ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558
พระมาลัยเล่าความ
สัปดาห์นี้ได้ฟังเรื่องเล่าถึงประสพการณ์ของคุณธานินทร์ อินทรเทพ ที่ผ่านปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ ๔ เส้น มาจนถึงวันนี้ที่หนีการผ่าตัด และทิ้งยาเคมี ก็ปีที่ ๑๕ แล้ว
คุณธานินทร์ เน้นให้ฟังถึงความคิด และฝากข้อคิดเป็นอุทธาหรณ์ ถึงเมื่อครั้งอดีตพาเพื่อนคนหนึ่งมารักษา
สมุนไพรหลักที่เพื่อนต้องทานทุกวัน เฉกเช่นเดียวกับคุณธานินทร์ นั่นคือ สมุนไพรมะพร้าว
วันหนึ่งคุณธานินทร์ ยกแก้วสมุนไพรมะพร้าวที่เพิ่งเผาเสร็จ มาให้เพื่อน เพื่อนบอกคุณธานินทร์ว่า เอาไปไว้ไกลๆ หน่อย เพราะเหม็นกลิ่น
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกระซิบบอกคุณธานินทร์ว่า สมุนไพรเป็นมิตรที่ดี เมื่อเจ้าบ้านปฏิเสธเห็นเป็นโทษ ก็ยากที่จะเข้ากันได้
นับจากวันนั้น คุณมนูญก็ไม่สามารถทานสมุนไพรมะพร้าวได้อีกเลย แม้นว่าที่ผ่านมาสองสามเดือน จะทานมาแล้วทุกวันก็ตาม
นี่แหละเขาเรียกสมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
คำบอกเล่านี้ น่าจะมีประโยชน์แก่หลายท่าน จึงหยิบยืมมาเล่าสู่กันฟัง
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558
อุปกรณ์สำคัญ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ประวัติศาสตร์ถ้ำกระบอก มันจะย้อนกลับมา
รอยของการเติบโตในวันนี้ ก็ไม่แตกต่างจากถ้ำกระบอก นั่นคือรอยที่แม่ชีเมี้ยนชี้แนวทางให้ จะผิดแผกแตกต่างก็มีเพียง ผู้นำเท่านั้นเอง ที่เปลี่ยนจากท่านจำรูญ ท่านเจริญ มาเป็นหลวงพ่อนิพนธ์
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก กระทรวงสาธารณสุข ต้องเอาใบอนุญาตให้เป็นสถานพยาบาลผู้ป่วยยาเสพติดไปให้ถ้ำกระบอก โดยไม่ต้องร้องขอ
มาวันนี้ เราก็อยากดูว่า ใบประกอบสถานพยาบาลฟื้นฟูผู้ป่วย ... จะมาเองไหม หลังจากได้ใบประกอบโรคศิลป์และเวชกรรม นั่นคือ รักษาคนได้ ผลิตยาเองได้ ที่กรมแพทย์แผนไทยออกมาให้โดยไม่ต้องร้องขอ
หากแต่ภาพที่หลายท่านอาจจะได้ยิน ได้เห็น ได้รับรู้ .. และเป็นที่รู้กันเมื่อเอ่ยถึง นั่นก็คือภาพการทาน "ยาตัด"
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าให้ฟังว่า แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับยาตา นั่นคือ เรียกว่าสารสำเร็จทางธรรมชาติ ไม่ต้องรอย่อย เมื่อทานปุ๊บ รอการทำงานประมาณหนึ่งชั่วโมง
สรรพคุณของยาตัด แม่ชีเมี้ยนกล่าวไว้ว่า ยิ่งกว่าเครื่องมือแพทย์ใดๆ ในโลก จะทำหน้าที่ตรวจเอกซเรย์ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า วิ่งเข้าหาโรคทันทีที่พบ และคุ้ยโรค
ดังนั้น เมื่อทานสมุนไพรชนิดนี้ อาการบางอาการที่ไม่เคยเป็น ก็อาจปรากฎให้เห็น หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่า นั่นคือ โรคที่มันแฝงอยู่ หากแต่ยังไม่แก่กล้า นั่นคือ ยังไม่แสดงอาการ
ระบบหนึ่งที่วงการแพทย์ทำไม่ได้ แต่สมุนไพรทำได้ นั่นคือ การรีดโรคให้เข้ามาอยู่ในกระเพาะ แล้วอาเจียนออก .. ซี่งเราคิดว่าเป็นกรรมวิธีของร่างกายที่มหัศจรรย์มาก
หากวันงานแม่ชีเมี้ยนในปีนี้ สมุนไพรชนิดนี้ได้รับอนุญาตจากแม่ชีเมี้ยน ให้นำมาใช้ได้อีกครั้ง จากเดิมปัจจุบัน ที่หลายคนอาจจะไม่รู้ เพราะยาตัดที่เคยได้รับ รู้แต่ว่าเอาไปทาตรงแผล หรือ บริเวณที่คัน เท่านั้นเอง แต่แท้จริงแล้ว สมุนไพรตัวนี้มีไว้สำหรับการทานเป็นหลัก
หากแต่การจะทานสมุนไพรชนิดนี้ได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรง และเฉียบพลัน ดังนั้น การรองพื้นด้วยการทานสมุนไพรพื้นฐานระยะหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายมีกำลัง ก็จักทำให้การทานสมุนไพรชนิดนี้ สบายขึ้น อาการไม่รุนแรงมาก จนทำให้เกิดการแหยงได้
ภาพที่เราท่านจักเห็น ก็จะย้อนถ้ำกระบอก นั่นคือ บรรดาคนที่มา ก็จะมีอุปกรณ์พกติดตัว ที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ กระโถน เสื่อ กระป๋องน้ำ ขันเล็กๆ แล้วก็ผ้าอาบน้ำ
คำแนะนำ สำหรับผู้ที่จะทานสมุนไพรชนิดนี้ ก็คงจะคล้ายกับการทานสมุนไพรมะพร้าว เพราะออกฤทธิ์แรง ดังนั้น อย่าทานตอนท้องว่าง ให้ทานอาหารรองพื้น หรือ อาจจะเป็นนม ก่อนสักชั่วโมง ...
ความมหัศจรรย์ ประการหนึ่งในการทานสมุนไพรชนิดนี้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ การสำรอกเชื้อออกจากกระเพาะนั้น จักไม่มีเมล็ดข้าวออกมาด้วย
ตามวิชาการแพทย์ อาหารก็ต้องใช้เวลาในการย่อย ประมาณสี่ชั่วโมง หากแต่เมื่อเราทานอาหารเข้าไป สักชั่วโมง แล้วทานสมุนไพรนี้ อาหารก็ไม่ถูกขับออกมา ... นั่นหมายความว่า ร่างกายแยกได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์เก็บไว้ สิ่งใดเป็นโทษ เอาออกไป..
เราท่านอาจได้เห็นปฐมฤกษ์ของภาพนี้ หลังจากวันงานแม่ชีเมี้ยน
สมาชิกมะเร็งที่เข้าคอร์ส ก็เตรียมตัวเก็บตังซื้อกระโถนได้
แต่บอกก่อน สมาชิกอาจไม่ใช่คนแรกที่ได้ทาน เพราะคนที่ขอจองคิวเป็นคนแรก คือ หมอ ที่มาเป็นจิตอาสาให้มูลนิธิ ... ทั้งหมอผู้หญิงและหมอผู้ชาย เพื่อจะได้รู้ว่า ทานแล้วเป็ยอย่างไร มีอาการเช่นไร ทำงานอย่างไร
สรรพคุณที่หลายคนไม่รู้ของยาตัด นั่นคือ เป็นสมุนไพรที่สามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ... มากๆ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า หากนักกีฬาได้รับบาดเจ็บในวันนี้ เช่นนักมวย เมื่อทานสมุนไพรชนิดนี้ วันรุ่งขึ้น ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติได้ในทันที ... ที่สำคัญกว่านั้น ร่างกายจะแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก ...
เรียกได้ว่า หากนักกีฬา ได้ทานสมุนไพรชนิดนี้ ร่างกายก็จะทำงานได้ถึงขีดสุด โดยไม่ต้องพึ่งยาโด๊ปใดๆ นั่นเอง ...
เมื่อม่านเปิด ตำราสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน ที่มีประมาณครึ่งร้อยสูตร จะค่อยๆทยอยออกมา ... เราท่านจะได้พิสูจน์ว่า คำตรัสแม่ชีเมี้ยนที่กล่าวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า ตำราที่ให้ เพียงพอต่อการสร้างโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย มีครบทุกอาการ ไม่ว่าปัจจุบันทันด่วน เช่นคนต้องให้ออกซิเจน เพราะขาดอากาศ ทานสมุนไพรเข้าไป ทานปุ๊บสร้างออกซิเจนในเลือดปั๊บ เร็วกว่าเครื่องมือหมออีก...
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์เน้นย้ำว่า การจะหายหรือไม่ วัดกันที่ใจ วัดกันที่คุณสมบัติ ... ไม่ใช่หายเพราะการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558
เมื่อคุณธรรมเหนือศักดิ์ศรี
คณะแพทย์ ที่จะมาทำการตรวจและเก็บข้อมูลมาจากไหน
เป็นกลุ่มแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งอยู่แล้วนั่นเอง แลสิ่งที่ประสพโดยหลักการแพทย์สมัยใหม่ นั่นคือ หนทางตัน ตัวเลขของการประสพผลในการรักษาไม่มีเลย
แลเมื่อมีคนไข้ขั้นสุดท้ายของตน ที่บากหน้ามายังมูลนิธิ หายหน้าไปจากโรงพยาบาลเป็นปี กลับมาหาหมออีกครั้งในสภาพที่สมบูรณ์ จึงเกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้น
นั่นคือ คณะแพทย์ส่งตัวแทนมาดูและติดตามเก็บข้อมูล แล้วประชุมกันลงมติเอกฉันท์ว่า เพื่อผลประโยชน์แห่งผู้ป่วยมะเร็งในความรับผิดชอบของตน จะได้มีความหวังบ้าง จึงขอมาร่วมมือและใช้แนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อไปใช้ให้เป็นทางเลือกแก่ผู้ป่วยของตนที่ต้องการบ้าง
นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยในโรงพยาบาล มีสิทธิ์ที่จะเลือกแนวทางในการช่วยตน ว่าจะใช้แผนสมัยใหม่ ที่คณะหมอเห็นว่าท้ายที่สุดก็ถึงทางตัน หรือ จะใช้แนวทางสมุนไพร
โดยคณะแพทย์แจ้งว่า กลุ่มผู้ป่วยจะแยกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ ผู้ที่ยังมีอาการไม่ร้ายแรง สามารถช่วยตนเองได้ อยู่ในระยะต้นๆของการเป็นมะเร็ง อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ประเภทที่อยู่ในระยะสุดท้าย
โดยเฉพาะในกลุ่มหลัง คณะแพทย์ตั้งความหวังไว้ว่า อย่างน้อย ก็อยากให้ผู้ป่วยไม่ทรมาน เพราะเมื่อถึงวิกฤต นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยจะปวดทรมาน จนมอร์ฟีนเอาไม่อยู่ เรียกว่าปวดจนขาดใจตาย นั่นเอง
หนึ่งในคณะแพทย์ ที่มีความมั่นใจก็ด้วยประสพเหตุจากมารดาของตนนั่นเอง ที่ใช้แพทย์แผนปัจจุบัน จนมาถึงวิกฤต ที่อาการปวดรุนแรงขึ้น และยาระงับปวดไม่ว่าขนานใดก็เอาไม่อยู่
จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยที่กลับไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพ พี่น้องซึ่งทุกคนเป็นหมอลงความเห็นเหมือนกัน จึงพาแม่มาทานสมุนไพร ทั้งนี้ก็เรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่หวังหาย แต่อยากให้แม่ไปสบาย
และหวังนั้นก็เป็นจริง อาการปวดของแม่หายเป็นปลิดทิ้ง และจากไปอย่างสงบ .... คุณหมอเรียนอาการของแม่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า แม่บอกว่าง่วงแล้ว หลังจากคุยเสร็จ ก็หลับและจากไป ไม่มีอาการทรมานหรือปวด ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดใดๆ
นี่จึงเป็นประกายที่จุดในใจหมอ และชวนพักพวก เพื่อให้คนป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลที่คณะของตนดูแลอยู่ได้มีโอกาสเยี่ยงนี้บ้าง
เมื่อคุณธรรม มีน้ำหนักกว่า ศักดิ์ศรี หรือความหยิ่งในความเป็นหมอ เพราะมันเกินกว่าที่ตนทำได้ ก็มาร่วมมือกัน กลายเป็นการแพทย์ผสมผสาน อาการใดเครื่องมือหมอใช้ได้ผลและรวดเร็ว คนไข้ไม่ต้องใช้เวลามาก อาทิเช่น การขาดเลือด การมีเสมหะติดลำคอ ก็ใช้ทางการแพทย์ไป การฟื้นฟู แก้ไขอาการ ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก็ใช้สมุนไพรไป
เราจึงคิดว่า คนป่วยในโรงพยาบาลนั้นช่างโชคดีนัก ที่ได้เจอคุณหมอดีๆ แบบนี้
สมาชิกที่เข้าคอร์ส จึงไม่เพียงเพื่อช่วยตน หากแต่ในขณะเดียวกัน ก็กำลังทำตนเป็นพระมาลัยไปด้วย ... ประวัติของท่านกำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้มาอ่าน มาชม แล้วตัดสินใจเลือกว่าควรจะเดินตามหรือไม่
ถึงเวลาหยิ่งแล้ว ธรรมหมวดอุเบกขา เริ่มเดินแล้ว ... ใครไม่เอาถอยไป สถานะจากพระมาลัย ก็จะกลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ เห็น่เขาหายกันไปคนแล้วคนเล่า ตนอยากจะเข้ามา ก็ไม่ได้แล้ว ... เพราะเขาให้สิทธิ์ครั้งเดียว
ในฐานะส่วนตัว จึงขอขอบคุณคณะแพทย์เหล่านี้ ไว้ ณ.ที่นี้ด้วย
เป็นกลุ่มแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยมะเร็งอยู่แล้วนั่นเอง แลสิ่งที่ประสพโดยหลักการแพทย์สมัยใหม่ นั่นคือ หนทางตัน ตัวเลขของการประสพผลในการรักษาไม่มีเลย
แลเมื่อมีคนไข้ขั้นสุดท้ายของตน ที่บากหน้ามายังมูลนิธิ หายหน้าไปจากโรงพยาบาลเป็นปี กลับมาหาหมออีกครั้งในสภาพที่สมบูรณ์ จึงเกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้น
นั่นคือ คณะแพทย์ส่งตัวแทนมาดูและติดตามเก็บข้อมูล แล้วประชุมกันลงมติเอกฉันท์ว่า เพื่อผลประโยชน์แห่งผู้ป่วยมะเร็งในความรับผิดชอบของตน จะได้มีความหวังบ้าง จึงขอมาร่วมมือและใช้แนวทางสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพื่อไปใช้ให้เป็นทางเลือกแก่ผู้ป่วยของตนที่ต้องการบ้าง
นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยในโรงพยาบาล มีสิทธิ์ที่จะเลือกแนวทางในการช่วยตน ว่าจะใช้แผนสมัยใหม่ ที่คณะหมอเห็นว่าท้ายที่สุดก็ถึงทางตัน หรือ จะใช้แนวทางสมุนไพร
โดยคณะแพทย์แจ้งว่า กลุ่มผู้ป่วยจะแยกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือ ผู้ที่ยังมีอาการไม่ร้ายแรง สามารถช่วยตนเองได้ อยู่ในระยะต้นๆของการเป็นมะเร็ง อีกกลุ่มหนึ่ง คือ ประเภทที่อยู่ในระยะสุดท้าย
โดยเฉพาะในกลุ่มหลัง คณะแพทย์ตั้งความหวังไว้ว่า อย่างน้อย ก็อยากให้ผู้ป่วยไม่ทรมาน เพราะเมื่อถึงวิกฤต นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยจะปวดทรมาน จนมอร์ฟีนเอาไม่อยู่ เรียกว่าปวดจนขาดใจตาย นั่นเอง
หนึ่งในคณะแพทย์ ที่มีความมั่นใจก็ด้วยประสพเหตุจากมารดาของตนนั่นเอง ที่ใช้แพทย์แผนปัจจุบัน จนมาถึงวิกฤต ที่อาการปวดรุนแรงขึ้น และยาระงับปวดไม่ว่าขนานใดก็เอาไม่อยู่
จากคำบอกเล่าของผู้ป่วยที่กลับไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพ พี่น้องซึ่งทุกคนเป็นหมอลงความเห็นเหมือนกัน จึงพาแม่มาทานสมุนไพร ทั้งนี้ก็เรียนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ไม่หวังหาย แต่อยากให้แม่ไปสบาย
และหวังนั้นก็เป็นจริง อาการปวดของแม่หายเป็นปลิดทิ้ง และจากไปอย่างสงบ .... คุณหมอเรียนอาการของแม่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบว่า แม่บอกว่าง่วงแล้ว หลังจากคุยเสร็จ ก็หลับและจากไป ไม่มีอาการทรมานหรือปวด ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดใดๆ
นี่จึงเป็นประกายที่จุดในใจหมอ และชวนพักพวก เพื่อให้คนป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลที่คณะของตนดูแลอยู่ได้มีโอกาสเยี่ยงนี้บ้าง
เมื่อคุณธรรม มีน้ำหนักกว่า ศักดิ์ศรี หรือความหยิ่งในความเป็นหมอ เพราะมันเกินกว่าที่ตนทำได้ ก็มาร่วมมือกัน กลายเป็นการแพทย์ผสมผสาน อาการใดเครื่องมือหมอใช้ได้ผลและรวดเร็ว คนไข้ไม่ต้องใช้เวลามาก อาทิเช่น การขาดเลือด การมีเสมหะติดลำคอ ก็ใช้ทางการแพทย์ไป การฟื้นฟู แก้ไขอาการ ที่ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ก็ใช้สมุนไพรไป
เราจึงคิดว่า คนป่วยในโรงพยาบาลนั้นช่างโชคดีนัก ที่ได้เจอคุณหมอดีๆ แบบนี้
สมาชิกที่เข้าคอร์ส จึงไม่เพียงเพื่อช่วยตน หากแต่ในขณะเดียวกัน ก็กำลังทำตนเป็นพระมาลัยไปด้วย ... ประวัติของท่านกำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้มาอ่าน มาชม แล้วตัดสินใจเลือกว่าควรจะเดินตามหรือไม่
ถึงเวลาหยิ่งแล้ว ธรรมหมวดอุเบกขา เริ่มเดินแล้ว ... ใครไม่เอาถอยไป สถานะจากพระมาลัย ก็จะกลายเป็นยักษ์หน้าโบสถ์ เห็น่เขาหายกันไปคนแล้วคนเล่า ตนอยากจะเข้ามา ก็ไม่ได้แล้ว ... เพราะเขาให้สิทธิ์ครั้งเดียว
ในฐานะส่วนตัว จึงขอขอบคุณคณะแพทย์เหล่านี้ ไว้ ณ.ที่นี้ด้วย
ดีเดย์
ก็ได้ฤกษ์เปิดโครงการฟื้นฟูผู้ป่วยมะเร็ง และอัมพฤกต์ แล้ว คือ วันพฤหัสที่ ๕ กุมภาพันธ์ ศกนี้
ดังที่เคยแจ้งให้ทราบ สมาชิกที่จะเข้าคอร์สดังกล่าว นั่นก็ต้องสามารถทำตามที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด ทุกประการ
เพราะการทำได้ตามนั้น ก็หมายถึงการที่จะประสพผลในการฟื้นฟูตน นั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้น คือ ในระยะเวลาอันสั้น
ข้อกำหนดแรก นั่นคือ ในวันเปิดปฐมฤกษ์ สมาชิกที่เข้าคอร์สมะเร็ง และอัมพฤกต์ ทุกคน ต้องมาในวันพฤหัสที่ ๕ กุมภาพันธ์ ... นั่นหมายความว่า ผู้ที่ไม่มาในวันนั้น ถือว่าสละสิทธิ์ หากแต่ถ้ายังประสงค์จะรับสมุนไพร ก็ให้กลับไปอยู่ในกลุ่มสมาชิกทั่วไปได้
นับตั้งแต่วันพฤหัสที่ ๕ กุมภานี้เป็นต้นไป สมาชิกที่จะเข้าไปสวดมนต์ในอาคารมะเร็ง ก็จะให้เฉพาะสมาชิกมะเร็ง และอัมพฤกต์ อัมพาต ที่เข้าคอร์ส เท่านั้น โดยจะต้องนั่งตามกลุ่ม ในที่ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้
หลังจากวันที่ ๕ สมาชิกก็มาตามวันปกติ ที่ตัวเองมาประจำเหมือนเดิม แลเมื่อถึงเวลาสมควร หลวงพ่อนิพนธ์จะจัดให้มีกิจกรรมเฉพาะกลุ่มเพื่อเป็นการฟื้นฟู โดยสมาชิกต้องมาร่วมกิจกรรม และพักที่มูลนิธิ อาทิเช่น มาในวันศุกร์ แล้วอยู่ถึงวันอาทิตย์ รับสมุนไพรกลับบ้าน
กิจกรรมที่กำหนด หากสมาชิกใดไม่เข้าร่วม ก็ถือว่าสละสิทธิ์ คัดออกจากกลุ่มไป นั่นก็คือ การคัดสรรเฉพาะคนที่เห็นค่าของชีวิต แล้วมีวันเวลา มีความพร้อมในการกอบกู้ชีวิตเท่านั้น ซึ่งจะมีบทสรุปที่คุ้มค่า นั่นคือ การหายโรค อย่างแน่นอน
ในการนี้ ตลอดระยะเวลาการฟื้นฟู จะมีคณะแพทย์จาก ๒ โรงพยาบาล มาทำการเก็บข้อมูลตามหลักวิชาการแพทย์ เพื่อนำไปใช้ในหลายส่วน รวมทั้ง เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คนที่จะมาเดินตาม
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อทำการแบ่งกลุ่มแล้วเสร็จ สมาชิกแต่ละกลุ่ม ก็จะได้รับสมุนไพรที่เหมาะสมก็บอาการของตน สมุนไพรของแต่ละกลุ่มก็จะแตกต่างกันไป ส่วนสมาชิกที่วิกฤต ก็จะได้รับการแก้ไขเพื่อหยุดอาการให้ได้เร็วที่สุด
และหลังจากการฟื้นฟูไประยะเวลาหนึ่ง สมาชิกท่านใดมีความพร้อม มีคุณสมบัติ ก็จะไปถึงกระบวนการสุดท้ายที่ให้ผลเฉียบขาด เรียกว่า ผ่านด่านนี้ นั่นคือ หาย เช่นในอดีตถ้ำกระบอก นั่นคือ การตรวจสอบ และฟื้นฟู ด้วยสมุนไพร "ยาตัด"
นี่แหละละครชีวิตของจริง เดิมพันกันด้วยชีวิต .. ตัวละครมากมาย จะผ่านไปจนถึงบทจบได้สักกี่คน ... แต่ที่แน่ๆ ผู้ใดทำได้ จะได้เห็นว่า ความไม่มีโรค ... ที่พระพุทธเจ้าตรัส ... มีจริง ทำได้
ขอย้ำ ไม่มา มาไม่ได้ .... ถือว่าสละสิทธิ์ แลสิทธิ์ของท่านมีครั้งเดียว ... เพราะคนข้างหลังคิวอีกเพียบ
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558
ยกจิตยกใจขึ้น
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของผู้ป่วย นั่นคือ หมดจิตหมดใจ เพราะอาการที่เป็นมันนาน หรือรู้ว่าบทสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร ก็เลยถอดใจ คำปรารภที่มักจะได้ยินบ่อย ก็คือ อยู่ไปก็เป็นภาระของลูกหลาน ครอบครัว
ดังนั้น การกอบกู้หรือฟื้นฟู จึงมิใช่เพียงแต่แค่การทานสมุนไพร หากแต่สิ่งสำคัญประการแรก ก็คือการสร้างกำลังใจ ยกระดับจิตใจขึ้นมาก่อน เพื่อให้ตื่นตัว มีกำลังต่อสู้
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้เริ่มบทพระมาลัย ให้คนที่มีอาการเลวร้าย เรียกว่าวิกฤตในโรคต่างๆ ประเภทหมอทิ้งแล้วทั้งนั้น ที่ผ่านการฟื้นฟูตนจนสำเร็จ มาทำหน้าที่เป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ เล่าประวัติของตน ในอดีตที่เป็นมา และประสพการณ์ในการทานสมุนไพร จนกระทั่งฟื้นฟูตนจนสำเร็จ
กิจกรรมนี้ ก็จะทำให้คนส่วนใหญ่ที่อาการไม่เลวร้ายเท่า เมื่อได้ยินได้ฟัง ก็จะได้มีกำลังใจ และเชื่อมั่น เป็นการยกระดับจิตใจให้อยากต่อสู้ ที่สำคัญ เห็นหนทางแล้วว่า สู้แล้วชนะได้
วันพฤหัสที่ผ่านมา ก็ได้รับฟังจากหลายท่าน ท่านหนึ่งที่น่าสนใจคือ ป้าก้อย ผู้ซึ่งเป็นหลานของคุณหญิงบุญเรือน ชุณหวัณ ภรรยาท่านนากยกชาติชาย
ป้าก้อยเล่าให้ฟังว่า วิธีการรักษาใดๆในโลก ที่ว่าดี หมอไหนที่ว่าเจ๋ง ไปมาหมดแล้ว ทุกแบบ ทุกแผน ฝรั่ง ไทย จีน พระเจ้า ... ผลก็คือ อาการรูมาตอยด์ มีแต่หนักขึ้น สภาพสุดท้ายที่หมอทิ้ง นั่นคือ การต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้ มือเท้าหงิก หมดแรงลงทุกวัน
มาวันนี้ ป้าก้อยกลับมาเดินได้ ขับรถเองได้ เหลือเพียงอย่างเดียวที่เป็นสิ่งที่รักแต่ยังทำไม่ได้ คือ การกลับไปเป็น นักเต้นเท้าไฟ
แต่สิ่งหนึ่งที่ป้าก้อยประหลาดใจ และดีใจมาก นอกจากการหายจากรูมาตอยด์ นั่นก็คือ เล็บที่เคยเปราะ แตกหัก เสียรูปง่าย กลับมางอก และแข็งแรงดังเดิม พูดง่ายๆ ก็กลับมาทำสวยได้แบบเดิม นี่เป็นของแถมที่ป้าก้อยไม่คาดฝัน
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น หลายคนจะมุ่งเน้นที่สมุนไพร แต่คนไข้บางประเภท โดยเฉพาะพวกอัมพฤกต์ อัมพาต สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ กำลังใจ เพราะคนเหล่านี้ ถูกอาการกัดกินไม่เพียงแต่กาย ใจก็หมดไปด้วย เรียกว่าหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
คนไข้ที่สาหัส เช่น มะเร็ง เอดส์ ก็เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเป็นแล้วตาย บางคนก็เลยเบื่ออาหารไปเลย
คนที่ฟื้นฟูตนแล้วเสร็จ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ตอนนี้ก็มีโอกาส ที่จะทำตนเป็นพระมาลัย ให้คนรุ่นหลังได้ยิน ได้ฟัง แล้วรู้ว่า แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ... ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นย่อมได้ผลเลิศ ตามปรารถนา นั่นคือ หายโรคได้
ดังนั้น ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป คนไข้มะเร็งที่อาการสาหัส เมื่อสมัครใจเข้าคอร์ส หน้าที่หนึ่งที่จะต้องพึงมี นั่นคือ การให้ข้อมูล ในอาการที่เป็น ถ่ายรูปหรือวิดิโอเก็บไว้ ทุกสัปดาห์ ดูความก้าวหน้าของอาการ เพื่อที่จะให้คนรุ่นหลังที่มา ได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง ... แล้วยกระดับจิตใจตนขึ้นมา กระตุ้นให้ฮึกเหิม ในการฟื้นฟูตน เรียนรู้แบบอย่าง แล้วทำตาม เพื่อผลแห่งตัวเอง
พระมาลัยเหล่านี้ ทำให้เราเชื่อว่าสถานที่นี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อหนุน เราท่านจึงเห็นในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ นั่นคือ คนหายจากมะเร็งสมอง โรคหัวใจ โรคไต โรคกระดูก .... เดินกันให้ไขว่
เสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นแบบเรา จึงไม่ให้ความสำคํญ ทำตนเป็นไทยเฉย ... เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขาต้องเหาะลงมา
ไม่สงสัยเลยว่า ที่กรรมการท่านหนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์พูดสักฉันใด ร้องขอให้ซื้อสมุนไพรมา ก็นั่งเฉย แล้วบอกว่าสิ่งนี้กระจอก สิ่งที่ตนทำเป็นบุญใหญ่ โน่น ธรรมจักรเพชร ราคา ๑๕ ล้าน ...
ตอนทำ บอกว่าธรรมจักร ได้บุญ ที่นั่นศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนเจ็บมะเร็ง ไม่ไปหาธรรมจักร หาวัดนั้น กลับวิ่งมาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนซะนี่ ที่ๆบอกว่ากระจอก
ก็แล้วขวดใบหนึ่ง พริกไทยขีดหนึ่ง เทียบกับธรรมจักร อะไรให้ค่าแก่ชีวิตมากกว่ากัน ในเมื่อธรรมจักรช่วยอะไรไม่ได้ แต่ขวด ... พริกไทย หยุดอาการปวดมะเร็งได้
ทานสมุนไพรให้ตายก็ไร้ผล หากคนป่วยหมดใจ ไม่ทานอาหาร ...
นี่จึงเป็นทางเลือก ที่หลวงพ่อนิพนธ์เสนอ ที่ซึ่งมิใช่เป็นแต่ทางเลือก หากแต่เป็นทางเลือกที่มีโอการรอดได้ด้วยอีกต่างหากถ้าทำได้
ดังนั้น การกอบกู้หรือฟื้นฟู จึงมิใช่เพียงแต่แค่การทานสมุนไพร หากแต่สิ่งสำคัญประการแรก ก็คือการสร้างกำลังใจ ยกระดับจิตใจขึ้นมาก่อน เพื่อให้ตื่นตัว มีกำลังต่อสู้
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้เริ่มบทพระมาลัย ให้คนที่มีอาการเลวร้าย เรียกว่าวิกฤตในโรคต่างๆ ประเภทหมอทิ้งแล้วทั้งนั้น ที่ผ่านการฟื้นฟูตนจนสำเร็จ มาทำหน้าที่เป็นพระมาลัยโปรดสัตว์ เล่าประวัติของตน ในอดีตที่เป็นมา และประสพการณ์ในการทานสมุนไพร จนกระทั่งฟื้นฟูตนจนสำเร็จ
กิจกรรมนี้ ก็จะทำให้คนส่วนใหญ่ที่อาการไม่เลวร้ายเท่า เมื่อได้ยินได้ฟัง ก็จะได้มีกำลังใจ และเชื่อมั่น เป็นการยกระดับจิตใจให้อยากต่อสู้ ที่สำคัญ เห็นหนทางแล้วว่า สู้แล้วชนะได้
วันพฤหัสที่ผ่านมา ก็ได้รับฟังจากหลายท่าน ท่านหนึ่งที่น่าสนใจคือ ป้าก้อย ผู้ซึ่งเป็นหลานของคุณหญิงบุญเรือน ชุณหวัณ ภรรยาท่านนากยกชาติชาย
ป้าก้อยเล่าให้ฟังว่า วิธีการรักษาใดๆในโลก ที่ว่าดี หมอไหนที่ว่าเจ๋ง ไปมาหมดแล้ว ทุกแบบ ทุกแผน ฝรั่ง ไทย จีน พระเจ้า ... ผลก็คือ อาการรูมาตอยด์ มีแต่หนักขึ้น สภาพสุดท้ายที่หมอทิ้ง นั่นคือ การต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้ มือเท้าหงิก หมดแรงลงทุกวัน
มาวันนี้ ป้าก้อยกลับมาเดินได้ ขับรถเองได้ เหลือเพียงอย่างเดียวที่เป็นสิ่งที่รักแต่ยังทำไม่ได้ คือ การกลับไปเป็น นักเต้นเท้าไฟ
แต่สิ่งหนึ่งที่ป้าก้อยประหลาดใจ และดีใจมาก นอกจากการหายจากรูมาตอยด์ นั่นก็คือ เล็บที่เคยเปราะ แตกหัก เสียรูปง่าย กลับมางอก และแข็งแรงดังเดิม พูดง่ายๆ ก็กลับมาทำสวยได้แบบเดิม นี่เป็นของแถมที่ป้าก้อยไม่คาดฝัน
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น หลายคนจะมุ่งเน้นที่สมุนไพร แต่คนไข้บางประเภท โดยเฉพาะพวกอัมพฤกต์ อัมพาต สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ กำลังใจ เพราะคนเหล่านี้ ถูกอาการกัดกินไม่เพียงแต่กาย ใจก็หมดไปด้วย เรียกว่าหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต
คนไข้ที่สาหัส เช่น มะเร็ง เอดส์ ก็เช่นกัน เมื่อรู้ว่าเป็นแล้วตาย บางคนก็เลยเบื่ออาหารไปเลย
คนที่ฟื้นฟูตนแล้วเสร็จ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ตอนนี้ก็มีโอกาส ที่จะทำตนเป็นพระมาลัย ให้คนรุ่นหลังได้ยิน ได้ฟัง แล้วรู้ว่า แนวทางสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ... ผู้ใดทำได้ ผู้นั้นย่อมได้ผลเลิศ ตามปรารถนา นั่นคือ หายโรคได้
ดังนั้น ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป คนไข้มะเร็งที่อาการสาหัส เมื่อสมัครใจเข้าคอร์ส หน้าที่หนึ่งที่จะต้องพึงมี นั่นคือ การให้ข้อมูล ในอาการที่เป็น ถ่ายรูปหรือวิดิโอเก็บไว้ ทุกสัปดาห์ ดูความก้าวหน้าของอาการ เพื่อที่จะให้คนรุ่นหลังที่มา ได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง ... แล้วยกระดับจิตใจตนขึ้นมา กระตุ้นให้ฮึกเหิม ในการฟื้นฟูตน เรียนรู้แบบอย่าง แล้วทำตาม เพื่อผลแห่งตัวเอง
พระมาลัยเหล่านี้ ทำให้เราเชื่อว่าสถานที่นี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อหนุน เราท่านจึงเห็นในสิ่งที่คนทั้งโลกทำไม่ได้ นั่นคือ คนหายจากมะเร็งสมอง โรคหัวใจ โรคไต โรคกระดูก .... เดินกันให้ไขว่
เสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นแบบเรา จึงไม่ให้ความสำคํญ ทำตนเป็นไทยเฉย ... เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขาต้องเหาะลงมา
ไม่สงสัยเลยว่า ที่กรรมการท่านหนึ่งหลวงพ่อนิพนธ์พูดสักฉันใด ร้องขอให้ซื้อสมุนไพรมา ก็นั่งเฉย แล้วบอกว่าสิ่งนี้กระจอก สิ่งที่ตนทำเป็นบุญใหญ่ โน่น ธรรมจักรเพชร ราคา ๑๕ ล้าน ...
ตอนทำ บอกว่าธรรมจักร ได้บุญ ที่นั่นศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนเจ็บมะเร็ง ไม่ไปหาธรรมจักร หาวัดนั้น กลับวิ่งมาทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนซะนี่ ที่ๆบอกว่ากระจอก
ก็แล้วขวดใบหนึ่ง พริกไทยขีดหนึ่ง เทียบกับธรรมจักร อะไรให้ค่าแก่ชีวิตมากกว่ากัน ในเมื่อธรรมจักรช่วยอะไรไม่ได้ แต่ขวด ... พริกไทย หยุดอาการปวดมะเร็งได้
ทานสมุนไพรให้ตายก็ไร้ผล หากคนป่วยหมดใจ ไม่ทานอาหาร ...
นี่จึงเป็นทางเลือก ที่หลวงพ่อนิพนธ์เสนอ ที่ซึ่งมิใช่เป็นแต่ทางเลือก หากแต่เป็นทางเลือกที่มีโอการรอดได้ด้วยอีกต่างหากถ้าทำได้
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558
ย้อนวันวาน
เมื่อครั้งหลวงพ่อนิพนธ์เปิดสำนักที่ลพบุรี สิ่งหนึ่งที่คนสมัยนั้นจะเห็นนั่นคือ การถือขวดยา แล้วรินใส่แก้วให้คนดื่ม พอดื่มเสร็จ ก็ล้างแก้วแล้วรินให้คนต่อไปดื่ม เป็นภาพที่ชินตาในยุคนั้น
อีกภาพหนึ่งที่มีทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ การมาของสาธารณสุข ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม ในยุคนั้น คุณหมอก็กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนที่มาล้วนเป็นโรค บางคนก็ร้ายแรง อยู่ในระยะแพร่เชื่้อ เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย
ความหมายก็คือ สิ่งทีทำจะเป็นการแพร่เชื้อ เพราะใช้ร่วมกันมากมายเป็นพันคน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสั้นๆว่า หากสมุนไพรไม่มีฤทธิ์ แม้นแต่รักษาตัวเองยังไม่ได้ จักช่วยคนได้อย่างไร เชื้อในแก้ว เมื่อโดนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนก็ตายเรียกแล้ว นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ติดเชื้อกันและกัน
ที่ลึกลงไปกว่านั้น สิ่งที่หมอกล่าวคือเชื่อฝรั่ง เชื่อวิทยาศาสตร์ หากแต่สิ่งที่ทำ เชื่อแม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ว่า โรคเกิดแต่กรรม ไม่มีกรรม ก็ไม่มีทางติดโรค
อุปมาทีมักหยิบยกมาให้ฟังเสมอ นั่นคือ การรับพระที่เป็นโรคมารักษา ไม่ว่ามะเร็ง เอดส์ หัวใจ ... สารพัดโรค จนมีพระกว่าสามสิบรูป
พระเจ้าอาวาสถามปัญหาแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า ในยามธุดงค์เมื่อถึงคราวปลงผมจักทำอย่างไร ในเมื่อมีดโกนที่ใช้ต้องใช้ร่วมกัน ... คำตอบก็คือ ท่านเชื่อมั่นในบุญ ในกรรม หรือไม่
นั่นจึงเป็นที่มาของการปลงผมพระทั้งหมดโดยมีดโกนด้ามเดียวเริ่มจากธุดงค์นั้น และก็ไม่เคยปรากฎว่า พระองค์ไหนจะติดเอดส์ ทั้งที่มีพระป่วยด้วยโรคเอดส์ร่วมในคณะหลายองค์
มา ณ.วันนี้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันเสมอ ในการนำขวดหรือภาชนะ กลับมาใช้ใหม่ ... มันผ่านการพิสูจน์มาแล้ว หลายยุค หลายสมัยนั่นเอง ...
วางใจเถอะ ถ้าทำแล้วเป็นบาป ที่นี่ไม่ทำ เพราะงินก็ไม่ได้ มาทำให้เป็นบาปทำไม หากคนเอาไปทานแล้วเกิดโรค ... ไม่ใช่ควาย
ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บภาชนะที่ใช้แล้วอย่างดี แล้วนำกลับมา ยังเป็นบุญเสียอีก เพราะหากไม่มีภาชนะ คนทุกข์จะเอาสมุนไพรที่ไหนทาน
ใครว่า แค่ขวด นั่นแหละควาย เพราะไม่รู้ ไม่มีปัญญา ... พิจารณาให้ดีเถิด มันคือชีวิตต่างหาก เพราะใช้ให้ชีวิตผู้อื่น ให้สุขแก่ผู้อื่น ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว
อีกภาพหนึ่งที่มีทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ การมาของสาธารณสุข ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม ในยุคนั้น คุณหมอก็กล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนที่มาล้วนเป็นโรค บางคนก็ร้ายแรง อยู่ในระยะแพร่เชื่้อ เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย
ความหมายก็คือ สิ่งทีทำจะเป็นการแพร่เชื้อ เพราะใช้ร่วมกันมากมายเป็นพันคน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวสั้นๆว่า หากสมุนไพรไม่มีฤทธิ์ แม้นแต่รักษาตัวเองยังไม่ได้ จักช่วยคนได้อย่างไร เชื้อในแก้ว เมื่อโดนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนก็ตายเรียกแล้ว นั่นคือเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ติดเชื้อกันและกัน
ที่ลึกลงไปกว่านั้น สิ่งที่หมอกล่าวคือเชื่อฝรั่ง เชื่อวิทยาศาสตร์ หากแต่สิ่งที่ทำ เชื่อแม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ว่า โรคเกิดแต่กรรม ไม่มีกรรม ก็ไม่มีทางติดโรค
อุปมาทีมักหยิบยกมาให้ฟังเสมอ นั่นคือ การรับพระที่เป็นโรคมารักษา ไม่ว่ามะเร็ง เอดส์ หัวใจ ... สารพัดโรค จนมีพระกว่าสามสิบรูป
พระเจ้าอาวาสถามปัญหาแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า ในยามธุดงค์เมื่อถึงคราวปลงผมจักทำอย่างไร ในเมื่อมีดโกนที่ใช้ต้องใช้ร่วมกัน ... คำตอบก็คือ ท่านเชื่อมั่นในบุญ ในกรรม หรือไม่
นั่นจึงเป็นที่มาของการปลงผมพระทั้งหมดโดยมีดโกนด้ามเดียวเริ่มจากธุดงค์นั้น และก็ไม่เคยปรากฎว่า พระองค์ไหนจะติดเอดส์ ทั้งที่มีพระป่วยด้วยโรคเอดส์ร่วมในคณะหลายองค์
มา ณ.วันนี้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์ยืนยันเสมอ ในการนำขวดหรือภาชนะ กลับมาใช้ใหม่ ... มันผ่านการพิสูจน์มาแล้ว หลายยุค หลายสมัยนั่นเอง ...
วางใจเถอะ ถ้าทำแล้วเป็นบาป ที่นี่ไม่ทำ เพราะงินก็ไม่ได้ มาทำให้เป็นบาปทำไม หากคนเอาไปทานแล้วเกิดโรค ... ไม่ใช่ควาย
ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บภาชนะที่ใช้แล้วอย่างดี แล้วนำกลับมา ยังเป็นบุญเสียอีก เพราะหากไม่มีภาชนะ คนทุกข์จะเอาสมุนไพรที่ไหนทาน
ใครว่า แค่ขวด นั่นแหละควาย เพราะไม่รู้ ไม่มีปัญญา ... พิจารณาให้ดีเถิด มันคือชีวิตต่างหาก เพราะใช้ให้ชีวิตผู้อื่น ให้สุขแก่ผู้อื่น ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว
แหล่งบุญ
สิ่งที่พุทธศาสนาต่างจากลัทธิ ความเชื่ออื่นๆ นั่นคือ ยึดหลัก เหตุและผล
ดังนั้น ไม่ว่าใคร หรือ ลั่ทธิใด ที่แอบอ้างเอาพุทธศาสนาบังหน้าแล้วหากิน ย่อมไม่กล่าวถึง โดยสร้างความเชื่อขึ้นมาแทน
ผลก็คือ บุญ ที่จะมาเกื้อหนุน อันเนื่องจากผลของการกระทำที่ทำตาม จึงไม่มี ท้ายที่สุด ความจริงก็ปรากฎ เมื่อวันที่กรรมบันดาลโรคภัย มาเกิดกับตน .. บุญที่คิดว่าทำมาตลอดชีวิต จึงเป็นลมช่วยตนไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์มักยกอุปมากรรมการท่านหนึ่ง ที่ยึดในแนวนี้ พระบอกบุญใหญ่สร้างธรรมจักรเพชร ๑๕ ล้านบาท ควักกระเป๋าไม่ลังเล มะเร็งที่เป็นอยู่ก็มีแต่หนักขึ้น มาอีกแล้วบุญใหญ่ บินไปอินเดีย ไปสวดมนต์ ณ.ที่ซึ่งพระโคดม ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน กลับมายิ่งหนักกว่าเก่า ... ก็แล้วแหล่งบุญของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใด
หากแม้นบุญอยู่ที่พระ โบสถ์ ศาลา แล้วไซร้ ก็โลกอันกว้างใหญ่ คนมากมายกว่าค่อนโลก ไม่เคยเจอพระ ไม่เคยเห็นโบสถ์ ไม่เคยสร้างศาลา จักเอาบุญที่ไหนมาเลี้ยงตนเล่า ... หากพระพุทธเจ้าบัญญัติเช่นนี้ ก็คงจะหาพ้นคำติฉินนินทาได้
ทางบุญที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ จึงเป็นทางสายกลาง ขอย้ำ ไม่ใช่ตึงไป หย่อนไป ที่พูดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าหมายถึง การกระทำที่เป็นบุญ นั่นคือ การกระทำที่มีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ ทุกคนจึงทำได้ ทุกที่ ทุกเวลา
เหมือนกระจกของกรรมนั่นแหละ กรรมก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าชาติใด เผ่าใด ที่ใดในโลก
มูลเหตของกรรมและธรรม ก็เหมือนกัน นั่นคือ ต้องมีผลให้สุขทุกข์ กับคนและสัตว์
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นชัดว่า ก็เอามีดไปแทงคนตาย แทงเท่าไหรก็ไม่บาป แต่ลองไปตีหัวคนเป็นสิ ...ฆ่าสัตว์ก็บาป ปล่อยไปก็เป็นบุญ
วกกลับมา เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดมนุษย์ให้สร้างบุญ จึงมีเอกลักษณ์ของแหล่งบุญอันมหาศาล นั่นคือแหล่งรวมคนทุกข์
สิ่งที่มีคู่กันมา คือ โรงทาน
แลเป้าหมายของการโปรด ก็คือ ปูชนียบุคคล ไม่ใช่ปูชนียวัตถุ
ภาพสองภาพจึงเกิด นั่นคือ พระเวสสันดรและชูชก
ปูชนียบุคคล จึงเริ่มด้วยการมีนิสัยพระเวสสันดร คือ การให้ แลการให้ที่มีผลอันมหาศาลแก่มนุษย์ นั่นคือ สมุนไพร
แต่การให้แบบนี้ ไม่มีชื่อ ไม่มีเสียง ไม่มีประชาสัมพันธ์ จึงไม่มีใครอยากให้ สร้างธรรมจักร สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ... จัดไป รุมกันช่วย จนมีวัดเป็นหมื่นๆวัดแล้ว แต่ช่วยให้ใครรอดจากโรคไม่ได้เลย แต่ให้สมุนไพร มันเงียบเหงา วังเวง คิดแล้วคิดอีก
ตอนนี้ก็เริ่มมีอุบัติการณ์ กามิกาเซ่ นั่นคือ การหิ้วกระเป๋ามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วบอกว่า ตนเองเป็นโรค อาการหนัก ทำงานไม่ได้ ไม่มีเงินรักษา เรียกว่า จน หมอก็ทิ้ง ... สรุปคือ ขอมาอยู่รักษา หากไม่หายก็ขอตายที่นี่ ... ว่างั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ปฏิเสธ หากทำตามที่บอกกล่าวได้ นั่นคือ มีคุณสมบัติ ... เพราะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เตรียมสวนสมุนไพรไว้ ไปช่วยกันดูแลต้นยา อาหารฟรี สมุนไพรฟรี เพราะนี่แหละคือแหล่งบุญ
สถานที่นี้ ไม่ใช่วัด แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอกมันคือแหล่งบุญ จึงเป็นที่รวมของคนทุกข์คนยาก
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมไม่ได้สร้างธรรมจักร สร้างโบสถ์ สร้างศาลา แค่หิ้วมะพร้าว พริกไทยมา ทำอะไรเล็กๆน้อยๆในสถานที่นี้ ก็มีผลให้อาการของตนดีวันดีคืน
ก็เพราะสิ่งที่ทำ มันมีผลต่อคนทุกข์นั่นเอง ทำให้มีสมุนไพรทาน แล้วอะไรเล่ามีค่ามหาศาลที่สุดในโลก ก็มนุษย์ไง
เราจึงนึกถึงคำแม่ชีเมี้ยนที่ตรัสสอนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า แค่ทำให้มนุษย์หายโรคได้คนหนึ่ง บุญก็กินไม่หมดแล้วชาตินี้ ...
ก็นี่มาทำให้มนุษย์หายเป็นร้อยเป็นพัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ลำพังตัวเองน่ะพอแล้ว จึงชวนชักเราท่านให้มาร่วมมีส่วนในการช่วยมนุษย์ แล้วแบ่งบุญที่ได้กันไปช่วยตน ...
บุญที่ไม่เอาเหตุ ไม่เอาผล ไม่เอาที่มาที่ไป ศาสนาของพระภูมีไม่หยาบเป็นกระด้งเช่นนั้นหรอก ใส่บาตรก็ได้บุญ ให้ก็ได้บุญ กูไม่สน กูทำแล้วต้องได้บุญ ไม่เคยสืบสาวเลยว่า สิ่งที่ให้ไป ให้กับผู้ใด แล้วเขาเอาไปทำอะไร ผลแห่งการให้สร้างอะไร ...
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า บุญที่เราท่านทำ ทำไมจึงไม่ส่งผลมาสู่ตน และมันทำให้สิ่งที่สงสัยว่าฝรั่งไม่มีพระ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีศาลา ทำไมจึงมีความเป็นอยู่ดี เงินเดือนดี รายได้ดี ความเป็นอยู่ดี ก็ดูนิสัยคนเหล่านั้นสิ ให้ความสำคัญแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ มากมายเพียงใด
เครื่องบินเจ๊ง สละเครื่องรักษานักบิน ... ของเรา เครื่องบินเจ๊ง ห้ามสละเครื่อง แก้ไม่ได้ตายไปด้วยกัน ... เครื่องบินกันนักบิน อันไหนมีค่ากว่ากัน จึงไม่แปลกที่ได้ยินว่า ค่าของชีวิตคนไทยนั้นต่ำนัก ดีไม่ดีต่ำกว่าหมาเสียอีก
จูงหมา รักหมา จูบหมา เจอคนแยกเขี้ยวเข้าใส่ ... เอารัดเอาเปรียบ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แดนศิวิไลซ์ ไม่ได้วัดกันที่วัตถุ ความเจริญวัดกันที่จิตใจ เมืองใดที่มีคนจิตใจงามส่วนใหญ่ เมืองนั้นแหละที่เรียกว่าเจริญ คนชั่วไม่มีอำนาจ คนดีมากมาย ก็เมืองของสาวกพระพุทธเจ้านั่นแล
บทจบ หายโรคชีวิตปลอดภัย ... คุณสมบัติเดียวที่ต้องมี ... ย้ำต้องมี คือ คนดี ... ในแบบของพระพุทธเจ้า
ดังนั้น ไม่ว่าใคร หรือ ลั่ทธิใด ที่แอบอ้างเอาพุทธศาสนาบังหน้าแล้วหากิน ย่อมไม่กล่าวถึง โดยสร้างความเชื่อขึ้นมาแทน
ผลก็คือ บุญ ที่จะมาเกื้อหนุน อันเนื่องจากผลของการกระทำที่ทำตาม จึงไม่มี ท้ายที่สุด ความจริงก็ปรากฎ เมื่อวันที่กรรมบันดาลโรคภัย มาเกิดกับตน .. บุญที่คิดว่าทำมาตลอดชีวิต จึงเป็นลมช่วยตนไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์มักยกอุปมากรรมการท่านหนึ่ง ที่ยึดในแนวนี้ พระบอกบุญใหญ่สร้างธรรมจักรเพชร ๑๕ ล้านบาท ควักกระเป๋าไม่ลังเล มะเร็งที่เป็นอยู่ก็มีแต่หนักขึ้น มาอีกแล้วบุญใหญ่ บินไปอินเดีย ไปสวดมนต์ ณ.ที่ซึ่งพระโคดม ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน กลับมายิ่งหนักกว่าเก่า ... ก็แล้วแหล่งบุญของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใด
หากแม้นบุญอยู่ที่พระ โบสถ์ ศาลา แล้วไซร้ ก็โลกอันกว้างใหญ่ คนมากมายกว่าค่อนโลก ไม่เคยเจอพระ ไม่เคยเห็นโบสถ์ ไม่เคยสร้างศาลา จักเอาบุญที่ไหนมาเลี้ยงตนเล่า ... หากพระพุทธเจ้าบัญญัติเช่นนี้ ก็คงจะหาพ้นคำติฉินนินทาได้
ทางบุญที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ จึงเป็นทางสายกลาง ขอย้ำ ไม่ใช่ตึงไป หย่อนไป ที่พูดกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าหมายถึง การกระทำที่เป็นบุญ นั่นคือ การกระทำที่มีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ ทุกคนจึงทำได้ ทุกที่ ทุกเวลา
เหมือนกระจกของกรรมนั่นแหละ กรรมก็ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าชาติใด เผ่าใด ที่ใดในโลก
มูลเหตของกรรมและธรรม ก็เหมือนกัน นั่นคือ ต้องมีผลให้สุขทุกข์ กับคนและสัตว์
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้เห็นชัดว่า ก็เอามีดไปแทงคนตาย แทงเท่าไหรก็ไม่บาป แต่ลองไปตีหัวคนเป็นสิ ...ฆ่าสัตว์ก็บาป ปล่อยไปก็เป็นบุญ
วกกลับมา เมื่อพระพุทธเจ้าโปรดมนุษย์ให้สร้างบุญ จึงมีเอกลักษณ์ของแหล่งบุญอันมหาศาล นั่นคือแหล่งรวมคนทุกข์
สิ่งที่มีคู่กันมา คือ โรงทาน
แลเป้าหมายของการโปรด ก็คือ ปูชนียบุคคล ไม่ใช่ปูชนียวัตถุ
ภาพสองภาพจึงเกิด นั่นคือ พระเวสสันดรและชูชก
ปูชนียบุคคล จึงเริ่มด้วยการมีนิสัยพระเวสสันดร คือ การให้ แลการให้ที่มีผลอันมหาศาลแก่มนุษย์ นั่นคือ สมุนไพร
แต่การให้แบบนี้ ไม่มีชื่อ ไม่มีเสียง ไม่มีประชาสัมพันธ์ จึงไม่มีใครอยากให้ สร้างธรรมจักร สร้างโบสถ์ สร้างศาลา ... จัดไป รุมกันช่วย จนมีวัดเป็นหมื่นๆวัดแล้ว แต่ช่วยให้ใครรอดจากโรคไม่ได้เลย แต่ให้สมุนไพร มันเงียบเหงา วังเวง คิดแล้วคิดอีก
ตอนนี้ก็เริ่มมีอุบัติการณ์ กามิกาเซ่ นั่นคือ การหิ้วกระเป๋ามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วบอกว่า ตนเองเป็นโรค อาการหนัก ทำงานไม่ได้ ไม่มีเงินรักษา เรียกว่า จน หมอก็ทิ้ง ... สรุปคือ ขอมาอยู่รักษา หากไม่หายก็ขอตายที่นี่ ... ว่างั้น
หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ปฏิเสธ หากทำตามที่บอกกล่าวได้ นั่นคือ มีคุณสมบัติ ... เพราะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เตรียมสวนสมุนไพรไว้ ไปช่วยกันดูแลต้นยา อาหารฟรี สมุนไพรฟรี เพราะนี่แหละคือแหล่งบุญ
สถานที่นี้ ไม่ใช่วัด แต่หลวงพ่อนิพนธ์บอกมันคือแหล่งบุญ จึงเป็นที่รวมของคนทุกข์คนยาก
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมไม่ได้สร้างธรรมจักร สร้างโบสถ์ สร้างศาลา แค่หิ้วมะพร้าว พริกไทยมา ทำอะไรเล็กๆน้อยๆในสถานที่นี้ ก็มีผลให้อาการของตนดีวันดีคืน
ก็เพราะสิ่งที่ทำ มันมีผลต่อคนทุกข์นั่นเอง ทำให้มีสมุนไพรทาน แล้วอะไรเล่ามีค่ามหาศาลที่สุดในโลก ก็มนุษย์ไง
เราจึงนึกถึงคำแม่ชีเมี้ยนที่ตรัสสอนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า แค่ทำให้มนุษย์หายโรคได้คนหนึ่ง บุญก็กินไม่หมดแล้วชาตินี้ ...
ก็นี่มาทำให้มนุษย์หายเป็นร้อยเป็นพัน หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ลำพังตัวเองน่ะพอแล้ว จึงชวนชักเราท่านให้มาร่วมมีส่วนในการช่วยมนุษย์ แล้วแบ่งบุญที่ได้กันไปช่วยตน ...
บุญที่ไม่เอาเหตุ ไม่เอาผล ไม่เอาที่มาที่ไป ศาสนาของพระภูมีไม่หยาบเป็นกระด้งเช่นนั้นหรอก ใส่บาตรก็ได้บุญ ให้ก็ได้บุญ กูไม่สน กูทำแล้วต้องได้บุญ ไม่เคยสืบสาวเลยว่า สิ่งที่ให้ไป ให้กับผู้ใด แล้วเขาเอาไปทำอะไร ผลแห่งการให้สร้างอะไร ...
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า บุญที่เราท่านทำ ทำไมจึงไม่ส่งผลมาสู่ตน และมันทำให้สิ่งที่สงสัยว่าฝรั่งไม่มีพระ ไม่มีโบสถ์ ไม่มีศาลา ทำไมจึงมีความเป็นอยู่ดี เงินเดือนดี รายได้ดี ความเป็นอยู่ดี ก็ดูนิสัยคนเหล่านั้นสิ ให้ความสำคัญแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ มากมายเพียงใด
เครื่องบินเจ๊ง สละเครื่องรักษานักบิน ... ของเรา เครื่องบินเจ๊ง ห้ามสละเครื่อง แก้ไม่ได้ตายไปด้วยกัน ... เครื่องบินกันนักบิน อันไหนมีค่ากว่ากัน จึงไม่แปลกที่ได้ยินว่า ค่าของชีวิตคนไทยนั้นต่ำนัก ดีไม่ดีต่ำกว่าหมาเสียอีก
จูงหมา รักหมา จูบหมา เจอคนแยกเขี้ยวเข้าใส่ ... เอารัดเอาเปรียบ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แดนศิวิไลซ์ ไม่ได้วัดกันที่วัตถุ ความเจริญวัดกันที่จิตใจ เมืองใดที่มีคนจิตใจงามส่วนใหญ่ เมืองนั้นแหละที่เรียกว่าเจริญ คนชั่วไม่มีอำนาจ คนดีมากมาย ก็เมืองของสาวกพระพุทธเจ้านั่นแล
บทจบ หายโรคชีวิตปลอดภัย ... คุณสมบัติเดียวที่ต้องมี ... ย้ำต้องมี คือ คนดี ... ในแบบของพระพุทธเจ้า
วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558
คุณสมบัติสำคัญไฉน
การเยียวยารักษาด้วยวิธีอื่น หรือ สมุนไพรอื่นๆ ไม่เคยกล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ทานเลยว่า ต้องมีพฤติกรรมเยี่ยงไร
เมื่อพิจารณา วิธีการ ก็ย่อมหมายความว่า การพิจารณาถึงเหตุที่มาแห่งโรคนั่นเอง
พระภูมีตรัสรู้ ไม่ได้มองเหตุแห่งโรคเช่นนั้นไม่ ที่มองเชื้อโรคแค่เป็นปลายเหตุที่ทำให้เกิดโรค แล้วพิจารณาลึกลงไปถึงอำนาจที่ดลบันดาล ว่ามีมูลเหตุมาจากกรรม
และเมื่อพิจารณาที่มาแห่งกรรม นั่นคือ การกระทำของมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้น พฤติกรรมจึงเป็นต้นสายธารแห่งกรรม ที่ไหลหลั่งมาสมทบกัน จนบันดาลให้เชื้อโรคทำให้เกิดโรคนั่นเอง
บทพิสูจน์ของกรรม เห็นได้จาก คนเก็บของกินจากถังขยะ หากผู้นั้นไม่มีกรรมแล้วไซร้ แม้นจะมีเชื้อสักฉันใด ผู้นั้นก็ไม่เป็นโรค
ดังนั้น การเกิดโรค ที่คนทั้งหลายต่างตีโพยตีพาย โทษนั่น โทษนี่ โทษเลือดไก่ไม่สุก โทษอาหารไหม้ โทษน้ำมันเก่า โทษบุหรี ....สารพัดจะโทษ แต่สิ่งที่ไม่เคยโทษเลย คือ พฤติกรรมของตน
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าดินเขาสร้างคู่มากับโลก จึงมีบัญญัติกำกับคู่กันมา เหมือนคำพร เหมือนคำสาป หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า วิญญาณสมุนไพร รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน
คนที่จะนำสมุนไพรสูตรพระภูมีมาทำแล้วเกิดผล เป็นสมุนไพรมีวิญญาณ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ต้องเป็นคนมีคุณธรรม เสมื่อนพระภูมี นั่นคือ ทำให้ จึงรักษาวิญญาณของสมุนไพรไว้ได้ สมุนไพรจึงศักดิ์สิทธิ์
ก็คนทานเล่า แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ฟ้าดินจึงบัญญํติว่า ผู้ที่ทานต้องมีคุณสมบัติ วิญญาณสมุนไพรจึงเกื้อกูล หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต้องมีคุณสมบัติ เป็นคนดี ตามพุทธบัญญัติ
หากแต่คนดีตามพุทธบัญญัติ ในการทานสมุนไพร ก็ไม่ถึงกับต้องตัดกิเลสให้สิ้น เพียงแต่ต้องลดกิริยาลงเป็นบางสิ่งบางอย่าง โกรธ ก็โกรธน้อยลง โลภก็โลภน้อยลง หลงก็หลงน้อยลง สร้างคุณสมบัติที่จำเป็น นั่นคือ นิสัยพระเวสสันดร การเป็นผู้ให้ ให้สุขแก่ผู้อื่น แค่นี้ก็เพียงพอต่อการหายโรคแล้ว
โจทย์ใหญ่ที่น่าคิด นั่นคือ หากแม้นมือปืนใจทมิฬ เป็นมะเร็งมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วทานสมุนไพร หากคนผู้นี้หายโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆเลย อะไรจะเกิดขึ้น
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเฟ้นคุณสมบัติ หากใครทำได้ ก็เสมือนพวกเดียวกัน ใครไม่ทำ ก็ไม่ว่า อยากทานสมุนไพรก็ทานไป แต่คือคนละพวกคนละกลุ่ม ไม่รับรู้ ไม่รับรองผลใดๆทั้งสิ้น ได้แค่ไหนแค่นั้น
ผู้ป่วยมะเร็ง จึงต้องปฏิบัติกิจกรรมตามที่กำหนด หากไม่พร้อม ไม่ทำ ก็จะคัดออกจากกลุ่ม หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะไม่มีการวินิจฉัย ไม่มีการจัดสมุนไพรตามอาการให้แก่บุคคลนั้นๆอีก หากยังต้องการทานสมุนไพร ก็จัดอยู่นอกกลุ่ม เป็นคนไข้ทั่วไป ไม่เข้ามาในอาคารมะเร็ง หรือกลุ่มมะเร็งอีก ... และลำดับถัดไป สมาชิกอัมพฤกษ์ อัมพาต ก็จะเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ที่นี้เราท่านจะได้เห็นมาตรฐาน ความรวดเร็ว และเฉียบขาด หากผู้นั้นมีคุณสมบัติเข้ามาตรฐานที่ฟ้าดินกำหนด คำกล่าวที่ว่า สมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้ผลเฉียบขาด และรวดเร็ว เป็นเช่นใด
วันข้างหน้า ผู้ที่ประสพปัญหาเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องหลงทาง จนร่างกายบอบช้ำแล้วค่อยมา รู้ปุ๊บมาปั๊บ การฟื้นฟูยิ่งเร็ว โอกาสยิ่งมีมาก
เส้นทางนี้ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า อุปมาเหมือนไม้ไผ่ลำเดียว ไม่มีให้เลือก ใครทำ ใครได้ เดินสู่มาตรฐานเดียวกัน ผลสุทธิ แห่งการฟื้นฟูตน รูปธรรมที่ออกมา คนที่สำเร็จ มีอย่างเดียว ต้องเป็นคนดี
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย ที่เราท่านมักได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ท้าทั่วโลก หากเป็นโรคตาย ไม่มียาใด สมุนไพรใด หรือวิธีใดๆ ในโลกที่ทำให้หายโรคได้ เพราะวิธีเหล่านั้นมันท้ากรรม ... ทั้งที่ตัวผู้รักษาก็ยังตกอยู่ในอำนาจกรรมนั่นเอง จะมาเอาวิธีเหล่านั้น คิดเอง เออเอง เอาปัญญากรรม มาชนะกรรม เป็นไปไม่ได้
ที่นี่ จึงไม่มีหมอ ไม่มีความคิดของใคร ตำราไม่ใช่ของหลวงพ่อนิพนธืเป็นผู้คิด ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
หากแต่แม่ชีเมี้ยนรู้ได้อย่างไร ... อันนี้สักวันก็จักมีผู้มาเฉลยให้รู้ แต่ก็บอกได้ว่าไม่ธรรมดา ขนาดเถระสมาคม ยังยอมให้เป็นผู้หญิงคนเดียวที่อนุญาติให้พระไหว้ได้ไม่ผิดกฎ และยอมให้บวชพระได้โดยไม่ต้องใช้ใบสุทธิ แถมกระทรวงสาธารณสุขออกใบอนุญาติให้บำบัดยาเสพติดได้ โดยไม่ต้องมีใบแพทย์ ...
น่าเสียดาย ที่แม้นท่านจำรูญ จะสำนึกผิด และร้องขอให้ใบอนุญาตินั้น ตกมายังหลวงพ่อนิพนธ์ แต่ก็สู้อำนาจเงินไม่ได้ ใบอนุญาตินั้นจึงถูกกระทรวงสาธารณสุขยึดกลับ แทนที่จะเห็นเมืองไทย เจ้าแห่งสมุนไพร เป็นเมืองที่หาคนเสพยายาก กลายเป็นเห็นคนคลั่งยาโดดตึกตาย จับคนเป็นตัวประกัน กันมากมายแทน ... ก็คนไทยเป็นไทยเฉย มาเฟียยาเสพติดมันก็เลยถือโอกาส ...
เมื่อพิจารณา วิธีการ ก็ย่อมหมายความว่า การพิจารณาถึงเหตุที่มาแห่งโรคนั่นเอง
พระภูมีตรัสรู้ ไม่ได้มองเหตุแห่งโรคเช่นนั้นไม่ ที่มองเชื้อโรคแค่เป็นปลายเหตุที่ทำให้เกิดโรค แล้วพิจารณาลึกลงไปถึงอำนาจที่ดลบันดาล ว่ามีมูลเหตุมาจากกรรม
และเมื่อพิจารณาที่มาแห่งกรรม นั่นคือ การกระทำของมนุษย์นั่นเอง
ดังนั้น พฤติกรรมจึงเป็นต้นสายธารแห่งกรรม ที่ไหลหลั่งมาสมทบกัน จนบันดาลให้เชื้อโรคทำให้เกิดโรคนั่นเอง
บทพิสูจน์ของกรรม เห็นได้จาก คนเก็บของกินจากถังขยะ หากผู้นั้นไม่มีกรรมแล้วไซร้ แม้นจะมีเชื้อสักฉันใด ผู้นั้นก็ไม่เป็นโรค
ดังนั้น การเกิดโรค ที่คนทั้งหลายต่างตีโพยตีพาย โทษนั่น โทษนี่ โทษเลือดไก่ไม่สุก โทษอาหารไหม้ โทษน้ำมันเก่า โทษบุหรี ....สารพัดจะโทษ แต่สิ่งที่ไม่เคยโทษเลย คือ พฤติกรรมของตน
แม่ชีเมี้ยนจึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฟ้าดินเขาสร้างคู่มากับโลก จึงมีบัญญัติกำกับคู่กันมา เหมือนคำพร เหมือนคำสาป หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า วิญญาณสมุนไพร รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน
คนที่จะนำสมุนไพรสูตรพระภูมีมาทำแล้วเกิดผล เป็นสมุนไพรมีวิญญาณ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ต้องเป็นคนมีคุณธรรม เสมื่อนพระภูมี นั่นคือ ทำให้ จึงรักษาวิญญาณของสมุนไพรไว้ได้ สมุนไพรจึงศักดิ์สิทธิ์
ก็คนทานเล่า แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ฟ้าดินจึงบัญญํติว่า ผู้ที่ทานต้องมีคุณสมบัติ วิญญาณสมุนไพรจึงเกื้อกูล หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ต้องมีคุณสมบัติ เป็นคนดี ตามพุทธบัญญัติ
หากแต่คนดีตามพุทธบัญญัติ ในการทานสมุนไพร ก็ไม่ถึงกับต้องตัดกิเลสให้สิ้น เพียงแต่ต้องลดกิริยาลงเป็นบางสิ่งบางอย่าง โกรธ ก็โกรธน้อยลง โลภก็โลภน้อยลง หลงก็หลงน้อยลง สร้างคุณสมบัติที่จำเป็น นั่นคือ นิสัยพระเวสสันดร การเป็นผู้ให้ ให้สุขแก่ผู้อื่น แค่นี้ก็เพียงพอต่อการหายโรคแล้ว
โจทย์ใหญ่ที่น่าคิด นั่นคือ หากแม้นมือปืนใจทมิฬ เป็นมะเร็งมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วทานสมุนไพร หากคนผู้นี้หายโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆเลย อะไรจะเกิดขึ้น
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเฟ้นคุณสมบัติ หากใครทำได้ ก็เสมือนพวกเดียวกัน ใครไม่ทำ ก็ไม่ว่า อยากทานสมุนไพรก็ทานไป แต่คือคนละพวกคนละกลุ่ม ไม่รับรู้ ไม่รับรองผลใดๆทั้งสิ้น ได้แค่ไหนแค่นั้น
ผู้ป่วยมะเร็ง จึงต้องปฏิบัติกิจกรรมตามที่กำหนด หากไม่พร้อม ไม่ทำ ก็จะคัดออกจากกลุ่ม หลวงพ่อนิพนธ์ก็จะไม่มีการวินิจฉัย ไม่มีการจัดสมุนไพรตามอาการให้แก่บุคคลนั้นๆอีก หากยังต้องการทานสมุนไพร ก็จัดอยู่นอกกลุ่ม เป็นคนไข้ทั่วไป ไม่เข้ามาในอาคารมะเร็ง หรือกลุ่มมะเร็งอีก ... และลำดับถัดไป สมาชิกอัมพฤกษ์ อัมพาต ก็จะเป็นเฉกเช่นเดียวกัน
ที่นี้เราท่านจะได้เห็นมาตรฐาน ความรวดเร็ว และเฉียบขาด หากผู้นั้นมีคุณสมบัติเข้ามาตรฐานที่ฟ้าดินกำหนด คำกล่าวที่ว่า สมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้ผลเฉียบขาด และรวดเร็ว เป็นเช่นใด
วันข้างหน้า ผู้ที่ประสพปัญหาเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องหลงทาง จนร่างกายบอบช้ำแล้วค่อยมา รู้ปุ๊บมาปั๊บ การฟื้นฟูยิ่งเร็ว โอกาสยิ่งมีมาก
เส้นทางนี้ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า อุปมาเหมือนไม้ไผ่ลำเดียว ไม่มีให้เลือก ใครทำ ใครได้ เดินสู่มาตรฐานเดียวกัน ผลสุทธิ แห่งการฟื้นฟูตน รูปธรรมที่ออกมา คนที่สำเร็จ มีอย่างเดียว ต้องเป็นคนดี
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย ที่เราท่านมักได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ท้าทั่วโลก หากเป็นโรคตาย ไม่มียาใด สมุนไพรใด หรือวิธีใดๆ ในโลกที่ทำให้หายโรคได้ เพราะวิธีเหล่านั้นมันท้ากรรม ... ทั้งที่ตัวผู้รักษาก็ยังตกอยู่ในอำนาจกรรมนั่นเอง จะมาเอาวิธีเหล่านั้น คิดเอง เออเอง เอาปัญญากรรม มาชนะกรรม เป็นไปไม่ได้
ที่นี่ จึงไม่มีหมอ ไม่มีความคิดของใคร ตำราไม่ใช่ของหลวงพ่อนิพนธืเป็นผู้คิด ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา
หากแต่แม่ชีเมี้ยนรู้ได้อย่างไร ... อันนี้สักวันก็จักมีผู้มาเฉลยให้รู้ แต่ก็บอกได้ว่าไม่ธรรมดา ขนาดเถระสมาคม ยังยอมให้เป็นผู้หญิงคนเดียวที่อนุญาติให้พระไหว้ได้ไม่ผิดกฎ และยอมให้บวชพระได้โดยไม่ต้องใช้ใบสุทธิ แถมกระทรวงสาธารณสุขออกใบอนุญาติให้บำบัดยาเสพติดได้ โดยไม่ต้องมีใบแพทย์ ...
น่าเสียดาย ที่แม้นท่านจำรูญ จะสำนึกผิด และร้องขอให้ใบอนุญาตินั้น ตกมายังหลวงพ่อนิพนธ์ แต่ก็สู้อำนาจเงินไม่ได้ ใบอนุญาตินั้นจึงถูกกระทรวงสาธารณสุขยึดกลับ แทนที่จะเห็นเมืองไทย เจ้าแห่งสมุนไพร เป็นเมืองที่หาคนเสพยายาก กลายเป็นเห็นคนคลั่งยาโดดตึกตาย จับคนเป็นตัวประกัน กันมากมายแทน ... ก็คนไทยเป็นไทยเฉย มาเฟียยาเสพติดมันก็เลยถือโอกาส ...
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558
สะกิด
เมื่อมีข้อเสนอการสร้างโรงพยาบาลแพทย์แผนไทย หลวงพ่อนิพนธ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้กลับไปคิด อันเป็นโจทย์ข้อสำคัญ นั่นคือ การดำเนินการที่จะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าต้อง ให้ โดยไม่มีข้อแม้ ทำไดหรือไม่
การรวมทุนก่อสร้างอาคารนั้นไม่ยาก แต่ค่าใช้จ่ายที่ในปัจจุบัน ก็ทะลุหลักกว่าล้านบาทต่อเดือน จึงเป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นวิตก เพราะหากสร้างเป็นโรงพยาบาล และยังดำเนินการแบบให้ จะอยู่ได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า นี่คือบททดสอบ ของบุญบันดาล
เราจึงย้อนมาให้พิจารณา สำหรับผู้ป่วยในยามวิกฤต ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่อาศัยความเชื่อมั่น มักคิดถึงความน่่ากลัว ในที่สุดก็พ่ายแพ้กลับไปใช้แนวทางเดิม เพราะกลัวอาการเกินกว่าเหตุ ดังภาษิตลุกตาลตก ก็บอกฟ้าผ่า
แต่ความจริงนั่นคือ หากผ่านอาการนี้ไปได้ ด้วยความเชื่อมั่น อดทน ก็ผ่านประตูนรก เข้าสู่ประตูสวรรค์ ...
นาทีนี้ เมื่อเปิดหน้าเล่น การสร้างความเชื่อมั่น จึงจำเป็นสำคัญ ที่จะทำให้ เปอร์เซ้นต์ของผู้ที่ทำตนจนสำเร็จ สูงขึ้น
คนอื่นๆ มองว่า การสร้างโรงพยาบาลนี้ จะเป็นวิกฤตที่ทำให้กิจกรรมนี้ดำเนินไปไม่ได้ เพราะขาดการสนับสนุน แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ดั่งอดีตถ้ำกระบอก ที่ผู้คนหลั่งไหลมา จนพระหวั่นวิตก แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสว่า เดี๊ยวทุนนอกก็เข้ามา ...
บทสรุป แพ้ชนะ อยู่ที่ใจ ... การฟังมากๆ ก็จะสร้างความเชื่อมั่น ยามใดที่เกิดวิกฤต นั่นหมายถึง การสอบ เราท่านจะไม่ตระหนก มีสติ และใช้ความอดทน ผ่านอาการนั้น จนประสพผลได้
รุ่นพี่ จุึงต้องทำตนเป็นพระมาลัย มาช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้คนรุ่นหลัง เราท่านก็จะได้ยินได้ฟังกันมากขึ้น
ตัวอย่างที่เด่นชัด นั่นคือ ปรืมาณใบยาเขียว ที่แม้นจะพบแหล่งเพิ่มขึ้นที่ลพบุรี จากเดิม เมื่อเดือนที่แล้วที่มีต้นยาเต็มภูเขา ถึง ๒ ลูก หากแต่ไม่มีใบเพราะร่วงหมด จนคนเก็บใบยาเกรงว่า แล้งนี้ใบยาอาจจะมีปัญหา ยิ่งเปิดศูนย์มะเร็งด้วย
ใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ดีๆ ช่วงนี้ก็มีฝนห่าใหญ่ ตกมาอย่างต่อเนื่อง ... ไม่เรียกว่าฟ้าบันดาลให้ จะเรียกว่าอะไร ...
แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้กลับไปคิด อันเป็นโจทย์ข้อสำคัญ นั่นคือ การดำเนินการที่จะเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าต้อง ให้ โดยไม่มีข้อแม้ ทำไดหรือไม่
การรวมทุนก่อสร้างอาคารนั้นไม่ยาก แต่ค่าใช้จ่ายที่ในปัจจุบัน ก็ทะลุหลักกว่าล้านบาทต่อเดือน จึงเป็นสิ่งที่คนเหล่านั้นวิตก เพราะหากสร้างเป็นโรงพยาบาล และยังดำเนินการแบบให้ จะอยู่ได้อย่างไร
หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า นี่คือบททดสอบ ของบุญบันดาล
เราจึงย้อนมาให้พิจารณา สำหรับผู้ป่วยในยามวิกฤต ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชี้ว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่อาศัยความเชื่อมั่น มักคิดถึงความน่่ากลัว ในที่สุดก็พ่ายแพ้กลับไปใช้แนวทางเดิม เพราะกลัวอาการเกินกว่าเหตุ ดังภาษิตลุกตาลตก ก็บอกฟ้าผ่า
แต่ความจริงนั่นคือ หากผ่านอาการนี้ไปได้ ด้วยความเชื่อมั่น อดทน ก็ผ่านประตูนรก เข้าสู่ประตูสวรรค์ ...
นาทีนี้ เมื่อเปิดหน้าเล่น การสร้างความเชื่อมั่น จึงจำเป็นสำคัญ ที่จะทำให้ เปอร์เซ้นต์ของผู้ที่ทำตนจนสำเร็จ สูงขึ้น
คนอื่นๆ มองว่า การสร้างโรงพยาบาลนี้ จะเป็นวิกฤตที่ทำให้กิจกรรมนี้ดำเนินไปไม่ได้ เพราะขาดการสนับสนุน แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก ดั่งอดีตถ้ำกระบอก ที่ผู้คนหลั่งไหลมา จนพระหวั่นวิตก แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสว่า เดี๊ยวทุนนอกก็เข้ามา ...
บทสรุป แพ้ชนะ อยู่ที่ใจ ... การฟังมากๆ ก็จะสร้างความเชื่อมั่น ยามใดที่เกิดวิกฤต นั่นหมายถึง การสอบ เราท่านจะไม่ตระหนก มีสติ และใช้ความอดทน ผ่านอาการนั้น จนประสพผลได้
รุ่นพี่ จุึงต้องทำตนเป็นพระมาลัย มาช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้คนรุ่นหลัง เราท่านก็จะได้ยินได้ฟังกันมากขึ้น
ตัวอย่างที่เด่นชัด นั่นคือ ปรืมาณใบยาเขียว ที่แม้นจะพบแหล่งเพิ่มขึ้นที่ลพบุรี จากเดิม เมื่อเดือนที่แล้วที่มีต้นยาเต็มภูเขา ถึง ๒ ลูก หากแต่ไม่มีใบเพราะร่วงหมด จนคนเก็บใบยาเกรงว่า แล้งนี้ใบยาอาจจะมีปัญหา ยิ่งเปิดศูนย์มะเร็งด้วย
ใครจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ อยู่ดีๆ ช่วงนี้ก็มีฝนห่าใหญ่ ตกมาอย่างต่อเนื่อง ... ไม่เรียกว่าฟ้าบันดาลให้ จะเรียกว่าอะไร ...
วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558
ความเชื่อ
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่าปัจจัยในความสำเร็จของหลักพระภูมี นั่นคือ สมุนไพรและความเชื่อ
ความเชื่อคืออะไร คือการยอมรับตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "กรรมนำเกิด" นี่จึงเป็นจุดเริ่ม หากไม่เชื่อเรื่องกรรมเสียแล้ว หนทางนี้ก็ตัน ไม่มีทางสำเร็จในการฟื้นฟูตนได้
เชื่อเรื่องกรรมแล้วยังไง ก็เชื่อว่าในเมื่อกรรมมีจริง บุญก็มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แลบุญเท่านั้นที่จะล้างบาปได้
ประเด็นก็คือ แล้วบุญอยู่ตรงไหน ลักษณะของบุญเป็นเช่นไร
นี่แหละคือสิ่งที่เราท่านต้องมาเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์ เป็นศาสน์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพราะมิฉะนั้นแล้ว บุญที่ถูกอุปโลกกันทั่วไป มันก็พาไปทางนั้นเสียหมด หากแต่บุญที่อุปโลกกันทั่วนั้น แม่ชีเมี้ยนก็ให้แว่นวิเศษไว้ส่องตรวจทานว่าบุญเก๊หรือบุญจริง ก็อาศัยโรค ที่กรรมมันดลบันดาลนั่นแหละเป็นเครื่องชี้ การกระทำใดเป็นบุญ ย่อมล้างบาปได้ นั่นคือ ช่วยให้หายโรคได้
ยกตัวอย่างบุญที่พราหมณ์มันเขียน เมื่อพราหมณ์มันห่มผ้าเหลือง ก็เขียนเลยว่าบุญต้องทำกับพระ ต้องสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ....
ยามชีวิตเรามีวิกฤต ก็ลองไปทำตามดู สร้างโบสถ์ก็แล้ว วิหารก็แล้ว ... วิกฤตไม่ลดลงเลยแม้นแต่น้อย นั่นมันบอกอะไร
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมสายกลาง จะไม่บัญญํติเช่นนั้นหรอก มิฉะนั้น มนุษย์ก็จะบอกว่าลำเอียง ก็ฝรั่ง หรือต่างชาติ ไม่มีพระ ไม่มีโบสถ์ ... แล้วคนเหล่านั้นจะเอาบุญที่ไหนมาเลี้ยงตนเล่า
แลแม้นแต่ตนบุญที่อ้างกัน ... ยังวิ่งเข้าโรงพยาบาลสงฆ์กันแทบไม่ทัน ...
คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ทุกคำจึงมีความหมายมาก จำได้เพียงประโยคใด วลีใด เอามาทำ ก็ฉุดชีวิตขึ้นมาได้ หากนำไปทำตาม
ภาษิตโบราณ ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ... บุญอันใดที่ว่าทำแล้วยิ่งใหญ่ ก็ให้ดูผลที่มีต่อตน แต่อย่าไปดูตอนชะตาชีวิตที่ยังดีอยู่ ดูแล้วก็จักหลงทาง เพราะไม่รู้ว่าผลจากบุญที่ทำในวันนี้หรืออดีต หากแต่ให้ดูยามชีวิตเกิดวิกฤต โดยเฉพาะเมื่อกรรมมันดลบันดาลให้เป็นโรคตาย .. ทำอะไรแล้วเป็นบุญ ย่อมส่งผลให้วิกตอันนี้เบาบางหรือหายไป นั่้นแลทางบุญ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เหตุที่ต้องพูด ก็เพื่อสร้างความเชื่อ ด้วยเหตุผลและผลงาน แล้วจะได้สร้างคุณสมบัติ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเกื้อกูล
ก็เพราะชีวิตใครชีวิตมัน ช่วยกันไม่ได้ ทำให้กันไม่ได้ ... จึงต้องพูด ต้องสอน หากผลสำเร็จเกิดจากมาตรฐานในการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องสอน ไม่จำเป็นต้องมา ทำไปแจกให้ถึงกระไดบ้านเลยดีกว่า
แค่มาตรฐานในการทานสมุนไพร และความเชื่อ ก็เพียงพอในการฟื้นฟูตนแล้ว ไม่ต้องก้าวล่วงไปถึงกับต้องศรัทธาในพระพุทธศาสนา แล้วเปลี่ยนตนมาเป็นชาวพุทธหรอก
เพราะผลแห่งความเชื่อ ก็จักทำให้เปลี่ยนเป็นคนดี มีนิสัยพระเวสสันดร รู้ว่าสุขที่แสวงหาจะได้รับ ก็ต่อเมื่อหาผู้ทุกข์ให้เจอ แล้วให้ ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว ทำบุญแก่มนุษย์และสัตว์ผู้ทุกข์ยาก จึงได้บุญกลับมาช่วยตน ... ไม่ว่าเป็นใคร เชื่อชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด ใครทำ ใครได้ นี่แหละสายกลางของพระพุทธเจ้า
คนที่ไม่ยอมเปลี่ยน นั่นแสดงว่าเขาไม่เชื่อกรรม เคล็ดอันนี้ใช้มองคนได้ ใช้เลือกคนได้ เมื่อถึงวันเวลาต้องเลือกคัดสรรคน คนไหนรักษาความสงบไม่ได้ ก็แสดงว่า เขาไม่เชื่อ ... คนนั้นต้องไปก่อน
รุ่นพี่เขาทำให้ดูแล้ว สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า นั่งกันเป็นพันเป็นหมื่นสงบนิ่ง ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงของพระพุทธเจ้า ...
จะอ้างสักฉันใดก็ฟังไม่ขึ้น เคยได้ยินไหม ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คิดอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ... กายสงบไม่ได้ เพราะใจมันไม่เชื่อ จึงไม่ควบคุมกาย วาจา นั่นเอง
นาทีนี้ไม่มีคนเตือนให้เบื่อระอาแล้ว ตัวใครตัวมัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า แว่นส่องจักรวาล เพื่อดูว่าบุญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดในโลก ก็โดยการหาให้เจอ ที่ซึ่งให้ลาภอันประเสริฐ หรือ ความไม่มีโรค ว่าอยู่ที่ใด ที่นั่นแลคือที่สถิตย์ของแหล่งบุญ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
จึงไม่แปลกว่า เราท่านจะได้ยินเสมอที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ที่นี่หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ไม่มีธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อหนุน ทำอย่างนี้ไม่ได้ ... แลการดำรงสิ่งนี้ไว้ได้ นั่นคือ การให้ ... จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสมุนไพรที่นี้จึงไม่มีราคา แต่มีคุณค่าช่วยให้หายโรคได้
ความเชื่อคืออะไร คือการยอมรับตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า "กรรมนำเกิด" นี่จึงเป็นจุดเริ่ม หากไม่เชื่อเรื่องกรรมเสียแล้ว หนทางนี้ก็ตัน ไม่มีทางสำเร็จในการฟื้นฟูตนได้
เชื่อเรื่องกรรมแล้วยังไง ก็เชื่อว่าในเมื่อกรรมมีจริง บุญก็มีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง แลบุญเท่านั้นที่จะล้างบาปได้
ประเด็นก็คือ แล้วบุญอยู่ตรงไหน ลักษณะของบุญเป็นเช่นไร
นี่แหละคือสิ่งที่เราท่านต้องมาเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์ เป็นศาสน์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา เพราะมิฉะนั้นแล้ว บุญที่ถูกอุปโลกกันทั่วไป มันก็พาไปทางนั้นเสียหมด หากแต่บุญที่อุปโลกกันทั่วนั้น แม่ชีเมี้ยนก็ให้แว่นวิเศษไว้ส่องตรวจทานว่าบุญเก๊หรือบุญจริง ก็อาศัยโรค ที่กรรมมันดลบันดาลนั่นแหละเป็นเครื่องชี้ การกระทำใดเป็นบุญ ย่อมล้างบาปได้ นั่นคือ ช่วยให้หายโรคได้
ยกตัวอย่างบุญที่พราหมณ์มันเขียน เมื่อพราหมณ์มันห่มผ้าเหลือง ก็เขียนเลยว่าบุญต้องทำกับพระ ต้องสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ....
ยามชีวิตเรามีวิกฤต ก็ลองไปทำตามดู สร้างโบสถ์ก็แล้ว วิหารก็แล้ว ... วิกฤตไม่ลดลงเลยแม้นแต่น้อย นั่นมันบอกอะไร
แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสสอนหลวงพ่อนิพนธ์ว่า พระพุทธเจ้าบัญญัติธรรมสายกลาง จะไม่บัญญํติเช่นนั้นหรอก มิฉะนั้น มนุษย์ก็จะบอกว่าลำเอียง ก็ฝรั่ง หรือต่างชาติ ไม่มีพระ ไม่มีโบสถ์ ... แล้วคนเหล่านั้นจะเอาบุญที่ไหนมาเลี้ยงตนเล่า
แลแม้นแต่ตนบุญที่อ้างกัน ... ยังวิ่งเข้าโรงพยาบาลสงฆ์กันแทบไม่ทัน ...
คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ทุกคำจึงมีความหมายมาก จำได้เพียงประโยคใด วลีใด เอามาทำ ก็ฉุดชีวิตขึ้นมาได้ หากนำไปทำตาม
ภาษิตโบราณ ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ... บุญอันใดที่ว่าทำแล้วยิ่งใหญ่ ก็ให้ดูผลที่มีต่อตน แต่อย่าไปดูตอนชะตาชีวิตที่ยังดีอยู่ ดูแล้วก็จักหลงทาง เพราะไม่รู้ว่าผลจากบุญที่ทำในวันนี้หรืออดีต หากแต่ให้ดูยามชีวิตเกิดวิกฤต โดยเฉพาะเมื่อกรรมมันดลบันดาลให้เป็นโรคตาย .. ทำอะไรแล้วเป็นบุญ ย่อมส่งผลให้วิกตอันนี้เบาบางหรือหายไป นั่้นแลทางบุญ
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เหตุที่ต้องพูด ก็เพื่อสร้างความเชื่อ ด้วยเหตุผลและผลงาน แล้วจะได้สร้างคุณสมบัติ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเกื้อกูล
ก็เพราะชีวิตใครชีวิตมัน ช่วยกันไม่ได้ ทำให้กันไม่ได้ ... จึงต้องพูด ต้องสอน หากผลสำเร็จเกิดจากมาตรฐานในการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องสอน ไม่จำเป็นต้องมา ทำไปแจกให้ถึงกระไดบ้านเลยดีกว่า
แค่มาตรฐานในการทานสมุนไพร และความเชื่อ ก็เพียงพอในการฟื้นฟูตนแล้ว ไม่ต้องก้าวล่วงไปถึงกับต้องศรัทธาในพระพุทธศาสนา แล้วเปลี่ยนตนมาเป็นชาวพุทธหรอก
เพราะผลแห่งความเชื่อ ก็จักทำให้เปลี่ยนเป็นคนดี มีนิสัยพระเวสสันดร รู้ว่าสุขที่แสวงหาจะได้รับ ก็ต่อเมื่อหาผู้ทุกข์ให้เจอ แล้วให้ ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว ทำบุญแก่มนุษย์และสัตว์ผู้ทุกข์ยาก จึงได้บุญกลับมาช่วยตน ... ไม่ว่าเป็นใคร เชื่อชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด ใครทำ ใครได้ นี่แหละสายกลางของพระพุทธเจ้า
คนที่ไม่ยอมเปลี่ยน นั่นแสดงว่าเขาไม่เชื่อกรรม เคล็ดอันนี้ใช้มองคนได้ ใช้เลือกคนได้ เมื่อถึงวันเวลาต้องเลือกคัดสรรคน คนไหนรักษาความสงบไม่ได้ ก็แสดงว่า เขาไม่เชื่อ ... คนนั้นต้องไปก่อน
รุ่นพี่เขาทำให้ดูแล้ว สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า นั่งกันเป็นพันเป็นหมื่นสงบนิ่ง ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงของพระพุทธเจ้า ...
จะอ้างสักฉันใดก็ฟังไม่ขึ้น เคยได้ยินไหม ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว คิดอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ... กายสงบไม่ได้ เพราะใจมันไม่เชื่อ จึงไม่ควบคุมกาย วาจา นั่นเอง
นาทีนี้ไม่มีคนเตือนให้เบื่อระอาแล้ว ตัวใครตัวมัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า แว่นส่องจักรวาล เพื่อดูว่าบุญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดในโลก ก็โดยการหาให้เจอ ที่ซึ่งให้ลาภอันประเสริฐ หรือ ความไม่มีโรค ว่าอยู่ที่ใด ที่นั่นแลคือที่สถิตย์ของแหล่งบุญ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
จึงไม่แปลกว่า เราท่านจะได้ยินเสมอที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ที่นี่หากไม่มีแม่ชีเมี้ยน ไม่มีธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกื้อหนุน ทำอย่างนี้ไม่ได้ ... แลการดำรงสิ่งนี้ไว้ได้ นั่นคือ การให้ ... จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสมุนไพรที่นี้จึงไม่มีราคา แต่มีคุณค่าช่วยให้หายโรคได้
ประกาศมะเร็ง
สัปดาห์นี้ ผู้ที่ยังไม่ลงชื่อให้ไปลงชื่อที่เจ้าหน้าที่อาคารมะเร็งด่วน ทั้งนี้เพื่อจะทำการจัดกลุ่ม
การจัดกลุ่มจะแยกเป็นสองระดับ อย่างแรกคือตามประเภท และแยกย่อยคือ ระยะที่เป็น
เมื่อจัดกลุ่มเรียบร้อย หลวงพ่อนิพนธ์จะทำการวินิจฉัย เป็นรายบุคคล เพื่อจัดสมุนไพรให้เพียงพอต่อสภาพของแต่ละบุคคล
อนึ่งความจำเป็นเร่งด่วน นั่นคือ การทำให้อาการที่เลวร้ายที่ปรากฎ อาทิ อาการบวม อาการเน่า ... หยุดให้เร็วที่สุด
หมายเหตุ เมื่อการจัดกลุ่มแล้วเสร็จ ก็จะเริ่มทำการวินิจฉัย คาดว่าน่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ จึงประมาณการว่า การจัดสมุนไพรที่เพียงพอ และหวังผลได้ ต่อคนไข้มะเร็งเหล่านี้ ก็น่าจะเริ่มได้ตั้งแต่อาทิตย์สุดท้ายของเดือนหรืออย่างช้าก็ต้นเดือนกุมภาพันธ์
คณะกรรมการ มีความเห็นว่า ปัจจุบันคนไข้มะเร็งที่มาลงชื่อ ณ.เวลานี้ ประมาณ ๗๐๐ คน ก็มากพอในการเริ่มต้น ดังนั้นจึงอาจงดรับคนไข้มะเร็งชั่วคราว เพื่อดูผลในชุดแรกนี้ก่อน
สำหรับคนไข้มะเร็งที่ลงชื่อแล้ว หากไม่สามารถปฏิบัติตามวินัยที่วางไว้ ก็จะถูกคัดออก แต่ถ้าคนไข้ประสงค์จะรับสมุนไพรไปทาน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังคงอนุญาติให้รับได้เหมือนคนปกติ แต่จะไม่อยู่ในกลุ่มมะเร็ง นั่นหมายถึงจะไม่ได้รับการวินิจฉัย หรือแก้ปัญหาใดๆ จากหลวงพ่อนิพนธ์อีก ... รับสมุนไพรไปทาน ได้แค่ไหนแค่นั้น
บทสรุป ม่านเมตตาเปิดแล้ว ... แล้วก็ข้ามไป ม่านอุเบกขาเลยเช่นกัน อันหมายความว่า โอกาสในการสร้างคุณสมบัติมีครั้งเดียว เหมือนเช่นที่เคยกล่าวว่ามันเป็นเสมือนระบบดิจิตอล ทำได้ก็รอด ทำไม่ได้ ก็กลับไปตามร่องกรรมเดิม ไม่มีเหยียบเรือสองแคมอีกแล้ว เดิมพันนี้ทุนคือ "ชีวิต"
การจัดกลุ่มจะแยกเป็นสองระดับ อย่างแรกคือตามประเภท และแยกย่อยคือ ระยะที่เป็น
เมื่อจัดกลุ่มเรียบร้อย หลวงพ่อนิพนธ์จะทำการวินิจฉัย เป็นรายบุคคล เพื่อจัดสมุนไพรให้เพียงพอต่อสภาพของแต่ละบุคคล
อนึ่งความจำเป็นเร่งด่วน นั่นคือ การทำให้อาการที่เลวร้ายที่ปรากฎ อาทิ อาการบวม อาการเน่า ... หยุดให้เร็วที่สุด
หมายเหตุ เมื่อการจัดกลุ่มแล้วเสร็จ ก็จะเริ่มทำการวินิจฉัย คาดว่าน่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ จึงประมาณการว่า การจัดสมุนไพรที่เพียงพอ และหวังผลได้ ต่อคนไข้มะเร็งเหล่านี้ ก็น่าจะเริ่มได้ตั้งแต่อาทิตย์สุดท้ายของเดือนหรืออย่างช้าก็ต้นเดือนกุมภาพันธ์
คณะกรรมการ มีความเห็นว่า ปัจจุบันคนไข้มะเร็งที่มาลงชื่อ ณ.เวลานี้ ประมาณ ๗๐๐ คน ก็มากพอในการเริ่มต้น ดังนั้นจึงอาจงดรับคนไข้มะเร็งชั่วคราว เพื่อดูผลในชุดแรกนี้ก่อน
สำหรับคนไข้มะเร็งที่ลงชื่อแล้ว หากไม่สามารถปฏิบัติตามวินัยที่วางไว้ ก็จะถูกคัดออก แต่ถ้าคนไข้ประสงค์จะรับสมุนไพรไปทาน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังคงอนุญาติให้รับได้เหมือนคนปกติ แต่จะไม่อยู่ในกลุ่มมะเร็ง นั่นหมายถึงจะไม่ได้รับการวินิจฉัย หรือแก้ปัญหาใดๆ จากหลวงพ่อนิพนธ์อีก ... รับสมุนไพรไปทาน ได้แค่ไหนแค่นั้น
บทสรุป ม่านเมตตาเปิดแล้ว ... แล้วก็ข้ามไป ม่านอุเบกขาเลยเช่นกัน อันหมายความว่า โอกาสในการสร้างคุณสมบัติมีครั้งเดียว เหมือนเช่นที่เคยกล่าวว่ามันเป็นเสมือนระบบดิจิตอล ทำได้ก็รอด ทำไม่ได้ ก็กลับไปตามร่องกรรมเดิม ไม่มีเหยียบเรือสองแคมอีกแล้ว เดิมพันนี้ทุนคือ "ชีวิต"
วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558
สัจจะ
เราเคยได้เห็นโพสต์ของพระถ้ำกระบอกบางท่านในเวป ได้กล่าวถึงการที่พระถ้ำกระบอก ไม่ใช้ศีล หากแต่ใช้การถือสัจจะแทน
และก็มีผู้คนมากมายหลายท่าน กล่าววิพากษ์วิจารณ์ แต่ด้วยว่าความเป็นพระรุ่นหลังๆ ไม่ทันได้ฟังคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จึงไม่อาจอธิบายว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนัน
วันนี้จึงอยากยกคำอธิบายที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ว่า ทำไมพระถ้ำกระบอกจึงถือสัจจะ ไม่ถือศีล มาเล่าสู่กันฟัง ไม่ได้มาเพื่อโต้แย้งกับผู้ใด เพื่อให้เห็นตาม
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนถือสัจจะธรรม เป็นวินัยมาบังคับตน เพราะเหตุใด
หากจะว่าไป ศีลก็มีมาคู่กับโลก เช่นกัน หากแต่ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ว่า พระบิดามารดาของพระโคดม ก็ถูกแนะนำให้ไปถือศีล เพื่อจะได้มีบุตรสมใจ ในพระไตรปิฏกนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ถือศีล ด้วยเหตุที่ศีลเป็นของหนัก เกินกว่าที่มนุษย์ผู้ใดจะทำได้ อุปมาเหมือนเมื่อรับศีลก็เสมือนแบกภูเขาทั้งลูก ในขณะที่กำลังของตนยังด้อยอยู่ ผลก็คือ ทำไม่ได้นั่นเอง
ดังนั้น ผู้ถือศีล โดยทั่วไป จึงมีการอนุโลม โอนอ่อน ในการถือศีล หย่อนได้ ยานได้ ปรับเปลี่ยนได้ ศีลขาด ก็ต่อได้
หากแต่สัจจะ หรือ คำสัตย์ เป็นวินัยที่ยึดถือ เหนียวแน่น ไม่มีการยืดหยุ่น หากเสียไป ก็ถือว่าขาดจากความเป็นสงฆ์ของพระพุทธเจ้า หรือขาดจากพุทธศาสนาไปเลย จึงมีคำกล่าวว่า เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ นั่นเอง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ในกรณีที่พระอาพาธ หากใช้การถือศีล การฉันก็กลายเป็นข้อยกเว้น กระทำได้ เพราะถือว่าเป็นพระอาพาธ ในขณะที่การถือสัจจะ ทานมื้อเดียว ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าอาพาธหรือไม่ ก็ทานได้แค่มื้อเดียว เป็นความเด็ดขาด
ที่เรียกว่าศ๊ลเป็นเสมือนภูเขา เพราะพระที่บวชเข้ามาวันแรก ก็ต้องถือ ศีลทั้ง ๒๒๗ ช้อเลย อุปมาเหมือนคนไม่เคยแบกของ มาแบกของหนัก ก็ย่อมทำไม่ได้
ในขณะที่สัจจะ หรือวินัยของพระพุทธเจ้า จะเริ่มจากการแบกทีละน้อย เริ่มจากวินัยกายก่อน ดั่งนั้นพระถ้ำกระบอกจึงเริ่มจาก การฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ถือธุดงค์เป็นวัตร เรียกว่าทำจากของเบาคือกายก่อน
ส่วนวาจา กับใจ นั้น เรียกได้ว่าเป็นของที่ทำได้ยากกว่ากาย จึงต้องค่อยๆฝึกไปทีละน้อย ยุคถ้ำกระบอกจึงได้ยินคำสอน ให้เริ่มจากฝึกนิสัย เริ่มจากทีละหนึ่งชั่วโมงต่อวัน เช่น ไม่โกรธ วันละ หนึงชั่วโมง ทำไปเรื่อยๆ เมื่อทำชั่วโมงหนึ่งได้ ก็เพิ่มเป็นสองั่วโมง ไปเรื่อยๆ เมื่อทำไม่โกรธได้ ก็เพิ่มไปทีละข้อ เหมือนค่อยๆเพิ่มน้ำหนักยกของนักยกน้ำหนักนั่นเอง
ภาพอันนี้ในมุมมองของเรา หากเปรียบระบบในปัจจุบัน ศีล ก็เหมือนระบบอนาลอก มีการขึ้นลงปรับเปลี่ยน เราจึงเห็น ลัทธิแตกออกมาจากพุทธศาสนา เคร่งบ้าง ไม่เคร่งบ้าง กันมากมาย หากแต่หลักสัจจะธรรมของพระพุทธเจ้า ในแนวของถ้ำกระบอก ก็เหมือนระบบดิจิตอล ที่เรียกว่า ผลแห่งการปฏิบัติ มีทำได้ กับทำไม่ได้ เดิมพันกันด้วยชีวิต หากทำได้ ผลก็มหาศาล ถึงมรรคผลนิพพาน หากทำไม่ได้ ก็ตกเถรเทวทัต ไม่มีคาบลูกคาบดอก ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง
ภาพสะท้อนที่เห็นชัด ในหลักสัจจะธรรมของถ้ำกระบอก ก็คือ ผลแห่งการกระทำของพระยุคต้นๆนั่นเอง คือ ท่านจำรูญ ท่านเจริญ และท่านนิพนธ์ นั่นเอง
เมื่อทั้งสามท่านทำถูก ถ้ำกระบอกก็รุ่งเรือง ดังเป็นพลุ จวบจนกระทั่ง ท่านจำรูญและท่านเจริญ เปลี่ยนความคิด แลท่านนิพนธ์ต้องถูกให้ออกจากสำนัก การก็ปรากฎ ความตกต่ำของถ้ำกระบอกนับแต่นั้นมา จนปัจจุบัน แม้นแต่พระที่แตกแยกออกไปตั้งสำนักเองทั้ง ๗ ก็ล่มสลาย หากมิเพียงแค่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นโรคตายกันทั้งหมดทั้งปวง ทั้งที่ทุกองค์ก็ล้วนมีตำราแม่ชีเมี้ยนที่ช่วยคนเป็นโรคให้หายมามากมายเหลือคณา แต่ช่วยตนไม่ได้เลย
หลักสัจจะธรรม จึงเป็นหลักที่เฉียบขาด ให้ผลดีมหาศาล ให้ผลร้ายฉกาจฉกรรจ์เช่นกันแก่ผู้ทำ ดั่งคำสาปที่แม่ชีเมี้ยนตรัสเตือนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งมอบตำราและให้ออกจากถ้ำกระบอกว่า "ยิ่งให้ยิ่งเจริญ ยิ่งขาย ยิ่งฉิบหาย"
ใครจะใช้แบบใด เราก็ไม่ว่า ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ว่าผิดถูก ให้เป็นความชอบของแต่ละบุคคล
แต่นี่อาจเป็นเหตุผลที่ ทำไมการมาฟื้นฟูตนของสมาชิก หลวงพ่อนิพนธืจึงกล่าวว่า โอกาสมีครั้งเดียว
เพราะโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม หลักของพระภูมี เป็นหลักหนีกรรม นั่นจึงต้องเลือกว่าชีวิตจะเดินตาม กรรมลิขิต หรือ ธรรมลิขิต ไม่มีตรงกลางให้เดิน หากไม่เดินตามธรรม เดินตามบัญญัติฟ้า ... หลวงพ่อนิพนธ์ก็คงไม่ล่วงล้ำไปขวางกรรมที่คนผู้นั้นทำมา ต้องแยกออก แล้วปล่อยให้เขาไปตามกรรมที่ทำมา
มิฉะนั้น เราท่านจะได้เห็นภาพ หลวงพ่อนิพนธ์หน้าแหก นั่นคือ คนที่มาทานสมุนไพร แล้วก็ตายเป็นเบือ โดยที่คนไม่รู้ว่า คนเหล่านั้น คิดจะเหยียบเรือสองแคม ทานสมุนไพรอย่างเดียว แต่ไม่ยอดเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรมอันใดเลย
ศกนี้ ถึงเวลาเลือกแล้ว เพราะเรือสองลำ คือ เรือกรรม และเรือธรรม เริ่มออกจากท่าแล้ว ไม่ช้าคลื่นจะแยกเรือสองลำนี้ออกจากกัน เราท่านไม่สามารถเหยียบเรือสองแคมได้ เลือกซะว่าจะลงลำไหน ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ก็บ้านใครบ้านมัน ไม่ต้องมายุ่งกัน จึงไม่ต้องแปลกใจ วันหนึ่ง คนที่ไม่ทำ กรรมการจะเชิญท่านออกไปจากสถานที่นี้ มิฉะนั้นจะมีโชว์ ตายทั้งที่สวดมนต์ นั่นแหละ
เฉกเช่นในอดีตถ้ำกระบอก ที่แม่ชีเมี้ยนทรงเตือนพระรูปหนึ่งให้สึกไปเสีย แต่พระรูปนั้นก็ไม่ยอมเพราะรับเงินมาเพื่อทำลายถ้ำกระบอก ท้ายที่สุด ก็ตายทั้งผ้าเหลือง ตายทั้งที่เป็นพระด้วยอุบัติเหตุ คานหล่นใส่ เสียในท่านั่งแบกคาน เป็นองค์เดียวของพระถ้ำกระบอกในยุคนั้น
ที่นี่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำเสมอว่า เป็นของจริง อย่าทำเล่น ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ที่สำคัญ มันติดวิญญาณ เมื่อทำได้ จึงอุปมาเหมือนทำตนรอพระพุทธเจ้า หากแต่ทำเล่น ก็เสมือนทำตัวไกลกับพระพุทธเจ้า วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ก็เข้าไม่ถึง ด้วยนิสัยตนเป็นอุปสรรค เพราะสมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือธรรมหมวดหนึ่งของพระพุทธเจ้า
จึงไม่ต้องแปลกใจ ถือศีลเท่าใด ก็ไม่หายโรค แต่มาทำตามวินัยธรรมหมวดสมุนไพร หายโรคได้ ... ยิ่งวิธีอื่น พึ่งหมอ พึ่งลัทธิพิธีกรรม ยิ่งไม่ต้องหวังผล เพราะพวกนั้น ไม่เข้าถึงเหตุ คือ กรรม ยิ่งไม่มีวันทำให้หายโรคได้อย่างแน่นอน
หมายเหตุ โรคในพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนทางการแพทย์ หากแต่หมายถึง อาการที่จะมาเพื่อดับชีวิต เท่านั้น พวกโรคผ่าน นั่นไม่ใช่โรคในที่นี้
การเริ่มมหากาพย์มะเร็ง จึงเริ่มจากวินัยกาย คือ ต้องมาทุกสัปดาห์ ใครขาด ก็ถือว่าขาดกัน .. สองสัปดาห์ต่อจากนี้ของสมาชิกมะเร็ง นั่นคือ การตัดสินใจ ที่จะเข้าสู่วินัยหรือไม่นั่นเอง ...รู้หรือยังว่าทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ ว่าผู้ทำได้ ย่อมหายจากมะเร็งแน่นอน ก็เพราะผลแห่งวินัย หรือ ผลแห่งสัจจะธรรมนั่นเอง
ใครทำ ใครได้ ใครไม่ทำ ไม่มีทางได้
นี่แหละเคล็ดหลักสมุนไพร ... ที่ว่า "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม"
และก็มีผู้คนมากมายหลายท่าน กล่าววิพากษ์วิจารณ์ แต่ด้วยว่าความเป็นพระรุ่นหลังๆ ไม่ทันได้ฟังคำสอนของแม่ชีเมี้ยน จึงไม่อาจอธิบายว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนัน
วันนี้จึงอยากยกคำอธิบายที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนให้ว่า ทำไมพระถ้ำกระบอกจึงถือสัจจะ ไม่ถือศีล มาเล่าสู่กันฟัง ไม่ได้มาเพื่อโต้แย้งกับผู้ใด เพื่อให้เห็นตาม
แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ล้วนถือสัจจะธรรม เป็นวินัยมาบังคับตน เพราะเหตุใด
หากจะว่าไป ศีลก็มีมาคู่กับโลก เช่นกัน หากแต่ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้ว่า พระบิดามารดาของพระโคดม ก็ถูกแนะนำให้ไปถือศีล เพื่อจะได้มีบุตรสมใจ ในพระไตรปิฏกนั่นเอง
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ถือศีล ด้วยเหตุที่ศีลเป็นของหนัก เกินกว่าที่มนุษย์ผู้ใดจะทำได้ อุปมาเหมือนเมื่อรับศีลก็เสมือนแบกภูเขาทั้งลูก ในขณะที่กำลังของตนยังด้อยอยู่ ผลก็คือ ทำไม่ได้นั่นเอง
ดังนั้น ผู้ถือศีล โดยทั่วไป จึงมีการอนุโลม โอนอ่อน ในการถือศีล หย่อนได้ ยานได้ ปรับเปลี่ยนได้ ศีลขาด ก็ต่อได้
หากแต่สัจจะ หรือ คำสัตย์ เป็นวินัยที่ยึดถือ เหนียวแน่น ไม่มีการยืดหยุ่น หากเสียไป ก็ถือว่าขาดจากความเป็นสงฆ์ของพระพุทธเจ้า หรือขาดจากพุทธศาสนาไปเลย จึงมีคำกล่าวว่า เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ นั่นเอง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ในกรณีที่พระอาพาธ หากใช้การถือศีล การฉันก็กลายเป็นข้อยกเว้น กระทำได้ เพราะถือว่าเป็นพระอาพาธ ในขณะที่การถือสัจจะ ทานมื้อเดียว ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าอาพาธหรือไม่ ก็ทานได้แค่มื้อเดียว เป็นความเด็ดขาด
ที่เรียกว่าศ๊ลเป็นเสมือนภูเขา เพราะพระที่บวชเข้ามาวันแรก ก็ต้องถือ ศีลทั้ง ๒๒๗ ช้อเลย อุปมาเหมือนคนไม่เคยแบกของ มาแบกของหนัก ก็ย่อมทำไม่ได้
ในขณะที่สัจจะ หรือวินัยของพระพุทธเจ้า จะเริ่มจากการแบกทีละน้อย เริ่มจากวินัยกายก่อน ดั่งนั้นพระถ้ำกระบอกจึงเริ่มจาก การฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ ถือธุดงค์เป็นวัตร เรียกว่าทำจากของเบาคือกายก่อน
ส่วนวาจา กับใจ นั้น เรียกได้ว่าเป็นของที่ทำได้ยากกว่ากาย จึงต้องค่อยๆฝึกไปทีละน้อย ยุคถ้ำกระบอกจึงได้ยินคำสอน ให้เริ่มจากฝึกนิสัย เริ่มจากทีละหนึ่งชั่วโมงต่อวัน เช่น ไม่โกรธ วันละ หนึงชั่วโมง ทำไปเรื่อยๆ เมื่อทำชั่วโมงหนึ่งได้ ก็เพิ่มเป็นสองั่วโมง ไปเรื่อยๆ เมื่อทำไม่โกรธได้ ก็เพิ่มไปทีละข้อ เหมือนค่อยๆเพิ่มน้ำหนักยกของนักยกน้ำหนักนั่นเอง
ภาพอันนี้ในมุมมองของเรา หากเปรียบระบบในปัจจุบัน ศีล ก็เหมือนระบบอนาลอก มีการขึ้นลงปรับเปลี่ยน เราจึงเห็น ลัทธิแตกออกมาจากพุทธศาสนา เคร่งบ้าง ไม่เคร่งบ้าง กันมากมาย หากแต่หลักสัจจะธรรมของพระพุทธเจ้า ในแนวของถ้ำกระบอก ก็เหมือนระบบดิจิตอล ที่เรียกว่า ผลแห่งการปฏิบัติ มีทำได้ กับทำไม่ได้ เดิมพันกันด้วยชีวิต หากทำได้ ผลก็มหาศาล ถึงมรรคผลนิพพาน หากทำไม่ได้ ก็ตกเถรเทวทัต ไม่มีคาบลูกคาบดอก ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง
ภาพสะท้อนที่เห็นชัด ในหลักสัจจะธรรมของถ้ำกระบอก ก็คือ ผลแห่งการกระทำของพระยุคต้นๆนั่นเอง คือ ท่านจำรูญ ท่านเจริญ และท่านนิพนธ์ นั่นเอง
เมื่อทั้งสามท่านทำถูก ถ้ำกระบอกก็รุ่งเรือง ดังเป็นพลุ จวบจนกระทั่ง ท่านจำรูญและท่านเจริญ เปลี่ยนความคิด แลท่านนิพนธ์ต้องถูกให้ออกจากสำนัก การก็ปรากฎ ความตกต่ำของถ้ำกระบอกนับแต่นั้นมา จนปัจจุบัน แม้นแต่พระที่แตกแยกออกไปตั้งสำนักเองทั้ง ๗ ก็ล่มสลาย หากมิเพียงแค่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นโรคตายกันทั้งหมดทั้งปวง ทั้งที่ทุกองค์ก็ล้วนมีตำราแม่ชีเมี้ยนที่ช่วยคนเป็นโรคให้หายมามากมายเหลือคณา แต่ช่วยตนไม่ได้เลย
หลักสัจจะธรรม จึงเป็นหลักที่เฉียบขาด ให้ผลดีมหาศาล ให้ผลร้ายฉกาจฉกรรจ์เช่นกันแก่ผู้ทำ ดั่งคำสาปที่แม่ชีเมี้ยนตรัสเตือนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งมอบตำราและให้ออกจากถ้ำกระบอกว่า "ยิ่งให้ยิ่งเจริญ ยิ่งขาย ยิ่งฉิบหาย"
ใครจะใช้แบบใด เราก็ไม่ว่า ไม่วิพากษ์วิจารณ์ ว่าผิดถูก ให้เป็นความชอบของแต่ละบุคคล
แต่นี่อาจเป็นเหตุผลที่ ทำไมการมาฟื้นฟูตนของสมาชิก หลวงพ่อนิพนธืจึงกล่าวว่า โอกาสมีครั้งเดียว
เพราะโรคเป็นตัวแทนแห่งกรรม หลักของพระภูมี เป็นหลักหนีกรรม นั่นจึงต้องเลือกว่าชีวิตจะเดินตาม กรรมลิขิต หรือ ธรรมลิขิต ไม่มีตรงกลางให้เดิน หากไม่เดินตามธรรม เดินตามบัญญัติฟ้า ... หลวงพ่อนิพนธ์ก็คงไม่ล่วงล้ำไปขวางกรรมที่คนผู้นั้นทำมา ต้องแยกออก แล้วปล่อยให้เขาไปตามกรรมที่ทำมา
มิฉะนั้น เราท่านจะได้เห็นภาพ หลวงพ่อนิพนธ์หน้าแหก นั่นคือ คนที่มาทานสมุนไพร แล้วก็ตายเป็นเบือ โดยที่คนไม่รู้ว่า คนเหล่านั้น คิดจะเหยียบเรือสองแคม ทานสมุนไพรอย่างเดียว แต่ไม่ยอดเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรมอันใดเลย
ศกนี้ ถึงเวลาเลือกแล้ว เพราะเรือสองลำ คือ เรือกรรม และเรือธรรม เริ่มออกจากท่าแล้ว ไม่ช้าคลื่นจะแยกเรือสองลำนี้ออกจากกัน เราท่านไม่สามารถเหยียบเรือสองแคมได้ เลือกซะว่าจะลงลำไหน ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ก็บ้านใครบ้านมัน ไม่ต้องมายุ่งกัน จึงไม่ต้องแปลกใจ วันหนึ่ง คนที่ไม่ทำ กรรมการจะเชิญท่านออกไปจากสถานที่นี้ มิฉะนั้นจะมีโชว์ ตายทั้งที่สวดมนต์ นั่นแหละ
เฉกเช่นในอดีตถ้ำกระบอก ที่แม่ชีเมี้ยนทรงเตือนพระรูปหนึ่งให้สึกไปเสีย แต่พระรูปนั้นก็ไม่ยอมเพราะรับเงินมาเพื่อทำลายถ้ำกระบอก ท้ายที่สุด ก็ตายทั้งผ้าเหลือง ตายทั้งที่เป็นพระด้วยอุบัติเหตุ คานหล่นใส่ เสียในท่านั่งแบกคาน เป็นองค์เดียวของพระถ้ำกระบอกในยุคนั้น
ที่นี่ หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้ำเสมอว่า เป็นของจริง อย่าทำเล่น ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ที่สำคัญ มันติดวิญญาณ เมื่อทำได้ จึงอุปมาเหมือนทำตนรอพระพุทธเจ้า หากแต่ทำเล่น ก็เสมือนทำตัวไกลกับพระพุทธเจ้า วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ก็เข้าไม่ถึง ด้วยนิสัยตนเป็นอุปสรรค เพราะสมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือธรรมหมวดหนึ่งของพระพุทธเจ้า
จึงไม่ต้องแปลกใจ ถือศีลเท่าใด ก็ไม่หายโรค แต่มาทำตามวินัยธรรมหมวดสมุนไพร หายโรคได้ ... ยิ่งวิธีอื่น พึ่งหมอ พึ่งลัทธิพิธีกรรม ยิ่งไม่ต้องหวังผล เพราะพวกนั้น ไม่เข้าถึงเหตุ คือ กรรม ยิ่งไม่มีวันทำให้หายโรคได้อย่างแน่นอน
หมายเหตุ โรคในพระพุทธศาสนา ไม่เหมือนทางการแพทย์ หากแต่หมายถึง อาการที่จะมาเพื่อดับชีวิต เท่านั้น พวกโรคผ่าน นั่นไม่ใช่โรคในที่นี้
การเริ่มมหากาพย์มะเร็ง จึงเริ่มจากวินัยกาย คือ ต้องมาทุกสัปดาห์ ใครขาด ก็ถือว่าขาดกัน .. สองสัปดาห์ต่อจากนี้ของสมาชิกมะเร็ง นั่นคือ การตัดสินใจ ที่จะเข้าสู่วินัยหรือไม่นั่นเอง ...รู้หรือยังว่าทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงมั่นใจ ว่าผู้ทำได้ ย่อมหายจากมะเร็งแน่นอน ก็เพราะผลแห่งวินัย หรือ ผลแห่งสัจจะธรรมนั่นเอง
ใครทำ ใครได้ ใครไม่ทำ ไม่มีทางได้
นี่แหละเคล็ดหลักสมุนไพร ... ที่ว่า "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม"
ปฏิมากรรม
แม้นหลวงพ่อนิพนธ์จะเปิดการรักษาคนมาตั้งแต่ปี ๓๐ ผลงานที่ผ่านมาของผู้ที่ประสพผลสำเร็จ ก็มีมาก แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยได้เปิดเผยให้คนส่วนใหญ่ได้รู้เลย
ประการสำคัญก็คือ หลวงพ่อนิพนธ์อยากปล่อยให้การเติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ จำนวนคนที่จะประสพผล ก็จะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ก็จะหลุดลอยไป
มาวันนี้ ศกนี้ เมื่อประกาศศึกเต็มตัว การกระทำอย่างเช่นเดิม ก็คงทำไไม่ได้แล้ว ปฏิมากรรมชั้นเลิศในการฟื้นฟูคน ที่ทำแล้วไม่เคยเอามาให้คนดูเลย ก็ถึงเวลาปัดฝุ่น แล้วกระตุ้นให้มาทำตนเป็นพระมาลัย ไม่ใช่ ตนเองรอดแล้ว ไม่สนผู้อื่น
นี่คือจิตวิทยา ที่แม่ชีเมี้ยนสอนให้ใช้มาตั้งแต่ครั้งถ้ำกระบอก ไม่ได้ใช้เพื่อทำให้มีชื่อเสียง หรือหาประโยชน์ แต่การโชว์ปฏิมากรรมชิ้นสุดยอด จักทำให้คนที่มาใหม่ มีกำลังใจ และรู้ว่า สิ่งที่ตนอยากได้ คือการหายโรคนั้นเป็นไปได้
เริ่มจากต้นศักราช ทุกพฤหัสและอาทิตย์ ต่อไปนี้ เราท่านจะได้เห็นปฏิมากรรมเหล่านั้น คนแล้วคนเล่า หมุนเวียนมาทำหน้าที่ ในการเป็นพระมาลัย สิ่งที่เหมือนกันของคนเหล่านี้นั่นคือ ผ่านการเป็นโรคที่เรียกว่าสุดยอดของอาการของโรคนั้นๆ มาแล้วทั้งหมดทั้งปวง
คนเส้นเลือดหัวใจตีบ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้เห็นคุณธานินทร์ อินทรเทพ มาเล่าอาการให้ฟังเป็นประเดิมของศักราช เริ่มจาก อาการเส้นเลือดหัวใจตีบ ๔ เส้น นอนบนเขียงโรงพยาบาล นัดผ่าตัดทำบายพาสตอนสาย แล้วก็ถูกคุณพิศาล อัครเศรณี เพื่อนรัก ที่รู้จักสนิทสนมกับหลวงพ่อนิพนธ์เป็นอย่างดี ลากตัวลงจากเตียงหนีหมอตอน หกโมงเช้า นับจากวันนั้น มาวันนี้ จากอาการที่ร้องเพลงแค่เพลงสองเพลง ก็แทบจะตาย เล็บเขียว จนวันนี้ ทุกวันสูบบุหรี่ ทานกาแฟ ก็เป็นเวลา ๑๕ ปีแล้ว
พฤหัสที่ผ่านมา เริ่มประเดิมจากคุณปรียานุช ปานประดับ ได้มาเล่าประสพการณ์ ในการเป็นสารพัดโรคของเธอ จนทำให้เธอเดินไม่ได้ นั่งรถเข็น หมอบอกว่าพร้อมตายได้ทุกนาที หากมีอุบัติเหตุ
คนเหล่านี้ ปฏิมากรรมเหล่านี้ จะเวียนมาทุกโรค ให้ได้ยินได้ฟัง เพื่อสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่น และกำลังใจ อันเป็นจิตวิทยาที่แม่ชีเมี้ยนให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้มาแต่ถ้ำกระบอก
สัปดาห์ต่อๆไป เราท่านจะได้เห็นคนเป็นโรคไต ที่หมอบอกไม่ผ่าเปลี่ยนต้องตายสถานเดียว เพราะสภาพของไตเรียกว่าเหลือแค่ ๑ เปอร์เซ้นต์ หรือ โรคมะเร็งสมอง ที่โตจนเบียดประสาทตาจนมองไม่เห็น แลโรคอื่นๆตามมา มีตัวมีตน ให้เห็นให้สัมผัส
ปฏิมากรรมเหล่านี้ จะหมุนเวียนมา สร้างความเชื่อมั่น กำลังใจ ไม่ใช่มาเพื่อสร้างชื่อเสียง เพราะด้วยสภาพทุกวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็รับไม่ไหวแล้ว หาสมุนไพรให้แทบไม่ทัน ... แต่เพื่อให้จำนวนคนที่ประสพผลมากขึ้น เพราะมีน้ำอด น้ำทน มีกำลังใจ เห็นตัวอย่างที่เขาหนักกว่าตนเองหลายเท่า แลคนเหล่านั้นยังประสพความสำเร็จได้ ตนเองก็ทำได้เช่นกันนั่นเอง
ในส่วนของโรคมะเร็ง ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูลสมาชิก เพื่อแยกกลุ่ม แยกแยะระดับอาการ เพื่อการจัดสมุนไพรให้เหมาะสม หลังจากนี้ สมาชิกมะเร็งเหล่านี้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่จะต้องตัดสินใจ ว่าตนเองจะเข้าคอร์สหรือไม่ ใช้ระยะเวลาสองสัปดาห์ นั่นหมายความว่า ผู้ที่จะเข้าคอร์สมะเร็ง ต้องทำกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบตามที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด
นั่นคือ การทำเพื่อหวังผล หลวงพ่อนิพนธ์รับประกันว่า ผู้ที่ทำตามได้ ต้องประสพผลในการหายเกินครึ่งอย่างแน่นอน
สำหรับ ผู้ที่ไม่อยากเข้าคอร์ส ก็ไม่ว่ากัน หากอยากจะรับสมุนไพร ก็อนุญาติให้รับได้ปกติเหมือนคนทั่วไป โดยจัดไปอยู่ในสมาชิกทั่วไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีการรับเข้ามาอีก และอาจจะมีการหยุดรับสมาชิกมะเร็งชั่วคราว เพื่อจัดระบบชุดแรกนี้ให้เข้าที่ อันจะทำให้ผลบังเกิด หรืออาจรับเข้ามาเสริมตามจำนวนที่ขาดหายไป
ปฏิมากรรมนำมาโชว์ และกำลังสร้างปฏิมากรรมใหม่ โดยเฉพาะสมาชิกมะเร็ง ให้เห็นเป็นผลเด่นชัด มีมาตรฐาน คนที่มาทีหลังจะได้รู้ว่าทางเลือกนี้ต้องทำอย่างไร จึงจะเกิดผล ให้ได้ชั่งใจว่าจะวางชีวิตไว้ทางใด ในยามที่ประสพปัญหาชีวิตด้วยโรคนี้
แลด้วยความเป็นหลักปราชญ์ ผลแห่งการกระทำจึงมักมีมากกว่าหนึ่งเสมอ .. เช่นกัน การกระทำแบบนี้ เราก็เล็งว่า ผลเลิศอันหนึ่งที่จะพึงบังเกิดนั่นคือ การแก้สภาพการเป็นลูกเมียน้อย นั่นคือ คนทั่วไปที่เป็นมะเร็งได้มีโอกาสเลือก ตั้งแต่รู้ว่าตนเองเป็น ว่าจะใช้ทางเลือกนี้ไหม ไม่ใช่รอให้หมอ หรือไปใช้วิธีการอื่นใด ปู้ยี่ปู้ยำจนร่างกายไม่ไหวแล้วจึงมา เรียกว่าไม่เห็นโลง ก็ยังไม่มา พอมาแล้วสภาพก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว การกู้ก็เรียกว่าเหนื่อยหนัก หรือทำไม่ได้เลย .. เช่นทุกวันนี้
รู้ปุ๊บ มาทานสมุนไพรปั๊บ งานเบา จบเร็ว เหมือนโฆษณา มาเร็ว เคลมเร็ว คนช่วยก็ไม่ต้องหนัก ไม่ต้องลุ้น อะไรกันมากมาย
ประมาณการณ์ว่า นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป ผู้ที่เข้าคอร์ส ก็จะได้รับสมุนไพรเต็มอัตราศึก และมีการติดตามผลทุกสัปดาห์ มีกิจกรรมให้ทำ และเมื่อร่างกายพร้อม ก็เข้าขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือ การทดสอบด้วย ยาตัด ... เป็นอันจบกระบวนการ ซึ่งไม่น่าจะเกินหกเดือน ควรจะเห็นผล ... ไม่ใช่บรรเทา ไม่ใช่ดีขึ้น แต่เป็นการหายขาด
ขอย้ำอีกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า โอกาสมีให้ทุกคน ไม่สนว่าจะสาหัสสักเพียงใด แต่มีได้แค่ครั้งเดียว
ประการสำคัญก็คือ หลวงพ่อนิพนธ์อยากปล่อยให้การเติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ จำนวนคนที่จะประสพผล ก็จะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่ก็จะหลุดลอยไป
มาวันนี้ ศกนี้ เมื่อประกาศศึกเต็มตัว การกระทำอย่างเช่นเดิม ก็คงทำไไม่ได้แล้ว ปฏิมากรรมชั้นเลิศในการฟื้นฟูคน ที่ทำแล้วไม่เคยเอามาให้คนดูเลย ก็ถึงเวลาปัดฝุ่น แล้วกระตุ้นให้มาทำตนเป็นพระมาลัย ไม่ใช่ ตนเองรอดแล้ว ไม่สนผู้อื่น
นี่คือจิตวิทยา ที่แม่ชีเมี้ยนสอนให้ใช้มาตั้งแต่ครั้งถ้ำกระบอก ไม่ได้ใช้เพื่อทำให้มีชื่อเสียง หรือหาประโยชน์ แต่การโชว์ปฏิมากรรมชิ้นสุดยอด จักทำให้คนที่มาใหม่ มีกำลังใจ และรู้ว่า สิ่งที่ตนอยากได้ คือการหายโรคนั้นเป็นไปได้
เริ่มจากต้นศักราช ทุกพฤหัสและอาทิตย์ ต่อไปนี้ เราท่านจะได้เห็นปฏิมากรรมเหล่านั้น คนแล้วคนเล่า หมุนเวียนมาทำหน้าที่ ในการเป็นพระมาลัย สิ่งที่เหมือนกันของคนเหล่านี้นั่นคือ ผ่านการเป็นโรคที่เรียกว่าสุดยอดของอาการของโรคนั้นๆ มาแล้วทั้งหมดทั้งปวง
คนเส้นเลือดหัวใจตีบ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้เห็นคุณธานินทร์ อินทรเทพ มาเล่าอาการให้ฟังเป็นประเดิมของศักราช เริ่มจาก อาการเส้นเลือดหัวใจตีบ ๔ เส้น นอนบนเขียงโรงพยาบาล นัดผ่าตัดทำบายพาสตอนสาย แล้วก็ถูกคุณพิศาล อัครเศรณี เพื่อนรัก ที่รู้จักสนิทสนมกับหลวงพ่อนิพนธ์เป็นอย่างดี ลากตัวลงจากเตียงหนีหมอตอน หกโมงเช้า นับจากวันนั้น มาวันนี้ จากอาการที่ร้องเพลงแค่เพลงสองเพลง ก็แทบจะตาย เล็บเขียว จนวันนี้ ทุกวันสูบบุหรี่ ทานกาแฟ ก็เป็นเวลา ๑๕ ปีแล้ว
พฤหัสที่ผ่านมา เริ่มประเดิมจากคุณปรียานุช ปานประดับ ได้มาเล่าประสพการณ์ ในการเป็นสารพัดโรคของเธอ จนทำให้เธอเดินไม่ได้ นั่งรถเข็น หมอบอกว่าพร้อมตายได้ทุกนาที หากมีอุบัติเหตุ
คนเหล่านี้ ปฏิมากรรมเหล่านี้ จะเวียนมาทุกโรค ให้ได้ยินได้ฟัง เพื่อสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่น และกำลังใจ อันเป็นจิตวิทยาที่แม่ชีเมี้ยนให้หลวงพ่อนิพนธ์ใช้มาแต่ถ้ำกระบอก
สัปดาห์ต่อๆไป เราท่านจะได้เห็นคนเป็นโรคไต ที่หมอบอกไม่ผ่าเปลี่ยนต้องตายสถานเดียว เพราะสภาพของไตเรียกว่าเหลือแค่ ๑ เปอร์เซ้นต์ หรือ โรคมะเร็งสมอง ที่โตจนเบียดประสาทตาจนมองไม่เห็น แลโรคอื่นๆตามมา มีตัวมีตน ให้เห็นให้สัมผัส
ปฏิมากรรมเหล่านี้ จะหมุนเวียนมา สร้างความเชื่อมั่น กำลังใจ ไม่ใช่มาเพื่อสร้างชื่อเสียง เพราะด้วยสภาพทุกวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ก็รับไม่ไหวแล้ว หาสมุนไพรให้แทบไม่ทัน ... แต่เพื่อให้จำนวนคนที่ประสพผลมากขึ้น เพราะมีน้ำอด น้ำทน มีกำลังใจ เห็นตัวอย่างที่เขาหนักกว่าตนเองหลายเท่า แลคนเหล่านั้นยังประสพความสำเร็จได้ ตนเองก็ทำได้เช่นกันนั่นเอง
ในส่วนของโรคมะเร็ง ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูลสมาชิก เพื่อแยกกลุ่ม แยกแยะระดับอาการ เพื่อการจัดสมุนไพรให้เหมาะสม หลังจากนี้ สมาชิกมะเร็งเหล่านี้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่จะต้องตัดสินใจ ว่าตนเองจะเข้าคอร์สหรือไม่ ใช้ระยะเวลาสองสัปดาห์ นั่นหมายความว่า ผู้ที่จะเข้าคอร์สมะเร็ง ต้องทำกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบตามที่หลวงพ่อนิพนธ์กำหนด
นั่นคือ การทำเพื่อหวังผล หลวงพ่อนิพนธ์รับประกันว่า ผู้ที่ทำตามได้ ต้องประสพผลในการหายเกินครึ่งอย่างแน่นอน
สำหรับ ผู้ที่ไม่อยากเข้าคอร์ส ก็ไม่ว่ากัน หากอยากจะรับสมุนไพร ก็อนุญาติให้รับได้ปกติเหมือนคนทั่วไป โดยจัดไปอยู่ในสมาชิกทั่วไป ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีการรับเข้ามาอีก และอาจจะมีการหยุดรับสมาชิกมะเร็งชั่วคราว เพื่อจัดระบบชุดแรกนี้ให้เข้าที่ อันจะทำให้ผลบังเกิด หรืออาจรับเข้ามาเสริมตามจำนวนที่ขาดหายไป
ปฏิมากรรมนำมาโชว์ และกำลังสร้างปฏิมากรรมใหม่ โดยเฉพาะสมาชิกมะเร็ง ให้เห็นเป็นผลเด่นชัด มีมาตรฐาน คนที่มาทีหลังจะได้รู้ว่าทางเลือกนี้ต้องทำอย่างไร จึงจะเกิดผล ให้ได้ชั่งใจว่าจะวางชีวิตไว้ทางใด ในยามที่ประสพปัญหาชีวิตด้วยโรคนี้
แลด้วยความเป็นหลักปราชญ์ ผลแห่งการกระทำจึงมักมีมากกว่าหนึ่งเสมอ .. เช่นกัน การกระทำแบบนี้ เราก็เล็งว่า ผลเลิศอันหนึ่งที่จะพึงบังเกิดนั่นคือ การแก้สภาพการเป็นลูกเมียน้อย นั่นคือ คนทั่วไปที่เป็นมะเร็งได้มีโอกาสเลือก ตั้งแต่รู้ว่าตนเองเป็น ว่าจะใช้ทางเลือกนี้ไหม ไม่ใช่รอให้หมอ หรือไปใช้วิธีการอื่นใด ปู้ยี่ปู้ยำจนร่างกายไม่ไหวแล้วจึงมา เรียกว่าไม่เห็นโลง ก็ยังไม่มา พอมาแล้วสภาพก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว การกู้ก็เรียกว่าเหนื่อยหนัก หรือทำไม่ได้เลย .. เช่นทุกวันนี้
รู้ปุ๊บ มาทานสมุนไพรปั๊บ งานเบา จบเร็ว เหมือนโฆษณา มาเร็ว เคลมเร็ว คนช่วยก็ไม่ต้องหนัก ไม่ต้องลุ้น อะไรกันมากมาย
ประมาณการณ์ว่า นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป ผู้ที่เข้าคอร์ส ก็จะได้รับสมุนไพรเต็มอัตราศึก และมีการติดตามผลทุกสัปดาห์ มีกิจกรรมให้ทำ และเมื่อร่างกายพร้อม ก็เข้าขั้นตอนสุดท้าย นั่นคือ การทดสอบด้วย ยาตัด ... เป็นอันจบกระบวนการ ซึ่งไม่น่าจะเกินหกเดือน ควรจะเห็นผล ... ไม่ใช่บรรเทา ไม่ใช่ดีขึ้น แต่เป็นการหายขาด
ขอย้ำอีกครั้ง หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า โอกาสมีให้ทุกคน ไม่สนว่าจะสาหัสสักเพียงใด แต่มีได้แค่ครั้งเดียว
วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558
ประเทศสารขัณฑ์
ดินแดนแห่งนี้ คือ ประเทศไทย มีคนเขียนล้อเลียนว่า สารขัณฑ์แลนด์
ทั้งที่แผ่นดินนี้เรียกได้ว่า มีทั้งทรัพยากรและที่ตั้ง ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากแต่กลับกลายเป็นประเทศโลกที่สาม หรือพูดง่ายๆ ว่าประเทศล้าหลังไปเสียได้
การมีของดีอยู่เต็มประเทศก็เลยเสียของ ไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อันใดได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวพันถึงประโยชน์ของพวกพ้อง ของดีดีจึงต้องถูกหมกไว้ให้ลึกที่สุด แม้นทำให้หยุดโตไม่ได้ ก็ขอให้มันโตช้าที่สุดก็ยังดี
เมื่อผู้นำนำพาคนของตนไปแข่งขันกับสิ่งที่ตนไม่ได้เป็นต้นคิด หรือไม่ชำนาญการ ย่อมหมายความว่าโอกาสในการแข่งขันที่จะเป็นผู้ชนะจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนยุคถ้ำกระบอก ที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัส เราก็หันมาทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่เราทำได้ และคนทั้งโลกต้องการ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มของการจัดตั้งโครงการบำบัดยาเสพติด เพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน
เมื่อผ่านการทดสอบจากห้องแลปของยุโรป อเมริกา ... จนแน่ใจ จึงเป็นที่มาของการหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทย ไม่ว่่าทุนหรือคน
แนวความคิดหนึ่ง ที่ประเทศอเมริกาในสมัยนั้น ได้ฟังคำสอน แล้วเอาไปปฏิบัติ นั่นก็คือ การโยกงบจากการปราบปรามยาเสพติด ที่แต่เดิมในสมัยนั้นมีจำนวนอันมหาศาล ไปเป็นงบรักษาฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดแทน ที่มีงบประมาณน้อยมาก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า ไม่ต้องไปปราบมันมากมายหรอก ถ้าเราสามารถทำให้คนเสพลดลงจนแทบไม่มี เดี๋ยวคนขายมันก็ลดไปเอง
หากมาดูปัจจุบันในประเทศสารขัณฑ์ ตั้ง สสส มา แล้วรีดภาษีประชาชน จากส่วนต่างๆเข้ามาในส่วนของตนเป็นหมื่นล้าน แต่ภาพที่ปรากฎ ผู้เสพยาเพิ่มมากขึ้น คนขายยิ่งเพิ่มมากเป็นเงาตามตัว จับได้แต่ละครั้งล้วนแล้วแต่เป็นจำนวนที่น่าตกใจ ... หากแต่การบำบัดรักษาฟื้นฟู ... เงียบฉี่
มาวันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กำลังทำโครงการฟื้นฟูผู้ป่วยมะเร็ง ก็ต้องบอกก่อนว่า จะคาดหวังว่าต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างดี สาธารณูปโภคอย่างดี ก็คงทำเท่าที่ทำได้ กระนั้นแม้นจะไม่สะดวกสะบาย หากแต่ผลของการฟื้นฟู ก็เฉียบขาด เปอร์เซ็นต์การรอด เทียบกับทางการแพทย์ ก็สูงกว่าหลายเท่าตัว จะว่าไปอย่างน้อยหากเข้ามาตรฐานที่หลวงพ่อนิพนธ์วางไว้ ก็น่าจะเกินครึ่งที่รอด
น่าเสียดายที่คนไทยมากมายควรมีโอกาสได้สัมผัสทางเลือกนี้ แต่ความเป็นสารขัณฑ์แลนด์ เราท่านจึงเห็นข่าว เจ้าของร้านทอง ป่วยเป็นโรค ่จนต้องตัดสินใจยิงตัวตาย ...
น่าเสียดาย ที่การต่อรองระหว่างประเทศ ประเทศเราต้องเสียเปรียบเป็นประจำ ด้วยเหตุเป็นประเทศเล็กๆไม่มีเสียงในการต่อรอง ... แต่ประเทศใดเล่าไม่มีผู้ป่วย ... ไม่มียาเสพติด
ก็แค่โควต้าไปสักการะที่เมกกะ ยังมีอำนาจต่อรองเลย นี่โควต้าส่งคนมาฟื้นฟู ... อำนาจต่อรองมันจะย่งใหญ่แค่ไหน
เราจึงไม่สงสัยว่า ทำไมแม่ชีเมี้ยนจึงตรัสแก่หลวงพ่อนิพนธ์ว่า สิ่งที่ทิ้งไว้ให้ ขอให้ลูกทำหน้าที่แทน เพื่อเป็นการตอบแทนแผ่นดินเกิด จะเสียดายก็แต่ว่า สารขัณฑ์แลนด์แห่งนี้ ผู้คนมีนิสัยทาสจนเคยมาแต่โบราณ อย่างไงก็ได้ ไม่หือไม่อือ ไม่เรียกร้องสิทธิของตัว ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้นำ บังเอิญผู้นำไม่นำพา จึงเสียโอกาส
พยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยน กล่าวว่า วันหนึ่งประเทศก็จะถึงวิกฤต แล้ววันนั้น สิ่งนี้แหละที่จะถูกนำมาใช้ ... คนที่ร่างกายรอวันนั้นไม่ไหว ก็หมดโอกาสได้สัมผัส ตายไปก่อนอย่างน่าเสียดาย ...
ยุคหลัง หลวงพ่อนิพนธ์เปิดตัวมาตั้งแต่ปี ๓๐ นี่ก็ผ่านมาจะสามสิบปีแล้ว เราสงสัยว่า พี่น้องคนไทยยังไม่รู้หรือว่า การแข่งขันแบบเดิม สู้ประเทศอื่นไม่ได้หรอก .... ทำไมไม่มาร่วมรณรงค์สมุนไพร ไปแข่งกับผู้อื่น ... เพราะนี่ไม่มีประเทศไหนทำได้ ต่อให้จีนที่ว่าเป็นเจ้าแห่งสมุนไพรก็ตาม
อยากขายข้าว ขายยาง แค่บอกว่าแลกกับโควต้าการส่งตัวผู้ป่วยมาฟื้นฟู ก็แย่งกันซื้อแทบไม่ทันแล้ว .... พิจารณาดูว่าจริงหรือไม่
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558
เกร็ดสมุนไพร
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายว่าทำไมการให้สมุนไพรจึงเป็นทานอันยิ่งใหญ่ เหนือการให้ข้าว ให้น้ำ ให้ทรัพย์ ทั้งปวง
ก็ด้วยเหตุที่ผลแห่งการให้ที่บังเกิด ข้าวน้ำ หรือ ทรัพย์ ก็เพียงให้สุขเฉพาะหน้า ผ่านไปไม่กี่เพลา ไม่กี่ชั่วโมง ก็หิวอีก เรียกว่าประทังไปได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง
หากแต่การให้สมุนไพร พระภูมีทรงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ทานเข้าไป ยามป่วยไข้ ก็เป็นการเพื่อรักษาโรค หากแต่ไม่มีโรค ก็จะทิ้งตัว เป็นภูมิอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต แลผลแห่งการรักษาตนไม่ให้เป็นโรคนี้ ก็จักติดวิญญาณไปภพหน้า เสมือนกับคนที่เป็นโรคที่ไม่ใช่จบแค่ชาตินี้ สัญญาโรค ก็ตามติดไปภพหน้าเช่นกัน จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กเกิดมาก็มีเชื่ออยู่ในตัว ที่วิทยาศาสตร์เรียกว่า กรรมพันธุ์นั่นเอง
ผลของสมุนไพร จึงให้คุณมิรู้จบ จึงให้ผลตอบแทนมหาศาล หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาเสมือน กํณหาชาลี ที่เป็นทานใหญ่หลวง แลการให้จะสมบูรณ์ ก็ต้องให้แก่ผู้ทุกข์ ผู้ขาด อุปมาให้แก่ญาติวงศ์ก็ไร้ค่า แต่ให้ชูชก จึงเรียกมหาทานบารมี
เรื่องราวของศาสน์ ที่ปกปิดจึงไม่เพียงธรรมคำสอน แลธรรมหมวดสมุไพรก็ถูกกลบฝังดินไปด้วย กลายเป็นพระพุทธเจ้าต้องไปพึ่งชีวกพราหมณ์เสียฉิบ ....
ก็หลักพระพุทธเจ้าเป้นหลักตนพึ่งตน เขียนพระไตรปิฏกว่า ผู้บัญญัติธรรม กลับต้องไปพึ่งผู้อื่น มันจึงเป็นเรื่องน่าขันยิ่ง นี่แหละก็พราหมณ์มันเขียน มันจึงยกพวกตนเหนือพระพุทธเจ้า ก็ขนาดพระพุทธเจ้าสุดยอด ได้รับการขนานนามว่าเป็นมนุษย์เหนือโลก เป็นพหูสูตร รู้แจ้งรอบครอบจักรวาล แต่ท้ายสุดต้องมาพึ่งพราหมณ์ให้หายโรค ...
เครื่องบินราคามหาศาลแต่ค่าก็น้อยนิด เมื่อเทียบกับมะพร้าวหนึ่งลูก พริกไทยหนึ่งขีด เพราะมีค่าหมายถึงชีวิตมนุษย์ อันเป็นสุดยอดราคาของสรรพสิ่งในโลก ก็ด้วยเหตุที่เป็นผู้สร้างเครื่องบินนั้นแล
แต่ก็น่าเสียดาย คนไทยนิยมทำบุญด้วยโลงศพให้คนตาย มากกว่าให้สมุนไพรแก่คนเป็น ... เราท่านจึงเห็นทุกมูลนิธิที่รับบริจาคโลงศพ คนเข้าตรึม แต่โรงสมุนไพร คิดแล้วคิดอีก คิดเล็กคิดน้อย มองครังใด ก็ไม่เคยเห็นกองสมุนไพรเต็มสักครา ทั้งที่ห้องรับสมุนไพรก็เล็กกว่าห้องน้ำของบ้านเศรษฐีบางคนเสียอีก
นี่แหละเขาเรียก กรรมมันบังตา
ก็ด้วยเหตุที่ผลแห่งการให้ที่บังเกิด ข้าวน้ำ หรือ ทรัพย์ ก็เพียงให้สุขเฉพาะหน้า ผ่านไปไม่กี่เพลา ไม่กี่ชั่วโมง ก็หิวอีก เรียกว่าประทังไปได้ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเอง
หากแต่การให้สมุนไพร พระภูมีทรงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ทานเข้าไป ยามป่วยไข้ ก็เป็นการเพื่อรักษาโรค หากแต่ไม่มีโรค ก็จะทิ้งตัว เป็นภูมิอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต แลผลแห่งการรักษาตนไม่ให้เป็นโรคนี้ ก็จักติดวิญญาณไปภพหน้า เสมือนกับคนที่เป็นโรคที่ไม่ใช่จบแค่ชาตินี้ สัญญาโรค ก็ตามติดไปภพหน้าเช่นกัน จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กเกิดมาก็มีเชื่ออยู่ในตัว ที่วิทยาศาสตร์เรียกว่า กรรมพันธุ์นั่นเอง
ผลของสมุนไพร จึงให้คุณมิรู้จบ จึงให้ผลตอบแทนมหาศาล หลวงพ่อนิพนธ์อุปมาเสมือน กํณหาชาลี ที่เป็นทานใหญ่หลวง แลการให้จะสมบูรณ์ ก็ต้องให้แก่ผู้ทุกข์ ผู้ขาด อุปมาให้แก่ญาติวงศ์ก็ไร้ค่า แต่ให้ชูชก จึงเรียกมหาทานบารมี
เรื่องราวของศาสน์ ที่ปกปิดจึงไม่เพียงธรรมคำสอน แลธรรมหมวดสมุไพรก็ถูกกลบฝังดินไปด้วย กลายเป็นพระพุทธเจ้าต้องไปพึ่งชีวกพราหมณ์เสียฉิบ ....
ก็หลักพระพุทธเจ้าเป้นหลักตนพึ่งตน เขียนพระไตรปิฏกว่า ผู้บัญญัติธรรม กลับต้องไปพึ่งผู้อื่น มันจึงเป็นเรื่องน่าขันยิ่ง นี่แหละก็พราหมณ์มันเขียน มันจึงยกพวกตนเหนือพระพุทธเจ้า ก็ขนาดพระพุทธเจ้าสุดยอด ได้รับการขนานนามว่าเป็นมนุษย์เหนือโลก เป็นพหูสูตร รู้แจ้งรอบครอบจักรวาล แต่ท้ายสุดต้องมาพึ่งพราหมณ์ให้หายโรค ...
เครื่องบินราคามหาศาลแต่ค่าก็น้อยนิด เมื่อเทียบกับมะพร้าวหนึ่งลูก พริกไทยหนึ่งขีด เพราะมีค่าหมายถึงชีวิตมนุษย์ อันเป็นสุดยอดราคาของสรรพสิ่งในโลก ก็ด้วยเหตุที่เป็นผู้สร้างเครื่องบินนั้นแล
แต่ก็น่าเสียดาย คนไทยนิยมทำบุญด้วยโลงศพให้คนตาย มากกว่าให้สมุนไพรแก่คนเป็น ... เราท่านจึงเห็นทุกมูลนิธิที่รับบริจาคโลงศพ คนเข้าตรึม แต่โรงสมุนไพร คิดแล้วคิดอีก คิดเล็กคิดน้อย มองครังใด ก็ไม่เคยเห็นกองสมุนไพรเต็มสักครา ทั้งที่ห้องรับสมุนไพรก็เล็กกว่าห้องน้ำของบ้านเศรษฐีบางคนเสียอีก
นี่แหละเขาเรียก กรรมมันบังตา
มาตรฐาน กับความเชื่อ
องค์ประกอบหลักในการหายโรค หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มีเพียงสองสิ่ง นั่นคือ มาตรฐาน กับ ความเชื่อ ใครทำได้คนนั้นย่อมประสพผลการหายโรคอย่างแน่นอน
คำอรรถาธิบายรายละเอียด ที่ว่ามาตรฐานคืออะไร หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวคำตรัสของแม่ชีเมี้ยนไว้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกหรือจักรวาลมีเพียงสองสิ่ง นั่นคือ กรรมศักดิ์สิทธิ์ และ ธรรมศักดิ์สิทธิ์
การที่มนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดจะได้สัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนี้ ย่อมทำได้ด้วยการทำตนให้มีคุณสมบัติตามนั้น เริ่มจากเอานิสัยนั้นมานำ แล้วกระทำเป็นมาตรฐาน นั่นคือ ทำจนเคยชินเป็นกิจวัตร ผลของมันก็คือ ความศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
ผลแห่งการกระทำนั้น เรียกว่า ตัวกระทำ ทำแล้วไม่ตาย ใครจักมาทำลายไม่ได้เลย เมื่อทำแล้วเป็นตน นั่นคือ สิ่งที่จะเกิดหรือรอเราท่านในวันข้างหน้า
หากบุคคลใดเชื่อกรรม ก็เอานิสัยกรรมมานำตน แล้วกระทำตามนิสัยนั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของกรรมก็จักบังเกิด ตามตัวกระทำนั้นๆ หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอว่าไม่ต้องแปลกใจ เมื่อตัวกระทำมาถึง ไม่ว่าอยู่แห่งหนตำบลใด ที่ใดในโลก โรคมันจึงมาเอง ไม่ต้องเชิญ จะหลบหลีกสักฉันใด กินดี อนามัยสักเพียงใด มันก็มา นี่แหละเรียกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกรรม
ในทางกลับกัน คนที่อยากสัมผัสความศักดิ์สิทธิ์ของธรรม ก็ต้องอาศัยภูมิปัญญาของพระภูมี นั่นคือธรรมคำสอนที่แท้จริง มานำตนเป็นอุปนิสัย บางสิ่งบางอย่าง ที่เด่นชัดนั่นคือความสงบ การทำตนเป็นผู้ให้ ให้สุขแก่เขา เมื่อทำเป็นอุปนิสัย การกระทำก็จักเกิดเป็นบุญ เป็นตัวกระทำเหมือนกระทำกรรม มีคุณสมบัติให้ธรรมศักดิ์สิทธิ์ เกื้อหนุน ลบล้างกรรมที่ทำมาได้
อันจะเรียกว่า ธรรมล้างกรรม ก็อาจจะดูขัดๆ เพราะที่จริงแล้ว หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า เป็นการทุกข์ก่อนซะมากกว่า แต่แทนที่จะทุกข์กับกรรม ก็มาทุกข์กับวินัยธรรมแทน
ดังนั้นคนที่จะหายโรค ดูหนทางแล้วก็เป็นทางลำบาก ต้องทุกข์ หากแต่เป็นทุกข์กับวินัยธรรมที่พระภูมีบัญญัติ ต้องสวดมนต์ ต้องทำใจ ต้องทำนิสัย พูดง่ายๆ ต้องเป็นคนดี หรือจะพูดให้ฟังง่ายก็คือ ไม่สามารถจะทำกรรมเพิ่มอีกแล้ว เพราะที่มีมันก็กำลังจะจมเรือชีวิตจนล่มแล้ว น้ำหนักอีกน้อยนิด ก็เพียงพอแก่การจมเรือชีวิตของเราท่านแล้วนั่นเอง
คุณสมบัติแรก จึงต้องยืนในวินัยทุกข์ให้ได้ จนกลายเป็นนิสัย คุ้นชิน จนได้คุณสมบัติให้ธรรมศักดิ์สิทธิ์เกื้อกูล
จากคำสอนนี้จึงเห็นได้ชัดว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเองตามธรรมชาติ มนุษย์สร้างไม่ได้ ... สิ่งที่มนุษย์สร้างแล้วอ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้าง ดั่งจะเห็นได้ว่า ยามปกติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ก็อ้างได้ว่าช่วยนั่นช่วยนี่ แต่ยามที่ชีวิตมีปัญหา โรครุมเร้า ลองเอาไปถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นซิ ทำพิธีกรรมแบบนั้นซิ ผลก็คือ ทำเท่าไรก็ไร้ผล ทำไมต้องไปโรงพยาบาล ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย ก็มันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นลม .ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง ท้ายที่สุด ก็ต้องไปโรงพยาบาลนั่นเอง
ปัจจัยที่สอง คือ ความเชื่อ อันเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ เข้าไม่ถึง หรือ ไม่พูดถึง จึงเป็นเหตุที่กล่าวว่า โรคนี้ไม่มียารักษาได้นั่นเอง อันได้แก่ความเชื่อเรื่อง กรรม
พระภูมีได้ชื่อว่าเป็นพหูสูตร มีความรู้รอบครอบจักรวาล นั่นหมายถึง รู้เรื่องกรรม นั่นเอง จึงตรัสว่า ทุกสิ่งเป็นไปตามกรรม จึงชี้มูลเหตุแห่งการเกิดโรคว่า เกิดจากอำนาจกรรม ที่ทำมานั่นเอง เป็นนายที่ดลบันดาลบริวารให้เกิดเป็นรูปธรรม นั่นคือ โรค
ก็เมื่อไม่เชื่อ หรือ ไม่พูดถึงเรื่องกรรม สิ่งที่แก้จึงเป็นปลายเหตุ หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ทำไมยาเคมี จึงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ทำได้แค่ระงับ เพราะไม่เอาต้นเหตุ หรือ แก้ที่กรรม นั่นเอง
การจะปฏิบัติธรรมหมวดสมุนไพร ผู้สอนจึงต้องนำเหตุผลมากมาย เพื่อให้ผู้ทำ เชื่อก่อนว่า มีเหตุมาแต่กรรม หากผู้ทำไม่สนใจ ไม่เชื่อเรื่องกรรมแล้วไซร้ ก็จักไม่สร้างคุณสมบัติ หรือเรียนรู้วินัยธรรม มาควบคุมตน
เมื่อขาดเสียซึ่งคุณสมบัติ ก็ขาดเสียซึ่งธรรมศักดิ์สิทธิ์มาเกื้อหนุน
การทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว หลวงพ่อนิพนธ์จึงอุปมาเหมือนมีแต่ปืน ไม่มีลูก แม้นจักทานสักฉันใด ด้วยอำนาจสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ดีที่สุดก็ได้แค่ยื้อ เรื่องหายโรคนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ความสับสนประการหนึ่ง นั่นคือ ความเชื่อ กับความศรัทธา
พระภูมีบัญญัติธรรมมาเป็นสายกลาง จึงแยกความเชื่อกับความศรัทธาออกจากกัน คนที่อยากหายโรค อยากสัมผัสความไม่มีโรค ไม่จำเป็นต้องมีความศรัทธา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ต่้องเปลี่ยนแปลงตนมานับถือพระพุทธเจ้า ไม่จำเป็น
ของเพียงมีความเชื่อในพระธรรมคำสอน อันเป็นอำนาจธรรม แล้วทำตามคำสอนนั้น ทำตามวินัยธรรมเป็นบางสิ่งบางอย่าง ก็เพียงพอแล้วต่อการได้สัมผัส ความไม่มีโรค
หากแต่สิ่งที่เด่นชัด นั่นก็คือ การมีคุณสมบัติของความสงบ การมีคุณสมบัติของการเป็นพระเวสสันดร คือผู้ให้ ซึ่งมีวงเล็บซ้อนอยู่ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ การให้แก่ผู้ยากไร้ ผู้ขาดแคลน และสิ่งที่ให้แล้วได้ผลกลับมาดีที่สุด นั่นคือ สมุนไพร
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า คนไข้อาวุโสท่านหนึ่งเป็นชาวอิสลาม มาจากจังหวัดอยุธยา มาด้วยโรคเดียวกับคุณปรียานุช กล่าวให้ฟังว่า ตัวเธอเองมาที่นี่ ๔ ปี แล้ว ตอนที่มาหมอบอกว่าเกิดสภาวะกระดูกบางเป็นกระดาษ เกิดอาการปวดมาก และมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต หากเกิดอุบัติเหตุ หมอก็ช่วยสุดความสามารถ ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว นั่นหมายถึง ชีวิตต้องดำเนินไปอย่างระวัง
มาที่มูลนิธิ นับตั้งแต่เริ่มก็ได้สมุนไพรปกติทั่วไป เขียว ไพล ดำ เมื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเป็นโรคกระดูก ก็ได้รับยากระดูกหมู ทานเพียงครั้งเดียว ก็รู้ว่าตนทานได้ยาก ประกอบกับเป็นอิสลาม จึงไปกราบแม่ชีเมี้ยน ขออนุญาตไม่ทาน แต่ก็มุมานะทานเฉพาะสามชนิดที่รับมา
วันเวลาผ่านไป ๔ ปี เธอเล่าว่า ปกติก็ไปตรวจกระดูกเสมอ มาวันนี้ก็ยังทานสามชนิดเหมือนเดิม ไม่เคยขออย่างอื่นเพิ่ม ผลการตรวจล่าสุเดของเธอ ตอนนี้กระดูกของเธอหนาขึ้นมาเกือบนิ้่ว เป็นปกติแล้ว
สีหน้าที่ยิ้มแย้ม ในความยินดีต่อสุขภาพที่ได้รับ แม้นจักต้องเดินทางมาทุกสัปดาห์ตลอดสี่ปี เธอก็เลยกล่าวทิ้งท้ายว่า ปกติเธอจะทำมัสมั่นมาในวันงานประมาณ ๖๐ กิโล ปีนี้งานแม่ชีเมี้ยนเธอคิดว่า จะเพิ่มเป็น ๑๐๐ โล
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า คนบางคนสวดมนต์ไม่ได้ ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง คนเหล่านี้หายด้วยวิธีใด .. ควรพิจารณา จะได้รู้ว่า แก่นของการหายโรคอยู่ที่ใด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)