ทุกวันนี้ ไปที่ไหนก็มีแต่โฆษณา ทำสิ่งนี้เป็นบุญ ทำสิ่งนั้นเป็นบุญ หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นเดินหลงทางศาสนาไปไกลแล้ว ผลก็คือ ทำตามคำบอกเหล่านั้น ตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น จนผมขาว ก็ยังหาบุญมาช่วยตนสักเก๊ไม่ได้เลย เห็นได้จากเวลากรรมมา ทุกข์มาถึง โรคมาเบียดเบียน ก็ไหนเล่าบุญที่ทำมาแต่อ้อนแต่ออก ไม่มาอุปถัมภ์ค้ำจุนตนบ้างเลย หลายคนก็เลยพาลว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นไม่จริง บุญไม่มีจริงไปเสียฉิบ หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำสอนแม่ชเมี้ยนมาให้ฟังว่า "บุญ" ของพระภูมีนั้นไซร้ เกิดจากการทำนิสัย นิสัยใดเล่า นิสัยพระพุทธเจ้านั่นเอง ที่ไปฟังมา พิจารณา แล้วทำตาม
ความต่างที่เห็นได้ชัดของบุญทุกวันนี้ กับบุญของพระพุทธเจ้า นั่นคือ บุญทุกวันนี้ ทำแล้ว ก็บอกว่าได้บุญแล้ว มีบุญแล้ว นิสัยก็เหมือนเดิม กลับมา ก็เหมือนเดิม หาความสงบให้ตน ให้ครอบครัว ให้สังคม สักนิดก็หาไม่ แต่บุญของพระพุทธเจ้า ผู้ทำ ผู้อยากได้ ต้องมีความสงบ อันเป็นเอกลักษณ์ ไปอยู่ในสังคมใด ที่นั่นก็ต้องสงบ ทำแล้ว บ้านสงบ ไม่มีการทะเลาะ สังคมสงบ ไม่มีการยกพวกตีกัน บ้านเมืองสงบ เพราะไม่มีใครจะคิดโกงบ้านโกงเมือง หรือ แสวงหาประโยชน์ใส่ตน บนทุกข์ของผู้อื่น
วันนี้วันดี สิ้นวัน ถามตนเองว่า บุญที่ได้ ตรงตามคำสอนจริงหรือไม่ จะได้นอนตาหลับ ไม่ใช่บุญลมๆแล้งๆ ที่ช่วยตนไม่ได้ ทำเท่าไหร่ โรคก็ไม่ลด กรรมก็ไม่หมด ยิ่งบุญสร้างด้วยวัตถุ นั้น ผู้ทำเดินไปคนละทิศกับคำสอนแล้ว ยิ่งใช้เงิน ยิ่งห่างศาสนา ....
บัญญัติเดียว ของพระพุทธเจ้า ในการสร้างบุญ คือ "นิสัย" นี่จึงเรียกว่าทางสายกลาง ที่ทุกคน ไม่ว่าผู้ดี ยาจก ไพร่ หากอยากมีบุญ ล้วนทำได้ ตรวจตัวเองเถอะ ที่ว่าไปทำบุญ นิสัยได้เปลี่ยน และเมื่อเปลี่ยนแล้ว ให้สุขแก่สรรพสัตว์ใดๆบ้าง ... อย่าปากว่า ตาขยิบ ไปวัดมาทำบุญแล้ว ถึงบ้านก็ด่าผัว ด่าเมีย ด่าลูก ด่าคนโน้น ติคนนี้ ... นั่นห่างบุญนัก