ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ไอ้ทิด
นับแต่โบราณกาล สิ่งหนึ่งที่เห็นกันในหมู่ชาวพุทธ และสอนสั่งกันมา นั่นคือ การส่งให้ลูกหลานบวชก่อนเบียด
เมื่อฟังคำตอบจากผู้เฒ่าผู้แก่ ก็มีจุดมุ่งหมายให้กลายเป็นคนสุกก่อนนั่นเอง
คำว่าสุก มีความหมายเช่นใด คนสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจ
แต่จากคำเรียก ของผู้ที่ผ่านการบวชแล้ว ก็สื่อความหมายได้พอสมควร นั่นคือ การเรียกผู้ที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้วว่า "ทิด" นั่นเอง
ผู้รู้กล่าวว่า คำว่า "ทิด" เป็นการเรียกเพี้ยนมาจากคำเดิมว่า "บัณฑิต" อันหมายถึง ผู้ที่เรียนจนสำเร็จนั่นเอง เฉกเช่นนักเรียน ที่จบ ได้รับปริญญา ก็จักกลายเป็นบัณฑิต
ความรู้อันใดเล่า ที่คนโบราณ ส่งลูกหลานเข้าไปเรียนในพุทธศาสนา นั่นคือ บุญบาป เรื่องกรรมเรื่องเวร
ความรู้นี้เอง ทำให้คนกลายเป็นคนสุก เมื่อกลัวกรรมกลัวเวร ก็จักเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดอินเดียในอดีต ผู้หญิงจึงต้องเป็นฝ่ายไปขอผู้ชาย ก็เริ่มจากจุดนี้นั่นเอง
อันเป็นเครื่องการันตีว่า ผู้ที่ผ่านการบวชเรียนตามรอยของพระพุทธเจ้า จักมีทั้งความขันติ อดทน กลัวกรรมกลัวเวร ย่อมเป็นคนดี
ด้วยวินัยในยุคนั้น การบวช และดำรงวินัยนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ผู้ที่ทำได้ เสมือนได้ฝึกตน และขัดเกลานิสัย รู้จุดมุ่งหมายที่จะดำรงตน เพื่อเป็นคนดี
เมื่อรู้เรื่องของชีวิต รู้จักดำรงตน จึงได้ขนานนามว่า เป็นบัณฑิต และเพี้ยนมาเป็น "ไอ้ทิต" เรียกกันจนทุกวันนี้
แต่ทิดสมัยนี้ บางคนสึกตั้งแต่หม้อแกงวันงานยังทานกันไม่หมด
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชวนชัก มาย้อนอดีต บวชเพื่อฝึกหัดตน ทั้งร่างกายและจิตใจ แลจะเห็นว่า ผลอานิสงฆ์แห่งการบวชนั้นมหาศาลนัก ....
นี่คือบทพิสูจน์ว่า พระของพระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ไม่มีหรอก ที่ยามชราจะเดินหลังค่อม ป่วยอาพาธ ทำกิจของสงฆ์ไม่ได้ เดินธุดงค์ ได้จนวันสุดท้าย ไม่มีหูหนวก ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็น ไม่มี ไม่มี
และก็ตอกย้ำว่า พระไตรปิฏก พราหมณ์มันเขียน เพื่อพวกพ้องของตน ที่ใส่ผ้าเหลืองหากิน แลรู้ว่า ท้ายที่สุด ก็ต้องเป็นโรค จึงมีชีวกกุมาร พราหมณ์ผู้ซึ่งมารักษาพระพุทธเจ้า ... อันแสดงว่า พราหมณ์มันแน่กว่าพระพุทธเจ้า
หากความไม่มีโรค เป็นเท็จ พระพุทธเจ้าก็โกหกมุสา จะไปถึงซึ่งนิพพานได้อย่างไร
นี่จึงถือเป็นโอกาสแก่ผู้ที่มีปัญหาโรคภัย โดยเฉพาะขั้นสุดท้ายที่หมอทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เอดส์ หรือคนที่ติดยาเสพติด อันเป็นภาระครอบครัว จะได้ช่วยทั้งตนและครอบครัว
บทพิสูจน์นี้ใช้มาตั้งแต่ยุคถ้ำกระบอก ปี ๓๐ เรื่อยมา ... และคนเก่าแก่ก็จักรู้จักเห็นว่า คนที่มาใช้หนทางนี้ หลายคนก็ยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าคนเป็นกรรมพันธ์มะเร็งสมองอย่างท่านตอง ที่ปัจจุบันปกติดี กลายเป็นราษฎรอาวุโสสอนจักสาน ที่บ้านเขาค้อ หรือ คนเป็นเอดส์ ที่ปัจจุบัน พาลูกมาร่วมงานแม่ชีเมี้ยนทุกปี ก็อยู่ดีมีสุขมาจนทุกวันนี้ ทั้งพ่อลูก
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการบวช หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า จะซึ้งถึงคำว่า "ทุกข์กับวินัยของพระภูมี ดีกว่าทุกข์จากโรคจากเวรจากรรม"
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เปิดถ้วยแทง
หลักของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเปรียบเทียบว่าเป็น "หลักกรรมกร"
ผู้ปฏิบัติจึงหนีไม่พ้น หากอยากจะได้บุญ ก็ต้องเหนื่อยทั้งกายและใจมหาศาล
เพราะไม่อนุญาตให้นั่งร้องขอพรแล้วได้ แต่สอนให้ทำ อยากได้ต้องทำเอง ใครทำ ใครได้
จึงไม่แปลกที่ทุกยุคทุกสมัย สาวกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีไม่มากนัก แค่หลักแสนเท่านั้นเอง
เมื่อทำก็ต้องเหนื่อย เมื่อเหนื่อยย่อมต้องท้อเป็นธรรมดา แต่ธรรมชาติมนุษย์อยากได้โดยไม่ต้องทำ หรือ ทำน้อยแต่อยากได้ผลตอบแทนเยอะๆ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ขุมทรัพย์ของศาสนาให้ อยากได้เท่าไหร่ก็ทำเอา ยิ่งทำมากยิ่งได้มาก แต่เราท่านรักสบายจนเคย ยิ่งไปกว่านั้น สภาพตอนนี้ มันยังไม่เลวร้าย ภาพที่เห็นจนชินตา คือ ฉันทำแค่นี้พอแหละ หรือ นั่งเฉยไม่ยอมเหนื่อยใดๆเลย รอสมุนไพร อย่างอื่นไม่สนไม่ทำ
ผลก็คือ เมื่อวันเวลาเดินมาถึง ความเลวร้ายบังเกิดกับตน ต้องอาศัยบุญ คิดจะทำก็สายเสียแล้ว เพราะร่างกายไม่เอื้อนั่นเอง
บางคนเห็นผู้อื่นทำ ยังสงสัยว่า ทำไมต้องทำเยอะขนาดนั้น ก็เพราะเขาไม่ประมาททำก่อน ใช้กรรมซะก่อนแล้ว จะได้ไม่เป็นไง
รู้ว่าเหนื่อย แต่พระภูมีชี้ให้เห็นว่า ทุกข์วันนี้สุขในวันหน้า ทุกข์กับวินัยธรรม ดีกว่าทุกข์กับกรรม
คนเฉยไม่ทำ นั่นเขานั่งรอกรรมมา ช้าหรือเร็วก็ต้องมา คนที่กลัวกรรมเขาเชื่อพระภูมี ทำไว้ก่อน นั่นเขาทำหนีกรรม วันหน้าเขาก็สุข
ไฮโลศาสนานี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เปิดถ้วยแทง ยิ่งแทงมากยิ่งได้มาก ทำไมไม่ทุ่มหมดหน้าตัก จะรอจนหมดเค้าแล้วค่อยแทง มันจะทันไหม
เงินที่ได้เป็นเงินบุญ ซื้อเวรซื้อกรรมได้ ซื้อเจ็บได้ มันจึงควรถามกลับว่า ก็เสียเวลามากันแล้ว ทำไมจึงเมินเฉย ไม่ทำ เอาสบายวันนี้ โน่นวันข้างหน้าทุกข์รออยู่ ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยรุ่นพี่ ที่ชอบกล่าวว่า รู้อย่างนี้ตอนนั้นทำซะก็ดี แต่คิดช้าไปแล้ว เพราะวันนี้อยากทำ ก็หมดสภาพไปเสียแล้ว
วันนั้นสภาพดีๆ ให้ทำ บอกไม่เอาเหนื่อย วันนี้ร้องเหนื่อยดีกว่า ก็ได้แต่นั่งหรือนอนทนทุกข์ ช่วยตนไม่ได้แล้ว
เลือกเอา จะทุกข์วันนี้ หรือทุกข์วันหน้า
อุปมาคนที่บวช รับวินัย ฉันมื้อเดียว ยังต้องทำงานอีก ใครทำได้ ผลที่ได้ก็เฉียบขาดนัก หลวงพ่อนิพนธ์ใช้กับคนที่หมอบอกตายแน่ แต่ก็รอดมาแล้วมากมาย .. พวกที่เอาสบาย มุ่งแต่ทานสมุนไพรอย่างเดียว สภาพก็เบากว่า แต่หารอดได้ยากเต็มทน
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
สำเร็จ
สิ่งหนึ่งที่เป็นความเข้าใจของเราตลอดมา นั่นคือ คนเราสามารถทำตน ปฏิบัติ แล้วสำเร็จได้ด้วยตนเองทุกคน
เพราะฟังมาแต่เกิดว่า พระพุทธเจ้าทรงออกบวช ปฏิบัติ แล้วสำเร็จนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เราคิดเองว่า พระภูมีทรงค้นธรรม และปฏิบัติ แลมีอำนาจธรรม ด้วยผลแห่งการปฏิบัตินั้น
เพราะนึกเอาเองจากคำกล่าวที่ว่า นักปฏิบัติยิ่งเคร่ง ยิ่งมีอภิญญาสูง
หลวงพ่อนิพนธ์ ยกคำสอนแม่ชีเมี้ยนมาให้ฟังว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้ว อำนาจธรรมมีมาอยู่ก่อน มีมาคู่กับจักรวาล ผู้ที่ทำตนจนหมดกิเลส ไม่มีนิสัยกรรม มีแต่นิสัยธรรม จึงได้สิทธ์ในการถือครองและใช้อำนาจธรรมนี้
หลวงพ่อนิพนธ์แปลให้ฟังง่ายๆว่า ก็คือสร้างคุณสมบัติรองรับนั่นเอง ไม่ใช่สร้างเอง
ศาสน์สมุนไพร ซึ่งเป็นธรรมหมวดหนึ่งของพระภูมี จึงเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ผลสำเร็จของธรรมหมวดนี้ คือความไม่มีโรคนั้น มิได้เจาะจงไปที่ตายเพราะโรคเพียงอย่างเดียว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า มันต้องพ้น ทั้งตายโหงแลตายห่า จึงจะเรียกว่ารอด
จำพวกที่ปฏิบัติเคร่ง ทานสมุนไพรไม่มีขาด ผลสุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ไม่มีทางสำเร็จธรรมหมวดสมุนไพรได้ ถึงจะรอดจากต่ายห่า คือไม่ตายด้วยโรค ก็ไม่รอดด้วยตายโหงอย่างแน่นอน
ไม้ไผ่ลำเดียวที่พระภูมีชี้ว่าเป็นทางรอด ต้องใช้คุณสมบัติ นั่นคือต้องมีธรรมวินัยเป็นผู้นำเดิน
ผลสำเร็จ จึงมิใช่อยู่ที่ความเคร่ง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้ดูว่า ลัทธิความเชื่อบางลัทธิเคร่งกว่าพระโคดมมากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงฝั่งฝันคือนิพพาน
คุณสมบัติต่างหาก ที่จะเป็นตัวนำพาให้ถึงฝั่งฝัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสรุปให้ฟังว่า จุดหมายของศาสน์ต้องการคนดี ที่มีคุณสมบัติ คือกลัวกรรม แล้วเอาธรรมวินัยบางสิ่งบางอย่างมานำตน ทำตนเป็นใบหยก มาคู่กับกิ่งทอง
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า สถานที่นี้หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอ มองข้ามโรคที่เป็นไปได้เลย เพราะนั่นมันปลายเหตุ มาคุยต้นเหตุคือนิสัย กันดีกว่า
แม้นว่าคนผู้นั้นสภาพจะเลวร้าย หมอทิ้ง เสมือนเรือที่อีกเพียงอึดใจ ก็จะตกหน้าผาที่สูงชันก็ตามแต่ เมื่อมาบวชดำรงวินัย เปลี่ยนพฤติกรรมนิสัยแบบกลับลำ ก็ไม่มีวันตกหน้าผา ยิ่งนานวันยิ่งห่างจากหน้าผาไปทุกทีอย่างแน่นอน
หากแต่เราท่าน ที่ทานแต่สมุนไพร พฤติกรรมไม่เปลี่ยน หรือเปลี่ยนนิดหน่อย แม้นจะยังอยู่ห่างหน้าผา แต่เรือของเราอย่างดีก็แค่ชะลอ ยังคงมุ่งสู่หน้าผา ช้าเร็วก็ตกอยู่ดี
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ ผลสำเร็จมิใช่เพราะเราสร้าง แต่เป็นเพราะศาสน์เขาให้ ให้แก่ใคร ให้แก่ผู้ที่สร้างคุณสมบัติตามฟ้าดินกำหนดได้นั่นเอง
ไม้ไผ่ลำเดียวที่ว่า คือคุณสมบัติรองรับสิ่งมงคลอันสูงสุดนั่นเอง ใครสร้างได้ ก็เป็นสะพานทอดให้เดิน ใครสร้างไม่ได้ สะพานก็เป็นแต่นึกเอา เมื่อเดินถึงก็จะรู้ว่าไม่มีจริง ตนก็กำลังจะตกเหว จะกลับมาบอกใครก็ไม่ทันเสียแล้ว
คุณสมบัติ คือนิสัยธรรม จึงมีความละม้ายคล้ายนิสัยกรรม เริ่มจากทีละนิด แล้วค่อยใหญ่ขึ้น จากทุจริตเล็กน้อยสมัยเรียน ก็กลายเป็นโกงบ้านโกงเมืองยามเติบใหญ่ ฉันใดก็ฉันนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงเริ่มจากวินัยธรรม ทีละน้อยๆ ไม่โกรธ วันละหนึ่งชั่วโมง เป็นต้น แล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนครบ รอบวัน
ตอนนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เราท่านสร้างคุณสมบัติ พื้นฐานสองประการ หนึ่งคือไม่โกรธ สองคือไม่เห็นผู้อื่นผิด
ใครเชื่อแล้วทำตาม เสมือนพระที่บวชใหม่ แม้นจะเริ่มจากสภาพรุ่งหริ่ง หมอทิ้ง เมื่อเดินสองขา ทั้งขาบุญอันเกิดจากลดนิสัยเดิม และทานสมุนไพร ดูซิมันจะตกหน้าผาไหม
ที่นี่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำเสมอ ไม่มีหมอ ไม่มียาดี ไม่มีใครช่วยใครได้ แต่มีธรรมคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้หนทางให้ พิจารณา แล้วเดินเอง "ใครทำ ใครได้" ไม่มีใครช่วยใครได้ อยากได้ต้องสร้างคุณสมบัติขึ้นมาเอง มีแต่เพียงผู้ชี้ทาง คือ หลวงพ่อนิพนธ์
สำหรับพวกที่มุ่งเป็นนักปฏิบัติ เคร่งทานสมุนไพรสักปานใด หากไร้เสียซึ่งคุณสมบัติ การปฏิบัติก็ไร้ผล เหมือนฤาษี เคร่งสักฉันใดก็ไปนิพพานไม่ได้ฉันนั้น
เพราะสมุนไพรเขาเป็นแค่พี่เลี้ยง ให้มาเพื่อให้โอกาสเราท่านสร้างคุณสมบัติ ถึงเวลาส่งเสร็จเขาก็ไป ... ต้องเดินเอง นี่แหละหลัก "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
ที่นี่จึงกลัวคนที่มา จะเอาแต่หายโรค อย่างอื่นกูไม่สน ?..นี่น่ากลัวกว่าโรคอีก
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ตกบันได
การเสียผลนั้น เกิดกับคนทั่วไป เพราะความที่ไม่รู้เรื่องของศาสนา
หากแต่วันใดที่มีโอกาสเจอศาสนา จึงมีโอกาสเรียนรู้แล้วปฏิบัติ
ผลแห่งการปฏิบัติ ของผู้คนมากมาย เห็นกันทั่ว ยามบทสรุปมาถึง มักจะตกม้าตาย ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า คนทั้งหลายเมื่อแรกก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัฒน์ไซร้ ล้วนตั้งใจ มุ่งมั่นปรารถนาทำตน เป็นผู้ที่สืบต่อพระพุทธศาสนา เป็นคนดีทั้งหมด ทั้งสิ้น
เหตุแห่งการตกบันได หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า เพราะกระไดขั้นแรก มันไม่มั่นคง มันผุ มันกร่อน เมื่อยิ่งปีนป่ายสูง ตกลงมา ยิ่งเจ็บหนัก
กระไดขั้นแรก หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนสงฆ์ เมื่อครั้งมีพระเสมอว่า นั่นคือ " ความกตัญญู"
วันแรกที่เข้ามา ล้วนแล้วตั้งใจจะมาศึกษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า กราบพระพุทธํ กราบพระธรรม
เมื่อเรียนธรรม เรียนวินัย แล้ว ใครถามอะไร ก็ควรที่จะชี้ไปที่พระพุทธเจ้า พระธรรม ไม่ใช่ตน
เพราะบ่าของเราท่านทั้งหลาย เล็กนิดเดียว รับของหนักจะได้สักเท่าไหร่
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงทำตน และสอนเสมอว่า สิ่งที่เราท่านมาพึ่ง ไม่ใช่ท่าน ทำตนให้เป็นที่พึ่ง โน่น แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอน เป็นที่พึ่ง
หากชี้พลาด ให้คนไปหลงในสมุนไพรเป็นที่พึ่ง ก็เสียผล เพราะคนจักไม่สนว่าต้องเป็นคนดี ไม่ต้องทำตน เป็นที่พึ่งแห่งตน โยนภาระให้สมุนไพร ...
คนน้อยๆ ก็พอแบกไหว คนเป็นพันเป็นหมื่น มันก็ทับคนแบกตาย
ดังนั้น ในไม่ช้า เราท่านก็จักเห็นว่า ธงจะชี้ไปที่การบวช และทำตน ไม่ว่า บวชพระ หรือ บวชชี
เมื่อบวชแล้ว ชีวิตก็ไปวัดที่การกระทำของตนนั่นแล
ใครกตัญญูู รักในธรรม ก็ปฏิบัติตนตามวินัย ใครไม่กตัญญู ไม่รักในธรรม ก็บวชไปงั้นๆ ผลที่ได้ รอดไม่รอด ก็ตามตัวกระทำ ไม่มีใครช่วยใครได้
ยิ่งสมาชิกทั่วไปด้วยแล้ว กระไดกตัญญู นี้ ภาพที่เห็นก็ชัด นั่นคือ ส่วนใหญ่ข้ามไปเลย หรือกล่าวแต่ปาก หามีพฤติกรรมไม่
ทำอย่างไร ก็หาความสงบในที่ของแม่ชีเมี้ยน ของพระพุทธเจ้า ได้ไม่ ... จะมีก็แต่ลิงหลอกเจ้า ยามที่เจ้ามานั่ง ก็ทำทีสงบ พอลับหลัง ก็ออกนิสัยลิง เล่นกันตามนิสัย
อีกไม่ช้า เราท่านจะได้เห็นภาพสองภาพเทียบกัน นั่นคือ ภาพของผู้คนที่พร้อมปฏิบัติ ผู้คนจะควบคุมกิริยา ลดพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่าง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด แสดงเอกลักษณ์ของศาสนา เมื่ออยู่ในพื้นที่ นั่นคือ ความสงบ รักษากรรมฐาน เสียงเดียวที่จะพึงมี นั่นคือ เสียงของผู้สอน หรือ ผู้นำ
ภาพอีกภาพ นั่นคือ ภาพที่เราท่านเห็นกันทุกวันนี้ ...
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า เราท่านกำลังมีพฤติกรรม ขาดเสียซึ่งกตัญญู แลร่วมกันทำตน ที่จะทำให้วัด กลายเป็นตลาด
เมื่อไม่มีที่ใดที่สามารถทำให้เราท่านลดพฤติกรรมได้ ก็ไม่มีที่ใด ที่สามารถกันกรรมให้เราท่านได้เช่นกัน
เมื่อบรรเลงตามนิสัย นั่นแลกำลังทำลายบันไดขั้นแรก คือ ความกตัญญูทิ้งเสีย หนทางแห่งการปฏิบัติ ช้าเร็วก็พังทลาย
ก็ไม่ว่ากัน หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ก็คนทั่วไป ใช้ตาดู เขาจึงมองเห็นเป็นสถานที่เสมือนที่ทั่วไป มองเท่าไหร่ก็ไม่เป็นวัด
ศาสนา เขาอยากได้เฉพาะคนฉลาด ใช้ปัญญามอง ... เมือเห็นว่าสถานที่นี้ของแม่ชีเมี้ยน ของพระพุทธเจ้า ไม่ธรรมดา ... คนผู้นั้นจึงควบคุมพฤติกรรม
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า หลักตนพึ่งตน คือ เรียนรู้พิจารณา แล้วทำ นั่นแลกตัญญู เรียนรู้ ไม่พิจารณา ไม่ทำ นั่นขาดกตัญญู ...
ผู้กตัญญูเท่านั้นแล จึงจักเป็นผู้เจริญ
เมื่อดี มีคนอยากเดินตาม ก็ชี้ไปหารอยพระพุทธเเจ้าที่เราเดินมา มิใช่ ชี้ที่ตน แล้วเขี่ยพระพุทธเจ้าไปแอบๆ
วันดีคืนดี ก็ให้ไหว้ตนเลยซะงั้น
หนักเข้าไปอีก ทำรูปตนให้ไปบูชา แทนพระพุทธเจ้าเลย
พระพุทธ เลยต้องนั่งแอบอยู่ด้านหลัง ... เพราะตัวผู้ปฏิบัติมันใหญ่ นั่งบังจนมิด คนเข้าไม่ถึงแล้ว
พระธรรมคำสอน วินัย ก็เก็บเข้ากรุ มีธรรมคำสอนเป็นของตนเองแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เสียผล
หลายคนสงสัยว่า การกระทำของตนที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาแล้ว ก็น่าจะเข้าข่ายคนดีได้ หากแต่เพราะเหตุใด ชีวิตจึงได้รับผลเลวร้าย คำถามก็คือ แล้วความดีที่ทำไปไหนหมด ทำไมจึงไม่มาเกื้อกูล
นี่ไม่กล่าวถึงผลแห่งการกระทำในอดีต เอามันชาตินี้แหละตั้งแต่เล็กจนโต
หลายคนก็ทำบุญ ตักบาตร ช่วยเหลือคนทุกข์ คนยาก ไม่เคยฆ่าสัตว์ ?... อื่นๆอีกมากมายมาตลอดชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เหตุแห่งการเสียผลนั้น เพราะปฐมแห่งความรับผิดชอบ และต้องเมตตาก่อน นั่นคือตน
ตราบใดที่ยังมีพฤติกรรมทำลายตน จะเมตตาผู้อื่นสักฉันใด ผลที่ได้ก็น้อยนิด
นี่จึงเป็นที่มีมาว่า ทำไมคำสอนของพระภูมีจึงสอน ให้เมตตาตนเองก่อน
การทำลายตนที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นชัด นั่นคือการละเมิดธรรมชาติ ด้วยการทานยาเคมี
ผลแห่งการทำลายตน นีเป็นกรรมหนัก กรรมอันนี้จึงทำให้ผลแห่งการกระทำอื่นๆ เสียผลไปนั่นเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมมาที่นี่ วิทยากรทุกคน จึงสอนให้เลิกยาเคมี หรือลดยาเคมี ให้เร็วที่สุด
นี่ไม่กล่าวถึงผลแห่งการกระทำในอดีต เอามันชาตินี้แหละตั้งแต่เล็กจนโต
หลายคนก็ทำบุญ ตักบาตร ช่วยเหลือคนทุกข์ คนยาก ไม่เคยฆ่าสัตว์ ?... อื่นๆอีกมากมายมาตลอดชีวิต
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า เหตุแห่งการเสียผลนั้น เพราะปฐมแห่งความรับผิดชอบ และต้องเมตตาก่อน นั่นคือตน
ตราบใดที่ยังมีพฤติกรรมทำลายตน จะเมตตาผู้อื่นสักฉันใด ผลที่ได้ก็น้อยนิด
นี่จึงเป็นที่มีมาว่า ทำไมคำสอนของพระภูมีจึงสอน ให้เมตตาตนเองก่อน
การทำลายตนที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นชัด นั่นคือการละเมิดธรรมชาติ ด้วยการทานยาเคมี
ผลแห่งการทำลายตน นีเป็นกรรมหนัก กรรมอันนี้จึงทำให้ผลแห่งการกระทำอื่นๆ เสียผลไปนั่นเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมมาที่นี่ วิทยากรทุกคน จึงสอนให้เลิกยาเคมี หรือลดยาเคมี ให้เร็วที่สุด
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ไม้ไผ่ลำเดียว
จะบรรเลงนิสัยอย่างไร ทำแบบไหน ก็สุดแท้แต่คนๆนั้น
อาจด้วยเหตุมุ่งหวัง คือ หายจากอาการหรือสิ่งที่เป็นอยู่ แค่นั้นเอง
ความจริงอันนี้เอง ทำให้ผู้ที่ทำการรักษา เมื่อรู้ว่าแก้เหตุไม่ได้ จึงเอาง่ายตอบสนองนิสัย แก้ปลายเหตุ และแก้ให้เร็ว
เป็นความดัน ไม่สนว่าเหตุที่มาของความดันจะแก้โดยวิธีใด สร้างยาคุมความดันมาเลย คนชอบ ทานปุ๊บ ความดันลดปั๊บ ปวดศรีษะ ก็ไม่ต้องไปหาว่าอะไรทำให้ปวด ทานยาแก้ปวด ทานปุ๊บหายปั๊บ จึงไม่แปลก พารา หรือสารพัดยาแก้ปวด ทำไมขายดี
แต่หนทางของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า จะได้ผลมีหนทางเดียว ไม่มีให้เลือก เสมือนจะข้ามคลองแต่มีไม้ไผ่ลำเดียว ที่ใช้ข้ามได้ ส่วนอันอื่นดูดี ดูสวยงามแข็งแรง แต่เมื่อเดินไป ก็หักไปไม่ถึงฝั่งทั้งสิ้น
ก็เพราะกรรมมันเซาะทำให้ไม้ที่ดูสวยงามนั้นหัก หากแต่ไม้ไผ่ของศาสนา ดูไม่สวยงามสักเท่าไหร่ แต่หยุ่นเหนียว ด้วยมีธรรมป้องกันกรรมที่จะมาทำลาย
ธรรมที่ว่ามาจากไหน ก็มาจากการทำนิสัยพระพุทธเจ้านำตนแทนนิสัยกรรมเดิมของเรานั่นเอง
ไม้อื่น ตอนออกจะดูดี แข็งแรงมั่นคง แต่ปลวกที่กินใน มองไม่เห็น เพราะมีๆสิ่งสวยงามห่อหุ้ม จะรู้ตัวก็ตอนกรรมมา พายุของจริงซัด ถึงตอนนั้น จะย้อนกลับอาจไม่ทันแล้ว
ศาสน์พระภูมี ในการช่วยตน ไม่ประมาทกรรม เห็นเหตุที่แท้จริง หาใช่โรค แต่เป็นกรรม จึงสอนให้เดินสองขา ทานสมุนไพรแก้โรค ทำวินัยธรรมแก้กรรม
ทางเลือกนี้ ไม้ไผ่ลำนี้ จึงเริ่มกระบวนการด้วยการเปลี่ยนนิสัย พฤติกรรมก่อน
วันนี้มีอาสามาทำตน เดินให้ดู ๕ ท่าน ที่จะมาบวชเป็นพระ เดินตามวินัยธรรม เปลี่ยนพฤติกรรมตน แล้วทานสมุนไพร
เมื่อมีธรรมนำตน ก็แสดงว่าต้องกลัวกรรม เชื่อว่ากรรมมีอำนาจ แลสิ่งเดียวที่ชนะกรรมได้คือ ธรรม นั่นคือสัญญานที่บอกว่า ชีวิตตนจะรอดปลอดภัย ต้องเป็นคนดีเท่านั้น แลคนดีที่ว่า คือคนดีของศาสนา ที่มีจิตสำนึกอยู่เสมอว่า ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นก็ถึงตัว
แล้วมาดูกันว่า เมื่อเดินทางถูก ตามรอยพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ โรคที่หมอไม่รับแล้ว ผู้ที่เดินทั้งสองขา ทานสมุนไพร และทำตนไปพร้อมกันอย่างเต็มที่ ผลที่ได้จะเฉีบยขาด และรวดเร็ว ดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ว่าไว้หรือไม่
ดูผิวเผิน เคยมีผู้กล่าว่า เอาคนป่วย มาทานมื้อเดียว เดี๋ยวก็ขาดอาหาร แถมยังต้องทำงาน ทำสมุนไพรให้ญาติโยมอีก จะไหวหรือ
ไม้ไผ่ลำนี้ ดูด้วยตาน่ากลัวนัก หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอ หากศรัทธา เชื่อมั่น ก็จับมือท่าน แล้วเดินตาม อย่าลืมตา เพราะเมื่อลืมตา จะเห็นหุบเหว ตัวไม้ก็แกว่งไกว เพราะต้องพายุ ความกลัวก็จะถาโถมแล้วปล่อยมือ เมื่อนั้นเราท่านก็จะไปไม่ถึงฝั่ง
ไม่ต้องแปลกใจ เราท่านที่ทานสมุนไพรในวันนี้ ทำไมมันอืดเป็นเรือเกลือ ผลทีทเกิดมันช้า ก็ด้วยเหตุแห่งการขาดพฤติกรรมนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเสมอ เราท่านต้องมีที่เว้น ที่ๆไม่สามารถเอานิสัยตนมาใช้ได้ นั่นคือบริเวณของศาสนพิธี ไม่ว่าสวดมนต์ เข้ากระโจม หรือรับสมุนไพร
หาความนิ่ง สงบ ไม่ได้ นั่นคือ อุปสรรค เมื่อไม่มีที่เว้น กรรมก็ไม่เว้น
ใครจะคุย จะเล่นเกมส์ เล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ .... ทำอะไรตามนิสัย ก็ช่างเขา แต่เราท่าน หากอยากประสพผล ต้องรักษากรรมฐาน นั่งนิ่ง แลสงบ
สรรพทางเลือกอื่นไม่ต้องทำ แต่ทางของพระภูมี เป็นไม้ไผ่ลำเดียว ไม่มีทางให้เดินเฉไฉ ใครทำ ใครได้ เดินเฉ เหม่อลอย กรรมฐานแตก ... ก็ได้แต่ฝัน ฝันว่าจะหาย แต่ไปไม่ถึง อย่างดีก็แค่ทรง แค่ยื้อ
ไม่ต้องไปหาหมอดูที่ไหน ท่านเห็นคนไม่ทำ ก็รู้ได้เลย ว่าอนาคตผลจักเป็นเช่นไร อย่ามาตู่ว่า "ไหนบอกสมุนไพรดี" ศาสน์เขาไม่คุยด้วย
ผลตัดสิน มีมาตรฐานเดียว คือ "สิ่งที่ทำ ให้ทุกข์หรือให้สุขแก่ผู้อื่น" ผลอันนี้แหละที่แม่ชี้เมี้ยนชี้ให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำแล้ว และนำมาสอนสาวก
หลวงพ่อนิพนธ์ขยายให้ฟังว่า ไม่ใช่ได้เพราะทำแล้ว แต่ได้เพราะผลแห่งการทำต่างหาก ว่ามีประโยชน์ให้สุขแก่มนุษย์หรือสัตว์ มากน้อยเพียงใด
อุปมาให้เห็น บอกทำสังฆทานแล้วได้ จะได้ได้อย่างไร หากของที่ทำถูกนำไปเก็บกองไว้ จนเสียนำไปใช้อะไรไม่ได้
คิดจะเดินบนไม้ไผ่ลำนี้ หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เริ่มที่นิสัย ?..., นี่จึงเป็นเหตุว่า ทำไมไม่แจกแล้วให้กลับ ต้องมานั่งฟังคำสอนก่อน
ไม่ทำ ไม่เปลี่ยนนิสัย พฤติกรรม งานก็ไม่มีวันจบ ผลสำเร็จไม่ต้องพูดถึง อย่างดีสุดก็หายจากโรคนี้ แล้วไปตายด้วยโรคอื่น หรืออุบัติเหตุ ก็ตายเหมือนกัน
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ขอสดุดี
แม้นว่าสภาพในวันนี้ จะมีแหล่งที่เรียกว่ามากพอใช้ทั้งปี แต่อุปสรรคก็ยังมี นั่นคือความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งใบยา
แหล่งส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เข้าออกลำบาก และยังมีของแถม นั่นคือ ต้นยามักจะอยู่คู่กับต้นหนาม คนที่เคยไปเก็บใบยา จึงมักได้รอยแผลเป็นที่ระลึก แทบทุกตัวคน
วันนี้ มูลนิธิมีสมาชิกท่านหนึ่งเป็นนักวิชาการเกษตร ชั้นแนวหน้าของประเทศ มาใช้บริการ แลก็มีใจอยากทำแหล่งสมุนไพรให้ โดยเฉพาะต้นยาเขียว
เขาใช้เวลาทุ่มเทนานหลายเดือนเพื่อหาวิธีขยายพันธุ์ พบว่าวิธีปกติทั่วไปทำไม่ได้เลย ด้วยความเป็นนักวิชาการ ได้ประสพการณ์จากคนรุ่นเก่าสอนวิชาการขยายพันธุ์ที่ไม่มีในตำรา จึงมาลองทำดู ปรากฎว่าได้ผล เขาจึงเพาะขยายเป็นพันเป็นหมื่นต้น
มิเพียงแค่เพาะ ยังจัดหาที่ดินที่มีความเหมาะสมกับการเติบโต มีลักษณะพื้นราบ ดูแลอย่างดี เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบให้แก่หลวงพ่อนิพนธุ์
อ.อร่าม ฟังท่านเล่าถึงปริมาณน้ำที่ใช้รดต้นยา เล่าว่าใช้ครั้งละ 56,300 อ.อร่ามจึงถามว่า ลิตร ใช่ไหม ท่านตอบว่า มิใช่ เป็นคิว ต่างหาก
ต้นยาเป็นไม้ที่กินน้ำเยอะ ยิ่งทานใบด้วยแล้ว อ.อร่าม คำนวนคร่าวๆ เฉพาะค่าน้ำ เดือนละประมาณ ล้านห้า
อย่างน้อยก็เป็นดั่งคำตรัสของแม่ชีเมี้ยน มันต้องมีคนดีบ้างแหละ อย่าท้อใจ เพียงแต่คนดี คนอยากได้มันมีน้อย ให้หลวงพ่อนิพนธ์ ค่อยๆสร้าง ค่อยๆ รวบรวม
ได้แหล่งใบยาแบบนี้ วันข้างหน้าก็ไม่ต้องกลัวขาดแคลน
ท่านยังไม่อยากเปิดชื่อ แต่เราอยากเป็นตัวแทนสมาชิก กล่าวขอบคุณ สดุดี ต่อน้ำใจ และการกระทำของท่านเป็นอย่างสูง ไว้ ณ ที่นี้
และก็เชื่อว่า ต้องมีคนดีมาร่วมสมทบ ร่วมกันทำความดี แบบพุทธกาลที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้สุขแก่ผู้อื่น เดินตามหลวงพอนิพนธ์ชี้ทางให้เพิ่มมากขึ้น
แม้นมันจะไม่มากเหมือนคนบ้าบอล บ้าคอนเสิร์ต แต่พลังแห่งความดี ก็มากมายมหาศาล แผ่ไปยังเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ได้มีโอกาส มีทางเลือก
เป็นดุลย์ถ่วงโลก ไม่ให้เอียงจนเกินไป เกิดเป็นวิกฤต ฝนฟ้าวิปริต แผ่นดิน แผ่นน้ำ วิปโยค
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ ใครว่ารอยเลื่อนเมืองกาญจน์น่ากลัว แต่น้ำหนักของผู้คนที่มารวมตัวกันทำความดี มหาศาลกว่านัก จักกดรอยเลื่อนนั้นไม่ให้เป็นภัยได้
แลนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมจึงมาตั้งที่เมืองกาญจน์ ปิดทองหลังพระไง
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เริ่มบทใหม่
หนังจีนเรื่องหนึ่งที่เราชอบ มีคำกล่าวของอาจารย์ตัวเอกในเรื่อง กล่าวไว้ว่า วิชาที่ถ่ายทอดให้ หากนำไปช่วยคน จะมีพลังมหาศาล เกินกว่าวิชาใดๆ แต่หากจะใช้ไปในทางทำลาย วิชานี้ก็มีพลังเสมือนวิชาพื้นฐานทั่วไป หาทำร้ายใครได้ไม่
เมื่อได้ยินคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ในศาสน์สมุนไพร ก็น่าจะมีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ดู และมักพูดเสมอว่า ท่านไม่ต้องใช้ฌานหรือ ญาน อันใดหรอก เพื่อที่จะดูว่าคนนั้นๆ มีพฤติกรรมเช่นไร หากแต่ผลแห่งการกระทำมันฟ้อง ด้วยสุขภาพของคนผู้นั้นเอง
หากผู้ที่มาใช้ศาสน์สมุนไพร มีเป้าหมายสอดคล้องกับจุดประสงค์ของแม่ชีเมี้ยนและพระภูมี คือ เป็นคนดี ผลที่เกิดก็จักมหาศาล ไม่ว่าอาการของผู้นั้นจะสาหัสสักปานใด แต่กับผู้ที่ไม่คิดจะทำตน ผลของการทานสมุนไพร ก็แทบเรียกได้ว่า อืดเป็นเรือเกลือ หรือ เสมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
บทพิสูจน์บทเก่า นั่นคือ การปล่อยอย่างอิสระ ในการประพฤติตน ของผู้ที่มาใช้ศาสน์นี้ ดังที่ผ่านมา จึงแทบจะเรียกได้ว่า ล้มเหลว ก็ว่าได้ เพราะยังไม่ได้กลุ่มก้อนของคนดี ตามจุดประสงค์ของแม่ชีเมี้ยนแลพระภูมีนั่นเอง การฟื้นฟูตนจึงล่าช้า และยากจะประสพผล
แต่สัปดาห์หน้า บทใหม่กำลังจะเกิด แลเป็นการย้อนยุคถ้ำกระบอก และปี ๓๐ นั่นคือ เริ่มจากคนไข้ที่หมอทิ้ง แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ก็มาสังคายนา ให้เหตุและผล แล้วมาพิสูจน์กัน ด้วยการทำตนเป็นคนดี ตามรอยพระภูมี ดูผลว่าจะเป็นอย่างไร
เราท่าน ก็จะเห็นพระชุดแรก ๕ องค์ ที่ตัดสินใจ มาใช้ทางเลือกนี้ และพิสูจน์ว่า เมื่อทำตนเป็นคนดีตามรอยแล้วไซร้ โรคของท่านทั้ง ๕ องค์ ที่หมอปฏิเสธ หมดหนทาง ผลจะเป็นเช่นไร
แลบทพิสูจน์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวเสมอว่า ศาสน์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เมื่อทำถูกวิธี ผลจะเฉียบขาด และเร็ว จริงหรือไม่
ต่อให้เป็นโรคร้ายแรง ที่หมอทั้งโลกเห็นแล้วยังผวา เช่น เอดส์ ในอดีตหลวงพ่อนิพนธ์ก็ทำให้หลายคนได้เห็นแล้วว่า เมื่อมาใช้หนทางนี้ แม้นจะอยู่ในขั้นสุดท้าย ที่เรียกว่า อ้าปากมาเห็นแต่สีขาว เสมือนใยแมงมุมเต็มปาก ก็ยังหายได้ในเวลาไม่นาน
บทใหม่ที่จะเล่น นั่นคือการหนีทุกข์จากโรคภัย ด้วยการทุกข์กับวินัยของพระภูมี ต้องควบคุมตน ให้เป็นคนดี ... แลมีชีวิตเป็นเดิมพัน ... ทำผิดก็ตาย ทำถูกก็รอด
เราเชื่อว่า อีกไม่นาน เมื่อผลปรากฎ คนจะแห่แหนมาใช้หนทางนี้ กันมากขึ้น .... เสมือนถ้ำกระบอกยุคแรกๆ หรือ เมื่อยุคที่หลวงพ่อนิพนธ์มาเปิดสำนักใหม่ นั่นเอง
แลวินัยของพระภูมี เมื่อคนที่อยากเป็นคนดี ได้มาเรียนรู้ ก็จะชอบ และกลายเป็นคนดีจริงๆ ... โลกนี้ก็จะมีคนดี ตามบัญญัติของพระภูมีเพิ่มขึ้น เมื่อมีมากๆเข้า โลกนี้ก็จะน่าอยู่ขึ้น เมื่อได้คนดีมาปกครอง
เมื่อได้ยินคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ในศาสน์สมุนไพร ก็น่าจะมีความละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้ดู และมักพูดเสมอว่า ท่านไม่ต้องใช้ฌานหรือ ญาน อันใดหรอก เพื่อที่จะดูว่าคนนั้นๆ มีพฤติกรรมเช่นไร หากแต่ผลแห่งการกระทำมันฟ้อง ด้วยสุขภาพของคนผู้นั้นเอง
หากผู้ที่มาใช้ศาสน์สมุนไพร มีเป้าหมายสอดคล้องกับจุดประสงค์ของแม่ชีเมี้ยนและพระภูมี คือ เป็นคนดี ผลที่เกิดก็จักมหาศาล ไม่ว่าอาการของผู้นั้นจะสาหัสสักปานใด แต่กับผู้ที่ไม่คิดจะทำตน ผลของการทานสมุนไพร ก็แทบเรียกได้ว่า อืดเป็นเรือเกลือ หรือ เสมือนเข็นครกขึ้นภูเขา
บทพิสูจน์บทเก่า นั่นคือ การปล่อยอย่างอิสระ ในการประพฤติตน ของผู้ที่มาใช้ศาสน์นี้ ดังที่ผ่านมา จึงแทบจะเรียกได้ว่า ล้มเหลว ก็ว่าได้ เพราะยังไม่ได้กลุ่มก้อนของคนดี ตามจุดประสงค์ของแม่ชีเมี้ยนแลพระภูมีนั่นเอง การฟื้นฟูตนจึงล่าช้า และยากจะประสพผล
แต่สัปดาห์หน้า บทใหม่กำลังจะเกิด แลเป็นการย้อนยุคถ้ำกระบอก และปี ๓๐ นั่นคือ เริ่มจากคนไข้ที่หมอทิ้ง แล้วหลวงพ่อนิพนธ์ก็มาสังคายนา ให้เหตุและผล แล้วมาพิสูจน์กัน ด้วยการทำตนเป็นคนดี ตามรอยพระภูมี ดูผลว่าจะเป็นอย่างไร
เราท่าน ก็จะเห็นพระชุดแรก ๕ องค์ ที่ตัดสินใจ มาใช้ทางเลือกนี้ และพิสูจน์ว่า เมื่อทำตนเป็นคนดีตามรอยแล้วไซร้ โรคของท่านทั้ง ๕ องค์ ที่หมอปฏิเสธ หมดหนทาง ผลจะเป็นเช่นไร
แลบทพิสูจน์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวเสมอว่า ศาสน์สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เมื่อทำถูกวิธี ผลจะเฉียบขาด และเร็ว จริงหรือไม่
ต่อให้เป็นโรคร้ายแรง ที่หมอทั้งโลกเห็นแล้วยังผวา เช่น เอดส์ ในอดีตหลวงพ่อนิพนธ์ก็ทำให้หลายคนได้เห็นแล้วว่า เมื่อมาใช้หนทางนี้ แม้นจะอยู่ในขั้นสุดท้าย ที่เรียกว่า อ้าปากมาเห็นแต่สีขาว เสมือนใยแมงมุมเต็มปาก ก็ยังหายได้ในเวลาไม่นาน
บทใหม่ที่จะเล่น นั่นคือการหนีทุกข์จากโรคภัย ด้วยการทุกข์กับวินัยของพระภูมี ต้องควบคุมตน ให้เป็นคนดี ... แลมีชีวิตเป็นเดิมพัน ... ทำผิดก็ตาย ทำถูกก็รอด
เราเชื่อว่า อีกไม่นาน เมื่อผลปรากฎ คนจะแห่แหนมาใช้หนทางนี้ กันมากขึ้น .... เสมือนถ้ำกระบอกยุคแรกๆ หรือ เมื่อยุคที่หลวงพ่อนิพนธ์มาเปิดสำนักใหม่ นั่นเอง
แลวินัยของพระภูมี เมื่อคนที่อยากเป็นคนดี ได้มาเรียนรู้ ก็จะชอบ และกลายเป็นคนดีจริงๆ ... โลกนี้ก็จะมีคนดี ตามบัญญัติของพระภูมีเพิ่มขึ้น เมื่อมีมากๆเข้า โลกนี้ก็จะน่าอยู่ขึ้น เมื่อได้คนดีมาปกครอง
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ฟังแล้วสะดุ้ง
แต่ภาษิตโบราณกล่าวไว้ "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม"
เมื่อเราท่านเข้ามาในสถานที่นี้ อย่างน้อยก็ควรมีพฤติกรรม ที่คล้อยตามบ้างไม่มากก็น้อย
หลายปีก่อน หลวงพ่อนิพนธ์สมัยที่ยังรับรักษาผู้ป่วยยาเสพติด ก็มีลูกศิษย์นำลูกหลานมาบำบัดกันพอสมควร
เราจำคำพูดของคนป่วยคนหนึ่งในสมัยนั้นได้ติดหู ที่กล่าวกับพระที่มาชวนให้ไปทำงาน เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังกาย ฟื้นฟูสภาพของตนได้เร็ว เพราะยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งกิน ยิ่งกินก็ยิ่งฟื้นฟูเร็ว
คำตอบที่ได้ คือ ผมไม่ไป ผมมาเลิกยา ไม่ได้มาให้ใช้
มาวันนี้ ได้ยินคุณจักรีเชิญชวนคนให้ไปช่วยงาน คำตอบสวนกลับมา "งานของพวกคุณ พวกคุณก็ทำเอง ทำไมต้องมาเรียกคนไปช่วยเล่า ..." แล้วก็เดินไปพร้อมสีหน้าที่ไม่พอใจ
บางเสียงก็ตอบกลับมาว่า "ไม่ไปแล้ว เหนื่อยฉิบหาย ไม่ได้อะไร นั่งเฉยๆรอรับยา กลับบ้านสบายกว่า"
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมทุกยุคทุกสมัย เมื่อผู้ที่ทำตนเป็นพระพุทธเจ้าได้ พิจารณานิสัยมนุษย์ แล้วจึงอยากเข้านิพพานเลย
การสะดุ้งของเรา มิใช่เพียงจากคำพูด แต่จากคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวว่า "คนบางคน ดิบเกินจะสอน" มันเป็นเช่นนี้เอง
กิจกรรมที่ดำเนินอยู่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอ คนแบบนี้ย่อมต้องมี เพราะเป็นเชื้อเป็นสายของชูชก หากแต่ถ้ามีมาก นั่นหมายถึงความหายนะ
เพราะคนเหล่านี้ จะทำตนเป็นพวกกินล้างกินผลาญ แม้นจะทานสมุนไพรสักเท่าไร อย่างดีก็ได้แค่ทรง แค่ยื้อ ... ไม่มีทางสำเร็จ หรือหากโชคดี กรรมมีน้อย ประสพผลในการหายโรค ก็หายจากโรคนี้ไปเป็นโรคนั้น ... นี่เรียกว่าเสียเปล่า
อนาคตอันใกล้ หลวงพ่อนิพนธ์ เปิดเต็มระบบ จัดเตรียมสถานที่รองรับคนไว้มากมาย ไม่ว่าที่เดิมก่อนเก่า ลพบุรี บ่อพลอย ศรีสวัสดิ์ บ้านเก่า ...
เพราะรู้ดีว่า นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายของคนทุกข์ ที่มีมากมายมหาศาล
หากแต่กิจกรรมจะดำเนินไปได้ ... ก็ต้องคัดคนเหล่านี้ออกให้ได้ พวกนี้ควรจะได้แค่เป็นยักษ์หน้าโบสถ์ ไม่ควรที่จะอยู่ในสถานที่นี้
มิเพียงเปิดเต็มตัว แนวทางที่ทำ ก็จะเหมือนถ้ำกระบอกเดิม นั่นคือ ฟรีทั้งหมด ...
เพราะเชื่อว่า ประเทศไทย ต้องมีคนดีบ้างไม่มากก็น้อย
เราจึงอยากร้องขอ หากท่านใดไม่ประสงค์จะหลิ่วตาแม้นแต่สักน้อย ขอเถอะ อย่ามาเลย ดั่งเช่นหลวงพ่อนิพนธ์บอกเสมอว่า หากคนเหล่านี้ไม่มา ท่านก็อวยพรให้เจริญ เพราะอย่างน้อย ก็ทำให้คนที่อยากเป็นคนดี ได้มีสมุนไพรทานอย่างเต็มที่ ไม่เสียเปล่าไปกับพวกนี้
หมายเหตุ .. ผู้ป่วยยาเสพติดคนนั้น แม้นอายุเพียงยี่สิบเศษ หลังจากบำบัดแล้วเสร็จ ได้ไม่นาน ญาติก็มาแจ้งว่า ประสพเหตุเสียชีวิตไปแล้ว
ตอนนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กลับมามีพระอีกครั้ง ... นับเป็นนาทีทองของผู้ป่วยยาเสพติดอีกครั้ง .... ฉวยซะ
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เรื่องดี
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวย้ำเสมอ กิจกรรมที่ให้ทำ ย่อมมีความหมายต่อชีวิต
แลกิจกรรมที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ความสำคัญมากเป็นอันดับแรก นั่นคือ การสวดมนต์ แล้วฟังเหตุและผล เพื่อใช้ในการช่วยตน
ความจำเป็นประการหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ อำนาจที่ปกครองโลก เป็นอำนาจกรรม หรือ อำนาจโลกียะ ส่วนอำนาจธรรม หรือ อำนาจโลกุตระ เป็นสิ่งแปลกปลอม ที่มีอำนาจเหนือกรรม
ดังนั้น กติกาอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ นั่นคือ อำนาจธรรม จะเผ่นผ่าน แผ่ไปทั่วไม่ได้ ไม่ใช่ที่นั่นก็มี ที่โน่นก็มี นี่จึงเป็นเหตุแห่งการกำหนดเขตพัทธสีมา ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
สถานที่นี้ก็เช่นกัน เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ได้อำนาจธรรม ที่แม่ชีเมี้ยนให้มา ก็จะแผ่ไปทั่ว เผ่นผ่านไม่ได้ เช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า เขตความรับผิดชอบของท่าน จึงจำกัดอยู่แต่ในบริเวณพื้นที่ของแม่ชีเมี้ยนที่สถิตย์อยู่ นั่นคือ ห้องสวดมนต์เท่านั้น
ใครบอก นั่งสวดมนต์ข้างนอกก็ได้ อยู่ข้างนอกฟังก็ได้ ... ก็ว่ากันไป แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอก "ท่านไม่รับผิดชอบ"
หลายคนรำคาญเจ้าหน้าที่ ที่คอยบอกให้เข้าฟัง แลเข้าสวดมนต์ ... จึงใช้ความฉลาดแกมโกง จะเอาแต่เพียงให้ได้บัตรสวดมนต์ไว้รับสมุนไพร อย่่างอื่นไม่สน ก็ทำกันไป
ช่วงนี้ สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นหนทางสร้างบุญ ก็ขาดหายไป นั่นคือ การได้ฟังหนทางบุญที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้
อ.อร่าม แจ้งให้ทราบว่า คงจะอีกไม่นาน หลวงพ่อนิพนธ์ท่านก็จะกลับมาพูดสอน แลชี้หนทางบุญให้กับเราท่านอีกครั้ง
นับว่าเป็นข่าวดียิ่ง
แลคงจะมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร เพราะอดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ของแม่ชีเมี้ยน คือ เน้นแต่คนหายโรค แต่ไม่ได้คนดี
จึงเตือนว่าคงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน เพราะครั้งนี้ เข็มมุ่งเป้าไปที่คุณภาพ คือ การสร้างคนดี ไม่ใช่ปริมาณของคนหายโรค ...
เราท่านจะได้เห็นว่า "ยักษ์หน้าโบสถ์" มันเป็นอย่างไรก็คราวนี้
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ราคาคุย กับการสร้างภาพ
สมัยนี้ไปที่ใดก็ต้องสร้างภาพให้ดูดี แม้นแต่วัดวาอาราม ก็ต้องแข่งขันกัน ทำสถานที่ให้ดูดีเข้าไว้ เพราะคนสมัยนี้ ใช้ตาดู
เมื่อใช้แต่ตาดู ดังนั้น พวกฉวยโอกาสจึงอาศัยพิธีกรรม แล้วคุยโอ้อวด สำทับเข้าไปอีก
ธรรมและบุญของพระพุทธเจ้าจึงผิดเพี้ยน คนที่อยากเป็นคนดี ก็เลยมีการกระทำที่เพี้ยนผิดไปด้วย ผลบุญจึงไม่เกิด
คำตรัสที่สั่งเสีย ที่คนเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นพระถ้ำกระบอก และทำหน้าที่รับใช้แม่ชีเมี้ยน เล่าให้ฟังว่า "แม่ชีเมี้ยนสั่งนักสั่งหนา ว่าที่นี่มันเสียแล้ว ให้ออกไป แลเมื่อใดที่ฉันตาย ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา การไหว้สังขารฉันนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ ดำรงวินัยที่ให้ไว้ให้ได้"
สถานที่นี้ ก็มีคนสร้างภาพให้เห็นกันมากมาย ปากก็บอกศรัทธาแม่ชีเมี้ยน ศรัทธาพระพุทธเจ้า ... มาถึงก็ขึ้นไปกราบ คุยนักคุยหนา ศรัทธาอย่างนั้นอย่างนี้
หากแต่พฤติกรรม หาได้เป็นตามวินัยที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ไม่ หาความสงบ มักน้อย สันโดษ ไม่ได้เลย
สอนสักฉันใด ภาพที่เห็นในวันนี้ ไม่ว่าห้องสวดมนต์ กระโจม จนถึงรับสมุนไพร ก็หาภาพความสงบเสมือนดั่งพุทธกาลไม่ได้เลย
นี่แหละคือความล้มเหลวของมูลนิธิ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลอันนี้จึงบังเกิดกับท่าน เพราะสิ่งที่ทำ มันได้แค่มีคนหายโรค แต่หาคนดี มีวินัยธรรม ของพระภุมีไม่ได้
คนที่หายโรคไป ก็ยังคงมีพฤติกรรมเดิมๆ แล้ววันหนึ่ง โรคเก่าหายไป โรคใหม่มาแทน ก็หวนคืนกลับมาอีก
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา มีไว้ให้คนดี ที่หลงผิด เพราะไม่รู้ จนเกิดอุบัติเหตุแห่งชีวิต ได้มาเรียนรู้สิ่งที่ถูก แล้วนำไปปฏิบัติ โดยมีการหายโรคเป็นของแถม
ธรรมหมวดสมุนไพรจึงมีไว้ให้เฉพาะคนที่อยากเป็นคนดี
แม้นชาตินี้จะยังไม่ได้มีโอกาสบวช แลได้เป็นอรหันต์ ก็มุ่งมาดปรารถนาว่่า ขอบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ในวันข้างหน้า
สิ่งที่เกิดกับหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเป็นสัญญาณว่า คงจะถึงเวลาแล้วที่ต้องเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติ
ฤาในไม่ช้า เราท่านอาจได้เห็นการย้อนยุคเสมือนถ้ำกระบอก และการเปิดสำนักในปี ๓๐ อีกครั้ง ... นั่นคือ ปิดทุกประตู เหลือเฉพาะการบวช ...
ตัวบวชไม่ได้ก็ต้องหาคนมาบวชแทน ลูกชาย สามี น้อง...
รับได้ไหม รับไม่ได้ ก็กลับไป
อดีตพฤติกรรมเป็นเช่นไร ... ผ่านมาสถานที่นี้ ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ หรือไม่เปลี่ยน ... สถานที่นี้ไม่มีที่ให้
เราท่านต้องการหายโรค นี่คือความอยากของเราท่าน แต่แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า และหลวงพ่อนิพนธ์ ต้องการคนดี ...
หลักนี้จึงเรียก หมูไปไก่มา ... ทั้งสองฝ่ายสอดประสานกัน เป็นกิ่งทองใบหยก
ไม่มีราคาคุย ใครมาหายหมด ... ไม่มี ... ไม่มีการสร้างภาพ ที่นั่งดีๆ แอร์เย็นๆ ทำตามใจ เล่นตามนิสัยเดิม ... ไม่มี ...
บทสรุปสั้นๆ ง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์บอก "ใครทำได้ รับประกันรอด" ใครไม่ทำ ไม่คุยด้วย
เมื่อใช้แต่ตาดู ดังนั้น พวกฉวยโอกาสจึงอาศัยพิธีกรรม แล้วคุยโอ้อวด สำทับเข้าไปอีก
ธรรมและบุญของพระพุทธเจ้าจึงผิดเพี้ยน คนที่อยากเป็นคนดี ก็เลยมีการกระทำที่เพี้ยนผิดไปด้วย ผลบุญจึงไม่เกิด
คำตรัสที่สั่งเสีย ที่คนเก่าเมื่อครั้งบวชเป็นพระถ้ำกระบอก และทำหน้าที่รับใช้แม่ชีเมี้ยน เล่าให้ฟังว่า "แม่ชีเมี้ยนสั่งนักสั่งหนา ว่าที่นี่มันเสียแล้ว ให้ออกไป แลเมื่อใดที่ฉันตาย ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมา การไหว้สังขารฉันนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ ดำรงวินัยที่ให้ไว้ให้ได้"
สถานที่นี้ ก็มีคนสร้างภาพให้เห็นกันมากมาย ปากก็บอกศรัทธาแม่ชีเมี้ยน ศรัทธาพระพุทธเจ้า ... มาถึงก็ขึ้นไปกราบ คุยนักคุยหนา ศรัทธาอย่างนั้นอย่างนี้
หากแต่พฤติกรรม หาได้เป็นตามวินัยที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ไม่ หาความสงบ มักน้อย สันโดษ ไม่ได้เลย
สอนสักฉันใด ภาพที่เห็นในวันนี้ ไม่ว่าห้องสวดมนต์ กระโจม จนถึงรับสมุนไพร ก็หาภาพความสงบเสมือนดั่งพุทธกาลไม่ได้เลย
นี่แหละคือความล้มเหลวของมูลนิธิ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผลอันนี้จึงบังเกิดกับท่าน เพราะสิ่งที่ทำ มันได้แค่มีคนหายโรค แต่หาคนดี มีวินัยธรรม ของพระภุมีไม่ได้
คนที่หายโรคไป ก็ยังคงมีพฤติกรรมเดิมๆ แล้ววันหนึ่ง โรคเก่าหายไป โรคใหม่มาแทน ก็หวนคืนกลับมาอีก
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา มีไว้ให้คนดี ที่หลงผิด เพราะไม่รู้ จนเกิดอุบัติเหตุแห่งชีวิต ได้มาเรียนรู้สิ่งที่ถูก แล้วนำไปปฏิบัติ โดยมีการหายโรคเป็นของแถม
ธรรมหมวดสมุนไพรจึงมีไว้ให้เฉพาะคนที่อยากเป็นคนดี
แม้นชาตินี้จะยังไม่ได้มีโอกาสบวช แลได้เป็นอรหันต์ ก็มุ่งมาดปรารถนาว่่า ขอบรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ในวันข้างหน้า
สิ่งที่เกิดกับหลวงพ่อนิพนธ์ นั่นเป็นสัญญาณว่า คงจะถึงเวลาแล้วที่ต้องเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติ
ฤาในไม่ช้า เราท่านอาจได้เห็นการย้อนยุคเสมือนถ้ำกระบอก และการเปิดสำนักในปี ๓๐ อีกครั้ง ... นั่นคือ ปิดทุกประตู เหลือเฉพาะการบวช ...
ตัวบวชไม่ได้ก็ต้องหาคนมาบวชแทน ลูกชาย สามี น้อง...
รับได้ไหม รับไม่ได้ ก็กลับไป
อดีตพฤติกรรมเป็นเช่นไร ... ผ่านมาสถานที่นี้ ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ หรือไม่เปลี่ยน ... สถานที่นี้ไม่มีที่ให้
เราท่านต้องการหายโรค นี่คือความอยากของเราท่าน แต่แม่ชีเมี้ยน พระพุทธเจ้า และหลวงพ่อนิพนธ์ ต้องการคนดี ...
หลักนี้จึงเรียก หมูไปไก่มา ... ทั้งสองฝ่ายสอดประสานกัน เป็นกิ่งทองใบหยก
ไม่มีราคาคุย ใครมาหายหมด ... ไม่มี ... ไม่มีการสร้างภาพ ที่นั่งดีๆ แอร์เย็นๆ ทำตามใจ เล่นตามนิสัยเดิม ... ไม่มี ...
บทสรุปสั้นๆ ง่ายๆ หลวงพ่อนิพนธ์บอก "ใครทำได้ รับประกันรอด" ใครไม่ทำ ไม่คุยด้วย
วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มีเหตุจึงมีผล
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า หลักของพระภูมี เชื่อในกรรม ที่เราท่านกระทำมาแล้ว จะหนีหรือปฏิเสธสักฉันใด ก็ไม่พ้น
เมื่อมาใช้หลักพระภูมี ในการแก้ปัญหา พระภูมีจึงสอนให้เราท่านยอมรับ และใช้ หากแต่ทุกข์ที่เกิด หาใช่มีเหตุแต่กรรม แต่เป็นด้วยวินัยของพระภูมี
จึงไม่แปลกที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า เมื่อปฏิบัติวินัย นั่นก็หมายความว่า ต้องมีเหตุให้ผจญ ยิ่งมีเหตุมาก ผลก็ยิ่งมาก
หากเราท่านปฏิเสธเสียซึ่งเหตุ นั่นก็ทำให้เสียผล
หลายคนอาจติติงว่า ทำไมให้คนป่วย ซึ่งมีทุกข์อยู่แล้ว มานั่งสวดมนต์ มานั่งฟัง แถมนั่งกับพื้น ในที่มีพัดลมก็น้อย แอร์ก็ไม่เปิด ทนเมื่อยก็แล้ว ยังต้องทนร้อนอีก
ต่างกับการไปที่อื่น ที่จัดที่นั่งให้สบายๆ มีแอร์เย็นช่ำ มีทุกสรรพสิ่งให้อำนวยความสะดวก
การนั่งกรรมฐาน ของที่นี่ จึงต่างกับที่อื่นอย่างสิ้นเชิง แลก็ยากที่จะรักษากรรมฐาน คือ ความสงบไว้ได้
หากแต่ใครทำได้ ผลจึงมหาศาล
เฉกเช่นพระสงฆ์สาวก แม้นนั่งกันป็นเรือนพัน เรือนหมื่น ยามเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็นั่งสงบ ไม่มีเสียงอื่นใด มีแต่เสียงของพระภูมีเท่านั้น
ใครจะดูว่าสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้ทำไม่มีอะไร ไม่สนใจ ไม่คิดที่จะควบคุมตน หากแต่สิ่งนี้มิใช่สิ่งเลื่อนลอย ให้ผลมหาศาล มิเพียงแต่บุญจากกรรมฐาน ความสงบ ตามวินัย หากแต่ทำให้เกิดการฝึกการสร้างความสงบ เสมือนเหตุการณ์จำลอง ในยามทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยมา
สิ่งนี้หลีกหนีไม่พ้น วันหนึ่ง อาการปวด ทรมาน จากโรคก็ต้องมาถึง แต่หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ก็ให้มันทุกข์แต่เพียงกาย ใจอย่าตก เพราะเมื่อใช้ย่อมต้องหมด การฝึกในวันนี้ ทำให้ใจเราสงบ ทุกข์ก็เกิดแต่เพียงกาย ไม่ลามมาถึงใจ ที่ส่งผลกับร่างกายมากกว่าเสียอีก
เมื่อผลแพ้ชนะ วัดกันที่ใจ การฝึกใจ จึงมีความสำคัญยิ่ง
แค่เหตุเล็กน้อย ความเมื่อย ความอยากคุย ความร้อน เราท่านยังทนไม่ได้ ... ยามเข้าสงครามใหญ่ตอนลงแดง ... คงยากจะผ่านได้
ไม่ต้องถึงโรค ร้อนแค่นี้ยังไม่ไหว ร้อนกระโจม คงยากทน เมื่อพบศึก ร้อนจากพิษไข้ ... เสมือนนักกีฬาไม่ยอมฝึก ผลก็ย่อมคาดการณ์ได้
เป็นนักกีฬาอยากเก่ง ก็ต้องฝึกหนัก ... คนป่วยก็เช่นกัน ...
กิจกรรมที่ให้ทำ นั่นคือเหตุ .. คิดหนี เบื่อฝึก ... ไม่มีวันได้ขึ้นแท่นแห่งชัยชนะอย่างแน่นอน
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมต้องบังคับ ... หากแต่ใครที่คิดว่าตนฉลาด หลบซ้ายหลบขวา อันนี้ไม่ว่ากัน ...
ฉลาดแกมโกง ใช้ไม่ได้กับศาสน์ เพราะผู้ตัดสิน ไม่ใช่มนุษย์หน้าไหน .. หากแต่เป็นดินฟ้าอากาศ ที่เป็นพยานใหญ่ ตัดสินไปตามตัวกระทำของคนผู้นั้น
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เหมือนแต่ไม่เหมือน
คำสอนของพระภูมีมีเอกลักษณ์ คือเป็นทางสายกลาง พูดให้คิดพิจารณา ทำไม่ทำแล้วแต่บุคคล
ภาพที่เห็นคนสองคนอาจทำเหมือนกัน รับสัจจะเหมือนกัน หากแต่ผลที่ได้อาจไม่เหมือนกัน
ด้วยเหตุแห่งผลหาดูที่การกระทำแห่งกาย แต่เป็นใจ จึงมิมีผู้ใดจะล่วงรู้ในตัวกระทำ เฉกเทวทัติ ก็มีพระไปเดินตามรอย เพราะดูแล้วเคร่งกว่าพระโคดมเสียอีก
จึงเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตนว่าทำอย่างไร แลมีดินฟ้าอากาศเป็นพยานใหญ่
ส่วนผลแห่งการทำ ก็มีกายเป็นเครื่องชี้ ว่าสิ่งที่กระทำถูกหรือผิด
จึงไม่น่าแปลก ที่วินัยในวันนี้ให้ทุกคนวางสัจจะไม่โกรธ และไม่เห็นผู้อื่นผิด หลายคนวางแล้วก็ระวังระไว หลายคนก็วางไปงั้นๆ ไม่มีใครรู้ว่าตนของตนทำอย่างไร
แต่วันนี้กรรมมันแรง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่าสมุนไพรอย่างเดียวยากจะชนะ
ผลแห่งการทำ จึงปรากฎให้เห็นว่าใครทำใครได้ คนไม่ทำจะหลอกคนอื่นอาจทำได้ แต่ผลมันฟ้อง
หลักปราชญ์ของพระภูมีจึงไม่ต้องตรวจ ไม่ต้องกลัว ใครจะทำหรือไม่ทำ แลออกตัวไว้ก่อน ธรรมให้เป็นสายกลาง อยากรอดต้องทำเอง ใครก็ช่วยไม่ได้
บทสรุปหลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ ทางเลือกนี้ดูการกระทำไม่ได้ หากแต่ผลชนะวัดกันที่ใจ ทำเหมือนกันจึงไม่ได้ชี้ว่าผลจะเหมือนกัน
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
คนดี มีเมตตา
คำบอกเล่าที่ได้ยินมา จนซึมซับ วลีหนึ่ง คือ "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"
แลตั้งแต่โบราณ ผู้แก่ผู้เฒ่า มักจะสอนลูกหลาน ให้มีเมตตา
แต่การได้ฟัง คำสอน เพียงอย่างเดียว จึงเสมือน ธรรมรู้ ที่แม้นจะรู้มาก แตกฉาน เปรียญ ๙ ประโยค ก็หาทำให้เป็นคนดี มีเมตตา ได้ไม่
หากย้อนกลับไปพิจารณา คำโบราณ ที่เขียนจะพบว่า คำกล่าว ใช่จบแค่เมตตา แต่มีคำว่า ธรรม ... พ่วงติดมาด้วย
แลเป็นที่ทราบกันดีว่า พระภูมีทุกพระองค์ มีเมตตาอันมหาศาล
นั่นหมายความว่า คนดีที่สุด คือ พระภูมี ทุกยุคทุกสมัย ล้วนมีเมตตาอันมหาศาล ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ก็ด้วยเหตุที่พระภูมีทุกพระองค์ เมื่อทำตนจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณาสัตว์โลก ก็พึงเห็นว่า สัจจธรรม ที่ใช้นำตน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากนั่นเอง
เมื่อคนมีความมุ่งมั่น จะเป็นคนดี หรือเกินกว่านั้นคือ อยากหลุดพ้น ก็ต้องนำสัจจะมานำตน แลเมื่อปฏิบัติแล้ว ก็จักพบว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย จึงทำได้ยาก
เมื่อตนของตนทำได้ แลย้อนกลับไปดูผู้อื่น ที่เดินตาม จึงเกิดความเมตตา เพราะรู้ว่ามันทำได้ยาก
การจะทวนนิสัยเดิม ตามกระแสกรรม มาทำนิสัยธรรม เดินตามวินัยธรรม ต้องใช้ขันติ อดทน อันมหาศาล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ด้วยธรรมเป็นของหนัก เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก พระภูมีจึงสอนให้เริ่มจากการกระทำทีละน้อยๆ เริ่มจากวินัยน้อยข้อ กำหนดระยะเวลา สั้นๆ ก่อน
เสมือนที่หลวงพ่อนิพนธ์หยิบยกมาให้ทำในตอนนี้ คือ ไม่โกรธ และไม่เห็นผู้อื่นผิด วันละสองชั่วโมง ในวันที่สมาชิกมา
หากใครทำ จะรู้ได้ว่า ในสองชั่วโมงนี้ สติต้องตื่นตัว ระวังระไว กระนั้นก็ตาม เมื่อปฏิบัติ ผลจะเกิดย่อมต้องมีเหตุ ...แลเมื่อมีเหตุ การเสียซึ่งวินัย ก็อาจเกิดได้ง่ายๆ แค่อารมณ์ชั่ววูป
แลเมื่อตนทำได้ ก็เสมือนโตขึ้น แลเมื่อเห็นผู้อืน ก็ยังมีเหตุอีก นั่นคือ จะเห็นคนอื่น ทำไม่ถูก จึงต้องดักไว้ด้วยวินัยไม่เห็นผู้อื่นผิดอีก
ก็ด้วยเหตุ ทุกผู้ย่อมมีกรรม นั่นเอง
ผู้ที่ปฏิบัติ รู้ในเหตุแลผลนี้ จึงให้อภัยทั้งตนเอง และผู้อื่น นั่นคือ เมตตาตน แลผู้อื่น จึงหมั่นเตือนตนให้มีสติ แลเตือนผู้อื่น
คนยิ่งปฏิบัติวินัยมาก ก็จะต้องใช้สติมาก เมื่อทำได้ พิจารณาจากสิ่งที่ตนทำได้ จึงมีเมตตาแก่ผู้อื่นมากนั่นเอง
หากแต่การฟัง อย่างไรก็ไม่ซึ้ง จะเมตตาก็ต่อเฉพาะคนที่ตนชอบ คนที่ตนรัก หรือสัตว์ที่ตนชอบ สัตว์ที่ตนรัก เท่านั้นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็น ก็คนที่บอกรักหมา ลองไปเจอหมาอื่น ที่ไม่ใช่หมาตน หรือสัตว์อื่น ความเมตตา มันยังอยู่หรือไม่ แค่ยุงกัด ก็ตบตายแล้ว ฤาว่า ยุงไม่ใช่สัตว์ ไม่มีชีวิต ไม่ต้องเมตตากระนั้นหรือ
แลตั้งแต่โบราณ ผู้แก่ผู้เฒ่า มักจะสอนลูกหลาน ให้มีเมตตา
แต่การได้ฟัง คำสอน เพียงอย่างเดียว จึงเสมือน ธรรมรู้ ที่แม้นจะรู้มาก แตกฉาน เปรียญ ๙ ประโยค ก็หาทำให้เป็นคนดี มีเมตตา ได้ไม่
หากย้อนกลับไปพิจารณา คำโบราณ ที่เขียนจะพบว่า คำกล่าว ใช่จบแค่เมตตา แต่มีคำว่า ธรรม ... พ่วงติดมาด้วย
แลเป็นที่ทราบกันดีว่า พระภูมีทุกพระองค์ มีเมตตาอันมหาศาล
นั่นหมายความว่า คนดีที่สุด คือ พระภูมี ทุกยุคทุกสมัย ล้วนมีเมตตาอันมหาศาล ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า ก็ด้วยเหตุที่พระภูมีทุกพระองค์ เมื่อทำตนจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณาสัตว์โลก ก็พึงเห็นว่า สัจจธรรม ที่ใช้นำตน เป็นเรื่องที่ทำได้ยากนั่นเอง
เมื่อคนมีความมุ่งมั่น จะเป็นคนดี หรือเกินกว่านั้นคือ อยากหลุดพ้น ก็ต้องนำสัจจะมานำตน แลเมื่อปฏิบัติแล้ว ก็จักพบว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย จึงทำได้ยาก
เมื่อตนของตนทำได้ แลย้อนกลับไปดูผู้อื่น ที่เดินตาม จึงเกิดความเมตตา เพราะรู้ว่ามันทำได้ยาก
การจะทวนนิสัยเดิม ตามกระแสกรรม มาทำนิสัยธรรม เดินตามวินัยธรรม ต้องใช้ขันติ อดทน อันมหาศาล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ด้วยธรรมเป็นของหนัก เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก พระภูมีจึงสอนให้เริ่มจากการกระทำทีละน้อยๆ เริ่มจากวินัยน้อยข้อ กำหนดระยะเวลา สั้นๆ ก่อน
เสมือนที่หลวงพ่อนิพนธ์หยิบยกมาให้ทำในตอนนี้ คือ ไม่โกรธ และไม่เห็นผู้อื่นผิด วันละสองชั่วโมง ในวันที่สมาชิกมา
หากใครทำ จะรู้ได้ว่า ในสองชั่วโมงนี้ สติต้องตื่นตัว ระวังระไว กระนั้นก็ตาม เมื่อปฏิบัติ ผลจะเกิดย่อมต้องมีเหตุ ...แลเมื่อมีเหตุ การเสียซึ่งวินัย ก็อาจเกิดได้ง่ายๆ แค่อารมณ์ชั่ววูป
แลเมื่อตนทำได้ ก็เสมือนโตขึ้น แลเมื่อเห็นผู้อืน ก็ยังมีเหตุอีก นั่นคือ จะเห็นคนอื่น ทำไม่ถูก จึงต้องดักไว้ด้วยวินัยไม่เห็นผู้อื่นผิดอีก
ก็ด้วยเหตุ ทุกผู้ย่อมมีกรรม นั่นเอง
ผู้ที่ปฏิบัติ รู้ในเหตุแลผลนี้ จึงให้อภัยทั้งตนเอง และผู้อื่น นั่นคือ เมตตาตน แลผู้อื่น จึงหมั่นเตือนตนให้มีสติ แลเตือนผู้อื่น
คนยิ่งปฏิบัติวินัยมาก ก็จะต้องใช้สติมาก เมื่อทำได้ พิจารณาจากสิ่งที่ตนทำได้ จึงมีเมตตาแก่ผู้อื่นมากนั่นเอง
หากแต่การฟัง อย่างไรก็ไม่ซึ้ง จะเมตตาก็ต่อเฉพาะคนที่ตนชอบ คนที่ตนรัก หรือสัตว์ที่ตนชอบ สัตว์ที่ตนรัก เท่านั้นเอง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็น ก็คนที่บอกรักหมา ลองไปเจอหมาอื่น ที่ไม่ใช่หมาตน หรือสัตว์อื่น ความเมตตา มันยังอยู่หรือไม่ แค่ยุงกัด ก็ตบตายแล้ว ฤาว่า ยุงไม่ใช่สัตว์ ไม่มีชีวิต ไม่ต้องเมตตากระนั้นหรือ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)