ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558
สามกระบวนท่า พลิกแพลงร้อยแปด
คำถามที่มักคาใจสมาชิก โดยเฉพาะคนที่มาใหม่ นั่นคือ การที่ได้เห็นว่า ไม่ว่าใครคนไหนเป็นโรคอะไร สมุนไพรพื้นฐานชุดแรก ที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดให้เป็นหลัก จนเจ้าหน้าที่ท่องขึ้นใจว่า เขียว ไพล ดำ คล้ายกันหมด
ภาษาหนังกำลังภายใน เรียกเป็นกระบวนท่าพื้นฐาน ที่ทุกคนต้องทานก่อน และต้องทานให้ได้ปริมาณ
กระบวนท่าแรก คือ สมุนไพรเขียว หรือที่เรียกว่า ยาเขียว อ.อร่าม วิทยากร มักเรียกว่า "ยาครู"
เป็นสมุนไพรที่มีรสชาด ขมจัด หรือจะเรียกสุดยอดความขมก็ว่าได้ หากใบยาที่ได้มามีความสมบูรณ์ หากแต่ความขมก็จะลดไปตามสัดส่วนของความสมบูรณ์ของใบยานั่นเอง
สมุนไพรชนิดนี้ มักจะเป็นสมุนไพรแก้วแรก ที่ทุกคนได้รับประทาน
หลวงพ่อนิพนธ์เคยอรรถาธิบายไว้ว่า ด้วยนิสัยคนเรา ที่เลือกทาน ทำให้ร่างกายขาดสารขม อันเป็นสารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารขมนี้จะส่งให้ดี ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงาน โดยเฉพาะพวกต่อมฮอร์โมนต่างๆ ต่อมไร้ท่อ
เมื่อขาดนานเข้า โรงงานไม่มีวัตถุดิบ ระบบร่างกายก็รวน หาสาเหตุไม่ได้ การทานยาเขียว เสมือนอัดวัตถุดิบให้โรงงาน จนเพียงพอกับความต้องการ ระบบต่างๆ ก็จะกลับมาทำงาน
ยาเขียว เพียงชนิดเดียว กลับพลิกแพลงให้คุณนานัปการ เริ่มตั้งแต่ ความเป็นพิษของตัวยาเขียว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นไม้พิษ นั่นคือ ในตัวจะมีสารพิษฆ่าคนทานได้ จึงไม่แปลกว่า ทำไมจึงต้องยอมรับในแม่ชีเมี้ยน เพราะการหาสูตรที่ลงตัว เพียงแค่ชนิดเดียว ชาตินี้ทั้งชาติยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ นี่มาเป็นกว่าครึ่งร้อย บอกปุ๊บใช้ได้เลย ไม่ใช่หนูทดลอง
เมื่อเป็นไม้พิษ สรรพคุณของยาเขียว จึงใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ ทำลายพิษได้ ดังนั้น มีบาดแผล ก็ใช้ยาเขียวทาได้ ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย ก็ทั้งกินทั้งทาได้
สรรพคุณอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่ามีคุณค่ามหาศาล นั่นคือ สารในต้นพญามูลเหล็ก ที่ใช้ทำยาเขียวนั้น ได้มีการวิจัยมาแล้วว่า เป็นพิชชนิดเดียว ที่มีสารที่สามารถแทรกเข้าไปในที่ชื้นได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า วิทยาการอาจสามารถทำยาสมานแผลได้ หากแต่เมื่อแผลอยู่ภายในร่างกาย ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมือกต่างๆ ทำให้ตัวยาเข้าไม่ถึง โรคง่ายๆ แค่โรคกระเพาะ จึงรักษาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
ด้วยคุณสมบัติของยาเขียวนี้เอง ทำให้เป็นตัวเปิดช่องไปยังแผลเหล่านั้น ที่มักเกิดจากกัดด้วยฤทธิ์ที่เป็นกรดของยาเคมี ตลอดระบบทางเดินของอาหาร ตัวสมุนไพรที่มีหน้าที่สมานแผลจึงเข้าถึงได้
หลายคนอาจสงสัย เมื่อตัวเองแจ้งว่าเป็นโรคมะเร็ง เป็นโรคกระดูก ทำไมเมื่อมาแล้ว เจ้าหน้าที่จึงยังไม่จัดสมุนไพรที่ช่วยอาการนั้นๆให้เลย ก็เพราะคาดคะเนได้ว่า คนที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ย่อมผ่านยาเคมีมาพอสมควร ระบบทางเดินอาหารย่อมถูกทำลายไปด้วยฤทธิ์ยาเคมี ไม่มากก็น้อย
จึงต้องฟื้นฟูระบบทางเดินอาหารนั้นให้เรียบร้อยก่อน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ตั้งเกณฑ์ว่า ทานสมุนไพรเขียวสักเดือนนึง ก็น่าจะเคลียร์แผลเหล่านั้นได้
หากทานสมุนไพร ที่มีฤทธิ์รุนแรง ในขณะที่เราท่านระบบยังไม่พร้อม มีแผล หรือ ลำไส้บางเกินไป อาจจะเกิดความทรมาน แสบร้อน จนเกิดอาการแหยงสมุนไพรได้ ความทรงจำก็จะฝังว่า ทานแล้วเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่ใช่ผลจากการทานสมุนไพร หากแต่เป็นเพราะระบบทางเดินอาหารของเราท่านยังมีปัญหานั่นเอง
ความพลิกแพลงที่สำคัญ อีกประการหนึ่งในกระบวนยาเขียว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ขยายให้ฟัง นั่นคือ สารขมในพืช นั่นก็คือ มอร์ฟีน ธรรมชาติ ที่มีฤทธิ์ในการข่มความปวดนั่นเอง
หากแต่มอร์ฟีนบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มีฤทธิ์ที่มากมายมหาศาลกว่าที่ได้จากการสกัดยิ่งนัก จึงไม่แปลกเลยที่คำแนะนำที่เราท่านมักได้ยิน นั่นคือ การทานให้ได้ปริมาณ
เมื่อเราท่านทานสมุนไพรเขียว ร่างกายมีสารมอร์ฟีนบริสุทธิ์ ก็สามารถไปลดอาการปวดที่เกิดได้
เรื่องเล่าขานอันเป็นความหวังของลูกหลานผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง มุ่งหวัง นั่นคือ ไม่อยากเห็นพ่อแม่ที่รักของตน นอนปวด หน้าเขียวหน้าดำ ไปจนตายต่อหน้า ด้วยอาการของโรค จึงมาอาศัยทางเลือกนี้ ก็จะเห็นว่า แม้นการมาล่าช้าไม่อาจฟื้นฟูได้ทันความเสียหายที่เกิด แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพอใจนั่นคือ คนป่วย จากไปโดยไม่มีอาการทรมาน ไม่ปวดจนทนไม่ไหว ไม่ต้องใช้มอร์ฟีน นั่นเอง
คนที่บอกเล่าว่า ทานสมุนไพรแล้วไม่ตาย นั่นมันเว่อร์แล้ว ไม่เอาเหตุเอาผล เพราะต่างคน ต่างกรรม ต่างวาระ คนที่ทานแล้วรอด เขาต้องทำอย่างไร จึงต้องเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์
การแก้ไขเฉพาะหน้า ที่สมุนไพรเขียวถูกนำมาใช้ ก็คือ การลดอาการไข้ ที่ขึ้นสูง ด้วยความเป็นยาเย็น กรณีนี้หลวงพ่อนิพนธ์ มักจะให้ทานเป็นแก้วใหญ่ๆ ปริมาณมากพอควรกว่าการทานปกติ
แค่เล่าเรื่องสรรพคุณของสมุนไพรเขียวอย่างเดียว ก็อีกยาว
สิ่งหนึ่งที่คนมากหลายเข้าใจผิด นั่นคือ คำว่าสรรพคุณของสมุนไพร ไม่ได้หมายถึงไปแก้ไข้อาการนั้นๆ นั่นเป็นเรื่องของร่างกาย แต่สรรพคุณที่ว่านั่นคือ การทำให้ระบบของร่างกายกลับมาทำงาน เรียกภาษาชาวบ้านก็คือ ฟื้นฟูอวัยวะ และสร้างภูมิ นั่นเอง ส่วนหน้าที่รักษาฟื้นฟู ร่างกายทำเองได้ หากระบบยังทำงาน และมีวัตถุดิบ
เล่าเยอะก็ยาวไป ทิ้งท้ายหมัดเด็ดเลย ที่ทำไมต้องทานสมุนไพรเขียว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนเรา ไม่ทานน่ะตายแน่ ถ้าทานได้ ก็ไม่ตายแน่ นั่นเอง
สมุนไพรเขียว มีหน้าที่สำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่งก็คือ ทำหน้าที่ให้ร่างกายหลั่งน้ำย่อย และเกิดความอยากอาหาร
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมวิทยากรจึงมักสอนว่า เมื่อเราท่านทานยาเขียว แล้วห้ามทานน้ำตาม และที่สำคัญ คือ ทานก่อนอาหาร
เล่าเป็นน้ำจิ้มแค่นี้ก่อน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า องค์ประกอบในการฟื้นฟูตน คือ ร่างกายพร้อม อาหารพร้อม ดังนั้น การจะฟื้นฟูตัว มิใช่ทานแต่สมุนไพร เพราะสมุนไพรไม่ใช่อาหาร อย่าเชื่อความคิด อารมณ์ตน ต้องเอาเหตุเอาผล ร่างกายต้องการอาหาร ดังนั้น ไม่ว่า อยากหรือไม่อยาก ต้องทานด้วยเหตุผล นั่นคือ ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และได้ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายต้องการ
ยามวิกฤต หากอ้างความเชื่อความศรัทธา ทาน ชีมังเจ อย่างที่ อ.อร่าม บอก ก็ยากต่อการฟื้นฟูแล้ว เพราะร่างกายขาดโปรตีนจากเนื่้อสัตว์ หรือคนเป็นอิสลาม เป็นโรคเก๊าต์ แต่ไม่ยอมทานสมุนไพรกระดูกหมู ...
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนว่า วางความเชื่อของตนไว้ก่อน ฟื้นฟูตนให้แล้วเสร็จ จะกลับไปทำเหมือนเดิม ก็ไม่เป็นไร ช่วยชีวิตตน รักษาชีวิตไว้ ่จะได้กลับไปไหว้พระเจ้าเหมือนเดิม พระเจ้าท่านไม่ว่าหรอก หากไม่มีชีวิต ก็ไม่มีคนไหว้พระเจ้าแล้ว