วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

ความจริงของสมุนไพรพระภูมี

คนทั่วไป เมื่อเป็นโรค ก็ดั้นด้นหายาหรือวิธีการรักษาให้หายโรค ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม หรืออะไรก็ได้ จุดประสงค์เดียวกัน คือ หายโรค

คนโลภ ที่รู้หลักจิตวิทยา จึงอวดอ้างสรรพคุณในสิ่งที่ตนทำว่า รักษาโรคได้ คนก็แห่แหนกันมา ยิ่งกระตุ้นด้วยความกลัว หากไม่ทำตาม อาจถึงตายได้ จากคนที่มาก ก็กลายเป็นคลื่นมหาชน หลากมาจนสร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา กับชีวิตมนุษย์นี้

หากแต่เมื่อคนเหล่านั้นเดินมาสุดทาง พบความจริง ก็สายไปเสียแล้ว กลับตัวไม่ทัน เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต จะกลับมาบอกลูกหลานก็ไม่ได้

หลายคนอาจกล่าวอ้าง ฉันเป็นโรคนั้น ฉันเป็นโรคนี้ กินแล้วหาย ทำอย่างนั้นแล้วหาย ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า นั่นไม่ใช่โรค เป็นเพียงกรรมผ่านมา เมื่อกรรมหมด มันก็หายไป

ทีนี้ ตอนเวลากรรมหมด มันหมดตรงไหน คนก็ยึดติดสิ่งนั้นว่าเป็นส่ิงที่ช่วยตน

กินยาหมอนั้น หมอนี้ ขณะยังมีกรรม กินเท่าไหร่ก็ไม่หาย ก็ว่าไม่ถูกกับหมอนั้น เปลี่ยนไปเรื่อย สุดท้าย อาจจะจบวันหมดกรรม ตอนหมอผีรดน้ำมนต์ หมอผีคนนั้น ก็เลยกลายเป็นผู้ช่วยตนไปเสียฉิบ ทั้งๆที่ความจริงคือ กรรมมันหมด มันจึงหาย

ดังนั้น คำจำกัดความ คำว่าโรค ของพระภูมี จึงหมายเฉพาะ โรคที่มาแล้วทำให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นก็หมายความว่า โรคมันก็มีชีวิต มีวันเวลา คำว่าโรคตาย นั่นหมายถึง เมื่อถึงอายุขัยของโรค มันก็จะตาย แต่มันทำให้เราท่านที่เป็นโรค ที่มันอาศัยอยู่ตายไปกับมันด้วยนั่นเอง

ความหมายของโรคตาย เมื่อดูจากสภาพร่างกาย เมื่อเป็นแล้ว มันจึงทำลายระบบของร่างกาย อวัยวะ ๓๒ ให้เสียหาย จนตายไปพร้อมกับมันนั่นเอง

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้พิจารณา ก็คือ ก็แล้วคนที่ไม่เป็น ไม่เกิดอาการนั้น คนเหล่านั้นไม่มีเชื้อหรือ ไม่ใช่ หากแต่ร่างกายเขามีภูมิ มีอวัยวะที่แข็งแกร่ง ร่างกายจึงกำจัดเชื้อได้ต่างหาก

หลวงพ่อนิพนธ์เล่าคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า ทรงตรัสสอนว่า ปากของคนเราจะมีเขี้ยวอยู่สองเขี้ยว เรียกว่า เขี้ยวบุญ เขี้ยวบาป ทำงานโดยผลแห่งการกระทำของเราท่านในอดีต มาดลบันดาล เมื่อทานอาหาร หรือ สิ่งใดผ่านเข้าไป ก็จะเป็นตัวกำหนดคุณแลโทษ

ยามเมื่อกรรดีมา สิ่งที่ผ่านเข้าไปก็เป็นคุณ ยามที่กรรมชั่วมา สิ่งที่ผ่านก็เป็นโทษ

ดังนั้นอย่าโทษเลย ว่าโรคที่เกิด เพราะกินเหล้า สูบบุหรี่ ทานอาหารไม่ดี ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกไม่ใช่ ไม่ใช่

เมื่อร่างกายมีความสามารถในการรักษาตนเองได้ นั่นคือ หมอในโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ร่างกายตน ไม่มีหรอกยารักษาโรค หรือ พิธีกรรมใดๆ ที่จะมาใช้รักษาโรคที่เป็นได้

ก็แล้วหน้าที่ของสมุนไพร คืออะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แลคือพหูสูตร ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้รอบครอบจักรวาล จึงบัญญัติสมุนไพร ที่ไม่ใช้เพื่อการรักษาโรคใดๆ เพราะโรคไม่ใช่ต้นเหตุ แต่เป็นปลายเหตุ

สมุนไพรที่ทรงบัญญัติ จึงแก้ที่ต้นเหตุ อันเป็นปฐมเหตุที่ร่างกายพ่ายแพ้แก่โรค นั่นคือ การถูกทำลายของระบบอวัยวะ ๓๒ ของร่างกายนั่นเอง

สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมิได้มีหน้าที่รักษาโรค หากแต่เป็นสมุนไพรที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ทำหน้าที่ฟื้นฟู ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของร่างกาย เพื่อให้กลับมาสมดุลย์ นั่นคือ ทำหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวะ ให้กลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม

กับดักอันหนึ่ง ที่เราท่านจะพบเห็น ในหนทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การแจ้งเราท่านว่า อวัยวะของเราท่าน วาย ต้องใช้วิธีการต่างๆ ไม่ว่า เครื่องมือทางการแพทย์ ฟอกไตวาย หัวใจเทียม แก้ปัญหาโรคหัวใจ ไปจนกระทั่ง วิธีแก้แบบชุ่ยๆ แก้ผ้าเอาหน้ารอด นั่นคือ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ว่าสารพัดต่อม ลำไส้ กระเพาะ ...

แต่เมื่อหลายคนมาใช้แนวทางสมุนไพร จะพบว่า เมื่อทานสมุนไพรไป อวัยวะเหล่านั้น กลับมาทำงานได้ ถึงอาจจะไม่ร้อยเปอเซ็นต์ แต่ก็ พอที่จะช่วยตนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้

นั่นแสดงว่า ตราบใดที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ อวัยวะไม่มีทางวายได้ เป็นแต่เพียงสลบ หรือไม่ทำงานเท่านั้นเอง

สมุนไพรจึงมีหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวัะให้กลับมาทำงานเหมือนเดิม ไม่ใช่รักษาโรค ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ร่างกายทำได้เองอยู่แล้ว

จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสูตรของพระภูมี ไม่ว่าเป็นโรคอะไร ก็ให้ทานสมุนไพรที่คล้ายคลึงกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพราะทุกคนมีอวัยวะเหมือนกันเท่านั้นเอง

จะแตกต่างกันตรงที่ ความเสียหายของอวัยวะใดรุนแรงกว่ากัน ก็เน้นตรงนั้นก่อน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า หลักการรักษาโรค จึงง่ายนิดเดียว นั่นคือ ทำให้ร่างกายมีความแข็งแกร่ง อดทนต่อสภาพที่เกิด แล้วเร่งให้โรคมันตายก่อน โดยร่างกายเราท่านยังทนได้ เท่านั้นเอง

แต่ธรรมชาติ ของสิ่งมีชีวิต เมื่อรู้ว่าตนจะตาย ก็ต้องดิ้นรน โรคก็เช่นกัน ก่อนมันจะตาย จึงต้องแสดงอาการออกมาสุดๆ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเสมอว่า เมื่อใดที่ผ่านประตูนรก คือตอนลงแดงอาการของโรค แล้วทนได้ เราท่านจึงไปถึงประตูสวรรค์

เมื่อโรคแสดงอาการ แล้วล้มเราท่านไม่ลง มันก็จะตายก่อน โดยที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ นั่นจึงเรียกว่า "หายโรค"

สิ่งที่สำคัญที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติว่า พระภูมีเป็นผู้ตรัสรู้ เมื่อบัญญัติสมุนไพรมา ก็ไม่ใช่แก่ทุกคน มิฉะนั้น คนชั่ว เมื่อกรรมมา ก็จะมาทานสมุนไพรแล้วกลับไปทำชั่วอีก

หมากกลที่วางไว้ นั่นคือ ฤทฺธิ์ของสมุนไพร อุปมาดั่งมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน มีฤทธิ์ไปตามการกระทำของคนนั้นๆ

จุดประสงค์ คือ มุ่งหมายเฉพาะคนที่อยากเป็นคนดี แต่ด้วยความไม่รู้ในเรื่องศาสนา จึงพลาดผิด ได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ มาใช้ศาสตร์นี้ฟื้นฟูตน แลใช้ธรรมคำสอน ฟื้นฟูใจ ความคิด สติปัญญา เพื่อพาตนเดินในทางที่ถูกนั่นเอง

นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไม สมุนไพรสูตรเดียวกัน เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน หรือ ทานหม้อเดียวกัน ผลจึงแตกต่างกัน

แลเป็นที่มาว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงใช้ได้กับทุกโรค

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสน์ จึงเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม ย้ำกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อ และศรัทธาในพระพุทธเจ้า พิจารณาเหตุผลแล้วทำตาม โดยพัฒนาตนเพื่อจุดหมาย คือเป็นคนดี คนที่ไม่คิดพัฒนาตน ถึงมาทานก็เสียเวลาเปล่า ทั้งผู้ทำ ผู้ทาน

ธรรมชาติของศาสน์ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ผู้ทำมีน้อย ไม่ว่าศาสน์จะเฟื่องฟูเพียงใด เช่นยุคพระโคดม ก็มีสาวกแค่หลักแสนเท่านั้นเอง

แลที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ศาสน์เป็นส่วนเกินของโลก อันหมายความว่า มนุษย์มีพรหมลิขิต เป็นผู้เกื้อหนุนชีวิตอยู่แล้ว แม้นไม่มีศาสน์ ก็ดำรงอยู่ได้

คนที่มาเดินทางตามพระภูมี คือ คนส่วนน้อย ที่เชื่อ ศรัทธา และทำตาม อยากสัมผัส ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค จึงต้องทวนกระแสโลกมา และต้องทวนกระแสนิสัยตน เป็นธรรมดา

หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เราท่านถือ สัจจะ "ไม่โกรธ แลไม่เห็นผู้อื่นผิด" ก็เพราะเราท่านมีกรรม เมื่อมา ย่อมเป็นเหตุซึ่งกันและกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เราท่านจะชนะได้ ก็ต้องอาศัยเดินตามรอยบรมครู แม่ชีเมี้ยน แลพระพุทธเจ้า อาศัย เมตตาธรรม มีให้แก่กันและกัน เราท่านจึงให้อภัย มีสติ ยามเหตุเกิด เพราะมันต้องเกิดอย่างแน่นอน ไม่มีทางหรอกที่จะเดินโดยราบรื่น บนหนทางนี้

ไม่ว่าเหตุจากอาการของโรค หรือเหตุจากบุคคลก็ตาม มันมาแน่ เพราะฉะนั้น หนทางนี้ จึงต้องอาศัยความขันติ อดทน สูง

แค่ความสงบ ในห้องสวดมนต์ ห้องอบ ตอนรับสมุนไพร ยังทำไม่ได้ ก็ยากที่จะทนเหตุอันนั้นได้ นี่แหละคือการฝึกทนเหตุ

นั่งปุ๊บ พัดปั๊บ ... หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า แค่ความร้อนนิดหน่่อยยังทนไม่ไหว จะทนกระโจมได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น จะทนความร้อนที่เกิดจากอาการของโรคได้อย่างไร แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว

เพราะธรรมชาติเวลามีไข้ ความร้อนจะขึ้นสูง แค่ร้อนในห้องสวดมนต์ยังทนไม่ได้ ความร้อนขนาดนั้น จะทนได้อย่างไร ไม่มีทาง

ประการสุดท้าย สมุนไพรไม่ใช่อาหาร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ที่ร่างกายต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเตือนสติว่า "ทานอาหารได้ไม่ตาย ไม่ทานอาหารน่ะตายแน่"

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44