คนมากหลายที่มามูลนิธิไทยกรุณา มักมุ่งหวังการหายจากโรคที่ตนเป็น เร็วที่สุด
แต่ความเป็นจริง เมื่อท่านอาสิชี้ให้พิจารณาว่า การจะประสพผลสำเร็จให้เร็วนั้น ต้องเดินสองขา นั่นคือ สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม เพราะต้นเหตุแห่งการเป็นโรค นั่นคือ กรรม เมื่อล้างต้นเหตุ ย่อมทำให้โรคที่เป็นปลายเหตุหมดไปนั่นเอง
ผลก็คือ คนทั้งหลายทั้งปวง อยากหายโรค โดยการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ส่วนเรื่องธรรม หรือการทำนิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ให้ความสำคัญน้อยมาก หรือไม่ให้เลย
คนที่เป็นโรคร้ายแรง ท่านอาสิมองอนาคต ย่อมทำให้ลำบาก เป็นทุกข์ แลอาจช่วยตนไม่ได้ เมื่อชี้ช่องให้สร้างบุญล้างกรรมที่ตนทำมา ก็มักได้รับคำตอบว่า ยังไม่พร้อม ยังต้องมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมายต้องทำ ไว้ก่อน
แต่ใครจะรู้เล่าว่ากรรมของตนนั้น มันจะมาไว เกินกว่าที่ตนคิด จนตั้งตัวไม่ทัน รู้อีกทีก็ทำให้ตนนั้นไม่สามารถมาปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยตนได้แล้วนั่นเอง
บทสรุป แม่ชีเมี้ยนจึงทรงตรัสสอนว่า พระภูมีทุกพระองค์ จึงทรงย้ำให้สาวก ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ควรจะทำไว้ก่อน อย่ารอจนกรรมมาถึงตัว ถึงวันนั้น จะคิดปฏิบัติก็ทำไม่ได้แล้ว กินมื้อเดียวก็ไม่ได้ จะเดินเหิรก็ไม่สะดวก เห็นทางรอด แต่ก็ทำช่วยตนไม่ได้ ได้แต่คิดอยากจะทำ
ฤาเชื่อว่าพรหมลิขิตของตนดี ยังอยู่อีกนาน เห็นคนอื่นทำแบบนี้ได้ ตนก็เอามั่ง ท่านอาสิจึงมักสะกิดให้พิจารณา ... มนุษย์เราต่างกรรมต่างวาระ ทำมาไม่เหมือนกัน จะเอาเหมือนกัน จะเอาแบบเขา มีแบบเขาทำมาแบบเขาหรือเปล่า ถ้าไม่มีแล้วไปทำตาม เสมือนเห็นช้างขึ้ ขึ้ตามช้าง ... ผลสุดท้าย จบไม่สวย ไม่หายแบบเขา นี่แลประมาท
จึงไม่แปลก หลายคนมามาหยุดหยุด อยากมาก็มา อยากหยุดก็หยุด ไม่มีมาตรฐานในการทำเพื่อช่วยตนเลย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า "ตีงูต้องตีให้ตายในคราเดียว มิฉะนั้นมันจะแว้งกัดเราได้" เราท่านจึงควรทุ่มเท ทำให้จบ ทำให้หายโรค ทำให้รู้ว่าวิธีรอดทำอย่างไร แล้วทำเพื่อช่วยตน หาไม่แล้ว วันนี้ยิ่งกินยิ่งดี ทำไปทำมา กินเท่าไหร่ก็ไม่ดี หลวงพ่อนิพนธ์จะมักกล่าวว่า "ทานสมุนไพรสักฉันใด ก็ไร้ผล โรคมันดื้อสมุนไพรแล้ว"
แน่มาจากไหน ประมาทกรรมไปไหม จึงคิดเดินขาเดียว ไม่เอาธรรมนำตน จะเดินไปพ้นกรรมโดยวิธีใด