เราท่านมาหาศาสนากันทำไม
แม่ชีเมี้ยน ตรัสชี้ว่า คนมาแล้วทำ นั่นเพราะปรารถนาอยากได้ มรรคผล นิพพาน ไม่ว่าจะชาตินี้ หรือ ในภายภาคหน้า
มาแล้วทำอะไร
ท่านว่า จะไปถึงปรารถนานั้นได้ ต้องมีนิสัย ของพระภูมีพระภาคเจ้า ทุกเวลานาที
ดังนั้น จะไปได้ ก็ต้องลดนิสัยสันดานกรรมของตนลง สร้างสมหรือสะสมนิสัยของพระพุทธเจ้าให้เกิดกับตน จนหมดนิสัยกรรม นั่นแหละจึงไปกับเขาได้ สมปรารถนา
การมาหาศาสนา จึงมาเพื่อ “ทำนิสัยของพระภูมี ที่ยังทำไม่ได้ หรือยังไม่ได้ทำนั่นเอง” ตามแต่ตนจะทำได้ สะสมไป
เมื่อพิจารณาความจริงนี้แล้ว ก็ตัดสินใจ เราท่านจะอยู่รอกรรม ทำนิสัยกรรม แล้วนิสัยดีๆของพระภูมีที่เคยทำ ค่อยๆหายไป หรือพาตนเดินหนีนิสัยกรรม ไปสะสมนิสัยธรรม ด้วยมีสัจจะธรรมนำตน ให้พอกพูนขึ้นเป็นลำดับ
บทสรุป การทำสัจจะ จึงไม่แปลกที่สอนให้ทำทีละน้อย ทีละชั่วโมง และก็ไม่แปลกที่เมื่อเริ่มทำ จะทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่สมบูรณ์ อุปมาเสมือนเด็กหัดเดินใหม่ๆ ย่อมล้มลุกคลุกคลานเป็นธรรมดา กว่าจะเดินได้ หากแต่การล้มทุกครั้ง ก็จะเกิดปัญญา ความแข็งแกร่งแก่ตน
คนที่ไม่ยอมล้ม ไม่มีทางเดินได้ อย่าพึงกลัวล้ม หรือกลัวสัจจะ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่พรหมลิขิตต้องเผชิญ นั่นคือ “กรรม” ที่รอมาให้ทุกข์อันมหาศาล
ฤาจะรอทุกข์มา ถึงวันนั้นอยากทำก็ทำไม่ได้แล้ว จะบวชฉันมื้อเดียว ก็ทำไม่ได้ แม้นจะนั่งสวดมนต์ยังยากเลย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเคล็ดของการหายโรค แลสร้างบุญว่า “ทำตนตายจากโลกไปก่อนเสียแต่วันนี้ อย่ารอให้ถึงวันที่ที่กรรมมาดลให้เราตาย นั่นหนีไม่พ้น” จะสัปดาห์ละครั้ง เสมือนวันพระครั้งพุทธกาล หรือ บวชสักช่วงเวลาก็ตามแต่
ก็แล้วจะเดินกันไปอย่างไร เมื่อไม่มีวันเวลาไปเรียนรู้เลย สัจจะ ทำอย่างไร บุญเป็นไฉนทำอย่างไร แม้นแต่วันเวลามาสวดมนต์ ทำตนเป็นพระเวสสันดรยังไม่มีเลย หรือมีเวลา แต่มาเอาแต่สมุนไพร โดยไม่ทำอะไรเป็นที่พึ่งของตนเลย
ฤาจะเอาแต่สมุนไพร ไม่ว่ากัน แต่คนขาเดียวจะเดินไปได้สักกี่ก้าว สักแค่ไหน แน่ใจหรือจะไม่ล้ม
หายโรค ไม่ได้แปลว่า “ไม่ตาย”
แน่หรือ สิ่งที่ตนทำนั้นเป็นบุญ รู้อีกทีว่าเป็นลม ฝาโลงก็แย้มให้เห็นแล้ว