ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ผ่านการพิสูจน์ในคุณค่าของตัวเอง จากหลายที่หลายแห่ง แม้นกระทั่งยุโรป ก่อนที่จะส่งคนมาบำบัดยาเสพติดในยุคถ้ำกระบอก ก็มีภารกิจพิเศษส่งรถโมบาย มา ๒ คัน เพื่อทำการตรวจทั้งสมุนไพร และผู้ที่มาบำบัด โดยเฉพาะ และก็ให้การยอมรับ จนกลายเป็นดีลสำคัญในยุคนั้น คือ การส่งคน และทุน ให้แก่ถ้ำกระบอก
ได้ยินข่าว ไม่ว่าจะเป็นหมอสมุนไพรบางท่านที่กำลังโดนสาธารณสุขของไทย ตรวจสอบโน่นนี่นั่น ไปจนหมอนวดแผนไทย ที่ใช้การตอกเส้นตำรับของศาสตร์ทางเหนือ ก็ไม่พ้นเช่นกัน ... ก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน นั่นคือ ไม่สนับสนุน หากห้ามไม่ได้ ก็ทำให้โตไม่ได้
นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะคนไทยไม่สนับสนุนภูมิปัญญาของคนไทย เห็นเป็นเรื่องปกติมาทุกยุคทุกสมัย ถ้าเป็นคนไทยคิด ไทยทำ ฟังครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอน ให้เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ แล้วก็พูดเบาๆว่า รู้ไหม เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องแรก คนไทยเป็นคนคิด แต่รัฐบาลประเทศไทยไม่สนับสนุน จึงต้องไปขายให้ญี่ปุ่น สมัยนั้นก็คิดว่า คงพูดเอามัน
เมื่อชมรมไทยกรุณา เติบโต มีคนหลั่งไหลกันมาเรือนหมื่นในยุคบ่อพลอย ไม่ต้องมากเฉพาะอัมพฤกต์ มีคนหายแลทิ้งไม้เท้าเป็นกองพะเนิน จนพระต้องเผาทิ้ง ไม่มีการสนับสนุนก็พอเข้าใจ นี่เล่นส่ง ขบวนของสาธารณสุขมาทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศมาเลย ... แต่มิใช่เพื่อส่งเสริม
จะด้วยฟ้าบันดาลหรืออะไรก็ตาม เจตนาจะมาเพื่ออะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่หัวหน้าชุดคือ หัวขบวน ในการตรวจครั้งนั้น เป็นโรคที่หมอรักษาไม่หาย แลก็ได้มาในรูปแบบคนป่วย ทานสมุนไพร จนมีอาการดีขึ้น ก็แสดงตัวแก่หลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับช่วยผลักดัน ให้ใบประกอบโรคศิลป์และเวชกรรม พูดฟังง่ายภาษาชาวบ้านคือ ทำสมุนไพรได้ รักษาผู้ป่วยได้ แต่รับผู้ป่วยมารักษาไม่ได้ สาธารณสุขไม่ยอม ด้วยว่าไม่ได้เป็นสถานประกอบการ ที่ซึ่งมีข้อกำหนดมากมาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ทำไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำในยุคนี้ ครั้งหนึ่งก็เคยตามหลวงพ่อนิพนธ์ ไปดูคนเก็บใบยาเขียว มาแล้ว ดังนั้น จะบอกว่า ศาสตร์นี้ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีผลงาน ก็คงไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เราสงสัยคือ เขาไม่เชื่อหรือ ว่าวันหนึ่งคนที่เขารัก หรือ ตัวของเขาเองจะต้องเจ็บ ไม่สนับสนุนก็พอว่า นี่ศาลาเดิมของชมรมไทยกรุณา หรือ ศาลาขนมไทย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ ใช้ทำขนมขายหาทุนมาทำสมุนไพร ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นลานชานชลารถไฟ ให้คนมาทางรถไฟได้สะดวก ตั้งใจทำร้านกาแฟ หาทุนมาทำสมุนไพร โดนการรถไฟฟ้องซะงั้นว่าบุกรุกที่หลวง
เราก็คอหนังจีนคนหนึ่ง จำได้ว่า ตัวละครในฤทธิ์มีดสั้น ลูกชายของคนรักพระเอก ชื่อ เล้งเซี่ยวฮุ้น ฆ่าหมอเทวดา ตาย เพื่อไม่ให้ช่วยคน แต่แม่ของเขาเองกลับถูกวางยาพิษ โดยลูกน้องของพ่อ ทำให้ตายเพราะไม่มีหมอนั่นเอง
บทสรุป ดำริของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่อยากให้รัฐบาลช่วย ทำชานชลาในพื้นที่ ศาลาขนมไทย ช่วยจัดขบวนรถไฟให้คนไทยเป็นกรณีพิเศษ คือ ขบวนคนป่วย เหมือนที่ ขสมก ทำทุกวันอาทิตย์ เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาส มาใช้ทางเลือกนี้ คงยังเป็นแค่ลม จะไม่ช่วยอะไรเลยก็ไม่ว่ากัน แต่นั่นหมายถึงวันหนึ่ง คนที่ท่านรักต้องการความช่วยเหลือ อาจไม่มีสถานที่นี้ให้ช่วย เหมือนหนังจีนก็ได้น่ะ
และในวันนี้ หากสมาชิกไม่ช่วยกัน ทำในสิ่งที่ตนพอทำได้ มะพร้าวลูก มะนาวผล ปลอกกระเทียมกันสักนิด ดูแลต้นสมุนไพรสักหน่อย ทิ้งให้เป็นแต่ภาระของท่านอาสิ สถานที่นี้ก็คงไปไม่รอด ไม่ต้องรอสาธารณสุขมาปิดหรอก
วันนั้น จะมีเล้งเซี่ยวฮุ้น เต็มบ้านเต็มเมือง ร้องไห้เสียใจก็ไม่มีประโยชน์ ช่วยคนที่ตนรักไม่ได้ เห็นๆอยู่ว่ามีทางรอดอยู่ตรงหน้า ไม่ช่วยก็พอทน กลับทำลายสิ้น
เหมือนกับที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ทำลายถ้ำกระบอก มาวันนี้ ยาเสพติดเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ฉันใดก็ฉันนั้น จะร้องสักฉันใด หันไปทางไหน ก็มีแต่คนหลอกเอาเงิน สุดท้ายก็ช่วยไม่ได้ ครอบครัวพังพินาศ ลูกหลานก็น่าอนาถ อยู่ในวังวนชั่วร้าย เสียงบประมาณมากมายมหาศาล เสียกำลังของแผ่นดินมากมาย เห็นตำตา
จึงอยากฝากอนุสรณ์ของหลวงพ่อนิพนธ์ให้เตือนสติว่า "ศาสนาขาดเรา ไม่เป็นไร เพราะคนทุกข์มีไม่รู้จบ รู้สิ้น คนอยากได้มี แต่ถ้าเราขาดศาสนา ชีวิตจะดับสิ้น" ถ้าเราท่านไม่ช่วยกันต่อแขนต่อขาของศาสนา ทำตัวเป็นมือเป็นไม้ ลำพังท่านอาสิ จะช่วยคนได้สักกี่คน แต่คนที่รอให้ช่วยมีเท่าไหร่
อย่าไปหวังคนใหญ่คนโต รัฐจะมาช่วยเลย สมาชิกที่มาใช้บริการนี่แหละ ช่วยกัน อย่างน้อย ก็เอาพวกเรารอด ทำให้ชาวโลกเขาเห็นว่า ทางเลือกนี้ มีคนรอด ถึงจะน้อย แต่ก็รอด ดีกว่าตายหมดเหมือนหนทางอื่น
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เปลี่ยน
วันนี้ฟันโยก ทำท่าจะหลุดแต่ก็ยังไม่หลุด คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ก็ลอยมา ที่ว่า เวลาเราทุกข์ ทุกข์ที่เกิดเราก็จะปฏิเสธ อยากให้หมดไปโดยเร็ว พูดง่ายๆ ก็ ดีเอา แต่ชั่วปฏิเสธไม่รับนั่นเอง เป็นอุปนิสัย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า สิ่งที่ผิดพลาดมากที่สุดของมนุษย์ เมื่อยามทุกข์มาปรากฎแก่ตนนั้น ความอยากของตนก็แสวงหาสิ่งต่างๆ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ แล้วแต่ที่ตนมี มาทำให้ทุกข์นั้นหายไป
สัจจธรรมความเป็นจริง โดยเฉพาะทุกข์ที่เกิดกับวิญญาณ นั่นคือ โรค แสวงหาสักเท่าใด รอคอยสักเท่าใด ก็หามีสิ่งใด หรือใครช่วยตนได้เลย
ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ชี้ให้พิจารณาว่า สิ่งที่ช่วยตนได้ มีเพียงประการเดียว นั่นคือ "ตนของตน" นั่นเอง
ผู้ที่ฟัง พิจารณา แล้วเชื่อ ก็ย่อมมองเห็นเหมือนพระภูมีทุกพระองค์ นั่นคือ "กรรม กรรมเราทำมา กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ท่านอาสิ จึงมุ่งชี้เหตุ ทำลายต้นตอ นั่นคือ นิสัยที่สร้างกรรม เพื่อหนีกรรมที่สร้างทุกข์ มามีการกระทำใหม่ นิสัยของพระภูมี ที่สร้างสุขให้แก่ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย
มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ มีปัญญา มีพิจารณา และเลือกทำได้ แลธรรมของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ก็ย่อมต้องมีคนมองเห็น แล้วทำเพื่อช่วยตน
อย่างน้อย สัปดาห์ที่ผ่าน เราก็เห็นคนป่วยชายชราท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็ง นั่งรอรับสมุนไพร ในตอนบ่าย ท่านก็มองเห็นพื้นที่เปียกน้ำ เจิ่งนอง ด้วยมีฝนในวันก่อน นั่งสักพัก ก็หันซ้ายหันขวา เดินไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าว มากวาดน้ำออกจากทางเดินที่จะเข้าอาคารมะเร็ง ให้เดินได้สะดวก
บทสรุป อะไรเล่าที่เป็นแก่นสารช่วยชีวิตตน สมุนไพรหรือ นั่นแค่พี่เลี้ยง เดินไปส่ง สักพักก็ต้องทิ้งเหมือนไม้เท้า เดินเองได้ ก็วางลง พฤติกรรมนิสัยของพระภูมีต่างหาก ติดตัวเรา เป็นสมบัติไปทุกภพทุกชาติ เป็นแก่นสารสร้างการกระทำที่ดี รอเราอยู่วันข้างหน้า
ถ้าความคิดนี้เกิดขึ้น แล้วยึดเป็นสมบัติติดตัวได้แล้วไซร้ โรคอะไรก็ไม่เหลือ เพราะนั่นแหละ ตนกระทำที่ช่วยตนให้หายโรค ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า คนทั้งหลายทั้งปวง มีการกระทำ ล้วนแล้วแต่เพื่อตนเองหรือคนที่ตนคล้องกันมาทั้งหมดทั้งสิ้น การกระทำนั้น หายังประโยชน์แก่ตน หรือช่วยตนไม่ได้เลย ในยามที่ทุกข์มาถึงตน แต่การกระทำที่ยังประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ที่ตนไม่เคยรู้จัก สติและการกระทำเยี่ยงพระภูมีนี้แหละ จะช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ นี่แหละนิสัยบุญ
บุญของพระพุทธเจ้า ตามศาสตร์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงไม่ต้องใช้วัตถุ ปัจจัยในการแสวงหา แค่ฟังคำสอน พิจารณา แล้วทำ ให้สุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้กระทำเพื่อตนและผู้คล้องกรรม สละแรงกายให้เป็นทานเบื้องตน แล้วก็จักเป็นคุณสมบัติ ที่ทำให้เราหยุดการกระทำที่เป็นทุกข์ คือมีนิสัยสร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ตามมาได้ จะไปโกรธเขาทำไม จะเห็นผิดเขาทำไม จะประหัตประหารเขาทำไม ทำเช่นนั้นทุกข์ก็รอเราอยู่
ศาสตร์นี้จึงเรียก ศาสตร์แห่งปัญญา เป็นหลักปราชญ์ เอาสัจจะมาเป็นผู้นำ แล้วค่อยๆทำ ค่อยๆสร้าง จนเป็นนิสัยสันดาน แทนนิสัยกรรมเดิม คนทำได้ ย่อมเป็นคนดี มีบุญ คนมีบุญคือมีสุข คนมีสุขที่ไหนจะมีโรคอยู่กับตนได้ เพราะโรคคือตัวแทนแห่งบาป แห่งกรรม มาเพื่อสร้างทุกข์ จึงไม่แปลกเลยที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า คนทำได้ จึงได้หายโรคเป็นของแถม ที่ศาสนาให้เป็นรางวัลของคนดี มีธรรม
จะเปลี่ยนโรค ก็เริ่มที่เปลี่ยนพฤติกรรม เล็กๆน้อยๆ อย่างนี้แหละ เป็นการสร้างคุณสมบัติ ให้สุขแก่ผู้อื่น จะรอ จะหวัง มียาวิเศษ กินแล้วหาย โดยไม่ต้องเปลี่ยนตนเลย รอไปเถอะ ไม่มีทางสมหวัง ไม่มีทางหายโรค
สมุนไพรถึงจะแจกเป็นทาน แต่ศาสนาเขาบุคคลิก มีผลมหาศาลเฉพาะคนทำนิสัยของพระภูมีได้ เพราะเขามีไว้ให้โอกาส คนที่ทำผิดพลาด ไม่รู้เรื่องศาสนา จะได้กลับตน เป็นคนดี เมื่อเปลี่ยนนิสัยตนได้ ก็ได้หายโรคเป็นของแถม
ส่วนคนไม่เปลี่ยน ก็ไม่ว่ากัน แต่ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นก่อน อย่าว่ากันน่ะ เพราะทำแบบนี้มันอาจปลอดโรค หายโรค แต่ไม่ปลอดภัย หายโรคนี้ เป็นโรคนั้น หายโรคนั้น กรรมมองแล้ว มันช้าไป โรคไม่เอาแล้ว ล่ออุบัติเหตุเลยดีกว่า พูดง่ายๆ ก็เสียเวลาเปล่าในการมานั่นเอง เพราะสรุปก็คือไม่รอดเหมือนกัน เป็นแค่เพียงแต่ยื้อ เท่านั้นเอง
เงินล้านเปลี่ยนโรค เปลี่ยนปวดเป็นไม่ปวดไม่ได้ แต่พฤติกรรมเปลี่ยน แค่ไม้กวาด เปลี่ยนโรคเป็นหายโรค เปลี่ยนปวดเป็นไม่ปวดได้ ... เชื่อหรือไม่
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
จนตรอก
สภาพของประเทศไทย กำลังเดินไปสู่ทางตันของประเทศเข้าทุกวัน ช้าเร็วก็ต้องถึงสภาพที่โบราณเรียก "จนตรอก" นั่นคือ รายได้กับรายจ่าย ไม่สมดุลย์กันอย่างมาก จนวิกฤต
ไม่ได้มาวิวาทะว่า ด้วยสาเหตุใด ใครเป็นคนทำ หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า นั่นคือ กรรมของประเทศ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวเสมอในเหตุผลที่แม่ชีเมี้ยน ทิ้งสิ่งนี้ไว้ในแผ่นดินไทย และกล่าวว่าเพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิด
ท่านขยายความให้พิจารณาได้เด่นชัดขึ้นว่า เพราะเหตุที่คนไทย ไม่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลกได้ นั่นเอง ไม่ว่าทางใด ที่นับวันแต่ละประเทศจะพัฒนาตนให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น เพื่อแข่งขันกับประเทศอื่น อันจะเป็นรายได้เข้าสู่ประเทศ ไม่ว่า เทคโนโลยี นวัตกรรม และในไม่ช้า แม้นแต่รายได้หลัก ที่ค้ำจุนประเทศอย่างเกษตรกรรม ก็จะหดหายลงไป
เมื่อแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ ย่อมหมายถึงอำนาจต่อรองในระดับโลก ย่อมสูญเสียไป กลายเป็นผู้เสียเปรียบไปทุกประตู แลการจะผลิกผันให้ฟื้นคืนกลับมาย่อมต้องอาศัยบุคคลากรที่มีสมองของประเทศ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลน และขาดการสนับสนุน ดูจากอันดับของการศึกษาไม่ว่าในระดับใด แม้นกระทั่งอุดมศึกษา ที่เคยโดดเด่น ก็นับวันมีแต่ถอยลง หากแม้นจะมีผู้ใดมีสมองชั้นหัวกระทิ ก็ถูกแรงดึงดูดจากเพื่อนบ้าน นำไปใช้ด้วยการเสนอสิ่งจูงใจนานาชนิด ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปกันหมด
ดังนั้น ศาสตร์ของพระภูมีหากคนดี มีอำนาจเห็น ย่อมสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกอบกู้ประเทศได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุที่ไม่มีประเทศใด สามารถทำแข่งได้นั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ ให้คิดเล่นๆ ว่า เอาเฉพาะมะเร็ง หากทางการแพทย์ ทำเฉพาะในส่วนที่ตนถนัด นั่นก็คือ การผ่าตัด ส่วนการฟื้นฟู เปลี่ยนมาใช้สมุนไพร ไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อเครื่องมือแพทย์ ฉายแสง คีโม ประเทศก็ประหยัดงบประมาณมากมายมหาศาล มิเพียงแค่นั้น ยังได้บุคคลากรที่ดี มีสุขภาพดี กลับคืนมาช่วยประเทศชาติได้อีก งบประมาณก็ไปใช้ในส่วนอื่นได้อีก
หากมองไปทั้งโลก ยอดผู้ป่วยมะเร็งหลายล้านคน เลือกมาใช้หนทางสมุนไพร ต้องเดินทางเข้าประเทศ ต้องใช้วัตถุดิบสมุนไพรในประเทศ มะนาว มะกรูด มะพร้าว ดีปลี พริกไทย .... มีค่าใช้จ่ายในการพักอาศัย สร้างรายได้ให้แก่ประเทศมหาศาล
ที่สำคัญ กลายเป็นอำนาจต่อรองระดับประเทศได้อย่างง่ายดาย เพราะคงไม่มีใครอยากเสียชีวิต และก็คงไม่มีประเทศใด ที่จะไม่รับผิดชอบต่อประชากรของตน เมื่อคนทั้งหลายรู้ว่า มีหนทางช่วยตนรอดได้
บทสรุป ผู้ที่ทานสมุนไพรในวันนี้ มิใช่เพียงเพื่อตน แต่นี่คือประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้คนที่จะตามมา รู้ว่ามีหนทางที่ทำให้รอดได้ แค่ฟัง เรียนรู้ และพิจาณา ทำตน ให้เป็นร่องรอยที่ถูก ให้คนรุ่นหลังได้เดินตาม ก็นับว่าสร้างคุณมหาศาลแล้ว หากแต่ประวัติศาสตร์ในภาพที่สร้างพฤติกรรมที่ทำแล้วไม่รอด ไม่อยากให้มีเลย ถ้าไม่คิดจะทำ ก็ไปทำในสิ่งที่ตนชอบเสียดีกว่า
ประเทศไทยเสมือนต้องคำสาป ต้องรอจนเสียกรุง ประเทศย่ำแย่ ข้าวยาก หมากแพง จึงจะสามัคคี รวมพลัง นี่ก็ใกล้แล้ว ... แล้วเราท่านก็จะได้เห็นว่าพยากรณ์ของแม่ชีเมี้ยนเป็นจริง สมุนไพรศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้แหละ กอบกู้แผ่นดินนี้ได้
แล้วคนทั้งโลกจะรู้ว่า โรค นั้น อยากหายง่ายนิดเดียว ... แค่เป็นคนดี มีนิสัยธรรม ตามคำสอนของพระภูมีเท่านั้นเอง ไม่สนหรอกต้องนับถือ แต่ทำได้ ได้สุขภาพเป็นของแถม
แค่เปลี่ยนนโยบายเป็นประเทศปลอดสงคราม ไม่ต้องนำเงินไปซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ เครื่องบินรบ ... เท่านี้ประเทศก็ไปฉิวแล้ว จริงหรือไม่ ไม่ต้องมีทหารให้มากมาย ใครก็ไม่กล้าบุก เพราะล้วนแล้วแต่มีญาติ มีพี่น้อง ผองเพื่อน เป็นโรคกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทำลายไทย ก็ทำลายคนที่ตนรักนั่นเอง ถึงประเทศนั้นอยากบุก แต่ประเทศอื่น เขายอมหรือ นี่แหละ ไทยนี้รักสงบที่แท้จริง แถมไม่ต้องรบอีก
เขียนไปอย่างนั้น เพราะจะเป็นจริง ก็ต้องรอประเทศเข้าโซนฉิบหายก่อนนั่นแหละ คนมีอำนาจจึงหันมามอง ตอนนี้ความโลภมันบังตา บังใจ มองอย่างไรก็ไม่เห็น ก็งบแต่ละปีมันล่อใจ แค่ค่าซื้อยา เวชภัณฑ์ ก็ยากจะอดใจไหว ปีละ สามแสนล้านบาทเชียวหนา ...
ฉะนั้น คนที่ทานในวันนี้ ทานสมุนไพรแค่ตนรอด หาใช่ไม่ แต่จะเป็นแสงน้อยๆ ที่วันใดเมืองไทยมืดมน แสงนี้จะเด่นชัด นำทางประเทศและคนอีกมากมายได้ วันเวลานั่นแหละะเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่าท้อใจ ชีวิตเรามีความหมาย คือ ประวัติศาสตร์ และเมื่อทำได้ วันหนึ่งคนจะมาเรียนรู้ มาอ่านประวัติศาสตร์ ท่านจะภูมิใจที่ตนคือหนึ่งในประวัติศาสตร์ ของผู้ทำตน ให้คนมาอ่าน
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
จริงไม่เชื่อ เชื่อไม่จริง
ไม่เชื่อก็คงไม่ได้ ว่าโลกนี้มีอำนาจกรรม
ทำไมหรือ ก็มนุษย์นั้น มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ มีความคิด แยกแยะสิ่งถูกผิดได้ทุกตัวคน แต่ครั้นถึงเวลา กลับกลายเป็นเสมือนบ้าใบ้ คิดไม่ได้ ทำไม่ถูกซะงั้น เมื่อกรรมมา
โบราณจึงว่า เมื่อกรรมบันดาล คนทั้งหลายก็ขาดสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดาย มีให้เห็นกันมากมาย น้อยใจ ก็ฆ่าตัวตาย ผิดหวังก็ทำร้ายตัว อยากได้ก็ไปแย่งชิง ปล้นฆ่าเขาเอามาเป็นของตน ฉลาดกว่าก็ใช้ปัญญาหลอกคน อยากรวยก็ค้ายา ใครเสพไปจะตายก็ชั่งมัน ครั้นกรรมย้อนมาหาตน จะปฏิเสธสักฉันใดก็หาพ้นไม่ ถึงตอนนั้น ค่อยคิดได้ ไม่น่าทำเลย แค่ยกปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ก็พอแล้ว นี่ไปยิงเขาตาย แล้วลูกเมียจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร
เมื่อย้อนกลับมาเรื่องของชีวิต เรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตน ณ.วันนี้ โรครุมเร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ก็อยากปฏิเสธ ดิ้นรนหาสิ่งต่างๆมาช่วยตน ด้นดั้นไปหาไม่ว่าจะไกลแสนไกล ไม่ว่าจะแพงแสนแพง เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ ที่ไหนใครว่าดี ไปหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สิ่งที่ทำขาดพิจารณา เพียงแต่เขาว่าดี ก็ไปพึ่ง ทั้งๆที่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ ไม่เคยเห็นซึ่งผลอันจับต้องได้ เป็นตัวเป็นตน ก็เชื่อและทำตามหมดหัวใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ชีวิตก็ยากที่จะกู้กลับให้ฟื้นคืนได้ดั่งเดิม หรือ จบชีวิตไปรายแล้วรายเล่า ... ด้วยการกระทำนั้น ใช้ตาดู เชื่อในวัตถุ เชื่อในปริญญา เชื่อในความน่าเชื่อถือ เชื่อในวิทยาการ เชื่อในคำบอกเล่าต่อกันมา แม้นสิ่งเหล่านั้น หาผลที่ประจักษ์ยังไม่ได้เลย
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พูดเรื่องจริง ไม่กลอกกลิ้ง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มีเหง้าของศาสนา ประจักษ์เป็นพยาน มีผู้คนประสพผลเป็นตัวตนก็มากมาย น่าเชื่อถือ แต่ไม่ถูกจริต ไม่มีปริญญา ไม่มีวิทยาการ ไม่ต้องใจ ไม่อยากฟัง ไม่อยากพิจารณา และก็ไม่ทำซะงั้น
บทสรุป ท่านอาสิจึงชี้ให้เห็นว่า ด้วยศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา การหายโรคนั้น ง่ายและทำได้ แต่สิ่งที่ยากคือ ผู้อยากได้ ไม่ฟัง ไม่พิจารณา ที่สำคัญคือ ไม่ทำ เพราะเป็นศาสตร์ของผู้ทำได้ ไม่ใช่ของผู้ร้องขอ โดยไม่ต้องทำ
รากเหง้าของศาสตร์รักษาโรคตายด้วยยา ไม่เคยมีปรากฎ แต่คนเชื่อว่ามียา รากเหง้าของศาสนา อย่าว่าแต่หายโรคเลย พ้นโลก ไม่เกิดแก่เจ็บตาย มีให้เห็น กลับไม่เชื่อ ไม่ทำ ... หวังแต่จะหายโดยสบาย ด้วยเป่าเสก ด้วยเอาวัตถุมาแลก
เราจึงอยากย้อนคำของแม่ชีเมี้ยนที่ฝากหลวงพ่อนิพนธ์มาให้พิจารณา หนทางแห่งการหายโรค มีช่องทางเดียว คือ พัฒนาวิญญาณให้สูง ด้วยการลดนิสัยกรรม บางสิ่งบางอย่าง ทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง เพื่อมีนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ทำได้ทุกตัวคน ใครทำได้ คนนั้นรอด ... อย่าเสียเวลาไปจุดธูป อ้อนวอน ขอโดยไม่ทำ ขอให้ตาย พระพุทธเจ้าก็ไม่แม้นแต่จะแลด้วยหางตา
ท่านอาสิจึงชี้ว่า "การบูชาพระพุทธศาสนา ก็โดยการลดกิริยา แลอยู่ในความสงบ" ความเห็นความจำเป็นที่โลกเขาพูดกัน ช่วยตนไม่ได้หลอก แต่สัจจะธรรมความจริงของพระพุทธเจ้า เป็นของจริง ทำจริงได้จริง เสียได้ คนทำได้ ไปจากโลกนี้หมดแล้ว ถึงกระนั้นก็มีรากเหง้าทิ้งไว้ให้ศึกษา เดินตาม ... ทำไมไม่เดิน รอแต่ยารักษาโรค รอไปเถอะ ไม่มีวันสมหวัง มีแต่หลอกให้ทาน แล้วความจริงปรากฎ ก็พบสัจจะธรรม "เดินเข้า หามออก" จะบอกใครก็ไม่ได้
ทำไมหรือ ก็มนุษย์นั้น มีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ มีความคิด แยกแยะสิ่งถูกผิดได้ทุกตัวคน แต่ครั้นถึงเวลา กลับกลายเป็นเสมือนบ้าใบ้ คิดไม่ได้ ทำไม่ถูกซะงั้น เมื่อกรรมมา
โบราณจึงว่า เมื่อกรรมบันดาล คนทั้งหลายก็ขาดสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดาย มีให้เห็นกันมากมาย น้อยใจ ก็ฆ่าตัวตาย ผิดหวังก็ทำร้ายตัว อยากได้ก็ไปแย่งชิง ปล้นฆ่าเขาเอามาเป็นของตน ฉลาดกว่าก็ใช้ปัญญาหลอกคน อยากรวยก็ค้ายา ใครเสพไปจะตายก็ชั่งมัน ครั้นกรรมย้อนมาหาตน จะปฏิเสธสักฉันใดก็หาพ้นไม่ ถึงตอนนั้น ค่อยคิดได้ ไม่น่าทำเลย แค่ยกปืนยิงขึ้นฟ้าขู่ก็พอแล้ว นี่ไปยิงเขาตาย แล้วลูกเมียจะทำอย่างไร จะอยู่อย่างไร
เมื่อย้อนกลับมาเรื่องของชีวิต เรื่องของทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตน ณ.วันนี้ โรครุมเร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ก็อยากปฏิเสธ ดิ้นรนหาสิ่งต่างๆมาช่วยตน ด้นดั้นไปหาไม่ว่าจะไกลแสนไกล ไม่ว่าจะแพงแสนแพง เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ ที่ไหนใครว่าดี ไปหมด
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า สิ่งที่ทำขาดพิจารณา เพียงแต่เขาว่าดี ก็ไปพึ่ง ทั้งๆที่ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ ไม่เคยเห็นซึ่งผลอันจับต้องได้ เป็นตัวเป็นตน ก็เชื่อและทำตามหมดหัวใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที ชีวิตก็ยากที่จะกู้กลับให้ฟื้นคืนได้ดั่งเดิม หรือ จบชีวิตไปรายแล้วรายเล่า ... ด้วยการกระทำนั้น ใช้ตาดู เชื่อในวัตถุ เชื่อในปริญญา เชื่อในความน่าเชื่อถือ เชื่อในวิทยาการ เชื่อในคำบอกเล่าต่อกันมา แม้นสิ่งเหล่านั้น หาผลที่ประจักษ์ยังไม่ได้เลย
หากแต่ศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา พูดเรื่องจริง ไม่กลอกกลิ้ง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า มีเหง้าของศาสนา ประจักษ์เป็นพยาน มีผู้คนประสพผลเป็นตัวตนก็มากมาย น่าเชื่อถือ แต่ไม่ถูกจริต ไม่มีปริญญา ไม่มีวิทยาการ ไม่ต้องใจ ไม่อยากฟัง ไม่อยากพิจารณา และก็ไม่ทำซะงั้น
บทสรุป ท่านอาสิจึงชี้ให้เห็นว่า ด้วยศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา การหายโรคนั้น ง่ายและทำได้ แต่สิ่งที่ยากคือ ผู้อยากได้ ไม่ฟัง ไม่พิจารณา ที่สำคัญคือ ไม่ทำ เพราะเป็นศาสตร์ของผู้ทำได้ ไม่ใช่ของผู้ร้องขอ โดยไม่ต้องทำ
รากเหง้าของศาสตร์รักษาโรคตายด้วยยา ไม่เคยมีปรากฎ แต่คนเชื่อว่ามียา รากเหง้าของศาสนา อย่าว่าแต่หายโรคเลย พ้นโลก ไม่เกิดแก่เจ็บตาย มีให้เห็น กลับไม่เชื่อ ไม่ทำ ... หวังแต่จะหายโดยสบาย ด้วยเป่าเสก ด้วยเอาวัตถุมาแลก
เราจึงอยากย้อนคำของแม่ชีเมี้ยนที่ฝากหลวงพ่อนิพนธ์มาให้พิจารณา หนทางแห่งการหายโรค มีช่องทางเดียว คือ พัฒนาวิญญาณให้สูง ด้วยการลดนิสัยกรรม บางสิ่งบางอย่าง ทำนิสัยธรรม บางสิ่งบางอย่าง เพื่อมีนิสัยสร้างสุขให้ผู้อื่นเป็นอุปนิสัย ทำได้ทุกตัวคน ใครทำได้ คนนั้นรอด ... อย่าเสียเวลาไปจุดธูป อ้อนวอน ขอโดยไม่ทำ ขอให้ตาย พระพุทธเจ้าก็ไม่แม้นแต่จะแลด้วยหางตา
ท่านอาสิจึงชี้ว่า "การบูชาพระพุทธศาสนา ก็โดยการลดกิริยา แลอยู่ในความสงบ" ความเห็นความจำเป็นที่โลกเขาพูดกัน ช่วยตนไม่ได้หลอก แต่สัจจะธรรมความจริงของพระพุทธเจ้า เป็นของจริง ทำจริงได้จริง เสียได้ คนทำได้ ไปจากโลกนี้หมดแล้ว ถึงกระนั้นก็มีรากเหง้าทิ้งไว้ให้ศึกษา เดินตาม ... ทำไมไม่เดิน รอแต่ยารักษาโรค รอไปเถอะ ไม่มีวันสมหวัง มีแต่หลอกให้ทาน แล้วความจริงปรากฎ ก็พบสัจจะธรรม "เดินเข้า หามออก" จะบอกใครก็ไม่ได้
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เหนือกว่าเยอะ
ศาสตร์ทางการแพทย์สมัยใหม่ และวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ก้าวล้ำอย่างยิ่ง จนทำให้ความหวังของคนทั้งหลายทั้งปวง ที่อยากจะมีหนทางในการรักษาโรคทุกชนิด มีความเป็นไปได้ยิ่ง
แต่ก็เช่นกัน ปฏิเสธความจริงที่ปรากฎไม่ได้เลยว่า ทุกปี มีคนเป็นโรค และเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ไม่ต้องมาก แค่โรคชั้นนำ ๕ โรค ที่เป็นกันมากและตายกันมาก ก็ย่อมต้องสะท้อนความจริงบางอย่างให้เห็นเช่นกันว่า ยังไม่มีวิทยาการใดๆที่จะสามารถแม้นแต่ทำให้อัตราการตาย และการเป็นโรค ลดน้อยถอยลงได้เลย
ย้อนกลับมาดูศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่นั้น มิเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ศาสตร์นี้ช่วยให้คนทั้งหลาย มีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นฟูตน จนหายโรคได้ แลคนเหล่านั้นก็ยังมีตัวมีตน ปรากฎให้เห็นเป็นพยานชัด
๔ หากแต่เมื่อเจอกับพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เราสงสัยว่า กรรมอะไรเล่าบังตา บังจิต บังใจ ถึงปานนี้ ศาสตร์ดีๆเช่นนี้ ไม่ช่วยกันทำ ไม่ช่วยกันรักษา มิใช่เพียงแค่ประโยชน์ตน แต่สำหรับคนที่เรารักก็พึ่งได้ คนทั้งหลายทั้งปวงก็พึ่งได้ มีผลสำเร็จ ดั่งคำโบราณ "ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้ไม่เห็น แม้นแต่คนที่มาพึ่งเอง คนส่วนใหญ่ก็วางเฉย ไม่รู้ ไม่สน ฉันมาเอาอย่างเดียว
มือน้อยๆ คนละมือ ช่วยกันทำ ก็ไม่เป็นภาระของใคร ช่วยกันทำ ช่วยกันใช้ ช่วยกันรอด แต่เมื่อคนส่วนใหญ่วางเฉย ให้คนส่วนน้อยทำ มิต้องมาก แค่ยามะนาว ยิ่งตอนนี้ฝนสลับอากาศร้อนเย็น อาการไอถามหา คนขอกันมากมาย แต่หาคนมาช่วยกันคั้น มาช่วยกันผ่า เลือดตาแทบกระเด็น กองไว้ไม่มีใครแล กลายเป็นคนที่ทำยาต้ม ยาอื่นๆ ต้องมาช่วยกันทำอีก เห็นแล้วน่าเศร้าใจ
แลก็เห็นข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อมีใครบางคนแค่ทำความดี วิ่งเพื่อหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ คนไทยแห่แหนไปสนับสนุน ไปวิ่งด้วย นับหมื่นนับแสนในพื้นที่ แม้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งดี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นจะช่วยชีวิตใครได้มากน้อยสักเพียงใด ผลจักเกิดสักเท่าใด แต่สมุนไพรทำปุ๊บ คนทุกข์รับไปทาน หายไข้ หายปวด ไปจนหายโรคได้ อย่างน้อยก็เป็นร้อยเป็นพันคน เห็นตำตา แต่ไม่มีคนอยากทำ
บทสรุป คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนมาให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวง เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จะมีสักกี่คนเล่า ที่ทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ แม้นแต่ห้องน้ำ เออน่ะห้องน้ำที่นี่ สะอาดดี น่าใช้ มีคนกล่าวมากมาย ชื่นชมมากมาย แต่จะมีใครแบกหิน แบกทราย ลงแรง อาบเหงื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องน้ำ นี่แหละ คนที่เป็นผู้ให้ ย่อมมีค่าเหนือผู้รับ คนที่ทำตนเป็นผู้ให้ได้ ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงสมควรหายโรค หายทุกข์ที่ตนมี
๘ พูดกันมาสามทศวรรษ ก็แล้วแต่ใครฟัง เลือกแล้วทำ จะเป็นเวสสันดร หรือจะเป็นชูชก วันที่ผลแห่งการกระทำปรากฎ ทำไมคนนั้นหาย ทำไมฉันไม่หาย ก็ได้แต่บอกว่า สถานที่นี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่ว่าจะบรมครูแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านอาสิ มีแต่คำสอน ที่ฟังแล้ว ไปพิจารณา ทำเพื่อช่วยตน ใครทำ ใครได้ ผลหายไม่หายจึงรู้แก่ใจตน ตั้งแต่วันแรกแล้ว
นี่แค่เสี้ยวของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หายโรคน่ะกระจอก แม้นจะเป็นปัญหาที่โลกแก้ไม่ตก ศาสตร์อันนี้ ยังสอนเลยไปถึงการป้องกัน การทำให้ไม่มีโรคได้อีกต่างหาก ศาสตร์อันนี้ คนไทยไม่อยากเรียน ไม่อยากไปวัดของแม่ชีเมี้ยน แต่อยากหายโรค อยากไม่มีโรค ... ก็คงได้แต่อยาก ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราว่า "อย่าดีแต่พูด ต้องทำให้ได้ด้วย ผลจึงเกิด" คนทั้งโลกเขาก็รู้ทั้งหมดทั้งสิ้น "ทำดี ได้ดี" แต่ใครหล่ะที่ทำได้ ผลผิดในวันนี้ กรรมชั่วบันดาลให้เกิดโรค เป็นทุกข์แล้ว แค่รู้ แค่พูด มันช่วยตนไม่ได้ จะเอ่ยอ้างว่าตนดีสักฉันใด ผลอันนี้มันก็ประจานอยู่ ว่า นั่นคือความคิด ว่าสิ่งที่ทำมันดี แต่ความจริงที่ทำ มันตรงข้าม
พระภูมีทุกพระองค์ ทำตนจนพ้นโลก พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสอนสาวกที่เชื่อ แล้วทำตาม ให้ผลแบบเดียวกัน เป็นประจักษ์พยาน ผลที่ได้คือ สุข น่าสงสัย คนไทยบอกอยากมีสุข ศาสนาก็ชี้ช่อง แต่คนไทยเอามือซุกหีบ ไม่ทำ ... ไม่เรียกกรรม เรียกอะไร ฤาจะรอเครื่องมือแพทย์มาช่วยตน ครั้นพอใกล้จะตาย ก็ร้องหาศาสนา ช่วยด้วย ๆๆๆๆๆๆๆ เขาก็ย้อนกลับมาว่า ตอนที่ยังมีแรง มีกำลัง ทำไมจึงวางเฉย ไม่ทำสุขให้ผู้อื่น จะได้มีผลย้อนมาช่วยตน แล้วจะร้องทำไมเล่า ให้ผู้อื่นช่วย
วิทยาการของโลก แค่รักษาโรค ก็มองไม่เห็นทางแล้ว จะให้ทำไม่เกิดโรค ... ตายอีกกี่ชาติ เกิดใหม่มาก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ ดันเชื่อ .... แต่ศาสนาทำได้ กลับวางเฉย ไม่ทำซะงั้น ... การพานพบศาสนา ก็สูญเปล่า แลพรหมลิขิตดีสักเพียงไหน เชื่อหรือว่า ชาติหน้า ชาติไหนจะได้เวียนมาพบศาสนาดีๆที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้อีก ด้วยพฤติกรรมในวันนี้ คงยากแล้ว
แต่ก็เช่นกัน ปฏิเสธความจริงที่ปรากฎไม่ได้เลยว่า ทุกปี มีคนเป็นโรค และเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ไม่ต้องมาก แค่โรคชั้นนำ ๕ โรค ที่เป็นกันมากและตายกันมาก ก็ย่อมต้องสะท้อนความจริงบางอย่างให้เห็นเช่นกันว่า ยังไม่มีวิทยาการใดๆที่จะสามารถแม้นแต่ทำให้อัตราการตาย และการเป็นโรค ลดน้อยถอยลงได้เลย
ย้อนกลับมาดูศาสตร์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่นั้น มิเพียงตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ศาสตร์นี้ช่วยให้คนทั้งหลาย มีเปอร์เซ็นต์ในการฟื้นฟูตน จนหายโรคได้ แลคนเหล่านั้นก็ยังมีตัวมีตน ปรากฎให้เห็นเป็นพยานชัด
๔ หากแต่เมื่อเจอกับพฤติกรรมของคนไทย ทำให้เราสงสัยว่า กรรมอะไรเล่าบังตา บังจิต บังใจ ถึงปานนี้ ศาสตร์ดีๆเช่นนี้ ไม่ช่วยกันทำ ไม่ช่วยกันรักษา มิใช่เพียงแค่ประโยชน์ตน แต่สำหรับคนที่เรารักก็พึ่งได้ คนทั้งหลายทั้งปวงก็พึ่งได้ มีผลสำเร็จ ดั่งคำโบราณ "ช่วยคน ดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้ไม่เห็น แม้นแต่คนที่มาพึ่งเอง คนส่วนใหญ่ก็วางเฉย ไม่รู้ ไม่สน ฉันมาเอาอย่างเดียว
มือน้อยๆ คนละมือ ช่วยกันทำ ก็ไม่เป็นภาระของใคร ช่วยกันทำ ช่วยกันใช้ ช่วยกันรอด แต่เมื่อคนส่วนใหญ่วางเฉย ให้คนส่วนน้อยทำ มิต้องมาก แค่ยามะนาว ยิ่งตอนนี้ฝนสลับอากาศร้อนเย็น อาการไอถามหา คนขอกันมากมาย แต่หาคนมาช่วยกันคั้น มาช่วยกันผ่า เลือดตาแทบกระเด็น กองไว้ไม่มีใครแล กลายเป็นคนที่ทำยาต้ม ยาอื่นๆ ต้องมาช่วยกันทำอีก เห็นแล้วน่าเศร้าใจ
แลก็เห็นข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อมีใครบางคนแค่ทำความดี วิ่งเพื่อหาเงินซื้อเครื่องมือแพทย์ คนไทยแห่แหนไปสนับสนุน ไปวิ่งด้วย นับหมื่นนับแสนในพื้นที่ แม้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นเป็นสิ่งดี แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นจะช่วยชีวิตใครได้มากน้อยสักเพียงใด ผลจักเกิดสักเท่าใด แต่สมุนไพรทำปุ๊บ คนทุกข์รับไปทาน หายไข้ หายปวด ไปจนหายโรคได้ อย่างน้อยก็เป็นร้อยเป็นพันคน เห็นตำตา แต่ไม่มีคนอยากทำ
บทสรุป คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์จึงย้อนมาให้พิจารณาว่า คนทั้งหลายทั้งปวง เขาชอบอ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พูดดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ จะมีสักกี่คนเล่า ที่ทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ แม้นแต่ห้องน้ำ เออน่ะห้องน้ำที่นี่ สะอาดดี น่าใช้ มีคนกล่าวมากมาย ชื่นชมมากมาย แต่จะมีใครแบกหิน แบกทราย ลงแรง อาบเหงื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งห้องน้ำ นี่แหละ คนที่เป็นผู้ให้ ย่อมมีค่าเหนือผู้รับ คนที่ทำตนเป็นผู้ให้ได้ ให้สุขแก่ผู้อื่น จึงสมควรหายโรค หายทุกข์ที่ตนมี
๘ พูดกันมาสามทศวรรษ ก็แล้วแต่ใครฟัง เลือกแล้วทำ จะเป็นเวสสันดร หรือจะเป็นชูชก วันที่ผลแห่งการกระทำปรากฎ ทำไมคนนั้นหาย ทำไมฉันไม่หาย ก็ได้แต่บอกว่า สถานที่นี้ ไม่มีใครช่วยใครได้ ไม่ว่าจะบรมครูแม่ชีเมี้ยน พระพุทธ หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านอาสิ มีแต่คำสอน ที่ฟังแล้ว ไปพิจารณา ทำเพื่อช่วยตน ใครทำ ใครได้ ผลหายไม่หายจึงรู้แก่ใจตน ตั้งแต่วันแรกแล้ว
นี่แค่เสี้ยวของศาสตร์พระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หายโรคน่ะกระจอก แม้นจะเป็นปัญหาที่โลกแก้ไม่ตก ศาสตร์อันนี้ ยังสอนเลยไปถึงการป้องกัน การทำให้ไม่มีโรคได้อีกต่างหาก ศาสตร์อันนี้ คนไทยไม่อยากเรียน ไม่อยากไปวัดของแม่ชีเมี้ยน แต่อยากหายโรค อยากไม่มีโรค ... ก็คงได้แต่อยาก ไม่มีทางเป็นจริง
เราจึงนึกถึงคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนเราว่า "อย่าดีแต่พูด ต้องทำให้ได้ด้วย ผลจึงเกิด" คนทั้งโลกเขาก็รู้ทั้งหมดทั้งสิ้น "ทำดี ได้ดี" แต่ใครหล่ะที่ทำได้ ผลผิดในวันนี้ กรรมชั่วบันดาลให้เกิดโรค เป็นทุกข์แล้ว แค่รู้ แค่พูด มันช่วยตนไม่ได้ จะเอ่ยอ้างว่าตนดีสักฉันใด ผลอันนี้มันก็ประจานอยู่ ว่า นั่นคือความคิด ว่าสิ่งที่ทำมันดี แต่ความจริงที่ทำ มันตรงข้าม
พระภูมีทุกพระองค์ ทำตนจนพ้นโลก พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และสอนสาวกที่เชื่อ แล้วทำตาม ให้ผลแบบเดียวกัน เป็นประจักษ์พยาน ผลที่ได้คือ สุข น่าสงสัย คนไทยบอกอยากมีสุข ศาสนาก็ชี้ช่อง แต่คนไทยเอามือซุกหีบ ไม่ทำ ... ไม่เรียกกรรม เรียกอะไร ฤาจะรอเครื่องมือแพทย์มาช่วยตน ครั้นพอใกล้จะตาย ก็ร้องหาศาสนา ช่วยด้วย ๆๆๆๆๆๆๆ เขาก็ย้อนกลับมาว่า ตอนที่ยังมีแรง มีกำลัง ทำไมจึงวางเฉย ไม่ทำสุขให้ผู้อื่น จะได้มีผลย้อนมาช่วยตน แล้วจะร้องทำไมเล่า ให้ผู้อื่นช่วย
วิทยาการของโลก แค่รักษาโรค ก็มองไม่เห็นทางแล้ว จะให้ทำไม่เกิดโรค ... ตายอีกกี่ชาติ เกิดใหม่มาก็ยิ่งไม่มีทางทำได้ ดันเชื่อ .... แต่ศาสนาทำได้ กลับวางเฉย ไม่ทำซะงั้น ... การพานพบศาสนา ก็สูญเปล่า แลพรหมลิขิตดีสักเพียงไหน เชื่อหรือว่า ชาติหน้า ชาติไหนจะได้เวียนมาพบศาสนาดีๆที่แม่ชีเมี้ยนนำมานี้อีก ด้วยพฤติกรรมในวันนี้ คงยากแล้ว
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
สุข
คงไม่ใครคนใดที่ไม่ปรารถนาจะมีสุข ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เวลานี้จมอยู่กับกองทุกข์ คือ โรค ที่บีบเค้นร่างกายและวิญญาณทุกเมื่อเชื่อวัน
จะด้วยบุญเก่า อย่างที่ อ.อร่าม มักกล่าวเสมอ หรืออะไรก็ตามแต่ พัดพาเราท่านให้มาถึงแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ บทบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้พิจารณาว่า อันสุขนั้น จะแสวงหามาใส่ตนสักฉันใด ไม่ได้เลย หนทางที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความสุข กลับกลายเป็นการตีวัวกระทบคราดซะงั้น นั่นก็คือ ต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นก่อน แล้วผลนั้นจึงย้อนกลับมายังตน เฉกเช่นเดียวกับกรรมฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราสร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น วันนี้มันย้อนมายังตนแล้ว
ภาพอันเด่นชัดของศาสนา ที่เป็นดินแดนสงบสุข ... สงบ แล้วจึงสุข ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง เพราะนั่นคือ เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
การมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของเราท่าน จึงมาหาความสงบ เพื่อสร้างสุข แต่ครั้นพอคนทั้งหลายมาแล้ว ดูตัวอย่างคนที่มาก่อน โฆษณาว่าสมุนไพรดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำลายศาสนาสิ้น นั่นคือ หาความสงบสุขไม่ได้เลย เอาแต่สมุนไพร
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า จะมาทำเพื่อช่วยคนหรือฆ่าคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนพระเสมอว่า การทำสมุนไพรช่วยคน อยากจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องทำพร้อมกาย วาจา ใจ มิใช่ห้ามพูด หากแต่การพูดหรือใช้วาจา ก็ควรอยู่ในร่องธรรม พูดสิ่งที่ดี อาทิ คุยกันในเรื่องการปฏิบัติ หรือวินัยธรรมที่ตนสงสัย หากอยู่คนเดียว หรือไม่อยากคุย เอาชัว ก็สวดมนต์ไปทำไป
แต่ภาพที่ปรากฎในวันนี้ พอใจกับการอุทิศตนของตนแล้ว ฉันเป็นจิตอาสา มาทำก็เหนื่อย ค่าสูงส่งยิ่ง ดังนั้น ฉันก็ไม่ต้องสวดมนต์ตามที่ท่านอาสิสอนก็ได้ ฉันไม่ต้องควบคุม อยากพูดอะไรก็ได้ นั่นก็ยังพอทำเนา แต่คนไม่รู้มาทีหลัง เห็นรุ่นพึ่ทำแบบนี้ได้ ก็คิดว่าทำได้ ... เลยไม่เหลือภาพความสงบในหมู่จิตอาสาแทบจะให้เห็นเลย
น่าเสียดาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า มือทำ เอาปากลบไปเสียหมด เลยยังไม่รู้ว่า ที่เหนื่อยนั้น ที่เสียสละนั้น จะเหลือกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจ หลายคนบอก เป็นจิตอาสามาตั้งนาน สภาพของตนก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง
บทสรุป ทุกวันนี้ จึงยังมองไม่เห็นร่องธรรมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้คนทั้งหลายเห็น พิจารณา แล้วทำตาม เพื่อยังผลของตนสมปรารถนาได้เลย ถ้าใครถามว่า ฉันจะหายโรคอย่างไร แรงที่ลงไปมากมาย ของทุกคน ผลที่ได้มันจึงน้อย
อยากจะเห็นความเฉียบขาดในการช่วยมนุษย์ให้หายโรค ของศาสนา ลองมองแผ่นดินนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนวัด ทำตนเสมือนพวกที่ไปหาเจ้า นั่งสงบเงียบ ตั้งใจฟัง ยามที่จะขอหวย เป็นต้นแบบให้คนที่มาทีหลังเห็นว่า จะพึงรอด พระภูมีสอนว่าบูชาศาสนา ก็ด้วยลดกิริยา สร้างสุขให้ผู้อื่น
พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า "มีที่เว้นบ้าง" มิใช่จะเอาแต่นิสัยสันดานตนมาใช้ ไม่มีที่เว้นเลย แล้วจะให้กรรมมันเว้น ได้อย่างไร
ถามตนเองก่อน พฤติกรรมของเรา สร้างสุขให้ผู้อื่นหรือไม่ ก็คนที่หนึ่งคุย คนที่สองมา มันก็คุยตาม สามสี่ห้า จะไปเหลืออะไร มันก็นึกว่าคุยแล้วก็รอดได้ เท่ากับชี้ช่องผิด หรือพูดง่ายๆ กำลังฆ่าคนนั่นเอง แล้วผลที่จะย้อนกลับมายังตน จะเป็นอะไร เป็นสุขได้หรือ หายโรคได้หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลักศาสนาเป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ดูง่ายใครจะรอด ใครจะหาย ก็ถ้าพฤติกรรม ในระหว่างกิจกรรมของศาสนา กับภายนอกมันเหมือนกัน ก็เรียบร้อย ใครที่มีสติ อยู่ในกรรมฐานสงฆ์ ในการทำกิจกรรม สงบได้ นั่นแหละรอด
มาร่วมสร้างแบบอย่างที่รอด กันดีกว่าไหม แบบที่มาแล้วช่วยไม่ได้ มีเต็มโลกแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิสอน อย่างน้อยก็ทำเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ทำให้เราท่านมีโอกาสพ้นทุกข์ โชว์ให้โลกเห็น ได้เป็นทางเลือก ว่า หากอยากจะหายโรค ทำได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมตนบางสิ่งบางอย่าง บางเวลา และให้สุขแก่ผู้อื่น หนีความวุ่นวายโลกภายนอก มาสงบตนในแผ่นดินนี้ นี่แหละช่วยตนพ้นทุกข์ได้ ได้ทั้งสุขกายคือ หายโรค และสุขนิสัย อันจะเป็นเครื่องมือสร้างกรรมดีรอตนในวันข้างหน้า
จะด้วยบุญเก่า อย่างที่ อ.อร่าม มักกล่าวเสมอ หรืออะไรก็ตามแต่ พัดพาเราท่านให้มาถึงแผ่นดินของหลวงพ่อนิพนธ์
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ บทบัญญัติของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้พิจารณาว่า อันสุขนั้น จะแสวงหามาใส่ตนสักฉันใด ไม่ได้เลย หนทางที่จะทำให้ตนถึงซึ่งความสุข กลับกลายเป็นการตีวัวกระทบคราดซะงั้น นั่นก็คือ ต้องสร้างสุขให้ผู้อื่นก่อน แล้วผลนั้นจึงย้อนกลับมายังตน เฉกเช่นเดียวกับกรรมฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราสร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น วันนี้มันย้อนมายังตนแล้ว
ภาพอันเด่นชัดของศาสนา ที่เป็นดินแดนสงบสุข ... สงบ แล้วจึงสุข ที่หลวงพ่อนิพนธ์พยายามสร้าง เพราะนั่นคือ เอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
การมาเพื่อปลดเปลื้องทุกข์ของเราท่าน จึงมาหาความสงบ เพื่อสร้างสุข แต่ครั้นพอคนทั้งหลายมาแล้ว ดูตัวอย่างคนที่มาก่อน โฆษณาว่าสมุนไพรดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ทำลายศาสนาสิ้น นั่นคือ หาความสงบสุขไม่ได้เลย เอาแต่สมุนไพร
แม่ชีเมี้ยนชี้ให้เห็นว่า จะมาทำเพื่อช่วยคนหรือฆ่าคน หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนพระเสมอว่า การทำสมุนไพรช่วยคน อยากจะให้สมบูรณ์ ก็ต้องทำพร้อมกาย วาจา ใจ มิใช่ห้ามพูด หากแต่การพูดหรือใช้วาจา ก็ควรอยู่ในร่องธรรม พูดสิ่งที่ดี อาทิ คุยกันในเรื่องการปฏิบัติ หรือวินัยธรรมที่ตนสงสัย หากอยู่คนเดียว หรือไม่อยากคุย เอาชัว ก็สวดมนต์ไปทำไป
แต่ภาพที่ปรากฎในวันนี้ พอใจกับการอุทิศตนของตนแล้ว ฉันเป็นจิตอาสา มาทำก็เหนื่อย ค่าสูงส่งยิ่ง ดังนั้น ฉันก็ไม่ต้องสวดมนต์ตามที่ท่านอาสิสอนก็ได้ ฉันไม่ต้องควบคุม อยากพูดอะไรก็ได้ นั่นก็ยังพอทำเนา แต่คนไม่รู้มาทีหลัง เห็นรุ่นพึ่ทำแบบนี้ได้ ก็คิดว่าทำได้ ... เลยไม่เหลือภาพความสงบในหมู่จิตอาสาแทบจะให้เห็นเลย
น่าเสียดาย หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้สติว่า มือทำ เอาปากลบไปเสียหมด เลยยังไม่รู้ว่า ที่เหนื่อยนั้น ที่เสียสละนั้น จะเหลือกลับบ้านหรือเปล่า ก็ไม่แปลกใจ หลายคนบอก เป็นจิตอาสามาตั้งนาน สภาพของตนก็ยังมองไม่เห็นฝั่ง
บทสรุป ทุกวันนี้ จึงยังมองไม่เห็นร่องธรรมที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ให้คนทั้งหลายเห็น พิจารณา แล้วทำตาม เพื่อยังผลของตนสมปรารถนาได้เลย ถ้าใครถามว่า ฉันจะหายโรคอย่างไร แรงที่ลงไปมากมาย ของทุกคน ผลที่ได้มันจึงน้อย
อยากจะเห็นความเฉียบขาดในการช่วยมนุษย์ให้หายโรค ของศาสนา ลองมองแผ่นดินนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสมือนวัด ทำตนเสมือนพวกที่ไปหาเจ้า นั่งสงบเงียบ ตั้งใจฟัง ยามที่จะขอหวย เป็นต้นแบบให้คนที่มาทีหลังเห็นว่า จะพึงรอด พระภูมีสอนว่าบูชาศาสนา ก็ด้วยลดกิริยา สร้างสุขให้ผู้อื่น
พูดฟังง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ ก็บอกว่า "มีที่เว้นบ้าง" มิใช่จะเอาแต่นิสัยสันดานตนมาใช้ ไม่มีที่เว้นเลย แล้วจะให้กรรมมันเว้น ได้อย่างไร
ถามตนเองก่อน พฤติกรรมของเรา สร้างสุขให้ผู้อื่นหรือไม่ ก็คนที่หนึ่งคุย คนที่สองมา มันก็คุยตาม สามสี่ห้า จะไปเหลืออะไร มันก็นึกว่าคุยแล้วก็รอดได้ เท่ากับชี้ช่องผิด หรือพูดง่ายๆ กำลังฆ่าคนนั่นเอง แล้วผลที่จะย้อนกลับมายังตน จะเป็นอะไร เป็นสุขได้หรือ หายโรคได้หรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า หลักศาสนาเป็นหลักปราชญ์ ดังนั้น ดูง่ายใครจะรอด ใครจะหาย ก็ถ้าพฤติกรรม ในระหว่างกิจกรรมของศาสนา กับภายนอกมันเหมือนกัน ก็เรียบร้อย ใครที่มีสติ อยู่ในกรรมฐานสงฆ์ ในการทำกิจกรรม สงบได้ นั่นแหละรอด
มาร่วมสร้างแบบอย่างที่รอด กันดีกว่าไหม แบบที่มาแล้วช่วยไม่ได้ มีเต็มโลกแล้ว
ก็อย่างที่ท่านอาสิสอน อย่างน้อยก็ทำเพื่อแสดงความกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธ ต่อหลวงพ่อนิพนธ์ ที่ทำให้เราท่านมีโอกาสพ้นทุกข์ โชว์ให้โลกเห็น ได้เป็นทางเลือก ว่า หากอยากจะหายโรค ทำได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมตนบางสิ่งบางอย่าง บางเวลา และให้สุขแก่ผู้อื่น หนีความวุ่นวายโลกภายนอก มาสงบตนในแผ่นดินนี้ นี่แหละช่วยตนพ้นทุกข์ได้ ได้ทั้งสุขกายคือ หายโรค และสุขนิสัย อันจะเป็นเครื่องมือสร้างกรรมดีรอตนในวันข้างหน้า
วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
สวนทาง
ความจริงของโลก พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีมนุษย์หรือสรรพสัตว์ใดในโลกที่จะเหนือกรรม หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวในโลก"
หากเราท่านย้อนไปดูประวัติศาสตร์ แล้วตั้งคำถาม แล้วพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ใช้สิ่งใดเล่า จึงสามารถชนะกรรมได้ แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ปัญญาของโลกุตตระ และอำนาจธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า ก็แล้วพระพุทธเจ้าทำอย่างไร จึงหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เล่า ก็ด้วยการตัดกิเลส นิสัย สันดาน อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อหันกลับมายังเราท่าน ปรารถนาก็เพียงแค่หายโรค ซึ่งเป็นงานที่ง่ายกว่าเยอะ และทำได้
แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาการกระทำ ที่ชี้จุดว่า เหตุเกิดจากนิสัย ปฐมบทที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือ การลดนิสัยกาย ด้วยการเปลี่ยนเป็นเพศบรรพชิต หรือบวช แล้วจึงตามด้วยลดนิสัย วาจา และ ใจ
การหายโรค ย่อมหลีกหนี การต้องเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เลย คนที่มาเพื่ออยากหายโรค แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ก็ต้องทำตนเป็นพระขอนิสัย
เพราะนิสัยใหม่ การกระทำใหม่ อันเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า จักทำให้พรหมลิขิตของเราท่านเปลี่ยนได้ พ้นโรคได้ และมีชีวิตที่ปลอดภัย
ยุคถ้ำกระบอก คำถามที่คนทั้งหลายมักจะเจอ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหนัก ก็คือ บวชได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็กลับบ้านไป
หลวงพ่อนิพนธ์ แปลความให้ฟังว่า นั่นหมายความว่า หากจะเอาเป็นมาตรฐาน ที่คนอยากหายโรค ต้องทำ และเมื่อทำได้ ก็สมปรารถนาทุกตัวคน นั่นก็คือ เปลี่ยนกายเป็นสงฆ์ แล้วเรียนรู้ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดนิสัยใหม่แก่ตนให้จงได้ เมื่อทำได้ ก็ได้พรหมลิขิตที่ดี ชีวิตปลอดภัย แล้วมีร่างกายสุขภาพดีเป็นของแถม สึกออกไป ก็จะพบแต่สุขสมปรารถนา
หากมาวันนี้ คนก็ยังคงอยากได้ตามหวัง แต่พฤติกรรมการกระทำ กลับสวนทางกับสิ่งที่คนรักษาบอก แทบจะทุกตัวคน
บวชได้ไหม ... ไม่ได้ มีภาระเยอะ ... มาปฏิบัติกิจ สัปดาห์ละครั้งที่วัดได้ไหม .. ไม่ได้ ... ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ... มารับสมุนไพร สัปดาห์ละครั้ง และทำกิจกรรม ได้ไหม ... ไม่ได้ มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ที่จะไม่สวดมนต์ ไม่พัฒนาตนใดๆเลย สิ่งที่คนรักษาบอก ทำแล้วช่วยตนได้ วางเฉย แต่สิ่งที่หมอบอก เจ้าบอก เจ้าพิธีบอก ทำตามหมด ไม่มีบิดพริ้ว ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นช่วยตนไม่ได้เลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า มันจึงเป็นการยาก ที่จะหวังผล เพราะคนทั้งหลายทั้งปวง เอาตนเป็นที่ตั้ง ไม่ทำตนเหมือนไปหาหมอ ที่บอกอะไรก็ทำตาม อย่างเคร่งครัด สถานที่นี้ ใครทำตาม และทำได้ มาตรฐาน การันตีได้รอดทุกตัวคน และกลายเป็นคนดี ที่สังคมอยากได้ ไม่มีใครอยากทำ แต่ทุกคนอยากรอด ก็คงได้แค่อยาก แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่
หนักไปกว่านั้นอีก หนทางรอดที่เกิดจากความสงบ แต่คนที่อยากรอด กลับมาทำลายสิ้น ใช้นิสัยตน อ้างตนเป็นจิตอาสาบ้าง เป็นแล้วคุยได้ สถานที่สงบทำให้คนรอด ก็เลยกลายเป็นชวนกันมาตาย เพราะคนที่มาไม่รู้ เห็นคนมาก่อน คุยได้ เล่นได้ ไม่ต้องสงบ กูก็ทำมั่ง
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องแยก อยากทำแบบชิวๆ เล่นกันตามสันดานนิสัย ก็ไปมูลนิธิ ที่ซึ่งวัดดวงกันเอาเอง จะหาผลเป็นแก่นสารไม่ได้ ใครทำใครได้ กับสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ที่ซึ่งเดินตามมาตรฐาน ของพระพุทธศาสนา เป็นที่สงบ เป็นที่ปฏิบัติ ฝึกสร้างนิสัยพระพุทธ ที่ใครทำได้ การันตีรอดทุกตัวคน
แต่ก็นั่นแหละ คนทั้งหลายก็อ้างความเห็น ความจำเป็น ปฏิบัติ เริ่มที่การบวช เปลี่ยนกายก่อน ก็ต่อรอง ... ไม่รู้หรอกว่า ไม่คิดหรอกว่า ... ถามกรรมเขาแล้วหรือยัง เขาจะยอมหรือไม่
ยิ่งพฤติกรรมสวนทางกับมาตรฐานเท่าไหร ยิ่งห่างไกลผลที่จะพึงได้เท่านั้น สถานที่สร้างเป็นเอกลักษณ์ของศาสนา เพราะเล็งเห็นว่า ความสงบ จึงเป็นบ่อเกิดหนทางช่วยให้รอด รู้แล้วควรช่วยสร้างหนทางรอด แต่มองดูความจริง ยิ่งอยู่นาน ยิ่งทำลาย มันกลายเป็นตลาดไปแล้ว เล่นบรรเลงกันมั่ว .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติว่า "ตลาดมันช่วยใครได้บ้างเล่า"
วันหนึ่งสมุนไพรที่รับจากมูลนิธิก็จะด้อยค่าลง กลายเป็นเสมือนกินน้ำ ก็เท่านั้น
ฤาถึงเวลาแล้ว ที่วัดกันไปเลย ใครอยากรอดก็บวช ใครไม่บวชก็บ้านใครบ้านมัน เหมือนยุคถ้ำกระบอก ของแม่ชีเมี้ยน ... จะมาเสียเวลากันทำไม เมื่อทำแล้วไม่ได้ผล ช่วยแล้วไม่ได้คนดี ทำเสมือนศาสนาเป็นขี้ข้า
หากเราท่านย้อนไปดูประวัติศาสตร์ แล้วตั้งคำถาม แล้วพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ใช้สิ่งใดเล่า จึงสามารถชนะกรรมได้ แม่ชีเมี้ยนก็ตรัสชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ปัญญาของโลกุตตระ และอำนาจธรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ให้พิจารณาว่า ก็แล้วพระพุทธเจ้าทำอย่างไร จึงหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้เล่า ก็ด้วยการตัดกิเลส นิสัย สันดาน อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อหันกลับมายังเราท่าน ปรารถนาก็เพียงแค่หายโรค ซึ่งเป็นงานที่ง่ายกว่าเยอะ และทำได้
แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาการกระทำ ที่ชี้จุดว่า เหตุเกิดจากนิสัย ปฐมบทที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือ การลดนิสัยกาย ด้วยการเปลี่ยนเป็นเพศบรรพชิต หรือบวช แล้วจึงตามด้วยลดนิสัย วาจา และ ใจ
การหายโรค ย่อมหลีกหนี การต้องเปลี่ยนนิสัยไม่ได้เลย คนที่มาเพื่ออยากหายโรค แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ก็ต้องทำตนเป็นพระขอนิสัย
เพราะนิสัยใหม่ การกระทำใหม่ อันเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า จักทำให้พรหมลิขิตของเราท่านเปลี่ยนได้ พ้นโรคได้ และมีชีวิตที่ปลอดภัย
ยุคถ้ำกระบอก คำถามที่คนทั้งหลายมักจะเจอ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหนัก ก็คือ บวชได้ไหม ถ้าไม่ได้ ก็กลับบ้านไป
หลวงพ่อนิพนธ์ แปลความให้ฟังว่า นั่นหมายความว่า หากจะเอาเป็นมาตรฐาน ที่คนอยากหายโรค ต้องทำ และเมื่อทำได้ ก็สมปรารถนาทุกตัวคน นั่นก็คือ เปลี่ยนกายเป็นสงฆ์ แล้วเรียนรู้ ปฏิบัติ เพื่อให้เกิดนิสัยใหม่แก่ตนให้จงได้ เมื่อทำได้ ก็ได้พรหมลิขิตที่ดี ชีวิตปลอดภัย แล้วมีร่างกายสุขภาพดีเป็นของแถม สึกออกไป ก็จะพบแต่สุขสมปรารถนา
หากมาวันนี้ คนก็ยังคงอยากได้ตามหวัง แต่พฤติกรรมการกระทำ กลับสวนทางกับสิ่งที่คนรักษาบอก แทบจะทุกตัวคน
บวชได้ไหม ... ไม่ได้ มีภาระเยอะ ... มาปฏิบัติกิจ สัปดาห์ละครั้งที่วัดได้ไหม .. ไม่ได้ ... ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ... มารับสมุนไพร สัปดาห์ละครั้ง และทำกิจกรรม ได้ไหม ... ไม่ได้ มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้า ที่จะไม่สวดมนต์ ไม่พัฒนาตนใดๆเลย สิ่งที่คนรักษาบอก ทำแล้วช่วยตนได้ วางเฉย แต่สิ่งที่หมอบอก เจ้าบอก เจ้าพิธีบอก ทำตามหมด ไม่มีบิดพริ้ว ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นช่วยตนไม่ได้เลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวเสมอว่า มันจึงเป็นการยาก ที่จะหวังผล เพราะคนทั้งหลายทั้งปวง เอาตนเป็นที่ตั้ง ไม่ทำตนเหมือนไปหาหมอ ที่บอกอะไรก็ทำตาม อย่างเคร่งครัด สถานที่นี้ ใครทำตาม และทำได้ มาตรฐาน การันตีได้รอดทุกตัวคน และกลายเป็นคนดี ที่สังคมอยากได้ ไม่มีใครอยากทำ แต่ทุกคนอยากรอด ก็คงได้แค่อยาก แต่ไม่รู้จะรอดหรือไม่
หนักไปกว่านั้นอีก หนทางรอดที่เกิดจากความสงบ แต่คนที่อยากรอด กลับมาทำลายสิ้น ใช้นิสัยตน อ้างตนเป็นจิตอาสาบ้าง เป็นแล้วคุยได้ สถานที่สงบทำให้คนรอด ก็เลยกลายเป็นชวนกันมาตาย เพราะคนที่มาไม่รู้ เห็นคนมาก่อน คุยได้ เล่นได้ ไม่ต้องสงบ กูก็ทำมั่ง
เราจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมหลวงพ่อนิพนธ์จึงต้องแยก อยากทำแบบชิวๆ เล่นกันตามสันดานนิสัย ก็ไปมูลนิธิ ที่ซึ่งวัดดวงกันเอาเอง จะหาผลเป็นแก่นสารไม่ได้ ใครทำใครได้ กับสถานปฏิบัติธรรมแม่ชีเมี้ยนกรุณา ที่ซึ่งเดินตามมาตรฐาน ของพระพุทธศาสนา เป็นที่สงบ เป็นที่ปฏิบัติ ฝึกสร้างนิสัยพระพุทธ ที่ใครทำได้ การันตีรอดทุกตัวคน
แต่ก็นั่นแหละ คนทั้งหลายก็อ้างความเห็น ความจำเป็น ปฏิบัติ เริ่มที่การบวช เปลี่ยนกายก่อน ก็ต่อรอง ... ไม่รู้หรอกว่า ไม่คิดหรอกว่า ... ถามกรรมเขาแล้วหรือยัง เขาจะยอมหรือไม่
ยิ่งพฤติกรรมสวนทางกับมาตรฐานเท่าไหร ยิ่งห่างไกลผลที่จะพึงได้เท่านั้น สถานที่สร้างเป็นเอกลักษณ์ของศาสนา เพราะเล็งเห็นว่า ความสงบ จึงเป็นบ่อเกิดหนทางช่วยให้รอด รู้แล้วควรช่วยสร้างหนทางรอด แต่มองดูความจริง ยิ่งอยู่นาน ยิ่งทำลาย มันกลายเป็นตลาดไปแล้ว เล่นบรรเลงกันมั่ว .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้สติว่า "ตลาดมันช่วยใครได้บ้างเล่า"
วันหนึ่งสมุนไพรที่รับจากมูลนิธิก็จะด้อยค่าลง กลายเป็นเสมือนกินน้ำ ก็เท่านั้น
ฤาถึงเวลาแล้ว ที่วัดกันไปเลย ใครอยากรอดก็บวช ใครไม่บวชก็บ้านใครบ้านมัน เหมือนยุคถ้ำกระบอก ของแม่ชีเมี้ยน ... จะมาเสียเวลากันทำไม เมื่อทำแล้วไม่ได้ผล ช่วยแล้วไม่ได้คนดี ทำเสมือนศาสนาเป็นขี้ข้า
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ยังกลัว
หลวงพ่อนิพนธ์มักเตือนสงฆ์ของท่านเสมอว่า "พระพุทธเจ้า กลัวที่สุดก็คือกรรม"
เพราะกรรมมีอำนาจ สามารถแทรกเข้ามาในตัวเรา ล่อหลอกให้เราทำกรรมได้อย่างง่ายดาย แลเมื่อทำแล้ว ก็ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ จะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น
คำสอนที่ตามมา จึงชี้ว่า "เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
วันเวลาผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน มีพฤติกรรมท้ากรรม เย้ยธรรมชาติ คุยโตโอ้อวดว่าสามารถเอาชนะธรรมชาติ ชนะกรรมได้
สร้างตึกทนทานแผ่นดินไหว สร้างสะพานทนทานพายุ สร้างยาเคมีพิชิตโรค ... แลวันเวลาก็จักเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่โลกเขย่าเบาๆ ตึกก็พังแล้ว แค่พายุคลื่นสึนามิ อย่าว่าแต่สะพานเลย เมืองยังล่ม ยอดเสียชีวิตจากโรค ไม่ว่า มะเร็ง เบาหวาน ไต .... ทะลุหลักทำลายสถิติทุกปี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงแปลความหมายว่า เราท่านที่มาเพื่อจะหายโรค จะทำได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา พูดฟังง่ายก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครทำได้ หรือ ปัญญาโลกทำไม่ได้ เราท่านจึงมาพึ่งศาสนา มาใช้พระธรรมของพระภูมี ที่พิสูจน์แล้วว่า "ชนะกรรม ชนะเวร ชนะโรค"
เมื่อใช้ปัญญาโลก ไม่ว่าศาสตร์แขนงใด จะใช้นิสัยเช่นใด ใครก็ไม่สน แต่หากจะมาชนะโรค ใช้ปัญญาของศาสนา ไม่ลดกิริยา ไม่ควบคุมนิสัย ตามรอยพระภูมี เท่ากับท้ากรรม ขนาดพระพุทธยังกลัว ยังไม่กล้าท้ากรรมเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นของเป็น จักดีเลิศ ก็แต่เฉพาะคนมีธรรม เท่านั้นเอง หากผู้มีนิสัยโจรมาทานแล้วไซร้ ก็กลายเป็นน้ำ กินแล้วก็ผ่าน เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้แนะสงฆ์ของท่านเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาอยู่สูง มีแต่ทำตนสูงขึ้นไปหา ไม่มีหรอกที่จะโน้มลงมาให้เราดึงท่านต่ำ หาไม่แล้วท่านก็อุเบกขาเฉย จะร้องร่ำ กราบไหว้สักฉันใด มิเพียงไม่ช่วย แม้นแต่แลยังไม่มีเลย
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก คนทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแต่บอกว่า ยาสมุนไพรนั้นดี รักษายาเสพติดเฉียบขาดนัก แต่คนทั้งหลายไม่รู้หรอกว่า เหตุเพราะคนที่จะบำบัด ต้องวางสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพ ไม่ค้า เป็นคำมั่นสัญญาเสียก่อน ผลจึงเกิด
นั่นแปลว่า ต้องเปลี่ยนตน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ แล้วทำการกระทำใหม่ที่ดี เป็นคุณสมบัติ รองรับอำนาจ มาใส่ในสมุนไพร ผลจึงเกิด
จะมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิด หลอกกินสมุนไพร หายแล้วก็ไป นั่นประเมินกรรมต่ำไปแล้ว แล้วก็มีพฤติกรรมมองศาสนาเป็นขี้ข้า จะเอาแต่นิสัยสันดานตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา ลำพังตีนกรรม ทำให้เป็นโรค ก็สาหัสแล้ว หากมาเกินเลยศาสนา เหมือนเทวทัต เจอตีนฟ้า หมั่นไส้ แม้นแต่ธรณีก็ยังรับไม่ไหว ก็มีในประวัติศาสตร์ให้เห็นให้อ่านแล้วมิใช่หรือ
ฟัง พิจารณา ที่ท่านอาสิสอน ไม่เอา ไม่ทำ ไม่ว่า ไม่ยุ่งกัน บ้านใครบ้านมัน แต่มาแล้วไม่ทำ เหมือนท้ากรรม เย้ยศาสนา ผู้อื่นตามมาก็นึกว่าทำได้ ก็ทำมั่ง ผลการกระทำนี้เหมือนเทวทัตน่ะท่านทั้งหลาย ไปทำที่อื่นดีกว่า อย่างน้อยก็กรรมเพียวๆ
เอกลักษณ์ของศาสนา ย่อมเป็นที่สงบ สร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะเป็นที่รวมของคนทุกข์ แล้วแน่มาจากไหน เอานิสัยมาบรรเลง ทำลายเสีย "กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ถ้าไม่กลัวกรรม ก็อย่ามายุ่งกับธรรมเลย
พิจารณาแล้วจะเห็นที่มาว่า "หมองูตายเพราะงู" ก็อวดว่ารักษาโรคนั้นได้ โรคนี้ได้ ชนะเวรชนะกรรมได้ ท้ายที่สุดก็เป็นโรคตาย รายแล้วรายเล่า
เพราะกรรมมีอำนาจ สามารถแทรกเข้ามาในตัวเรา ล่อหลอกให้เราทำกรรมได้อย่างง่ายดาย แลเมื่อทำแล้ว ก็ย่อมต้องรับผลแห่งกรรมนั้นๆ จะปฏิเสธสักฉันใดก็ไม่พ้น
คำสอนที่ตามมา จึงชี้ว่า "เกิดเป็นคน อย่าท้ากรรม"
วันเวลาผ่านมา หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า มนุษย์ทั้งหลายเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน มีพฤติกรรมท้ากรรม เย้ยธรรมชาติ คุยโตโอ้อวดว่าสามารถเอาชนะธรรมชาติ ชนะกรรมได้
สร้างตึกทนทานแผ่นดินไหว สร้างสะพานทนทานพายุ สร้างยาเคมีพิชิตโรค ... แลวันเวลาก็จักเป็นเครื่องพิสูจน์ แค่โลกเขย่าเบาๆ ตึกก็พังแล้ว แค่พายุคลื่นสึนามิ อย่าว่าแต่สะพานเลย เมืองยังล่ม ยอดเสียชีวิตจากโรค ไม่ว่า มะเร็ง เบาหวาน ไต .... ทะลุหลักทำลายสถิติทุกปี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงแปลความหมายว่า เราท่านที่มาเพื่อจะหายโรค จะทำได้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา พูดฟังง่ายก็คือ คนทั้งโลกไม่มีใครทำได้ หรือ ปัญญาโลกทำไม่ได้ เราท่านจึงมาพึ่งศาสนา มาใช้พระธรรมของพระภูมี ที่พิสูจน์แล้วว่า "ชนะกรรม ชนะเวร ชนะโรค"
เมื่อใช้ปัญญาโลก ไม่ว่าศาสตร์แขนงใด จะใช้นิสัยเช่นใด ใครก็ไม่สน แต่หากจะมาชนะโรค ใช้ปัญญาของศาสนา ไม่ลดกิริยา ไม่ควบคุมนิสัย ตามรอยพระภูมี เท่ากับท้ากรรม ขนาดพระพุทธยังกลัว ยังไม่กล้าท้ากรรมเลย
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรเป็นของเป็น จักดีเลิศ ก็แต่เฉพาะคนมีธรรม เท่านั้นเอง หากผู้มีนิสัยโจรมาทานแล้วไซร้ ก็กลายเป็นน้ำ กินแล้วก็ผ่าน เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้แนะสงฆ์ของท่านเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาอยู่สูง มีแต่ทำตนสูงขึ้นไปหา ไม่มีหรอกที่จะโน้มลงมาให้เราดึงท่านต่ำ หาไม่แล้วท่านก็อุเบกขาเฉย จะร้องร่ำ กราบไหว้สักฉันใด มิเพียงไม่ช่วย แม้นแต่แลยังไม่มีเลย
ย้อนอดีตถ้ำกระบอก คนทั้งหลายทั้งปวง ล้วนแต่บอกว่า ยาสมุนไพรนั้นดี รักษายาเสพติดเฉียบขาดนัก แต่คนทั้งหลายไม่รู้หรอกว่า เหตุเพราะคนที่จะบำบัด ต้องวางสัจจะ ไม่สูบ ไม่เสพ ไม่ค้า เป็นคำมั่นสัญญาเสียก่อน ผลจึงเกิด
นั่นแปลว่า ต้องเปลี่ยนตน เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนใจ แล้วทำการกระทำใหม่ที่ดี เป็นคุณสมบัติ รองรับอำนาจ มาใส่ในสมุนไพร ผลจึงเกิด
จะมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิด หลอกกินสมุนไพร หายแล้วก็ไป นั่นประเมินกรรมต่ำไปแล้ว แล้วก็มีพฤติกรรมมองศาสนาเป็นขี้ข้า จะเอาแต่นิสัยสันดานตน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้พิจารณา ลำพังตีนกรรม ทำให้เป็นโรค ก็สาหัสแล้ว หากมาเกินเลยศาสนา เหมือนเทวทัต เจอตีนฟ้า หมั่นไส้ แม้นแต่ธรณีก็ยังรับไม่ไหว ก็มีในประวัติศาสตร์ให้เห็นให้อ่านแล้วมิใช่หรือ
ฟัง พิจารณา ที่ท่านอาสิสอน ไม่เอา ไม่ทำ ไม่ว่า ไม่ยุ่งกัน บ้านใครบ้านมัน แต่มาแล้วไม่ทำ เหมือนท้ากรรม เย้ยศาสนา ผู้อื่นตามมาก็นึกว่าทำได้ ก็ทำมั่ง ผลการกระทำนี้เหมือนเทวทัตน่ะท่านทั้งหลาย ไปทำที่อื่นดีกว่า อย่างน้อยก็กรรมเพียวๆ
เอกลักษณ์ของศาสนา ย่อมเป็นที่สงบ สร้างสุขให้ผู้อื่น เพราะเป็นที่รวมของคนทุกข์ แล้วแน่มาจากไหน เอานิสัยมาบรรเลง ทำลายเสีย "กรรมน่ะ กรรม จำไว้ให้ดี กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"
ถ้าไม่กลัวกรรม ก็อย่ามายุ่งกับธรรมเลย
พิจารณาแล้วจะเห็นที่มาว่า "หมองูตายเพราะงู" ก็อวดว่ารักษาโรคนั้นได้ โรคนี้ได้ ชนะเวรชนะกรรมได้ ท้ายที่สุดก็เป็นโรคตาย รายแล้วรายเล่า
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ต้องธรรมด้วย
เคยสงสัยไหมว่า ทำไม ค้ำจุนโลก จึงต้องใช้ "เมตตาธรรม" ก็แค่เมตตาอย่างเดียวไม่พอหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า อันเมตตาของมนุษย์ที่มีมาตามนิสัยสันดานเดิม มักจะเป็นไปตามกรรมที่มีมาในอดีตเป็นสำคัญ อาทิ บิดามารดา มีต่อบุตร หรือแม้นกระทั่ง สรรพสัตว์ ที่เลี้ยงอยู่
เมตตานั้น เป็นเนื่องด้วยกรรมทำกันมา มีสายใยผูกพันธ์เป็นต่อก่อเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นชัด ดูคนที่บอกว่ารักเมตตาสัตว์นั่นสิ สัตว์เลี้ยงของตนดูแลฟูมฟักอย่างดี กินดี อยู่ดี ให้ความรักใคร แต่กับที่ไม่ใช่ของตัว หรือแม้นแต่คน กลับไม่แยแส มีให้เห็นมากมาย
ครั้นเมื่อเจอศาสนา ที่สอนให้เราท่านมีเมตตา เริ่มจากความคิดพื้นฐาน ที่พระภูมีทรงสอน นั่นคือ "ให้สุขแก่ผู้อื่น" ดังนั้น จึงเมตตาเสมอเหมือนกันหมด อาทิเช่นในมูลนิธิ ไม่ว่าใครผ่านมา ก็ได้รับอนุเคราะห์เมตตาเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พระภูมียังตอกย้ำอีกว่า หากจะให้สมบูรณ์ในเมตตานั้น ก็ควรทำเสมือนหนึ่งเป็นธรรมที่ทรงให้ นั่นคือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เมตตาธรรม จึงค้ำจุนโลกใบนี้ได้ เพราะการให้นั้น ไม่จำกัดเฉพาะคนที่ตนรัก ตนชอบ ไม่มีสิ่งแอบแฝงในการให้ ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ สิ่งที่ให้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ เราท่านพึงจักกระทำได้นั่นเอง สิ่งที่ให้ย่อมพิจารณาแล้วว่าไม่มีโทษ ด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่น
บทสรุป จึงไม่แปลกที่จะได้ยินท่านอาสิกล่าวเสมอว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ทำให้ ผู้ที่ทานย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษ อาการที่เกิดนั่นเป็นด้วยโรคที่เป็นแสดงอาการ เพราะถ้ามีเหตุจากสมุนไพร ย่อมต้องเกิดอาการนั้นๆกับทุกคนที่ทานเช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงไม่กลัวคนโขมย ลักไปทำ หรือแม้นแต่คนอยากเรียน ก็ยิ่งทำให้ ผลก็ยิ่งมาก คนทำก็ยิ่งเป็นภาระ จะมีใครที่ยอมเสียสละเพื่อคนทั่วไป เท่าที่เห็นก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์นี่แหละ
คนที่จะทานแล้วได้ผล ก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนทำ คือ ต้องสร้างคุณสมบัติ เป็นคนมีธรรม มีเจตนา นำกำลังที่ได้ ไปให้สุขผู้อื่น ทำตัวสอดคล้องเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่ใช่กูหายแล้วกูก็เล่นตามนิสัยสันดานเดิม กล้บไปสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ทำเช่นนั้น ช่วยคนเช่นนั้นแน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า อันเมตตาของมนุษย์ที่มีมาตามนิสัยสันดานเดิม มักจะเป็นไปตามกรรมที่มีมาในอดีตเป็นสำคัญ อาทิ บิดามารดา มีต่อบุตร หรือแม้นกระทั่ง สรรพสัตว์ ที่เลี้ยงอยู่
เมตตานั้น เป็นเนื่องด้วยกรรมทำกันมา มีสายใยผูกพันธ์เป็นต่อก่อเกิด หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นชัด ดูคนที่บอกว่ารักเมตตาสัตว์นั่นสิ สัตว์เลี้ยงของตนดูแลฟูมฟักอย่างดี กินดี อยู่ดี ให้ความรักใคร แต่กับที่ไม่ใช่ของตัว หรือแม้นแต่คน กลับไม่แยแส มีให้เห็นมากมาย
ครั้นเมื่อเจอศาสนา ที่สอนให้เราท่านมีเมตตา เริ่มจากความคิดพื้นฐาน ที่พระภูมีทรงสอน นั่นคือ "ให้สุขแก่ผู้อื่น" ดังนั้น จึงเมตตาเสมอเหมือนกันหมด อาทิเช่นในมูลนิธิ ไม่ว่าใครผ่านมา ก็ได้รับอนุเคราะห์เมตตาเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น พระภูมียังตอกย้ำอีกว่า หากจะให้สมบูรณ์ในเมตตานั้น ก็ควรทำเสมือนหนึ่งเป็นธรรมที่ทรงให้ นั่นคือ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
เมตตาธรรม จึงค้ำจุนโลกใบนี้ได้ เพราะการให้นั้น ไม่จำกัดเฉพาะคนที่ตนรัก ตนชอบ ไม่มีสิ่งแอบแฝงในการให้ ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ สิ่งที่ให้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ เราท่านพึงจักกระทำได้นั่นเอง สิ่งที่ให้ย่อมพิจารณาแล้วว่าไม่มีโทษ ด้วยปรารถนาให้สุขแก่ผู้อื่น
บทสรุป จึงไม่แปลกที่จะได้ยินท่านอาสิกล่าวเสมอว่า สมุนไพรสูตรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ที่ทำให้ ผู้ที่ทานย่อมมีแต่คุณ ไม่มีโทษ อาการที่เกิดนั่นเป็นด้วยโรคที่เป็นแสดงอาการ เพราะถ้ามีเหตุจากสมุนไพร ย่อมต้องเกิดอาการนั้นๆกับทุกคนที่ทานเช่นกัน
ศาสตร์อันนี้ จึงไม่กลัวคนโขมย ลักไปทำ หรือแม้นแต่คนอยากเรียน ก็ยิ่งทำให้ ผลก็ยิ่งมาก คนทำก็ยิ่งเป็นภาระ จะมีใครที่ยอมเสียสละเพื่อคนทั่วไป เท่าที่เห็นก็มีแต่หลวงพ่อนิพนธ์นี่แหละ
คนที่จะทานแล้วได้ผล ก็ต้องไม่ต่างอะไรกับคนทำ คือ ต้องสร้างคุณสมบัติ เป็นคนมีธรรม มีเจตนา นำกำลังที่ได้ ไปให้สุขผู้อื่น ทำตัวสอดคล้องเป็นกิ่งทองใบหยก ไม่ใช่กูหายแล้วกูก็เล่นตามนิสัยสันดานเดิม กล้บไปสร้างทุกข์ให้ผู้อื่นอีก สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงไม่โง่ทำเช่นนั้น ช่วยคนเช่นนั้นแน
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ไม่ถูก
คำถามคาใจหลายคนแม้นจนตัวตายก็ยังไม่เข้าใจประการหนึ่ง คือ ในเมื่อเราก็กราบไหว้ นับถือ พระพุทธ มาแต่อ้อนแต่ออก เข้าวัด เข้าวา ทำบุญตามพระสอน มาก็ช้านาน ทำไมในยามนี้ เรามีทุกข์ จะร้องขอพระภูมี สักฉันใด ก็หามีผลไม่
ก็ไหนว่าเมตตา ก็ไหนว่ามีบุญญาติการก็ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์
ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไหว้เขา แต่ไม่อยู่ในร่องธรรมนั่นเอง
คำขอของเราจึงไร้ผล เพราะการกระทำของเรา เดินคนละทางกับพระภูมี ที่สอนไว้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนมาสถานที่นี้ต้องฟัง พิจารณา แล้วเอาไปทำ ให้อยู่ในร่องธรรมของเขานั่นเอง
พูดฟังง่าย ทำถูก ก็มีคุณสมบัติ ศาสนาจึงจะเกื้อกูลได้ พบปาฏิหาริย์ได้ หายโรคได้ ช่วยตนได้
บทสรุป ใครจะเชื่อว่า จะมีหมอดี ยาดี ก็ว่าไป แต่ที่นี่มีธรรมดี ของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนบูชาพระพุทธ ด้วยการลดกิริยา ลดนิสัย เป็นบุญ ช่วยตนได้
วันเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ของแท้ของเทียม ให้ปรากฎ
ความคิดมนุษย์ไม่มีทางชนะกรรมชนะโรคได้ เป็นแต่เพียงให้ฮือฮาเดี๋ยวก็ดับไป รอไปเถอะยาดี ไม่มีวันเจอ ถ้านั่นคือโรคตาย ที่มาเพื่อจบชีวิตตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มีแต่เอาชีวิตมนุษย์มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะจุดอ่อนของมนุษย์ คือ กลัวเจ็บ กลัวตาย
ก็ไหนว่าเมตตา ก็ไหนว่ามีบุญญาติการก็ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์
ท่านอาสิก็ชี้ให้เห็นว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเราไหว้เขา แต่ไม่อยู่ในร่องธรรมนั่นเอง
คำขอของเราจึงไร้ผล เพราะการกระทำของเรา เดินคนละทางกับพระภูมี ที่สอนไว้ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมคนมาสถานที่นี้ต้องฟัง พิจารณา แล้วเอาไปทำ ให้อยู่ในร่องธรรมของเขานั่นเอง
พูดฟังง่าย ทำถูก ก็มีคุณสมบัติ ศาสนาจึงจะเกื้อกูลได้ พบปาฏิหาริย์ได้ หายโรคได้ ช่วยตนได้
บทสรุป ใครจะเชื่อว่า จะมีหมอดี ยาดี ก็ว่าไป แต่ที่นี่มีธรรมดี ของพระพุทธเจ้าที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนบูชาพระพุทธ ด้วยการลดกิริยา ลดนิสัย เป็นบุญ ช่วยตนได้
วันเวลาย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ ของแท้ของเทียม ให้ปรากฎ
ความคิดมนุษย์ไม่มีทางชนะกรรมชนะโรคได้ เป็นแต่เพียงให้ฮือฮาเดี๋ยวก็ดับไป รอไปเถอะยาดี ไม่มีวันเจอ ถ้านั่นคือโรคตาย ที่มาเพื่อจบชีวิตตน
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า มีแต่เอาชีวิตมนุษย์มาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะจุดอ่อนของมนุษย์ คือ กลัวเจ็บ กลัวตาย
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
วัดกัน
หลักของพระภูมี นั้นทำยาก แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำ
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายที่ชอบสบาย อยากหายเร็วๆ ไวๆ เมื่อมาพบเจอความจริงนี้ ย่อมทำได้ยาก
และก็ไม่ยอมที่จะพิจารณาเหตุและผล ก็ย่อมท้อและเบื่อหน่าย หรือ หันไปหาหนทางที่ตอบโจทย์นิสัยของตนได้ นั่นคือ ยอมที่จะเสียเงิน แต่ไม่ยอมที่จะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ปรับเปลี่ยนนิสัยแห่งตน
ภาพที่ปรากฎ ก็เลยไม่น่าประหลาดใจแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็น การเบื่อการรอคอย เบื่อปฏิบัติ แล้วหันไปซื้อสมุนไพร จากคนที่รู้จักสูตรยาสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เรียกว่า เอาแบบจ่ายตังค์แล้วได้สมุนไพร ได้อบตัว ไม่ต้องมาทำพิธีกรรมอันใดเหมือนในมูลนิธิก็มากมี
หรือ แม้นแต่คอยเงี่ยหูฟังที่ไหนมียาดี ก็รีบไปหา แห่แหนกันไป ด้วยหวังว่า จะมีสรรพคุณวิเศษตามที่เล่าลือ กินปุ๊บหายปั๊ป ในสามวันเจ็ดวัน ไม่ต้องมายืดเยื้อใช้เวลาเหมือนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า นั่นเพราะเขาไม่เชื่อกรรม เขาคิดแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่ว่ากัน หากแต่ความจริงอันนี้ จะพิสูจน์อย่างไรในวันนี้คงไม่ได้ แต่วันเวลาที่ผ่าน ก็ย่อมจักเป็นเครื่องยืนยันว่า "โลกใบนี้ ไม่มีวันที่มนุษย์จะค้นพบยารักษาโรค หรือวิธีรักษาโรคตายได้"
ยิ่งหายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่เอารอยของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยขาดยุติธรรมแห่งโลกนั่นเอง คือ ทุกคนมีโอกาสไม่เท่ากัน
นี่แลลักษณะของกระต่ายตื่นตูม แทนที่จะตั้งสติ พิจารณา ค้นหาเหตุและผล ที่ได้ยินได้ฟังจาก ท่านอาสิ ก็วิ่งไปด้วยคิดว่าสิ่งที่ตนเป็น ฟังจากหมอนั้น น่ากลัว ด้วยคำขู่ เป็นอย่างนี้ ตาย...คำคำเดียว ก็ไม่พิจารณาอะไร คิดไปเอง ตนต้องตายแน่ในโรคที่เป็นอยู่ แล้วก็วิ่ง แห่เอาไปทางโน้นที ทางนี้ที ช่วยด้วย ที่ไหนว่ามียาดี ไปหมด หมอผี พิธีกรรม ลัทธิ ความเชื่อ พระ แม้นแต่เข้าทรงองค์เจ้า ก็ไป ล้วนแล้วแต่ทำเสมือนรถเสีย แล้ววิ่งไปหาช่างที่ไม่รู้จริง อวดสรรพคุณ แต่ทำไม่ได้ ยิ่งทำ รถยิ่งพัง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ความจริง ว่า ผู้ที่จะช่วยตนของตนได้ ก็มีแต่ตนพึ่งตน เท่านั้นแล มองไปหาอื่นไกล วิ่งหาให้เหนื่อยทำไม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากแม้นศาสตร์นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนช่วยได้แล้ว แลคนที่จะใช้ศาสตร์นี้ ก็ต้องใช้พฤติกรรมแห่งตนนั่นแลช่วยตน ท่านอาสิ ก็มีแต่เพียงคำสอน แนวทางที่จะช่วยตน ให้ไปพิจารณา แล้วทำ .... ใครทำได้ คนนั้นรอด
กรรมมันบังตา บังใจ สถานที่นี้ มีผู้คนมากมายประสพผล แต่ไม่ยอมเดิน สถานที่ที่มีแต่เสียงเล่าลือ หาคนหายจากโรคที่เป็นจริงๆไม่มีเลย เป็นตัวเป็นตนให้เห็น กลับแห่แหนกันไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยถามที่นั่นสักคำ ว่ากี่วันหาย รับรองจะหายไหม แต่เมื่อเจอของจริง ทำได้ หายแน่ ช้าเร็วก็แล้วแต่กรรมของคน ต่างกรรมต่างวาระ กำหนดไม่ได้ กลับคาดคั้น หรือ กำหนดวันซะงั้น สามเดือนหายไหม กี่วันหาย
ก็ถ้ายามันมีจริง ดีจริง หายจริง ไม่คิดหรือว่าประเทศที่ร่ำรวย มีเงิน ไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เขาจะนิ่งเฉย ไม่ทุ่มเงินมาซื้อไปให้คนของเขา มันคงไม่อยู่รอเราไปเอาหล่ะมั๊ง
ก็คีโมที่ว่าดี แล้วทำไมคนอเมริกา จึงตายด้วยมะเร็งปีละมากมายเล่า
ดั่งคำ "ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ"
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า คนมากมายที่ชอบสบาย อยากหายเร็วๆ ไวๆ เมื่อมาพบเจอความจริงนี้ ย่อมทำได้ยาก
และก็ไม่ยอมที่จะพิจารณาเหตุและผล ก็ย่อมท้อและเบื่อหน่าย หรือ หันไปหาหนทางที่ตอบโจทย์นิสัยของตนได้ นั่นคือ ยอมที่จะเสียเงิน แต่ไม่ยอมที่จะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ปรับเปลี่ยนนิสัยแห่งตน
ภาพที่ปรากฎ ก็เลยไม่น่าประหลาดใจแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็น การเบื่อการรอคอย เบื่อปฏิบัติ แล้วหันไปซื้อสมุนไพร จากคนที่รู้จักสูตรยาสมุนไพรของแม่ชีเมี้ยนไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เรียกว่า เอาแบบจ่ายตังค์แล้วได้สมุนไพร ได้อบตัว ไม่ต้องมาทำพิธีกรรมอันใดเหมือนในมูลนิธิก็มากมี
หรือ แม้นแต่คอยเงี่ยหูฟังที่ไหนมียาดี ก็รีบไปหา แห่แหนกันไป ด้วยหวังว่า จะมีสรรพคุณวิเศษตามที่เล่าลือ กินปุ๊บหายปั๊ป ในสามวันเจ็ดวัน ไม่ต้องมายืดเยื้อใช้เวลาเหมือนสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้พิจารณาว่า นั่นเพราะเขาไม่เชื่อกรรม เขาคิดแต่พึ่งผู้อื่น ก็ไม่ว่ากัน หากแต่ความจริงอันนี้ จะพิสูจน์อย่างไรในวันนี้คงไม่ได้ แต่วันเวลาที่ผ่าน ก็ย่อมจักเป็นเครื่องยืนยันว่า "โลกใบนี้ ไม่มีวันที่มนุษย์จะค้นพบยารักษาโรค หรือวิธีรักษาโรคตายได้"
ยิ่งหายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนนิสัย ไม่เอารอยของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยขาดยุติธรรมแห่งโลกนั่นเอง คือ ทุกคนมีโอกาสไม่เท่ากัน
นี่แลลักษณะของกระต่ายตื่นตูม แทนที่จะตั้งสติ พิจารณา ค้นหาเหตุและผล ที่ได้ยินได้ฟังจาก ท่านอาสิ ก็วิ่งไปด้วยคิดว่าสิ่งที่ตนเป็น ฟังจากหมอนั้น น่ากลัว ด้วยคำขู่ เป็นอย่างนี้ ตาย...คำคำเดียว ก็ไม่พิจารณาอะไร คิดไปเอง ตนต้องตายแน่ในโรคที่เป็นอยู่ แล้วก็วิ่ง แห่เอาไปทางโน้นที ทางนี้ที ช่วยด้วย ที่ไหนว่ามียาดี ไปหมด หมอผี พิธีกรรม ลัทธิ ความเชื่อ พระ แม้นแต่เข้าทรงองค์เจ้า ก็ไป ล้วนแล้วแต่ทำเสมือนรถเสีย แล้ววิ่งไปหาช่างที่ไม่รู้จริง อวดสรรพคุณ แต่ทำไม่ได้ ยิ่งทำ รถยิ่งพัง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงชี้ความจริง ว่า ผู้ที่จะช่วยตนของตนได้ ก็มีแต่ตนพึ่งตน เท่านั้นแล มองไปหาอื่นไกล วิ่งหาให้เหนื่อยทำไม
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า ศาสตร์สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา หากแม้นศาสตร์นี้ช่วยไม่ได้ ก็ไม่มีที่ไหนช่วยได้แล้ว แลคนที่จะใช้ศาสตร์นี้ ก็ต้องใช้พฤติกรรมแห่งตนนั่นแลช่วยตน ท่านอาสิ ก็มีแต่เพียงคำสอน แนวทางที่จะช่วยตน ให้ไปพิจารณา แล้วทำ .... ใครทำได้ คนนั้นรอด
กรรมมันบังตา บังใจ สถานที่นี้ มีผู้คนมากมายประสพผล แต่ไม่ยอมเดิน สถานที่ที่มีแต่เสียงเล่าลือ หาคนหายจากโรคที่เป็นจริงๆไม่มีเลย เป็นตัวเป็นตนให้เห็น กลับแห่แหนกันไป
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เคยถามที่นั่นสักคำ ว่ากี่วันหาย รับรองจะหายไหม แต่เมื่อเจอของจริง ทำได้ หายแน่ ช้าเร็วก็แล้วแต่กรรมของคน ต่างกรรมต่างวาระ กำหนดไม่ได้ กลับคาดคั้น หรือ กำหนดวันซะงั้น สามเดือนหายไหม กี่วันหาย
ก็ถ้ายามันมีจริง ดีจริง หายจริง ไม่คิดหรือว่าประเทศที่ร่ำรวย มีเงิน ไม่ว่าอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น จีน เขาจะนิ่งเฉย ไม่ทุ่มเงินมาซื้อไปให้คนของเขา มันคงไม่อยู่รอเราไปเอาหล่ะมั๊ง
ก็คีโมที่ว่าดี แล้วทำไมคนอเมริกา จึงตายด้วยมะเร็งปีละมากมายเล่า
ดั่งคำ "ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ"
วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เลยไปแล้ว
เมื่อนึกถึงการทำบุญ หลายท่านก็นึกถึงพระ นึกถึงวัด นึกถึงกฐิน ผ้าป้า การตักบาตร หลายคนอาจจะเลยไปว่า บุญใหญ่ก็สร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวัด พระพุทธรูปใหญ่ๆ เพื่อสืบศาสนา
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า บุญที่แแท้จริง คือ การทำนิสัยต่างหาก ลดนิสัยกรรม สร้างนิสัยพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน
แลเมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว การสร้างบุญ ก็กลับกลายเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ประจำวัน ที่เราท่านมองข้าม ไม่สนใจ เพราะมองเป็นเรื่องเล็ก สนแต่เรื่องใหญ่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมต้องกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธเจ้า เพราะจะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราท่านควบคุมนิสัย ควบคุมการกระทำของตน เมื่อมีสิ่งนี้ ก็จักเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อจะกระทำสิ่งใด ดั่งคำ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
ขยายความให้เห็นชัดว่า คนกตัญญูย่อมต้องทำในสิ่งที่ผู้มีคุณต้องการหรืออยากได้ เมื่อศาสนา และพระพุทธเจ้าอยากได้คนดี มีธรรม คนกตัญญู จึงมักนึกถึงเสมอหรือระลึกเป็นสติเตือนตน เมื่อจะกระทำสิ่งใด ย่อมต้องมองว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำอย่างไร หากท่านทรงเจอสิ่งนี้ แล้วก็เดินตาม
คนผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า ดูการกระทำของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง จึงเห็นธรรมของท่าน แล้วเดินตาม
บุญของพระพุทธเจ้า จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่ทรงกลัวกรรม กลัวการเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกพุทธประวัติให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ครั้นเดินธุดงค์ไป เพลาบ่ายก็ทรงหาที่พัก แลมองเห็นข้าวในนาสุกงอมแล้ว ท่านก็ทรงเก็บเกี่ยวแล้ววางไว้ ครั้นเข้าก็เดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทำอย่างนั้น ก็เพื่อไม่เป็นฝ่ายเบียดเบียนชาวบ้านแต่ถ่ายเดียวนั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า หากผู้ใดมีกตัญญู ก็จักเห็นชัดดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือมีนิสัย "อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ให้เห็นเด่นชัด
การมีนิสัยธรรม จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย เห็นสิ่งใดที่จะกระทำได้ ก็กระทำไม่วางเฉย เห็นช้อนตกหล่น ก็เก็บล้าง เอาไปไว้ที่ เห็นไฟเปิดอยู่ก็ปิดเสีย เห็นน้ำรั่ว เปิดทิ้ง ก็แก้ไข แม้นสิ่งนั้นไม่ใช่บ้านของเรา ยิ่งเป็นสถานที่ที่เราต้องไปพักพาอาศัย ยิ่งต้องสอดส่องดูแลยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา คนหนึ่งทานของปิ้งย่างเสร็จ ก็ทิ้งไม้ แล้วก็บอกว่าตนไม่เคยสร้างกรรม แต่หารู้ไม่ ไม้นั้น อาจไปทิ่มตำขาผู้อื่น จนบาดเจ็บ ผู้มีนิสัยธรรม เห็นพิจารณาได้ ก็ทำตามพระพุทธเจ้า เก็บไม้แหลมนั้นทิ้งเสียในที่ที่ควร นี่แลบุญ
เพราะบุญเกิดจากนิสัยที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผิดผู้อื่น ก็เพราะจิตกตัญญู อยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา ข่มความโกรธ ขันติอดทน ให้อภัยแก่ผู้อื่น
อย่าไปมองเลยว่า บุญของพระพุทธเจ้าคือการสร้างวัตถุ คือต้องรอพระ ต้องไปที่วัด บุญของพระพุทธเจ้า ทำที่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ และทำด้วยอยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา มิใช่เพื่อหวังผลตอบแทน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า แค่มีสติ เห็นมะนาว มะกรูด ในบ้าน แบ่งมาสามผลห้าผล เอามาให้ทำสมุนไพร เพราะอยากมีนิสัยพระเวสสันดร เป็นคนดีของศาสนา ให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ ดีกว่าไปสร้างเจดีย์เสียอีก อย่าเลย และเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเอามูลค่า เอาตัวเงินเป็นเครื่องวัด
เมื่อเริ่มถูก คือ เริ่มด้วยจิตกตัญญู อยากเป็นคนดี พฤติกรรมที่ดูเล็กน้อย ที่กระทำในแผ่นดินศาสนา อันเป็นแผ่นดินที่รวมคนทุกข์ ก็สามารถช่วยให้ตนสมปรารถนา คือ หายโรคได้โดยไม่ยากเลย
ไม่เชื่อก็ลองทำ แล้วดูผล ว่าไปสร้างโบสถ์ สร้างพระ ช่วยใครได้ แต่ไปล้างห้องน้ำ ไปช่วยทำสมุนไพร หิ้วมะกรูด มะนาวมา หรือ ทำที่ตนพอจะทำได้ ให้คนทุกข์ในแผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา นั้นช่วยให้หายโรคได้ เพราะจิตที่ทำมันต่างกัน เราท่านมาชวนกันทำ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ ทำตนเป็นคนดี อันเป็นกตัญญูที่สนองในสิ่งที่พระพุทธเจ้า และศาสนาอยากได้นั่นเอง
เราเชื่อ เพราะเห็นมามากมาย อาทิ ลุงเป็นอัมพฤกต์ท่านหนึ่ง เดินไม่สะดวก ก้มไม่ได้ แต่ท่านก็ซื้อไม้เก็บขยะ หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ แล้วก็เดินคีบเก็บขยะที่คนอื่นเขาทิ้งกัน เก็บจนท่านไม่ต้องใช้ไม้คีบยาวๆ มาเป็นที่คีบถ่าน แลก็เห็นท่านเดินจนปกติ ก้มลงเก็บด้วยมือได้ ก็เห็นมาแล้ว
จึงอยากให้พิจารณาคำของหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าคิดว่า แค่ปิดน้ำ ปิดไฟ แค่ช้อนคันเดียว แค่ไม้แหลมอันเดียว แค่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวนิดหน่อย ไม่สำคัญ สู้โบสถ์ สู้วัด ไม่ได้ นั่นมันเลยบุญของพระพุทธเจ้าไปแล้ว เพราะการกระทำจะเป็นบุญ ย่อมต้องมีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ แลที่ไหนจะดีกว่าแผ่นดินของศาสนา ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนทุกข์เล่า แค่ห้องน้ำ คนทุกข์ก็มาใช้เป็นร้อยเป็นพัน แค่ดูแลสถานที่ คนทุกข์ก็มานั่งพัก เอาร่มเงา เอาร่มรื่น นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอ ว่าขวดใบเดียวที่นำมาเพื่อใส่สมุนไพร ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านแล้ว เพราะช่วยให้หายปวด หายโรคได้ เนื่องด้วย ไม่มีขวด คนป่วยจะเอาอะไรใส่สมุนไพร จะมีสมุนไพรทานได้อย่างไร จะหายป่วยได้อย่างไร นี่แล อย่าเลย ด้วยเห็นว่าเล็กน้อย แล้วก็คอยแต่หาย คอยสักเท่าไหร่ ก็ไม่สมปรารถนาสักที เพราะขาดกตัญญู มันจึงขาดพฤติกรรมนั่นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณาว่า บุญที่แแท้จริง คือ การทำนิสัยต่างหาก ลดนิสัยกรรม สร้างนิสัยพระพุทธเจ้า ให้เกิดแก่ตน
แลเมื่อมีนิสัยพระพุทธเจ้าแล้ว การสร้างบุญ ก็กลับกลายเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆ ประจำวัน ที่เราท่านมองข้าม ไม่สนใจ เพราะมองเป็นเรื่องเล็ก สนแต่เรื่องใหญ่
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทำไมต้องกตัญญู ต่อศาสนา ต่อพระพุทธเจ้า เพราะจะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เราท่านควบคุมนิสัย ควบคุมการกระทำของตน เมื่อมีสิ่งนี้ ก็จักเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อจะกระทำสิ่งใด ดั่งคำ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
ขยายความให้เห็นชัดว่า คนกตัญญูย่อมต้องทำในสิ่งที่ผู้มีคุณต้องการหรืออยากได้ เมื่อศาสนา และพระพุทธเจ้าอยากได้คนดี มีธรรม คนกตัญญู จึงมักนึกถึงเสมอหรือระลึกเป็นสติเตือนตน เมื่อจะกระทำสิ่งใด ย่อมต้องมองว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทำอย่างไร หากท่านทรงเจอสิ่งนี้ แล้วก็เดินตาม
คนผู้ที่เห็นพระพุทธเจ้า ดูการกระทำของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง จึงเห็นธรรมของท่าน แล้วเดินตาม
บุญของพระพุทธเจ้า จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย ตามรอยพระพุทธเจ้า ที่ทรงกลัวกรรม กลัวการเบียดเบียนผู้อื่นจนเกินไป หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกพุทธประวัติให้เห็น เพื่อพิจารณาว่า ครั้นเดินธุดงค์ไป เพลาบ่ายก็ทรงหาที่พัก แลมองเห็นข้าวในนาสุกงอมแล้ว ท่านก็ทรงเก็บเกี่ยวแล้ววางไว้ ครั้นเข้าก็เดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน
ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงทำอย่างนั้น ก็เพื่อไม่เป็นฝ่ายเบียดเบียนชาวบ้านแต่ถ่ายเดียวนั่นเอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า หากผู้ใดมีกตัญญู ก็จักเห็นชัดดั่งที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำ คือมีนิสัย "อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น" ให้เห็นเด่นชัด
การมีนิสัยธรรม จึงเกิดจากสิ่งเล็กน้อย เห็นสิ่งใดที่จะกระทำได้ ก็กระทำไม่วางเฉย เห็นช้อนตกหล่น ก็เก็บล้าง เอาไปไว้ที่ เห็นไฟเปิดอยู่ก็ปิดเสีย เห็นน้ำรั่ว เปิดทิ้ง ก็แก้ไข แม้นสิ่งนั้นไม่ใช่บ้านของเรา ยิ่งเป็นสถานที่ที่เราต้องไปพักพาอาศัย ยิ่งต้องสอดส่องดูแลยิ่งกว่าบ้านเราเสียอีก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้พิจารณา คนหนึ่งทานของปิ้งย่างเสร็จ ก็ทิ้งไม้ แล้วก็บอกว่าตนไม่เคยสร้างกรรม แต่หารู้ไม่ ไม้นั้น อาจไปทิ่มตำขาผู้อื่น จนบาดเจ็บ ผู้มีนิสัยธรรม เห็นพิจารณาได้ ก็ทำตามพระพุทธเจ้า เก็บไม้แหลมนั้นทิ้งเสียในที่ที่ควร นี่แลบุญ
เพราะบุญเกิดจากนิสัยที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า สร้างสุขให้แก่ผู้อื่น ไม่โกรธ ไม่เห็นผิดผู้อื่น ก็เพราะจิตกตัญญู อยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา ข่มความโกรธ ขันติอดทน ให้อภัยแก่ผู้อื่น
อย่าไปมองเลยว่า บุญของพระพุทธเจ้าคือการสร้างวัตถุ คือต้องรอพระ ต้องไปที่วัด บุญของพระพุทธเจ้า ทำที่ไหนก็ได้ ขอเพียงให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ และทำด้วยอยากเป็นคนดีของพระพุทธเจ้า ของศาสนา มิใช่เพื่อหวังผลตอบแทน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า แค่มีสติ เห็นมะนาว มะกรูด ในบ้าน แบ่งมาสามผลห้าผล เอามาให้ทำสมุนไพร เพราะอยากมีนิสัยพระเวสสันดร เป็นคนดีของศาสนา ให้สุขแก่เพื่อนมนุษย์ ดีกว่าไปสร้างเจดีย์เสียอีก อย่าเลย และเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเอามูลค่า เอาตัวเงินเป็นเครื่องวัด
เมื่อเริ่มถูก คือ เริ่มด้วยจิตกตัญญู อยากเป็นคนดี พฤติกรรมที่ดูเล็กน้อย ที่กระทำในแผ่นดินศาสนา อันเป็นแผ่นดินที่รวมคนทุกข์ ก็สามารถช่วยให้ตนสมปรารถนา คือ หายโรคได้โดยไม่ยากเลย
ไม่เชื่อก็ลองทำ แล้วดูผล ว่าไปสร้างโบสถ์ สร้างพระ ช่วยใครได้ แต่ไปล้างห้องน้ำ ไปช่วยทำสมุนไพร หิ้วมะกรูด มะนาวมา หรือ ทำที่ตนพอจะทำได้ ให้คนทุกข์ในแผ่นดินมูลนิธิไทยกรุณา นั้นช่วยให้หายโรคได้ เพราะจิตที่ทำมันต่างกัน เราท่านมาชวนกันทำ เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ ทำตนเป็นคนดี อันเป็นกตัญญูที่สนองในสิ่งที่พระพุทธเจ้า และศาสนาอยากได้นั่นเอง
เราเชื่อ เพราะเห็นมามากมาย อาทิ ลุงเป็นอัมพฤกต์ท่านหนึ่ง เดินไม่สะดวก ก้มไม่ได้ แต่ท่านก็ซื้อไม้เก็บขยะ หิ้วถุงพลาสติกใบใหญ่ แล้วก็เดินคีบเก็บขยะที่คนอื่นเขาทิ้งกัน เก็บจนท่านไม่ต้องใช้ไม้คีบยาวๆ มาเป็นที่คีบถ่าน แลก็เห็นท่านเดินจนปกติ ก้มลงเก็บด้วยมือได้ ก็เห็นมาแล้ว
จึงอยากให้พิจารณาคำของหลวงพ่อนิพนธ์ อย่าคิดว่า แค่ปิดน้ำ ปิดไฟ แค่ช้อนคันเดียว แค่ไม้แหลมอันเดียว แค่มะกรูดไม่กี่ลูก มะพร้าวนิดหน่อย ไม่สำคัญ สู้โบสถ์ สู้วัด ไม่ได้ นั่นมันเลยบุญของพระพุทธเจ้าไปแล้ว เพราะการกระทำจะเป็นบุญ ย่อมต้องมีผลให้สุขแก่มนุษย์และสัตว์ แลที่ไหนจะดีกว่าแผ่นดินของศาสนา ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนทุกข์เล่า แค่ห้องน้ำ คนทุกข์ก็มาใช้เป็นร้อยเป็นพัน แค่ดูแลสถานที่ คนทุกข์ก็มานั่งพัก เอาร่มเงา เอาร่มรื่น นั่งนอนสบาย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนเสมอ ว่าขวดใบเดียวที่นำมาเพื่อใส่สมุนไพร ก็มีค่ามากกว่าเงินล้านแล้ว เพราะช่วยให้หายปวด หายโรคได้ เนื่องด้วย ไม่มีขวด คนป่วยจะเอาอะไรใส่สมุนไพร จะมีสมุนไพรทานได้อย่างไร จะหายป่วยได้อย่างไร นี่แล อย่าเลย ด้วยเห็นว่าเล็กน้อย แล้วก็คอยแต่หาย คอยสักเท่าไหร่ ก็ไม่สมปรารถนาสักที เพราะขาดกตัญญู มันจึงขาดพฤติกรรมนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)