำแล้วช่วยตนได้ บอก ไม่มีเวลา

ก็ไม่ว่ากัน เพราะไฟยังไม่ลนก้น ทุกข์ยังน้อยอยู่ แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ทุกสิ่งอย่างจะเอาผล ต้องใช้วันเวลา ถึงตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่า จะทำทันหรือเปล่า

ท่านจึงมักเตือนขันติสงฆ์ของท่านว่า เลือกเอา "สุขวันนี้ ทุกข์วันหน้า หรือจะเลือกทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า" วันใดที่ภัยพิบัติมา วันนั้นแหละคือวันตัดสิน ว่าสิ่งที่ตนเลือก ถูกหรือผิด

คนรอด คือ คนที่มีวันพระ ... แล้วดูกัน ถึงวันนั้นตนไม่รอด ก็อย่าโทษใคร

คนยุคนี้ แค่เอาตนมายังไม่ได้ ภาพอดีตที่พาครอบครัวมา ... มาทำไม เขาเห็นอะไร แล้วทำไมคนในวันนี้ไม่เห็น ไม่อยากทำ คำตอบก็คงเห็นชัด เพราะคนยุคนี้ไม่เอาธรรม ไม่เห็นค่าของธรรม ถ้าสาวลงไปอีก ก็ชี้ชัดได้เลยว่า คนยุคนี้ ไม่เชื่อ "กรรมมีจริง" ธรรมจึงไร้ค่า เอาแต่สุขเฉพาะหน้า คือ หายโรค

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2561

พริกก็ยังไม่ได้เลย


คนมากหลายมามูลนิธิไทยกรุณา ด้วยได้ยินได้ฟังหรืออาจได้เห็น คนที่ประสพความสำเร็จ แล้วก็อยากมา อยากหายบ้าง

ยิ่งไปกว่านั้น วาดฝันตั้งความหวังของตนไว้สูงยิ่ง นั่นคือ สมุนไพรดีต้องทานง่าย ต้องหายได้เหมือนปาฏิหารย์ เสมือนเส้นทางการพ้นทุกข์จากโรคภัยของตนนั้น ต้องเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ตนเผชิญนั้นคือ กรรม

ที่สำคัญที่สุดคือ หายโดยไม่ต้องทำอะไร

หลวงพ่อนิพนธ์สอนสงฆ์เสมอว่า ศาสนาใช้ได้กับเฉพาะคนเอาเหตุเอาผล เท่านั้นแล นั่นคือต้องดูความจริง และยอมรับความจริง สิ่งที่เราเป็นสิ่งที่เราเจอนั้นมันมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้รู้ ได้ประเมินว่า หากจะเอาผลแล้วไซร้ ต้องใช้กำลัง ความเพียร มากมายสักฉันใด

ถ้าอาการเราไม่มาก เสมือนต้องการแค่พริก ถ้าอาการเราสาหัส อาจจะเสมือนต้องใช้มะม่วง นั่นก็แสดงว่า แต่ละคน ต่างกรรมต่างวาระ จะเอาเหมือนกันไม่ได้ แค่พริก สามสิบวันก็เก็บได้แล้ว แต่ถ้ามะม่วง นั้นต้องหลายปี กว่าจะยังผล

ขยายความให้ฟังว่า คนทั้งหลายมีความอยาก ทานสมุนไพรปุ๊บก็อยากหายปั๊บ นั่นแหละสมุนไพรดีของเขา เหมือนที่โฆษณากันมากมายในสื่อต่างๆ ล้วนแล้วแต่จับจุดนี้ของคนทั้งสิ้น แต่สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เป็นของจริง ว่ากันตามจริง จะฟื้นฟูสุขภาพ ก็ต้องค่อยๆไปทีละน้อย ช้าเร็วแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะเร่งสักฉันใด ก็ไม่ได้ ไม่เป็นไปตามปรารถนาหรอก

สิ่งที่เราเห็น นั่นคือ คนใหม่ที่มาแต่ละครั้งก็มากอยู่ แต่ที่จะยืนระยะให้ได้ นั้นน้อยกว่าน้อย เพราะไม่ทันใจเขา อยากได้ยาเยอะๆ อยากหายไวๆ อุปมาอยากได้พริก แต่ปลูกปุ๊บจะเอาผลปั๊บ สามสิบวันยังรอไม่ได้เลย โดยไม่รู้เลยว่า ร่างกายของตน บอบช้ำจากพฤติกรรมเดิมของตนมาเท่าไหร่ คอยแต่เร่งวันเร่งคืน อยากหายเร็วๆ ทั้งที่ร่างกายต้องฟื้นฟู ปรับสภาพตนให้พึงได้ก่อน ขืนทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์แรง ก็มักจะเกิดการแหยงยาขึ้นมาได้ ดูอาทิคุณธานินทร์เล่าเรื่องคุณมนู เคยกล่าวว่า ผมเป็นคนใต้ ทานแกงเลียงที่ชอบทุกวันยังไม่ไหว นี่ต้องมาทานสมุนไพรมะพร้าวตลอด มันยิ่งไม่ไหว กลายเป็นตั้งป้อมรังเกียจสมุนไพรมะพร้าวไปอีก ทั้งที่อาการของตน ต้องพึ่งสมุนไพรมะพร้าวเป็นหลัก

บทสรุป แค่ด่านแรก คือ ทานสมุนไพรให้ได้ ก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว เพราะจะเอาแบบ ทานปุ๊บหายปั๊ม ไม่ให้วันเวลาเลย แต่จะเอาผลแล้ว น้ำอดน้ำทนแบบนี้ แค่ปลูกพริก แล้วรดน้ำพรวนดิน ให้ได้กิน ยังไม่ได้เลย

คนที่จะประสพผล จึงเกิดเฉพาะคนที่ ยืนระยะได้ มีขันติอดทน เท่านั้นแล ก็ขนาดลูกพี่ลูกน้องเรา เป็นโรคลม หลวงพ่อนิพนธ์บอกต้องทานยามะกรูดเยอะๆ นี่ทานมาหลายปี ยังทานสมุนไพรมะกรูดไม่ได้เลย กระปุกนึง ทานเป็นเดือนๆ มิใช่ไม่อยากทาน หากแต่ทานเยอะ อาการออกทันที ลมตี ยิ่งตอนเริ่มทานใหม่ๆ แค่แตะ เหมือนน้ำมันเจอไฟ ก็แล้วอยากหาย แต่ไม่ให้วันเวลาแก่ร่างกายเลย ถึงเป็นโรคที่ต้องการแค่พริก ก็ยากจะหายได้ เพราะทานสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ก็ไม่มาแล้ว ไม่เอาแล้ว นั่นเอง

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2561

ไม่คุ้ม


คนทั้งหลายทั้งปวง ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองไปกับสิ่งต่างๆมากมายสารพัน หากแต่นั่นเป็นสิ่งที่ตนชอบ ตนจึงไม่เสียดาย ยกให้เห็นชัดๆที่คนทุกวันนี้ ยัดใส่มือลูกหลาน นั่นคือ การศึกษา ที่ต้องใช้เวลา ถึง ยี่สิบปี แลกกับปริญญาใบหนึ่ง หมดเงินหมดทองไปเท่าไหร่ไม่ว่า ให้ได้มา แล้วก็คิดว่าคุ้มค่า

วันนี้ของหลายคน มามูลนิธิไทยกรุณา นั่งดีดลูกคิด แล้วถามตน คุ้มไหม เสียเงิน เสียเวลาในการทำมาหากิน มารับสมุนไพร ดูแล้วก็นิดเดียว แรกๆก็สู้เพราะอาการของตนสาหัสแล้ว หมอไม่รับแล้ว ครั้นพอดีขึ้น ก็มักจะกลับมาหวนคิด แล้วก็สรุปว่า "ไม่คุ้ม" แล้วก็ไม่มา พาตนไปหาเงิน หาในสิ่งที่ตนชอบ อยากทำ คิดเอาเอง แค่นี้พอแล้ว

แต่ใครเล่าจะรู้พรหมลิขิต กระนั้นก็ตาม ด้วยพฤติกรรมที่ทำอยู่ ก็พอจะเห็นเค้าลางว่า ภายภาคหน้าจะเจออะไร ก็ด้วยนิสัยในอดีต ทำให้ทุกข์ ทำให้เกิดโรคในวันนี้ แลวันนี้ ก็ยังกลับไปทำนิสัยเดิม พฤติกรรมเดิมๆอีกอยู่อย่างนั้น

ก็ไม่ว่ากัน ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น เพราะศาสนา เป็นเรื่องของความสมัครใจ

หากแต่วันนี้ไม่เหมือนเดิม เมื่อรัฐบาลในยุคนี้ ข้าราชการในยุคนี้ มีความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เงินของประเทศนั้นน้อยลง การจะจัดสรรย่อมต้องคิด แลที่คิดได้อยากจะตัด หรือ ลดภาระ นั่นคือ โครงการ ๓๐ บาท รักษาทุกโรค ชี้ให้เห็นว่าเป็นภาระของรัฐบาล ปีหนึ่งต้องเสียงบประมาณ แสนสี่หมื่นล้านบาท โดยที่การของบเพิ่ม จากงบกลางทำได้ยาก ในขณะที่งบรักษาของข้าราชการ ตั้งไว้ สี่หมื่นล้านบาท แต่สามารถของบกลางได้แบบไม่มีจำกัด ปี่ที่ผ่านมา ก็ขอเพิ่ม สามหมื่นล้านบาท จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมาย ที่ประชาชนจะต้องจ่ายเพิ่ม ๑๐ ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่าย ในวันนี้ แลนั่นแลเห็นเค้าลาง ที่ทุกคนจะเห็นว่า เงินที่ตนเสียมาในการมาทานสมุนไพร มันเริ่มจะคุ้มแล้ว แลคุ้มมากเสียด้วย ตัวอย่างที่ทาง สปสช ยกให้ฟัง ในกรณีของคนไข้โรคหัวใจ ต้องใช้สายสวน เส้นหนึ่ง ก็ราคา แปดหมื่นบาท ตีบสี่เส้น แบบคุณธานินทร์ ก็คงต้องมีค่าใช้จ่ายครึ่งล้านบาท เพื่อช่วยตน นั่นคือ ทุกคนต้องเสียเงินอย่างน้อย ก็ประมาณหนึ่งแสนบาท นั่นเอง ถ้าเป็นมะเร็ง ก็สาหัสกว่าอีก

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวทุกครั้ง การมาทานสมุนไพร มิเพียงช่วยตน แลยังช่วยประเทศชาติ ประหยัดงบประมาณ เงินที่เราท่านต้องเสียมานั้น น้อยกว่าน้อยเสียอีก ในการฟื้นฟูตน ที่สำคัญ เสียแล้วได้ชีวิต ได้สุขภาพกลับคืน สามารถไปทำเงิน ไม่เป็นภาระใคร แต่เงินที่เสียไปกับทางอื่น ... เสียเงินพอว่า เสียชีวิต ที่สำคัญเสียบุคคลากร กำลังของประเทศไปด้วย

บทสรุป พิจารณาให้ดี ว่าเสียในวันนี้ มันเสียน้อย หรือ เสียมาก การไม่ยอมเสียในวันนี้ เข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก วันข้างหน้า อย่าพลาด วันใดเกิดอาการฉับพลัน ลืมตามาอีกที หนี้บาน แล้ววันนั้น มีเท่าไหร่ ต้องเสียหมด ดีไม่ดี ต้องเป็นหนี้เป็นสิน จะกลับมาก็ไม่ได้แล้ว เพราะสภาพสังขารไม่อำนวย
ว่างๆ ก็ลองไปค้นดู ถ้าเป็นโรคนั้น โรคนี้ ต้องเตรียมเงินสักเท่าไหร่จึงจะพอ (ไม่ได้บอกว่าจะหาย) แล้วจะรู้ว่า ความเมตตาของแม่ชีเมี้ยนนั้นมหาศาลเพียงใด สิ่งที่เสียในวันนี้ของคนทานสมุนไพรนั้น น้อยนิดจริงๆ เทียบกับสิ่งที่ได้

เราจำคำที่คุณนพพลแลปรียานุช เล่าให้หลวงพ่อนิพนธ์ฟังในงานศพ ของคุณพ่อได้ว่า ป๋าเป็นโรคคนแก่ มีอาการไม่ดีนำส่งโรงพยาบาล แลก็หัวใจหยุดเต้น ธรรมดาหมอก็ต้องปั๊มหัวใจ แลทำสุดความสามารถของเขา ตามที่เล่าเรียนมา แต่ป๋าก็หมดอายุขัย จากไป เพียงแค่ไม่กี่วันของป๋าในโรงพยาบาล บิลมาประมาณ หนึ่งล้านบาท จึงรำเพยกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า สมัยนี้ "ค่าการตายแพงจัง"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้พิจารณาว่า โรคให้ทุกข์กับตน ก็หนักหนาสาหัสแล้ว ตนของตน ยังทิ้งภาระหนี้สินให้ลูกหลานอีก อ้าง กตัญญู โดยที่ตนสามารถช่วยตนได้ ด้วยการกินสมุนไพร แต่ไม่ทำ อ้างเสียเงิน เสียเวลา ... ทำแบบนี้ ตายตาหลับ หรือ สู้มาทานสมุนไพร แล้วก็ตายไป ไม่เป็นภาระแก่ใคร แค่นี้ก็เกินคุ้มแล้ว บางทีอาจไม่ตาย กลับไปทำเงินได้ด้วย

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561

หาบุญ หาทาน


หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาผู้คนที่หลั่งไหลมานับแต่ถ้ำกระบอก จะหาคนดีมีสุขเวียนว่ายเข้ามานั้นยากยิ่ง คนที่มาล้วนแบกความทุกข์ ของตนและครอบครัว มาด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะคนป่วยยาเสพติด ที่มิเพียงให้ทุกข์แก่ตน หากแต่พ่อแม่ญาติที่พามาล้วนเป็นทุกข์

คนรุ่นเก่าท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง ว่าตนครั้งไปถ้ำกระบอก ก็นับว่าเป็นคนนึงที่สร้างทุกข์ให้แก่พ่อแม่มหาศาล เรียกว่าจัดเต็ม ทั้งเล่นยา การพนัน ทุกสิ่งอย่าง แม่ร้องไห้แล้วร้องอีกนับครั้งไม่ถ้วน ครั้นวาสนาพามาเจอแม่ชีเมี้ยน รักษาตนจนหาย ก็มีโอกาสได้บวช ได้รับใช้ใกล้ชิด ได้ฟังคำสอน กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี แลตนก็กลายเป็นสื่อให้พ่อแม่ได้เวียนว่าย มาหาศาสนา รวมทั้งพี่น้อง ด้วยต้องมาใส่บาตรตนนั่นเอง
ท่านอาสิจึงชี้ให้เห็นว่า ทุกข์ที่เกิด กลายเป็นคุณ เป็นสื่อให้มาเจอสิ่งดีๆ ต้องขอบคุณอีกต่างหาก

สิ่งสำคัญประการหนึ่ง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น ในการสร้าง บุญ ทาน นั่นคือ ต้องดูผล จึงอุปมาให้ฟัง น้ำแก้วนึง ให้แก่คนกลางทะเลทรายย่อมมีค่ามหาศาล นั่นหมายถึง ชีวิต แต่น้ำแก้วเดียวกันส่งให้คนในเมือง อาจเททิ้ง แลตำหนิว่า ไม่สะอาดบ้าง ภาชนะไม่น่าใช้บ้าง เพราะเขามีเหลือเฟือ และมีสิ่งอื่นเลือก ผลของน้ำที่ให้ก็ด้อยค่า

พระพุทธทุกพระองค์ จึงไม่สร้างโบสถ์ สร้างวัดใหญ่โต เพราะหาประโยชน์ได้น้อย แต่สร้างโรงทาน ไม่ว่าอาหาร หรือสมุนไพร ช่วยคนทุกข์ ด้วยแผ่นดินของท่านเป็นที่รวมของคนทุกข์ จึงไม่แปลก ผู้ใดมาร่วมมาทำ ผลจึงมหาศาล หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า คนให้อาจถูกหวยเบอร์ใหญ่ ถ้าคนที่ทุกข์นั้น ที่ตนช่วย มีจิตอยากบวชและทำตนได้

บทสรุป ทุกข์พามาเจอศาสนา นับว่าเจอขุมทรัพย์ แต่น่าเสียดาย คนส่วนใหญ่เอาแต่สุขสังขาร หรือสุขเฉพาะหน้า คือหายโรค ทั้งนี้ทั้งนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า เพราะเขาไม่เชื่อ ว่ากรรมมีจริง ตัวกระทำมีจริง ธรรมจึงไร้ค่า ทำไปก็ไม่รู้ ว่าตนพ้นโรคโดยวิธีใด จึงไม่แปลก ที่กลับไปก็จะทำพฤติกรรมเดิมที่ตนชอบ ที่สร้างทุกข์ในวันนี้ อันหมายความว่า ในไม่ช้า ทุกข์ก็จะหวนคืนมาอีก คือ หายโรคนี้ ก็ไปเป็นโรคใหม่
เมื่อไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อตัวกระทำมีจริง เขาจีงไม่เชื่อว่า มะกรูด มะพร้าว ลูกนึง ช่วยตนได้ ไม่เชื่อว่าขวดน้ำใบหนึ่ง หายโรค ได้ ด้วยเขาคิดว่าจะสร้างแต่บุญใหญ่

ตัวแปรของ บุญทานและบาป ไม่เชื่อหรือ อยู่ที่คน ที่สัตว์นั่นแหละ ไม่ใช่วัตถุ

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2561

เกินคาด..ทำไมโลกนี้จึงต้องมีศาสนา


เมื่อวิทยาการเจริญรุดหน้ามากขึ้นเท่าใด ก็ย่อมสร้างความมั่นใจให้แก่มนุษย์มากยิ่งขึ้นเท่านั้นในการตามล่าความฝัน ที่ตนอยากให้มากๆยิ่งขึ้นไป

จนวันนี้มนุษย์ก็เหิมเกริมยิ่ง กล้าประกาศท้าฟ้าท้าดินท้ากรรม จะสร้างสะพานที่ไม่มีวันพัง ทนคลื่นลมได้ในจีน จะสร้างปราการป้องกันสึนามิ ในญี่ปุ่น จะสร้าง... ทั่วทั้งโลก

แต่นั่นเป็นวาทะกรรม ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แม้นแต่วาทะกรรมที่ว่า มนุษย์ไปดวงจันทร์ ก็เป็นแต่เพียงวาทะกรรม ที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ เป็นแต่เพียงนิยายโกหกพกลม ไว้สำหรับคุยหลอกคนเท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติสงฆ์เสมอ "อยู่ใต้ฟ้าอย่าท้าฝน เกิดเป็นคนอย่าท้ากรรม" เพราะเขามีอำนาจเหนือ เป็นผู้ที่ให้ เพราะฉะนั้น ความคิดมนุษย์ นั้นกรรมเขาสรรสร้าง หลอกให้มนุษย์ เพลิดเพลินเจริญใจ เป็นความคิดกรรม มันจะเหนือกรรมโดยวิธีใด เป็นไปไม่ได้

แม่ชีเมี้ยนพยากรณ์ ครั้งถ้ำกระบอกว่า ด้วยนิสัยนี้แหละของมนุษย์ ที่ท้ากรรมท้าเวร ทำอะไรไม่กลัวกรรมไม่กลัวเวร มากยิ่งขึ้น รวมกันเป็นกรรมหมู่ ผลที่เกิดจะมหาศาล ย้อนกลับมาทำลายมนุษย์เอง และที่สำคัญ มนุษย์กลับหลงงมงายว่า ด้วยปัญญาที่มีอยู่ สามารถสร้างเครื่องมือต่อกร และสามารถพยากรณ์ด้วยสถิติ ความน่าจะเป็น สามารถสร้างแบบจำลอง สามารถควบคุม ภัยทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวงได้ นั่นประมาทกรรม

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า กรรมหมู่อันนี้ เหนือคำพยากรณ์ทั้งหมดทั้งปวง ไม่มีสถิติใดจะสามารถคาดคำนวนได้ สร้างความเสียหายมหาศาลแก่มนุษย์ มาเพื่อสยบมนุษย์ แสดงให้เห็นว่า "กรรมมีจริง ตัวกระทำมีจริง"

ภัยพิบัตินี้ จะทำให้มนุษย์ทั้งหลายได้เห็น ได้คิด ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิ ความเห็นที่ตนมี นั้นช่วยตนไม่ได้ แม้นกระทั่งพระพุทธศาสนาที่เบี้ยวบูดทุกวันนี้ ก็ช่วยไม่ได้ ... แลนั่นจะปรากฎผู้ที่ทำตนเป็นพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้น เพื่อชี้ช่องให้มนุษย์ทำเพื่อช่วยตน ให้พ้นภัยพิบัตินั้นๆ

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา ผลแห่งการทานสมุนไพรและปฏิบัติ วันนี้อาจยังไม่เห็นค่า ในสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ แต่วันใด ที่บทเริ่มแห่งหายนะของมวลมนุษย์มาถึง เริ่มจากเชื้อโรค ที่เคยหายสาบสูญ กลับฟื้นมาคร่ามนุษย์ ภัยพิบัตินานาชนิด วันนั้นแหละ คนที่ทำได้ ยืนหยัดได้ จะได้หัวเราะ คนที่เคยหัวเราะตนในวันนี้ ว่า หลงงมงาย ทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เสียเงิน เสียเวลา

ไม่เชื่อหรือ ว่ายุคของพระโคดม กำลังหมดลง พระพุทธเจ้าองค์ใหม่กำลังจะอุบัติ ในประเทศพม่า วันใดที่ภัยถาโถม ท่านจะปรากฎ ประกาศตนให้ชาวโลกได้เห็น

พวกที่อ้างศาสนาหากิน ว่าสำเร็จ ... พิจารณาเอาเถิด เขาเป็นสาวกใคร สำเร็จเองโดยไม่ต้องมีพระพุทธเจ้า ...ได้หรือ อรหันต์ยุคพุทธกาล ล้วนแล้วแต่พระพุทธเป็นผู้อนุญาติบวช สิ้นสาวกองค์สุดท้าย คือ แปดหมื่นสี่พัน ก็ไม่เคยมีอีกเลย แล้วทำไมท่าน มาวันนี้ จึงเชื่อว่าพวกนั้นสำเร็จได้ ก็ขนาดตอนมีพระอรหันต์ หลังสิ้นพระพุทธเจ้า ยังไม่มีใครสำเร็จได้เลย ใช่หรือไม่ ผ่านมาสองพันกว่าปี ก็ไม่มี แล้วไหงจะมามีเอาในวันนี้

มาทำตนรอพระพุทธเจ้ากัน วันใดที่ปรากฎ แล้วดูพวกที่ใส่ผ้าเหลืองหากิน อ้างทำอย่างโน้นอย่างนั้นเป็นบุญ ... ดูสิ ของจริงเขามา ถ้ายังไม่รีบถอดจีวร ยังกล้าทำอีก บางที ภาพเทวทัต ถูกธรณีสูบ อาจจะมีให้เห็นในยุคนี้ก็เป็นได้ แล้วดูกัน ว่าจะเหลือสักเท่าไหร่ สามแสนในวันนี้ เราว่า ไม่เกินสิบ

ถึงวันนั้นจะรู้ว่า "ทำไมโลกนี้จึงต้องมีศาสนา" แลได้รู้ว่า "บุญญาธิการของศาสนาเป็นเช่นไร" ทำไมผ่านมากว่าสองพันปี คนทั้งโลกยังยอมรับ แม้นจะไม่นับถือพระโคดมก็ตามที

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2561

ทำดี ก็พอ


คำสอนที่มักจะได้ยินเสมอๆ นั่นก็คือ ขอให้เราท่าน "คิดดี ทำดี" ก็พอ

คำถามที่ไม่มีใครถาม แต่เราอยากถาม นั่นคือ "ก็พอ" คือ พอสำหรับอะไร

เพราะความเป็นจริงที่ประจักษ์ หลายต่อหลายครั้ง คนที่เราท่านเห็น ประสพพบเจอ พิจารณาแล้ว ก็เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นคนดี แต่ต้องประสพเคราะห์กรรมสาหัส พร้อมกับคำรำพึงของคนบางคนว่า "คนดีดีอย่างนี้ ไม่น่าเลย" เสียดาย

จนบางครั้ง คนมากหลาย ก็รำพึงว่า ทำดีไม่ได้ดี ถ้างั้นก็ทำเลวเสียเลยดีกว่า มีให้ยินให้ฟัง เสมอมา

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ...

แต่ประการที่สำคัญกว่า แลคนทั้งหลายสำคัญผิด นั่นคือ ความดี กรรมดี ที่เราท่านสร้าง ไม่ใช่ "บุญ"

แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า "บุญ" เป็นของนอกโลก เป็นมือที่สาม จึงไม่แปลกว่า ทำไม คำคำนี้ จึงไม่มีในบัญญัติศัพท์ ของชนชาติอื่น หรือ ลัทธิ ความเชื่อ ศาสนาอื่น เพราะไม่รู้จัก

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้พิจารณาว่า โลกนี้ เป็นโลกโลกียะ อันหมายความถึง สิ่งที่คนจะกระทำ นั่นคือ "กรรม" เท่านั้นเอง จะทำสักฉันใด ก็เป็นกรรม แต่จะเป็นกรรมชั่ว หรือ กรรมดี เท่านั้นเอง

ดังนั้น ความเป็นจริงที่ฟ้อง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ในเมื่อเป็นกรรมเหมือนกัน ดังนั้น "กรรมดี" จึงแก้ "กรรมชั่ว" ไม่ได้ และที่สำคัญไม่ก้าวก่ายกัน ผลก็คือ ผลแห่งการกระทำกรรม จึงเป็นปล้อง ตามตัวกระทำนั่นเอง จะเสวยกรรมใด นานแค่ไหน ก็แล้วแต่ว่า ทำมาเช่นไร

พระภูมีทุกพระองค์ทรงค้นพบความจริงว่า "ผลแห่งตัวกระทำที่ทำไว้แล้ว ผู้ใดจะทำลายไม่ได้ รอเราอยู่วันข้างหน้า"

ฉะนั้น ยามนี้ที่เราท่านทุกข์ ท่านอาสิจึงชี้ว่า เป็นผลจากตัวกระทำที่เราท่านทำไว้แล้วนั่นเอง ที่สำคัญ จะปฏิเสธสักฉันใดไม่ได้เลย แลด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ของพระภูมี จึงไม่ได้ทำให้ทุกข์นั้นหายไป ไม่ว่าทานสมุนไพร ก็ไม่ทำให้ทุกข์นั้นหายไป ก็ยังคงปวด คงเจ็บ เหมือนเดิม แต่ทำให้ร่างกายมีภูมิ ทนต่อการเจ็บ การปวดนั้นได้ ต่างหาก อุปมา เสมือน คนไม่เคยวิ่งมาราธอน จับไปวิ่งทันที ก็อาจตายได้ แต่ถ้าฝึกฝน ก็ทนได้ วิ่งได้ทุกตัวคน หรือ ถ้าไม่อยากทุกข์กับโรค ก็ต้องทุกข์กับวินัยธรรม

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ศาสตร์ของพระภูมี เป็นวินัยทุกข์ เมื่อทำแล้วได้ "บุญ" ใช้หนี้กรรมได้ จึงหายโรคได้ แต่การทำความดี ไม่มีผลต่อการหายโรค เพราะสิ่งที่ทำ ก็จะกลายเป็นปล้องกรรมดี รออยู่วันข้างหน้าเท่านั้นเอง แก้ไขทุกข์ หรือ เปลี่ยนแปลงทุกข์ในวันนี้ไม่ได้เลย

นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงทิ้งสำนักสงฆ์ แลผู้ปฏิบัติไว้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า "กรรมดี" ไม่ใช่ "บุญ" แลก็สอนให้ได้รู้ว่า ทำอย่างไร จึงเป็นกรรมดี ทำอย่างไร จึงเป็นบุญ อยากรู้ก็ไปเรียน อยากได้ก็ไปทำ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณา ว่านี่จึงเป็นความเสมอภาค หาไม่แล้ว คนที่มั่งมีทรัพย์สิน ยามที่กรรมชั่วมาอุบัติ เป็นโรคให้ทุกข์กับตน ก็เอาสมบัติไปทำความดี ล้างโรค ล้างทุกข์ที่ตนทำ มันจึงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งจะใช้วิทยาการใดๆ ก็ไม่ได้ อะไรจะมาล้างกรรมชั่วที่ตนทำไว้แล้ว ไม่ได้เลย จึงกล่าวอย่างมั่นใจเสมอว่า "โลกใบนี้ ถ้าเป็นโรคตายแล้ว ไม่มียารักษาโรค ไม่มีการกระทำใดช่วยให้หายโรค" นอกเสียจาก "ธรรม" ของพระภูมีเท่านั้นแล

ถ้าจะถามว่า "วัดของแม่ชีเมี้ยน ต่างจากวัดอื่นอย่างไร" คำตอบคือ "ชี้ให้เห็นว่า บุญบารมี ทานบารมี เป็นอย่างไร ทำอย่างไร" ให้พิจารณา เชื่อ แล้วก็ทำตาม อยากรู้ว่าจริงหรือไม่ ก็ดูผล เพราะผลถูก ย่อมเกิดแต่เหตุที่ถูก ทำถูก

ก็ถ้าทำแล้วช่วยตนหายโรคได้ จะบอกว่า คำสอนผิดได้อย่างไร

เพราะ "บุญ" คือ "สุข" ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นมีความสุข ก็โรคทำให้ทุกข์ ถ้ามีโรคแล้วบอกผู้มีบุญ เป็นไปได้อย่างไร

แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า "พระของศาสนา แม้นอายุร้อย ก็ยังหลังตรง แบกกลดเดินธุดงค์ได้ จะอมทุกข์ เป็นโรค นั้นไม่มี" นี่แหละคนทั้งหลาย ถึงไม่ชอบ แต่ก็ยอมรับ ในบุญญาธิการ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติ "กรรมดี มันไม่พอ" ยิ่งถ้าจะหนีทุกข์ หนีโรค ดังนั้น แผ่นดินศาสนา จึงเป็นที่รวมของคนทุกข์ ได้มาเรียน วิชา "บุญ" วิชา "ทาน" เอาไปหนีทุกข์ ส่วนสมุนไพรนั้น พระภูมีให้ไว้ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เป็นของแถม ถึงเวลาก็ต้องทิ้ง แล้วสร้าง "บุญ" "ทาน" เป็นที่พึ่งของตน ทั้งในวันนี้ และวันหน้า ... พระภูมี จึงเรียกลาภอันประเสริฐ เพราะมันจะติดตัว ติดวิญญาณ ไปทุกภพทุกชาติ สร้างสุขให้ตน

ท่านจึงบอกว่า คนโง่ จึงมาเอาแต่สมุนไพร ทำไมจึงโง่ เพราะมันไปได้ไม่ไกล เจอคลื่นลมแรงๆ เรือก็แตกได้ เสมือนแค่อุดชันเรือใหม่ เท่านั้นเอง หาใช่สร้างเรือที่แข็งแกร่งทนพายุ ทนลม ทนฝนได้

จึงอย่าแปลกใจเลย พวกคนโลภ อาศัยศาสนาหากิน แล้วอ้างเอ่ยว่าการสร้่างบุญ โดยเฉพาะสร้างวัตถุ สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างพระ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ทำให้ตาย หาบุญมาเยียวยาชีวิต แม้นแต่แก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย ... ไม่สงสัยหรือ

เสมือนสมุนไพร คนโลภก็อ้างเอ่ยสรรพคุณ ตัวนั้นดีอย่างนั้น ตัวนี้ดีอย่างนี้ แล้วสกัดมาขาย ก็ดูเอาเถิด แม้นแต่ขิง ที่มีสรรพคุณ แก้โรคลม หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา กินตั้งแต่เด็ก ยังเป็นโรคลมเลย ทำไมหรือ ก็เพราะสมุนไพร ตัวเดียวโดดๆ มันไม่มีฤทธิ์ มันต้องมีคู่ของเขา ต้องมีสัดมีส่วน ปัญหาก็คือ ใครจะรู้ ... คนโลภแบบนั้นหรือ ควรรุ้

ศาสตร์ของพระภูมี สอนให้เป็นปราชญ์ สิ่งดีๆ สิ่งมงคล เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะอยู่กับคนโลภ คนมีกิเลสหนา

จำไว้น่ะ "สมุนไพรของพระภูมีมีวิญญาณ รับรู้พฤติกรรมของคนทำ และคนทาน"

ทำไมถ้ำกระบอกจึงล่มสลาย ... ทั้งที่เป็นต้นตำรายา คนสอนก็คนเดียวกัน ตำราก็ตำราเดียวกัน ... ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ทำแล้วช่วยคนได้ ... พิจารณากัน แล้วจะเกิดปัญญา อะไรควรเชื่อ

ถึงเวลาที่ควรจะไปเรียน วิชา "บุญ" วิชา "ทาน" แล้วหรือยัง ฤาจะเอาแต่สมุนไพร

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

ไม่เคย ไม่รู้


เราได้ยินได้ฟังหลายต่อหลายคน กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ อ้างเอ่ยเสมอว่า การกระทำของตน สำรวจดูแล้วไม่เคยสร้างบาปสร้างกรรมอันใดเลย

มิหนำซ้ำตลอดชีวิต ที่มีอาชีพสุจริต ไม่เคยปล้นชิง คดโกงผู้ใดแม้นแต่ครั้งเดียว แถมยังช่วยเหลือสังคม บริจาคการกุศลสารพัดสารพัน ที่ผ่านมาไม่ว่า วัดวาอาราม ก็ทำมากจนจำไม่ไหว

แล้วทำไม ตนเองจึงมาเป็นโรค เช่นนี้ได้ ในเมื่อสร้างความดี สร้างบุญ ช่วยเขาก็มากมาย สิ่งที่ทำไปไหน ไม่มาช่วยตนในวันนี้เลย

ยิ่งเรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีเลยแม้นแต่มดยังไม่กล้า ถือศีล ภาวนา เป็นอาจิณ เรียกได้ว่า ตัวแม่เลยก็ว่าได้

หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ด้วยความไม่รู้ในเรื่องของศาสนา นั่นเอง สิ่งที่ทำจึงหาผลตอบแทนได้เพียงน้อยนิด แม้นจะทำมากสักเท่าไหร่

คนทั้งหลายไปวัด ไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตน ไปทำตามความเชื่อของตน แล้วก็เหมาเอาเองว่า ... ทำแล้ว ต้องได้

ไม่เคยรู้เลยว่า ผลถูก ย่อมมาจากเหตุที่ถูก นึกทึกทักกันเองว่าการกระทำของตนถูก แล้วผลถูกต้องบังเกิดกับตน

นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ทำไมต้องมาวัด ต้องมาหาผู้ปฏิบัติ แลผู้ปฏิบัตินั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ชี้หนทางที่ถูก มาวัด มาเรียนรู้ เรื่อง "บาป เรื่อง กรรม เรื่อง บุญ" ว่ากระทำโดยวิธีใด

พระพุทธพยากรณ์ ทรงเล็งเห็น จึงให้สติ ในเรื่อง "ความเชื่อ" แลทุกตัวคนก็รู้ แต่จะมีคนไหนหละที่พิสูจน์ เดินตาม ล้วนแล้วแต่เขาอ้างเอ่ยว่าดี ก็ทำตาม ยิ่งถูกจริตตนด้วยแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ยกเรื่อง อาทิ การสร้างพระ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ที่คนไทยชอบกันหนักหนา อ้างกันหนักหนาว่า "บุญใหญ่" แล้วให้ย้อนไปดูอินเดีย มีที่ไหน พระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลก วิหารใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีเลย แม้นแต่แห่งเดียว ถามเถอะแล้วเราท่านกำลังเดินตามใคร หลงทางหรือไม่

บทสรุป ถ้าไม่ไปเรียนรู้ เรื่องของศาสนา "บุญ บาป" แท้จริงเป็นเช่นไร มาจากไหน เกิดโดยวิธีใด แล้วมานั่งทำตามความเชื่อ ความเห็น ของตน ก็อย่ามาร้องเลย ว่าตนไม่เคยทำบาป ตนสร้างแต่บุญ ที่ไหนได้กว่าจะรู้ตัว บาปก็รวมกันมาเป็นโรค เป็นตัวเป็นตนให้ทุกข์แล้ว บุญที่บอกว่าสร้างมามากมาย กลายเป็นลม ช่วยตนไม่ได้แม้นแต่น้อย

ยิ่งเห็นหลายคน มามูลนิธิ ท่านอาสิ ก็พยายามโน้มน้าว ชี้ช่อง ก็หาฟังไม่ ทำตนเป็นแก้วคว่ำ รอฝน แล้วก็บ่น ว่าทำไมสภาพตนยังไม่ดีขึ้นเลย ในขณะที่คนอื่น แย่กว่าตนอีก ดูสิอย่างคุณแตน มะเร็งปอด หมอตัดปอดไปข้างหนึ่ง ลามไปลำไส้ หมอตัดลำไส้ไปเป็นเมตร ต้องห้อยถุงหน้าท้อง ทุกวันนี้ ใช้ชีวิตปกติ จนหมอให้เป็นกรณีตัวอย่าง และมักแซวเสมอ รุ่นเดียวกันเขาตายกันไปหมดแล้ว โดยที่หมอไม่รู้เลย เธอไม่เคยทานยาหมออีกเลย ตั้งแต่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ไปหาหมอ ก็แค่ตรวจเท่านั้นเอง

สิ่งที่ควรคิด ก็แล้วคุณแตนทำอะไร ทำอย่างไร ทำตามใคร

จำคำท่านอาสิไว้ "รู้เขา รู้เรา" นี่จะไปรบ เขาก็ไม่รู้ เราก็ไม่รู้ ไม่ใช่ไม่มีคนรู้ ไม่มีคนสอน แต่ไม่เข้าไปหาต่างหาก จึงไม่รู้ แล้วก็มาบ่น ทำไมไม่หายสักที หรือ หวังแต่ปาฏิหารย์ โดยไม่ทำอะไร ไม่แก้ไขตนสักสิ่งอย่าง ... มันจะเป็นไปได้ อย่างเก่ง ก็หนึ่งใน... ท่านจะเฮงเป็นคนนั้นหรือ

วัดแถวบ้าน ศาลเจ้าแถวบ้าน เข้ามาตั้งแต่เด็ก จนทุกวันนี้ ช่วยตนไม่ได้ ก็ยังบอกตนต้องไป แต่วัดของหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่เคยไป ไม่คิดจะไป แต่ไปแล้ว เรียนแล้ว ช่วยตนได้ ไม่เรียกกรรมบังตา บังใจ ก็ไม่รู้เรียกอะไร ... นี่แหละอำนาจกรรม

แม่ชีเมี้ยนชี้ให้พิจารณา พระโคดมพิจารณามนุษย์ ในเรื่องการทำทาน เห็นพฤติกรรมแล้วเสียดาย ที่คนทั้งหลายปรารถนาทาน แล้วทำ แต่การกระทำของตน ทำไปโดยไม่รู้ ผลแห่งทานที่ตนทำของคนส่วนใหญ่ ก็ได้เพียงส่วนเดียว จะหาคนได้ถึงสี่ส่วนก็น้อยนิด ยิ่งถึงแปดส่วนแทนนับตัวคนได้ ไม่ต้องพูดถึงสิบส่วนเลย หาไม่ได้ ด้วยไม่รู้เรื่องของทานนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงทิ้งสำนักสงฆ์ไว้ให้ ให้เป็นองค์ความรู้ ที่คนอยากได้ อยากทำให้ถูกต้องในร่องธรรม ไปเรียนจากผู้ปฏิบัติ เพื่อให้ผลแห่งการกระทำของตน สมบูรณ์ผล ย้อนมาช่วยตนได้ เสียดาย คนทั้งหลายกลับบอก ไม่มีเวลา .... แล้วก็ถ่ายรูปเซลฟี่ ดิดแฮชแท็ก ว่ากำลังไปเที่ยวที่โน่นนี่นั่น

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44