ศาสน์หรือศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของอำนาจ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ที่เรียกกันว่าบุญ เป็นสิ่งนอกโลก หรือ มือที่สาม
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลก มีอยู่แล้ว มีอำนาจปกครองโลก ทำให้มนุษย์สามารถเดินไปตามพรหมลิขิตของตน นั่นคือ กรรม แยกย่อยเป็นกรรมดี กรรมชั่ว
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ ธรรม หรือ บุญ จะมาก้าวก่าย ก็จึงไม่สามารถไปก้าวล่วง กรรม ได้
ดั่งคำโปราณว่า หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด
รูปลักษณะของศาสน์ ที่บุญเขาจะเข้าไปเกื้อกูลผู้ใดได้ จึงมีลักษณะ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ต้องร่วมกันทั้งสองฝ่าย เป็นกิ่งทองใบหยก
จึงไม่แปลกว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จึงทรงต้องพิจารณา แล้วจึงไปโปรด แม้นว่าธรรมที่ท่านมี จะมีอำนาจมหาศาล เหนือกรรม เหนือเวร แต่ใช้ได้เฉพาะกับคนบางคน นั่นคือ เฉพาะผู้ที่ยินยอมพร้อมใจ ฟัง พิจารณา เกิดความเชื่อ แล้วทำตาม เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสน์ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา สอนคนใจสัตว์ให้เป็นคน สอนคนให้เป็นสงฆ์ สอนสงฆ์ให้เป็นอรหันต์
นั่นก็หมายความว่า ผู้ที่เป็นเป้าหมายของศาสน์ที่จะเข้าไปใกล้ ต้องมีปรารถนา ตรงกับความต้องการของศาสน์ นั่นคือ ปรารถนา ใน มรรคผลนิพพาน ...
แม้นว่าจะทำไม่ได้ในชาตินี้ ก็ขอถึงในชาติหน้า
ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่ผู้นำสวด หรือวิทยากร ทั้งหลาย จะกล่าวนำทุกครั้ง ในการกระทำใดๆว่า ข้าเจ้าปรารถนา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
เมื่อเป็นผู้ปรารถนา ก็ต้องทำ แต่จะทำอย่างไร ก็ต้องฟัง และพิจารณาจาก คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์
เมื่อปรารถนาสูง แล้วทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นคือ การยกวิญญาณขึ้นที่สูง ผลก็คือ กายที่เป็นของต่ำ และจมอยู่ในกองทุกข์ ก็จะถูกยกขึ้นตามไปด้วย
เราท่านจึงได้ยินคำสอนเสมอว่า มาที่นี่ ไม่สนหรอกว่า เป็นโรคอะไร สภาพหนักหนาสาหัส เพียงใด ลืมเรื่องโรค ก้าวข้ามไป แล้วมาคุยกันเรื่องนิสัยดีกว่า
สถานที่นี้ ใครถามว่า ตั้งมาเพื่ออะไร ก็เพื่อหาคนที่มีปรารถนาเดียวกันนั่นเอง แล้วมาร่วมกันทำ ผลแห่งการทำตาม ก็คือ พัฒนาตน จากคนใจสัตว์ อันหมายถึง คนที่มีการกระทำ ตามนิสัยกรรม จนก่อให้เกิดกายสัตว์รอในชาติหน้า หรือพูดฟังง่าย ก็คือ ตายไปก็กลายเป็นสัตว์นั่นเอง
พัฒนาแล้ว เป็นคนดี ที่ทำตามปรารถนา เราท่านก็จะได้กายเป็นคน ในชาติหน้า ที่สำคัญมีของแถมคือ ไม่มีโรค
หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า มนุษย์สมบัติ
คำถามก็คือ ทำไมต้องทำ คำอรรถาธิบายก็คือ ก็เพราะ เราท่าน ที่ยังไม่ถึงซึ่งนิพพาน ตายแล้วก็ต้องเกิด นั่นคือ เราท่านมีชาติหน้ารออยู่
แลผลแห่งการกระทำในชาตินี้ ก็จะไปรอเราท่านในชาติหน้า ทำกายสัตว์ไว้ ตายไปก็ไปเกิด ลืมตามา อ้าว .. เข้าท้องวัว ท้องควาย ท้องหมา ไปแล้ว
ที่หนักกว่าก็คือ เมื่อตาย ตายไปในสภาพที่เป็นโรค ผลคือ เมื่อเกิดใหม่ ผลแห่งการกระทำนี้ ก็ทำให้เราท่านเป็นโรคอีก หรือที่เรียกว่า โรคกรรมพันธ์ นั่นเอง
จึงไม่แปลกเลยที่ว่า ไม่ว่านักวิทยาศาสตร์และหมอรวมหัวกันสักฉันใด ที่พยายามให้เด็กที่เกิดใหม่ มีร่างกายที่ปราศจากโรค จะป้องกันสักฉันใด ก็พบว่า โรคกรรมพันธ์ ก็ติดมาอยู่นั่นเอง
สถานที่นี้ เลือกคบคน แลรู้ดีว่า กลุ่มคนที่ฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ก็คงมีไม่มากนัก แต่มีคุณภาพ แลไม่อยากคบคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ไม่หวังมรรคผลนิพพาน
เพราะคนเหล่านั้น เมื่อมาแล้ว ก็มุ่งหวังสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ยากจะประสพผล ที่สำคัญ เมื่อหวังพึ่งแต่สมุนไพร ก็ไม่พัฒนาตน เป็นคนดี อย่างแน่นอน
สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ เขาไม่เกื้อกูลให้พลังคนกลับไปทำผิด ทำชั่ว หรอก นั่นคือ มาเสียเวลาเปล่า ทั้งคนมาและคนให้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า สถานที่นี้ ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีคู เปิดให้เห็นทุกสิ่งอย่าง ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริง
เปิดให้โอกาสทุกคนได้มาสัมผัส ฟัง พิจารณา ... ฟังแล้ว พิจารณาแล้ว เชื่อ ก็ทำตาม ไม่เชื่อ ไม่ชอบ ก็ไม่ว่ากัน ไปหาหนทางอื่นที่ตนชอบ
อย่าไปหลงคารมคน ฟังคำร่ำลือ สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ดีอย่างนั้น ดีอย่างโน้น รักษาได้ทุกโรค ... แล้วก็ตั้งความฝันมา กินสมุนไพร แล้วต้องหายแน่ เหมือนคนนั้น คนนี้
ผลสำเร็จที่จะเกิด เขามีวงเล็บ เฉพาะคนที่ทำได้ ส่วนคนที่ไม่อยากทำ เขาไม่อยากคบ
เพราะท้ายที่สุด เมื่อคนผู้นั้นไม่ประสพผล ด้วยความไม่เอาเหตุ เอาผล มันก็จะโบ้ย ลามปาม ไปสมุนไพรบ้าง หลวงพ่อนิพนธ์บ้าง แลอาจเลยไปถึงแม่ชีเมี้ยน หรือ พระภูมีเลย ก็จะเป็นกรรมซะเปล่าๆ แถมเป็นกรรมมหาศาลอีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลก ที่กรรมเขาจึงให้ธรรมเข้ามายุุ่มย่ามในโลกของเขาได้ ตามระยะเวลาที่กำหนด ในแต่ละยุค มีความสามารถก็เอาคนของเขาไปโลกนิพพาน เพราะรู้ดีว่า คนที่จะเข้ามาถึง มันมีน้อยนิด ขนาดพระโคดมที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุดพระองค์หนึ่ง ยังนำพาสาวกไปได้ไม่ถึงแสนเลย
เมื่อเทียบกับคนอินเดีย ก็เรียกว่าน้อย ถ้าเทียบกับคนทั้งโลก ยิ่งน้อยกว่าน้อย
คนกลุ่มนี้ที่เชื่อ แล้วทำตาม ทำได้ จึงกลายเป็นคนที่มีอภิสิทธิ์เหนื่อมนุษย์ แม้นจะได้แค่ขั้นแรก คือ พัฒนาตน จากคนใจสัตว์ ที่ตายแล้วต้องกลายเป็นสัตว์ ก็ได้ชาติเป็นคน รอพระพุทธเจ้า องค์ต่อไป แล้วก็แถมพ้นจากวงจร เกิด แก่ แล้วข้ามเจ็บ ไปตายเลย เป็นของแถม เพราะมันทำยาก และก็จะมีสักกี่คน
นี่แลจึงเป็นที่มาว่า คนที่เชื่อ และทำตาม ธรรมคำสอน กรรมเขาจึงเว้นให้
ภาพที่หลวงพ่อนิพนธ์จำลองมาให้เห็น อำนาจธรรม ที่กรรมเขาเว้นให้ ก็คือ การสวดมนต์ นั่นเอง เราท่านจึงไม่เคยเห็น คนเจ็บ คนป่วย ไม่ว่าสาหัสสักเพียงใด เมื่อเข้ามาสวดมนต์ แล้วเกิดอาการปัจจุบันทันด่วน ตายไป ยามสวดมนต์ของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาเลยนั่นเอง
ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558
ถึงเวลาก็ไป ไม่ว่ากัน
การฟื้นฟูตน หากทำได้ตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ วันหนึ่งก็ต้องจบ
หากแต่การหายโรค ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ที่สถานที่ของแม่ชีเมี้ยนมี แลไม่ใช่จุดหมาย เป็นแต่เพียงของแถมเท่านั้นเอง
การฟื้นฟูที่แท้จริง คือ การพัฒนาจิตใจ หรือ พัฒนาวิญญาณ ของตนให้สูงขึ้น โดยอาศัย ธรรมคำสั่งสอนของพระภูมี
เมื่อใจสูง กายก็จะสูงตามไปด้วย เมื่อใจสูง การหายโรคไม่ว่าโรคใด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะคนใจสูง ก็คือ คนดีนั่นเอง
หน้าที่ของสมุนไพร ก็เป็นแต่พี่เลี้ยง ที่ให้โอกาสคน ในการทำความดี หรือ พัฒนาตนให้ใจสูงนั่นเอง
ใจยิ่งสูงเพียงใด มีธรรมนำตนมากเพียงใด สมุนไพรที่ทานก็ยิ่งมีฤทธิ์มากฉันนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้พฤติกรรมของคนทาน
วิทยากร ท่าน อ.อร่าม จึงใช้คำว่า ทานหนึ่งได้สิบ หรือ ได้ร้อย นั่นเอง นั่นก็คือ เมื่อพัฒนาตนได้ถึงระดับที่ศาสน์กำหนด การทานสมุนไพรเพื่อช่วยตน ไม่จำเป็นต้องทานมาก ก็เพียงพอในการช่วยตนแล้วนั่นเอง
อ.อร่าม อุปมาภาพให้เห็นว่า ผลแห่งการกระทำด้วยใจ ให้ภาพความแตกต่างอันมหาศาลเป็นที่ประจักษ์ โดยเปรียบเทียบสองสถานที่ให้ฟัง หนึ่งคือที่มูลนิธิในปัจจุบัน ที่หลายคน อยากจะได้สมุนไพรเยอะๆกลับบ้าน มีสมุนไพรแจกกลับบ้านทุกคน แต่ผลแห่งความสำเร็จ ก็เรียกได้ว่าไม่มากนัก
หากเทียบกับ อดีตที่มีการแจกสมุนไพร ณ.สวนสมุนไพร ที่มีพระดูแลกำกับ ที่ตั้งอยู่ อ.บ่อพลอย อันเป็นที่กันดาร กลางวันก็ร้อนสุดประมาณ น้ำก็ไม่มี สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวย
แต่ผู้คนที่หลั่งไหลไปที่นั่น แห่กันไปแต่เข้ามืด แล้วก็รอ เพื่อที่จะได้ทานสมุนไพรเขียว เพียงครึ่งแก้วเป๊ก สมุนไพรมะกรูด ก้อนหนึ่ง สมุนไพรน้ำผึ้งก้อนหนึ่ง ยามะพร้าวครึ่งแก้ว แล้วก็กลับบ้าน โดยไม่มีอะไรติดมือกลับไปเลย
หากแต่ผู้สำเร็จช่วยตนเองได้ ดูจากกองไม้เท้าที่คนป่วยทิ้งไว้พะเนินทึนทึก จนพระต้องนำมากองรวมไว้แล้วเผาทิ้ง
คนเหล่านั้นมากันแต่เช้า พกน้ำมาจากบ้าน ติดเครื่องมือมา มาถึงระหว่างรอ ก็ช่วยกันพรวนดิน รดน้ำ ต้นยา เก็บกวาดสถานที่ ในระหว่างรอทานสมุนไพร
ทานแก้วเดียว หายกันจนร่ำลือ ผู้คนแห่กันมาเป็นเรือนหมื่น ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี จนท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ก็จำต้องปิดไปก่อน เพราะทานคลื่นมหาชนไม่ไหว
ย้อนกลับมามูลนิธิ คนที่ใช้แนวทางเดียวกันกับที่สวนสมุนไพร แม้นอาการจะสาหัส หมอทิ้ง ก็ช่วยตนได้เช่นกัน
ตัวอย่างที่เด่นชัด ก็คุณปรียานุช ปานประดับ ที่หมอบอกว่า กระดูกเธอพร้อมที่จะป่นแหลก หากกระทบสิ่งใดๆ แลไม่มีวันกลับมาเดินได้อีกอย่างแน่นอน วันนี้ของเธอก็กลับมาเดินได้อย่างสมบูรณ์
ช่วงพื้นฟูตัว ก็อุทิศแรงกายมาช่วยกิจกรรมของมูลนิธิ ดูแลห้องน้ำ รวมถึงเป็นคณะกรรมการของมูลนิธิด้วยเช่นกัน
วันนี้ของเธอ เรียกว่าฟื้นฟูตัวได้จนถึงระดับที่น่าพอใจ เธอก็ขอลาออกจากกรรมการ ด้วยกิจการของเธอและคุณนพพล ตอนนี้กำลังรุ่งเรือง เฟื่องฟู ต้องกลับไปดูแล โดยเฉพาะด้านการตลาด ทำให้ไม่มีเวลา
สิ่งนี้ก็ทำได้ เมื่อผ่านช่วงวิกฤตแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาผูกติดกับมูลนิธิไปจนวันตาย ไม่ใช่ ไม่ใช่
แลก็เช่นเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า ในช่วงเวลาการฟื้นฟู วางความเชื่อของตนในโลกไว้ก่อน มาทำตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนก่อน ครั้นพอช่วยตนได้ จะกลับไปหยิบยกความเชื่อตน มาดำเนินต่อ ก็ไม่ว่ากัน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ช่องว่า เมื่อช่วยตนได้ ก็พิจารณาว่า เราท่านรอดมาด้วยพฤติกรรมเช่นไร หากสามารถนำไปใช้ต่อ ก็ย่อมทำให้ชีวิตรอดปลอดภัย หากแต่จะย้อนไปทำดั่งเดิมเหมือนก่อนมา ... แม้นจะพ้นโรคในวันนี้ ก็ใข่ว่าจะพ้นในวันหน้า หรือ ไม่พ้นโรคได้ ก็ยากจะพ้นอุบัติเหตุ อุบัติภัย
ก็พฤติกรรมเดิม ทำให้เราท่านเป็นเช่นนี้ จะพูดว่าดีสักฉันใด ก็ผลผิดมันปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว
การมาที่นี่ จึงมีวันจบ เพียงแต่ช้าเร็ว ก็เป็นไปตามที่ทำ นั่นคือ ต่างกรรม ต่างวาระ จึงเอาเกณฑ์แน่นอนไม่ได้ แล้วก็ใครทำ ใครได้
ใครจะว่าการกระทำที่นี่ผิด คำสอนผิด โน่นผิด นั่นผิด ... ก็ว่ากันไป หากแต่ตราบใดที่ยังมีคนหายโรค หรือผลถูกปรากฎ นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า ความจริงแล้ว คนที่มาแล้วไม่ได้ผล นั่นคือ คนที่มาแล้วไม่ทำตามคำสอนนั่นเอง
หากแต่การหายโรค ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ที่สถานที่ของแม่ชีเมี้ยนมี แลไม่ใช่จุดหมาย เป็นแต่เพียงของแถมเท่านั้นเอง
การฟื้นฟูที่แท้จริง คือ การพัฒนาจิตใจ หรือ พัฒนาวิญญาณ ของตนให้สูงขึ้น โดยอาศัย ธรรมคำสั่งสอนของพระภูมี
เมื่อใจสูง กายก็จะสูงตามไปด้วย เมื่อใจสูง การหายโรคไม่ว่าโรคใด จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะคนใจสูง ก็คือ คนดีนั่นเอง
หน้าที่ของสมุนไพร ก็เป็นแต่พี่เลี้ยง ที่ให้โอกาสคน ในการทำความดี หรือ พัฒนาตนให้ใจสูงนั่นเอง
ใจยิ่งสูงเพียงใด มีธรรมนำตนมากเพียงใด สมุนไพรที่ทานก็ยิ่งมีฤทธิ์มากฉันนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า สมุนไพรมีวิญญาณ รับรู้พฤติกรรมของคนทาน
วิทยากร ท่าน อ.อร่าม จึงใช้คำว่า ทานหนึ่งได้สิบ หรือ ได้ร้อย นั่นเอง นั่นก็คือ เมื่อพัฒนาตนได้ถึงระดับที่ศาสน์กำหนด การทานสมุนไพรเพื่อช่วยตน ไม่จำเป็นต้องทานมาก ก็เพียงพอในการช่วยตนแล้วนั่นเอง
อ.อร่าม อุปมาภาพให้เห็นว่า ผลแห่งการกระทำด้วยใจ ให้ภาพความแตกต่างอันมหาศาลเป็นที่ประจักษ์ โดยเปรียบเทียบสองสถานที่ให้ฟัง หนึ่งคือที่มูลนิธิในปัจจุบัน ที่หลายคน อยากจะได้สมุนไพรเยอะๆกลับบ้าน มีสมุนไพรแจกกลับบ้านทุกคน แต่ผลแห่งความสำเร็จ ก็เรียกได้ว่าไม่มากนัก
หากเทียบกับ อดีตที่มีการแจกสมุนไพร ณ.สวนสมุนไพร ที่มีพระดูแลกำกับ ที่ตั้งอยู่ อ.บ่อพลอย อันเป็นที่กันดาร กลางวันก็ร้อนสุดประมาณ น้ำก็ไม่มี สถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวย
แต่ผู้คนที่หลั่งไหลไปที่นั่น แห่กันไปแต่เข้ามืด แล้วก็รอ เพื่อที่จะได้ทานสมุนไพรเขียว เพียงครึ่งแก้วเป๊ก สมุนไพรมะกรูด ก้อนหนึ่ง สมุนไพรน้ำผึ้งก้อนหนึ่ง ยามะพร้าวครึ่งแก้ว แล้วก็กลับบ้าน โดยไม่มีอะไรติดมือกลับไปเลย
หากแต่ผู้สำเร็จช่วยตนเองได้ ดูจากกองไม้เท้าที่คนป่วยทิ้งไว้พะเนินทึนทึก จนพระต้องนำมากองรวมไว้แล้วเผาทิ้ง
คนเหล่านั้นมากันแต่เช้า พกน้ำมาจากบ้าน ติดเครื่องมือมา มาถึงระหว่างรอ ก็ช่วยกันพรวนดิน รดน้ำ ต้นยา เก็บกวาดสถานที่ ในระหว่างรอทานสมุนไพร
ทานแก้วเดียว หายกันจนร่ำลือ ผู้คนแห่กันมาเป็นเรือนหมื่น ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี จนท้ายที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์ก็จำต้องปิดไปก่อน เพราะทานคลื่นมหาชนไม่ไหว
ย้อนกลับมามูลนิธิ คนที่ใช้แนวทางเดียวกันกับที่สวนสมุนไพร แม้นอาการจะสาหัส หมอทิ้ง ก็ช่วยตนได้เช่นกัน
ตัวอย่างที่เด่นชัด ก็คุณปรียานุช ปานประดับ ที่หมอบอกว่า กระดูกเธอพร้อมที่จะป่นแหลก หากกระทบสิ่งใดๆ แลไม่มีวันกลับมาเดินได้อีกอย่างแน่นอน วันนี้ของเธอก็กลับมาเดินได้อย่างสมบูรณ์
ช่วงพื้นฟูตัว ก็อุทิศแรงกายมาช่วยกิจกรรมของมูลนิธิ ดูแลห้องน้ำ รวมถึงเป็นคณะกรรมการของมูลนิธิด้วยเช่นกัน
วันนี้ของเธอ เรียกว่าฟื้นฟูตัวได้จนถึงระดับที่น่าพอใจ เธอก็ขอลาออกจากกรรมการ ด้วยกิจการของเธอและคุณนพพล ตอนนี้กำลังรุ่งเรือง เฟื่องฟู ต้องกลับไปดูแล โดยเฉพาะด้านการตลาด ทำให้ไม่มีเวลา
สิ่งนี้ก็ทำได้ เมื่อผ่านช่วงวิกฤตแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาผูกติดกับมูลนิธิไปจนวันตาย ไม่ใช่ ไม่ใช่
แลก็เช่นเดียวกัน หลวงพ่อนิพนธ์สอนเสมอว่า ในช่วงเวลาการฟื้นฟู วางความเชื่อของตนในโลกไว้ก่อน มาทำตามคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ช่วยตนก่อน ครั้นพอช่วยตนได้ จะกลับไปหยิบยกความเชื่อตน มาดำเนินต่อ ก็ไม่ว่ากัน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ช่องว่า เมื่อช่วยตนได้ ก็พิจารณาว่า เราท่านรอดมาด้วยพฤติกรรมเช่นไร หากสามารถนำไปใช้ต่อ ก็ย่อมทำให้ชีวิตรอดปลอดภัย หากแต่จะย้อนไปทำดั่งเดิมเหมือนก่อนมา ... แม้นจะพ้นโรคในวันนี้ ก็ใข่ว่าจะพ้นในวันหน้า หรือ ไม่พ้นโรคได้ ก็ยากจะพ้นอุบัติเหตุ อุบัติภัย
ก็พฤติกรรมเดิม ทำให้เราท่านเป็นเช่นนี้ จะพูดว่าดีสักฉันใด ก็ผลผิดมันปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้ว
การมาที่นี่ จึงมีวันจบ เพียงแต่ช้าเร็ว ก็เป็นไปตามที่ทำ นั่นคือ ต่างกรรม ต่างวาระ จึงเอาเกณฑ์แน่นอนไม่ได้ แล้วก็ใครทำ ใครได้
ใครจะว่าการกระทำที่นี่ผิด คำสอนผิด โน่นผิด นั่นผิด ... ก็ว่ากันไป หากแต่ตราบใดที่ยังมีคนหายโรค หรือผลถูกปรากฎ นั่นย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า ความจริงแล้ว คนที่มาแล้วไม่ได้ผล นั่นคือ คนที่มาแล้วไม่ทำตามคำสอนนั่นเอง
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558
ภัยที่ต้องรู้
ยามที่ไร้ซึ่งอำนาจหรือบุญญาธิการของศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า เราท่านจะกระทำสิ่งใด ก็ย่อมเป็นไปตามเวรตามกรรม
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเตือนอยู่เสมอว่า ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงได้ใจ สร้างพฤติกรรมทำลายศาสนา กันมากมาย ด้วยผลแห่งการกระทำนั้น ไม่เฉียบขาด ร้ายแรง หรือเป็นโทษมหันต์ ปรากฎให้เกรงกลัว
โดยเฉพาะคนไทย ที่อ้างว่าตนส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ภาพที่ปรากฎ จึงเห็นการส่งเสริมสร้างวัตถุอย่างมโหฬารในปัจจุบัน วัดอลังการที่สุด โบสถ์ใหญ่ที่สุด พระใหญ่ที่สุด
แต่ที่ร้ายที่สุด นั่นคือ การสร้างพระ เหรียญ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เจตนาแห่งการสร้างพระ เหรียญ ในอดีต ย่อมเป็นไปเพื่อเป็นที่ระลึกเตือนใจ
แลก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า เมื่อสิ่งนี้เป็นตัวแทนแห่งพระพุทธเจ้า แล้วถูกไปวางขาย แบกับดิน ถูกตีราคา นั่นย่อมหมายถึง การทำให้ถูกเหยียบย่ำ นั่นเอง บาปอันนี้ คนสร้าง คนทำ จะปฏิเสธฉันใด ก็ยากยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ปนความโลภ กลายเป็นพุทธพาณิชย์ อันนี้หนักกว่าอีก เพราะเดิมสิ่งนี้ ที่ศํกดิ์สิทธิ์ในสมัยก่อน ก็ด้วยการให้
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่า เมื่อยังไม่มีเจ้าของปรากฎตน ก็เหมือนสินค้าไม่มีลิขสิทธิ์ จะทำอย่างไรก็ไม่ผิด หรือผิดน้อย
หากแต่วันใดที่เจ้าของศาสนาเขามา พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม นั่นคือ มีลิขสิทธิ์แล้วไซร้ ย่อมต้องมีการทวงสิทธฺ์ นั่นคือ หน้าที่แรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในการสังคยานาพุทธศาสนา
ทีนี้หละ พวกที่เอาไปทำ ผิดบัญญัติ ผิดวินัย หรือข้อห้าม ด้วยบุญญาธิการของศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า ผลแห่งการทำเช่นเดิมในอดีต ที่อาจจะไม่ร้ายแรง จะกลายเป็นผลที่เฉียบขาด ให้ผลทันตาเห็น
ใครจะมาสร้างพระ สร้างเหรียญ ซื้อขาย ฉิบหายแน่ ใครที่บอกกล่าวสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวัตถุ ฉิบหายแน่
ดังนั้น ยามที่พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม สิ่งแรกที่เราท่านจะได้เห็น นั่นคือ การล้มหายตายจากเป็นใบไม้ร่วง ของบรรดาเกจิคณาจารย์ ที่อาศัยผ้าเหลืองนั่นเอง หากคิดจะรอดก็รีบถอดจีวรให้ไว
พระในเมืองไทย ปัจจุบันกว่าสามแสนรุป คงจะเหลือแค่หลักร้อยเท่านั้นเองอย่างมาก
สิ่งนี้ยังต้องรอวันปรากฎโฉมของพระพุทธเจ้า หากแต่สิ่งที่ไม่ต้องรอ แลเมื่อทำนั้น ฉิบหายแน่ นั่นคือ บรรดาเหล่าคนที่มายังมูลนิธิ ที่ซึ่งเป็นอาณาเขตที่แม่ชีเมี้ยนอนุญาติให้เป็นสถานีย่อย ของพระพุทธศาสนา แล้วมีพฤติกรรมดังกล่าว
มาเพื่อส่องพระ มาเพื่อขายพระ ซื้อพระ คนเหล่านี้ ช่างเขลานัก หากอยู่ภายนอก ในยามนี้ อาจมีชีวิตยืนยาวได้อีกหลายปี กับโรคที่เป็นอยู่ แต่กลับมาทานสมุนไพร และมีพฤติกรรมเช่นนี้ ในสถานที่นี้
ไม่ต้องรอโรคแล้ว พฤติกรรมนี้ก่อโทษอันมหาศาล รับรอง ฉิบหายแน่ แถมเร็วกว่าโรคที่เป็นอีก เรื่องหายโรคไม่ต้องพูดถึง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเตือนเสมอ เจตนาของศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนสงฆ์ว่า "มีไว้สร้างมนุษย์ "
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า สอนมนุษย์ที่ใจสัตว์ ให้เป็นคน สอนคนให้เป็นสงฆ์ สอนสงฆ์ให้เป็นอรหันต์
พระพุทธเจ้าสอนเดินไปทางซ้าย มนุษย์หน้าไหน แอบอ้างหยิบยก เอาไปแล้วสอนให้เดินไปทางขวา นั่นคือ สอนให้สร้างวัตถุ ไม่ต้องสงสัยเลย ฉิบหายแน่
ใครที่คิดจะซื้อจะขายพระ ... ย้ายตัวออกจากสถานที่นี้ให้ไว หากยังคิดจะมีชีวิตที่ยืนยาวไปอีกสักหน่อย
ใครที่ชอบจัง สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร รโหฐาน ... บุญไม่มี บาปจะมาเยือนแทน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเตือนอยู่เสมอว่า ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงได้ใจ สร้างพฤติกรรมทำลายศาสนา กันมากมาย ด้วยผลแห่งการกระทำนั้น ไม่เฉียบขาด ร้ายแรง หรือเป็นโทษมหันต์ ปรากฎให้เกรงกลัว
โดยเฉพาะคนไทย ที่อ้างว่าตนส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ภาพที่ปรากฎ จึงเห็นการส่งเสริมสร้างวัตถุอย่างมโหฬารในปัจจุบัน วัดอลังการที่สุด โบสถ์ใหญ่ที่สุด พระใหญ่ที่สุด
แต่ที่ร้ายที่สุด นั่นคือ การสร้างพระ เหรียญ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เจตนาแห่งการสร้างพระ เหรียญ ในอดีต ย่อมเป็นไปเพื่อเป็นที่ระลึกเตือนใจ
แลก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า เมื่อสิ่งนี้เป็นตัวแทนแห่งพระพุทธเจ้า แล้วถูกไปวางขาย แบกับดิน ถูกตีราคา นั่นย่อมหมายถึง การทำให้ถูกเหยียบย่ำ นั่นเอง บาปอันนี้ คนสร้าง คนทำ จะปฏิเสธฉันใด ก็ยากยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น ปนความโลภ กลายเป็นพุทธพาณิชย์ อันนี้หนักกว่าอีก เพราะเดิมสิ่งนี้ ที่ศํกดิ์สิทธิ์ในสมัยก่อน ก็ด้วยการให้
หลวงพ่อนิพนธ์ อรรถาธิบายว่า เมื่อยังไม่มีเจ้าของปรากฎตน ก็เหมือนสินค้าไม่มีลิขสิทธิ์ จะทำอย่างไรก็ไม่ผิด หรือผิดน้อย
หากแต่วันใดที่เจ้าของศาสนาเขามา พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม นั่นคือ มีลิขสิทธิ์แล้วไซร้ ย่อมต้องมีการทวงสิทธฺ์ นั่นคือ หน้าที่แรกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในการสังคยานาพุทธศาสนา
ทีนี้หละ พวกที่เอาไปทำ ผิดบัญญัติ ผิดวินัย หรือข้อห้าม ด้วยบุญญาธิการของศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า ผลแห่งการทำเช่นเดิมในอดีต ที่อาจจะไม่ร้ายแรง จะกลายเป็นผลที่เฉียบขาด ให้ผลทันตาเห็น
ใครจะมาสร้างพระ สร้างเหรียญ ซื้อขาย ฉิบหายแน่ ใครที่บอกกล่าวสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างวัตถุ ฉิบหายแน่
ดังนั้น ยามที่พระพุทธเจ้าปรากฎโฉม สิ่งแรกที่เราท่านจะได้เห็น นั่นคือ การล้มหายตายจากเป็นใบไม้ร่วง ของบรรดาเกจิคณาจารย์ ที่อาศัยผ้าเหลืองนั่นเอง หากคิดจะรอดก็รีบถอดจีวรให้ไว
พระในเมืองไทย ปัจจุบันกว่าสามแสนรุป คงจะเหลือแค่หลักร้อยเท่านั้นเองอย่างมาก
สิ่งนี้ยังต้องรอวันปรากฎโฉมของพระพุทธเจ้า หากแต่สิ่งที่ไม่ต้องรอ แลเมื่อทำนั้น ฉิบหายแน่ นั่นคือ บรรดาเหล่าคนที่มายังมูลนิธิ ที่ซึ่งเป็นอาณาเขตที่แม่ชีเมี้ยนอนุญาติให้เป็นสถานีย่อย ของพระพุทธศาสนา แล้วมีพฤติกรรมดังกล่าว
มาเพื่อส่องพระ มาเพื่อขายพระ ซื้อพระ คนเหล่านี้ ช่างเขลานัก หากอยู่ภายนอก ในยามนี้ อาจมีชีวิตยืนยาวได้อีกหลายปี กับโรคที่เป็นอยู่ แต่กลับมาทานสมุนไพร และมีพฤติกรรมเช่นนี้ ในสถานที่นี้
ไม่ต้องรอโรคแล้ว พฤติกรรมนี้ก่อโทษอันมหาศาล รับรอง ฉิบหายแน่ แถมเร็วกว่าโรคที่เป็นอีก เรื่องหายโรคไม่ต้องพูดถึง
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเตือนเสมอ เจตนาของศาสนา หรือ พระพุทธเจ้า แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสสอนสงฆ์ว่า "มีไว้สร้างมนุษย์ "
หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายเพิ่มเติมว่า สอนมนุษย์ที่ใจสัตว์ ให้เป็นคน สอนคนให้เป็นสงฆ์ สอนสงฆ์ให้เป็นอรหันต์
พระพุทธเจ้าสอนเดินไปทางซ้าย มนุษย์หน้าไหน แอบอ้างหยิบยก เอาไปแล้วสอนให้เดินไปทางขวา นั่นคือ สอนให้สร้างวัตถุ ไม่ต้องสงสัยเลย ฉิบหายแน่
ใครที่คิดจะซื้อจะขายพระ ... ย้ายตัวออกจากสถานที่นี้ให้ไว หากยังคิดจะมีชีวิตที่ยืนยาวไปอีกสักหน่อย
ใครที่ชอบจัง สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร รโหฐาน ... บุญไม่มี บาปจะมาเยือนแทน
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558
ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้
ศาสน์ แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เป็นของนอกโลก มีแต่พระพุทธเจ้าที่รู้
เมื่อสิ้นพระพุทธเจ้าแลสาวกในแต่ละยุค นั่นหมายความว่า เรื่องของศาสน์จึงกลายเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครรู้จริง กลายเป็นเรื่องเล่าขานต่อๆกันมา ถึงบุญญาธิการของศาสน์ แลพระพุทธเจ้า
หากแต่คนที่เห็นช่อง ก็แต่งเสริมเติมเรื่อง บิดเบือนเอาประโยชน์ใส่ตน จนมาทุกวันนี้ กลายเป็นว่า คำสอนของพระภูมี ที่ให้เดินไปทางซ้าย แต่งซะจนมนุษย์หลงเชื่อเดินไปทางขวา จึงไม่แปลกว่า ทำไมทุกวันนี้ มนุษย์วิ่งหาบุญ สร้างบุญ แต่ไม่เจอบุญ สักกะผีก มาช่วยตนยามทุกข์ หรือเวรกรรมมา จนกลายเป็นคำตัดพ้อ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป
ความไม่รู้ในเรื่องศาสน์ จึงไม่ตื่นตัว และไม่ตื่นตระหนก ในสิ่งที่กำลังจะเกิด ประการแรก ก็คือ ไม่รู้ว่า การอุบัติของพระพุทธเจ้า จะครบรอบแลบังเกิด ทุก ๒๕๐๐ ปี
นั่นก็หมายความว่า ณ.วันนี้ พระพุทธเจ้า ท่านทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว หากแต่รอเพียงการประกาศตน เท่านั้นเอง
สิ่งที่สำคัญยิ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ ไม่รู้ว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงต้องรอ หรือรออะไร
คำอรรถาธิบาย ในเรื่องนี้ ก็คือ รอกรรมเวร ที่มนุษย์สั่งสมกันมา ในช่วงที่ขาดศาสนานั่นเอง
กรรมเหล่านี้ กำลังจะประเดประดังเข้ามา ถาโถมใส่มนุษย์ ทุกทิศทุกทาง เพื่อหยุดความอหังกาของมนุษย์ ที่คิดว่า โลกนี้ตนวิเศษ เหนือเวร เหนือกรรม สามารถสร้างสรรพสิ่ง ที่ท้าทาย ธรรมชาติได้
แลนิสัยที่พอกพูนนี้เอง จะย้อนกลับมาทำลายมนุษย์เอง เป็นมหาภัยพิบัติ ทุกรูปแบบ เรียกว่า เข้าสู่ยุคเข็ญ
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รอ รอมนุษย์จนตรอก ถูกภัยพิบัติถาโถม จนหมดหนทาง แลร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธเจ้าจึงปรากฎโฉม แลสอนให้มนุษย์ปฏิบัติธรรม เพื่อดับยุคเข็ญนั้นเสีย
นี่จึงเป็นเหตุให้ ทำไมคนทั้งโลก ที่ไม่ชอบพระพุทธเจ้า แต่ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการ จนเชื่อว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ทำแล้วช่วยตนได้ จึงส่งคนของตนมาเรียนรู้ รับข้อปฏิบัติ ไปทำ เกิดเป็นศาสนาต่างๆ ที่ล้วนแล้วมีรากเหง้ามาจากพุทธศาสนานั่นเอง
จึงไม่แปลก ที่ไม่ต้องมีวิชาโหร ไม่ต้องเรียนตำรา เมื่อรู้เรื่องศาสนา จึงบอกได้เลยว่า เมื่อวันเวลามาถึง ศาสนาก็จะกลับกลายมาเป็นหนึ่ง เราจึงเชื่อในคำกล่าวว่า หินศํกดิ์สิทธิ์ ที่เก็บความลับนี้ ว่ารากเหง้าที่มา ของศาสนาที่ตนนับถือ วันหนึ่ง มันจะแตกออก แล้วจะพบว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปัญหาที่หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเตือน แลชี้ให้พึงระวัง นั่นคือ การกระทำใดที่เป็นการทำลายศาสนา บิดเบือนคำสอน ย่อมส่งผลรุนแรงเป็นทวีคูณ
จึงชี้ว่า ประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นต้นของพระพุทธศาสนา ในยุคนั้นๆ หากทำผิด ผลแห่งการกระทำจึงรุนแรงยิ่งนัก
ความเด่นชัด ของคำสอนของพระภูมีทุกยุคทุกสมัย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า "มีไว้เพื่อสร้างมนุษย์" ดังนั้น ผู้ละโมบ บิดเบือนเอาไปสร้างวัตถุ ฉิบหายแน่
เนปาล ต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้ากุสันโธ จัดไปเล็กๆ พม่า ต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้า กัสปะ สร้างเจดีย์มากมาย ก็จัดไป
แลยุคนี้ ควรที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติในประเทศไทย แต่คนไทยทำลายสิ้น แถมยังบิดเบือนคำสอน สร้างวัตถุเต็มบ้านเต็มเมือง ความรุนแรงของภัยพิบัติ จึงน่ากลัวยิ่ง
คำในอดีตที่ว่า ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงในไม่ช้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงหมายถึงอะไร
เราท่านจะได้เห็นมนุษย์กระป๋อง ได้เห็น ดิน น้ำ ลม ไฟ สร้างมหันตภัยพิบัติ ได้ประสพเชื้อที่ถูกฝังในดินนับพันปี พุ่งขึ้นฟ้า แพร่ไปในอากาศ สร้างทุกขเวทนามหาศาล
ด้วยความเมตตาของแม่ชีเมี้ยน จึงทิ้งตำรานี้ไว้ให้ สำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อ ศรัทธา ในพระพุทธศาสนา แล้วทำตาม ไว้เป็นทางรอด
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้าว่า กิจกรรมที่ทำ ไม่ใช่มุ่งเน้นที่คนหายโรค หากแต่เป็นไปเพื่อทางรอดจากภัยพิบัติ สำหรับคนที่เชื่อ แล้วทำตาม ธรรมคำสอนของพระภูมี ส่วนหายโรคนั้นเป็นของแถม
ฤาจะเรียกว่า ทำตนรอพระพุทธเจ้า ก็ว่าได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อมาแล้ว ฟังแล้ว พิจารณาแล้ว ไม่ทำ ... ก็ไม่ควรมา เสียเวลาเปล่า
เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ คนที่บอกว่า จะทำให้ศาสนารุ่งเรือง ขยายไปทั่วโลก คนเหล่านั้นมันไม่รู้เรื่องศาสนา ก็พระโคดม ที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่เพรียบพร้อม ยังมีสาวกไม่ถึงแสนองค์ คนส่วนใหญ่ เข้าข่าย รู้ว่าดี แต่ไม่เอา เพราะทำไม่ได้ เขาอยากได้บุญ ด้วยการขอ ไม่ต้องทำอะไร
ใครมามูลนิธิเพื่อสมุนไพร ช่างน่าเสียดายยิ่ง หากแต่มาเพื่อเรียนรู้เรื่องศาสนา ขอธรรมไปปฏิบัติ เพื่อช่วยตน ทำตนเป็นคนดี นั่นมาถูกทางแล้ว ส่วนสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ท่านแถมให้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การปฏิบัติสมดังปรารถนา
ที่นี่ ชวนท่านมา เพื่อทำตนรอ ... รอพระพุทธเจ้า ที่กำลังจะปรากฎโฉมให้โลกเห็น ในแผ่นดินพม่า
แลกลุ่มคนที่รวมกัน ก็คงไม่มากมาย แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ใครจะว่าบ้าก็ช่าง หัวเราะทีหลังดังกว่า เพราะเราท่านที่เชื่อแล้วทำตาม จะสามารถยืนหยัด แลพ้นภัยพิบัติอันนี้ได้ และจะได้ใช้ พ.ศ. ที่ ๑ ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อย่างแน่นอน
เมื่อรู้เรื่องศาสน์ แม้เพียงผิวเผิน ก็จะรู้ได้เลยว่า พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ไม่มีแน่ ใครที่บอกว่า ประเทศไทยจะเจริญในทศวรรษนี้ เราก็ได้แต่แอบหัวเราะ เพราะมันไม่มี พ.ศ. นั้นอย่างแน่นอน
รอดูไป อีกไม่นาน แล้วจะรู้ว่า สารพัดหมอดู มันมั่วทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ เพราะเรื่องสำคัญระดับโลกเช่นนี้ ยังไม่รู้เลย
เมื่อสิ้นพระพุทธเจ้าแลสาวกในแต่ละยุค นั่นหมายความว่า เรื่องของศาสน์จึงกลายเป็นปริศนา ที่ไม่มีใครรู้จริง กลายเป็นเรื่องเล่าขานต่อๆกันมา ถึงบุญญาธิการของศาสน์ แลพระพุทธเจ้า
หากแต่คนที่เห็นช่อง ก็แต่งเสริมเติมเรื่อง บิดเบือนเอาประโยชน์ใส่ตน จนมาทุกวันนี้ กลายเป็นว่า คำสอนของพระภูมี ที่ให้เดินไปทางซ้าย แต่งซะจนมนุษย์หลงเชื่อเดินไปทางขวา จึงไม่แปลกว่า ทำไมทุกวันนี้ มนุษย์วิ่งหาบุญ สร้างบุญ แต่ไม่เจอบุญ สักกะผีก มาช่วยตนยามทุกข์ หรือเวรกรรมมา จนกลายเป็นคำตัดพ้อ ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป
ความไม่รู้ในเรื่องศาสน์ จึงไม่ตื่นตัว และไม่ตื่นตระหนก ในสิ่งที่กำลังจะเกิด ประการแรก ก็คือ ไม่รู้ว่า การอุบัติของพระพุทธเจ้า จะครบรอบแลบังเกิด ทุก ๒๕๐๐ ปี
นั่นก็หมายความว่า ณ.วันนี้ พระพุทธเจ้า ท่านทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว หากแต่รอเพียงการประกาศตน เท่านั้นเอง
สิ่งที่สำคัญยิ่ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น นั่นคือ ไม่รู้ว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงต้องรอ หรือรออะไร
คำอรรถาธิบาย ในเรื่องนี้ ก็คือ รอกรรมเวร ที่มนุษย์สั่งสมกันมา ในช่วงที่ขาดศาสนานั่นเอง
กรรมเหล่านี้ กำลังจะประเดประดังเข้ามา ถาโถมใส่มนุษย์ ทุกทิศทุกทาง เพื่อหยุดความอหังกาของมนุษย์ ที่คิดว่า โลกนี้ตนวิเศษ เหนือเวร เหนือกรรม สามารถสร้างสรรพสิ่ง ที่ท้าทาย ธรรมชาติได้
แลนิสัยที่พอกพูนนี้เอง จะย้อนกลับมาทำลายมนุษย์เอง เป็นมหาภัยพิบัติ ทุกรูปแบบ เรียกว่า เข้าสู่ยุคเข็ญ
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รอ รอมนุษย์จนตรอก ถูกภัยพิบัติถาโถม จนหมดหนทาง แลร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธเจ้าจึงปรากฎโฉม แลสอนให้มนุษย์ปฏิบัติธรรม เพื่อดับยุคเข็ญนั้นเสีย
นี่จึงเป็นเหตุให้ ทำไมคนทั้งโลก ที่ไม่ชอบพระพุทธเจ้า แต่ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการ จนเชื่อว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ทำแล้วช่วยตนได้ จึงส่งคนของตนมาเรียนรู้ รับข้อปฏิบัติ ไปทำ เกิดเป็นศาสนาต่างๆ ที่ล้วนแล้วมีรากเหง้ามาจากพุทธศาสนานั่นเอง
จึงไม่แปลก ที่ไม่ต้องมีวิชาโหร ไม่ต้องเรียนตำรา เมื่อรู้เรื่องศาสนา จึงบอกได้เลยว่า เมื่อวันเวลามาถึง ศาสนาก็จะกลับกลายมาเป็นหนึ่ง เราจึงเชื่อในคำกล่าวว่า หินศํกดิ์สิทธิ์ ที่เก็บความลับนี้ ว่ารากเหง้าที่มา ของศาสนาที่ตนนับถือ วันหนึ่ง มันจะแตกออก แล้วจะพบว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ปัญหาที่หลวงพ่อนิพนธ์ย้ำเตือน แลชี้ให้พึงระวัง นั่นคือ การกระทำใดที่เป็นการทำลายศาสนา บิดเบือนคำสอน ย่อมส่งผลรุนแรงเป็นทวีคูณ
จึงชี้ว่า ประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นต้นของพระพุทธศาสนา ในยุคนั้นๆ หากทำผิด ผลแห่งการกระทำจึงรุนแรงยิ่งนัก
ความเด่นชัด ของคำสอนของพระภูมีทุกยุคทุกสมัย หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า "มีไว้เพื่อสร้างมนุษย์" ดังนั้น ผู้ละโมบ บิดเบือนเอาไปสร้างวัตถุ ฉิบหายแน่
เนปาล ต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้ากุสันโธ จัดไปเล็กๆ พม่า ต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้า กัสปะ สร้างเจดีย์มากมาย ก็จัดไป
แลยุคนี้ ควรที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติในประเทศไทย แต่คนไทยทำลายสิ้น แถมยังบิดเบือนคำสอน สร้างวัตถุเต็มบ้านเต็มเมือง ความรุนแรงของภัยพิบัติ จึงน่ากลัวยิ่ง
คำในอดีตที่ว่า ผู้ดีเดินตรอก ขี้คลอกเดินถนน จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงในไม่ช้า ว่าพระพุทธเจ้าทรงหมายถึงอะไร
เราท่านจะได้เห็นมนุษย์กระป๋อง ได้เห็น ดิน น้ำ ลม ไฟ สร้างมหันตภัยพิบัติ ได้ประสพเชื้อที่ถูกฝังในดินนับพันปี พุ่งขึ้นฟ้า แพร่ไปในอากาศ สร้างทุกขเวทนามหาศาล
ด้วยความเมตตาของแม่ชีเมี้ยน จึงทิ้งตำรานี้ไว้ให้ สำหรับคนกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อ ศรัทธา ในพระพุทธศาสนา แล้วทำตาม ไว้เป็นทางรอด
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้าว่า กิจกรรมที่ทำ ไม่ใช่มุ่งเน้นที่คนหายโรค หากแต่เป็นไปเพื่อทางรอดจากภัยพิบัติ สำหรับคนที่เชื่อ แล้วทำตาม ธรรมคำสอนของพระภูมี ส่วนหายโรคนั้นเป็นของแถม
ฤาจะเรียกว่า ทำตนรอพระพุทธเจ้า ก็ว่าได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เมื่อมาแล้ว ฟังแล้ว พิจารณาแล้ว ไม่ทำ ... ก็ไม่ควรมา เสียเวลาเปล่า
เรื่องของศาสนา จึงเป็นเรื่องของคนกลุ่มเล็กๆ คนที่บอกว่า จะทำให้ศาสนารุ่งเรือง ขยายไปทั่วโลก คนเหล่านั้นมันไม่รู้เรื่องศาสนา ก็พระโคดม ที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้าที่เพรียบพร้อม ยังมีสาวกไม่ถึงแสนองค์ คนส่วนใหญ่ เข้าข่าย รู้ว่าดี แต่ไม่เอา เพราะทำไม่ได้ เขาอยากได้บุญ ด้วยการขอ ไม่ต้องทำอะไร
ใครมามูลนิธิเพื่อสมุนไพร ช่างน่าเสียดายยิ่ง หากแต่มาเพื่อเรียนรู้เรื่องศาสนา ขอธรรมไปปฏิบัติ เพื่อช่วยตน ทำตนเป็นคนดี นั่นมาถูกทางแล้ว ส่วนสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ท่านแถมให้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การปฏิบัติสมดังปรารถนา
ที่นี่ ชวนท่านมา เพื่อทำตนรอ ... รอพระพุทธเจ้า ที่กำลังจะปรากฎโฉมให้โลกเห็น ในแผ่นดินพม่า
แลกลุ่มคนที่รวมกัน ก็คงไม่มากมาย แต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ใครจะว่าบ้าก็ช่าง หัวเราะทีหลังดังกว่า เพราะเราท่านที่เชื่อแล้วทำตาม จะสามารถยืนหยัด แลพ้นภัยพิบัติอันนี้ได้ และจะได้ใช้ พ.ศ. ที่ ๑ ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อย่างแน่นอน
เมื่อรู้เรื่องศาสน์ แม้เพียงผิวเผิน ก็จะรู้ได้เลยว่า พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ไม่มีแน่ ใครที่บอกว่า ประเทศไทยจะเจริญในทศวรรษนี้ เราก็ได้แต่แอบหัวเราะ เพราะมันไม่มี พ.ศ. นั้นอย่างแน่นอน
รอดูไป อีกไม่นาน แล้วจะรู้ว่า สารพัดหมอดู มันมั่วทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ เพราะเรื่องสำคัญระดับโลกเช่นนี้ ยังไม่รู้เลย
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558
หาสุขไม่เจอหรือไม่หา
คนที่มาหาพระภูมี ล้วนแล้วแต่คนอยากมีสุข เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งที่ตนมีตนเป็น นั้นเป็นทุกข์
แลทุกข์อย่างหนึ่งที่ไม่ว่าร่ำรวยยากดีมีจน หนีไม่พ้น เป็นวัฐจักร หนึ่งในสี่ที่พระภูมีทรงตรัส นั่นคือ ความเจ็บ
นั่นคือ เป้าหมายหลักของการมาสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ก็เพื้อพ้นทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บ
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า ทุกคนอยากมีสุข แต่แสวงหาผิด เพราะพระภูมีทรงตรัสสอนว่า ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว
เราท่าน มุ่งหาสุขที่ตัว มันจึงไม่ได้สุข หลอกตัวเองไปเรื่อยๆว่าสุข วันหนึ่งก็ต้องรับความจริง เมื่อกายเจ็บ ทีนี้สิ่งที่ใช้หลอกตน บ้านใหญ่ ที่นอนนุ่ม อาหารดี ดนตรีเพราะ มันไม่ให้สุขแล้ว
เมื่อมาสถานที่นี้ อยากได้สุข คือ ไม่เจ็บ หรือหายโรค หลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ช่อง ก็สถานที่นี้เป็นที่รวมคนทุกข์ การกระทำใดที่ให้สุข แก่คนทุกข์ ย่อมย้อนมาเป็นสุขแห่งตน
ภาพที่เห็น ในสำนักที่บ่อพลอย เราจึงเห็นการพยายามสร้างสุขให้ผู้อื่น อย่างมหาศาล ไม่ว่ารดนำ้ ดูแลต้นสมุนไพร ถางหญ้าให้เดินสะดวก สร้างสถานที่ให้คนป่วยพักได้อย่างสะดวกพอควร ผลก็คือ คนไข้หนักที่ไปพำนัก แล้วทำตาม ดีวันดีคืน
แต่ภาพที่เห็นในมูลนิธิ ช่างแตกต่าง แบ่งออกเป็นสองขั้ว ฝ่ายหนึ่งฟัง เชื่อ ก็ทำตาม เป็นจิตอาสา ล้างขวด ทำสมุนไพร ทำอะไรก็ได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ทำอะไรเลย ซ้ำยังทิ้งขยะ ซุกตรงนั้นตรงนี้ เกลื่อนกลาด หญ้าสักต้นก็ไม่คิดถอน น้ำสักกระป๋องก็ไม่คิดรดต้นยา นั่งติ คนทำตลอด ทำไมกระโจมไม่ร้อน ทำไมแจกยาช้า ทำไมยาไม่พอ ทำไมไม่ทำโน่น ไม่ทำนี่ ...
ตำราก็เรียนเล่มเดียวกัน คนสอนก็คนเดียวกัน ที่มาก็มาจากแม่ชีเมี้ยนเหมือนกัน แต่ฟังแล้ว ทำคนละอย่าง
ศาสน์จึงบอกปฏิเสธ ไม่ใช่ ไม่ใช่ และไม่ใช่ มาทานสมุนไพร เพียงอย่างเดียวแล้วหายโรค สมุนไพรหม้อเดียวกัน สองคนทานผลก็ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งหาย อีกคนอาจตาย ก็เห็นกันอยู่มากมาย
นั่นจึงเป็นวลี ที่กล่าวว่า ใครทำ ใครได้
ทำอะไร ก็ทำสุขให้คนอื่น อยากสุขมาก ก็ให้สุขแก่ผู้อื่นมากๆ
คำตอบสำหรับคนที่กล่าวว่า ทำไมไม่หาย จึงต้องย้อนไปว่า สุขที่ท่านอยากได้ ท่านหาไม่เจอ หรือไม่หา
ฤามาที่นี่ ท่านไม่เห็นคนทุกข์ ที่ท่านจะสามารถให้สุขแก่เขาได้เลยหรือ
แม้นแต่ความอดทน รอคอย เดินเป็นแถว ให้คนที่ลำบากกว่าไปก่อน ยังให้ไม่ได้ ก็แล้วจะเอาสุขอะไรมาย้อนสู่ตนเล่า
ภาพของศาสน์ สุข สงบ อาศัยซึ่งขันติ อดทน หากแต่ว่าถ้าเราท่าน ยังใช้นิสัย หาสุขให้ตายก็หาไม่เจอ เรื่องหายโรค ยิ่งห่างไกล
อะไรก็จะแต่ตน แสวงให้ตนก่อน แสวงให้ตายได้แต่ทุกข์ อยากได้สุข ต้องแสวงหาคนทุกข์ก่อน แล้วให้สุขแก่เขา นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สุขจะย้อนมายังตน
ประเภทไม่เอาใคร ไม่สนโลก ใครจะตายช่างมัน ... อุปมาเหมือน พระโคดม เมื่อครั้งสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพิจารณานิสัยมนุษย์ เห็นว่าธรรมที่บรรลุ นั้นทำยาก จึงตัดสินใจ อดอาหาร
ครั้นฟ้าดินเตือนสติ ว่าหากพระโคดมทำเช่นนั้น จะมีบุญที่ไหนไปนิพพาน จึงต้องกลับมาเสวยอาหาร และโปรดสัตว์ จนได้สาวกเกือบแสนรูป
เวลาทำบาป ก็อาศัย มนุษย์และสัตว์ เวลาจะหาบุญ หาสุข ไม่เอามนุษย์ ไม่เอาสัตว์ใดๆเลย ... หาให้ตายก็ไม่เจอ มีแต่บุญลมๆแล้งๆ ฝันเอาว่าได้บุญ สร้างวัตถุได้บุญ ครั้นกรรมเวรมา บุญที่ฝันก็ช่วยตนไม่ได้เลย
เราจึงยกคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอนพระ มาให้ฟังว่า เวลาฉัน ก็ให้ตักเฉพาะที่จะทาน ทานเหลือก็เป็นหนี้ พระจึงตักเฉพาะพอฉัน หลวงพ่อนิพนธ์ก็บอกว่า ทำเช่นนั้นไม่ได้ เวลาฉัน ก็ต้องเหลือไว้สักช้อนสองช้อน ให้เป็นอรทานแก่สรรพสัตว์
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า จะหาสุข จึงเลยมนุษย์และสัตว์ ไม่ได้เลย อยากสุข ก็ต้องให้สุขผู้อื่นก่อน มิใช่แสวงให้ตน สุขจึงย้อนมายังตน
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558
ยากจะเข้าใจ
หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวเสมอว่า การฟื้นฟูด้วยหลักสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมานั้น เรียกได้ว่า เป็นศาสตร์ทางเลือก ที่ให้ผลเฉียบขาด และรวดเร็ว
นับแต่อดีตยุคหลัง ตั้งแต่การเปิดสำนักขึ้นอีกครั้ง ในปี ๓๐ สิ่งที่เราเห็นก็เป็นเช่นนั้น การฟื้นฟูของแต่ละบุคคล ล้วนแล้วแต่ใช้เวลาไม่นาน จะมีก็แต่ผู้ที่เป็นโรคทรมาน มาในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว กรณีแบบนี้จึงจะใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน
แล้วเกิดอะไรขึ้นในยุคนี้ ที่สรรพคุณของสมุนไพร เรียกได้ว่า ดีกว่ายุคแรกๆมากนัก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ความคลาดเคลื่อนของผู้ที่มา ผิดเป้าหมายวัตถุประสงค์ของเจ้าของตำรา คือพระภูมี และผู้ที่นำมา คือ แม่ชีเมี้ยน ไปแล้วนั่นเอง
ศาสตร์อันนี้ มีไว้เพื่อให้โอกาสคนได้เรียนรู้การเป็นคนดี มีวินัยธรรม โดยจะได้ผลตอบแทนเบื้องต้น นั่นคือ การหายโรค
ยุคแรกๆตั้งแต่เปิดสำนัก การรับคนปวยโดยเฉพาะคนที่อาการหนัก หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปิดทางเลือกไว้เป็นประตูหลัก นั่นคือ การให้บวช หรือ การต้องมาพำนักพักที่สำนักเพื่อฟื้นฟูตน
นั่นหมายความว่า หลักในการฟื้นฟูที่ให้ผลชะงัด ต้องอาศัยซึ่งตัวกระทำเป็นหลัก สมุนไพรเดินตาม
กล่าวให้เข้าใจง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า การกระทำเดิมของเราท่านมันผิด ผลผิดมันจึงเกิด จึงต้องมาเรียนรู้ธรรมวินัย พิจารณา แล้วเดินตาม เมื่อความคิดถูก การกระทำถูก ผลที่เกิดย่อมถูก อันหมายถึง เราท่านต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ คนที่มาในอดีต จึงเริ่มที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นปฐมบท เรียกได้ว่า มีวินัยบางสิ่งบางอย่างผูกมัด จะทำตามใจเช่นในอดีตไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เราเห็น หลายต่อหลายคน โดยเฉพาะคนไข้เอดส์ หรือมะเร็งสมอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงแนะให้บวช หรือ กักตนในสำนัก ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างฟื้นฟูตน
แลเมื่อทำตาม เราก็เห็นคนเหล่านั้น ฟื้นฟูตัวได้ในเวลาไม่นาน บางคนก็สึกออกไปมีครอบครัว หรือแม้แต่คนป่วยเอดส์หญิง ก็กลับไปบ้าน แต่งงาน มีลูก ก็เห็นมาแล้ว
มาวันนี้ หลายคนบ่นบอก การมามูลนิธิ กลายเป็นภาระจำยอม แลมาก็เพื่อสมุนไพร โดยไม่สนสิ่งอื่นใด นั่นหมายความว่า ไม่สนที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆเลย
หลวงพ่อนิพนธ์ใช้คำว่า เราท่านมีกรรม กำลังหาที่หลบภัย นั่นคือ ที่ที่กรรมเวรเขาเว้นไว้ให้ เมื่อเราท่านเข้ามาในบริเวณที่กรรมเขาเว้น ตนก็ต้องเว้นพฤติกรรมของตนเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า พืนที่ที่กรรมเว้นไว้ให้ นั่นคือ บริเวณห้องสวดมนต์ เมื่อเข้ามาต้องมีสติ แสดงเอกลักษณ์ของพระภูมี คือ ความสงบ ขันติอดทน
พฤติกรรมนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะช่วยให้การฟื้นฟูตนสมดังหวัง
แต่ภาพที่ปรากฎ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ปากก็บอกอยากหาย แต่พฤติกรรมสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีที่เว้นใดๆเลย
นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะคนที่มาล้วนเอาความอยากของตนนำ คือ อยากหายโรค แต่เพียงอย่างเดียว ไม่เอาความอยากของพระภูมี คือ อยากได้คนดีมีธรรม การกระทำจึงยากที่จะบรรลุผล เพราะสนองแต่ความอยากของตนฝ่ายเดียว
เราจึงดูแล้ว หนทางนี้นับวันก็มีแต่โรยรา แคบเข้า เพราะประตูที่สนองความอยากของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนชี้ช่อง คือ ประตูของการบวช แม้ไม่เพื่อการหลุดพ้น แต่ก็เพื่อขอนิสัย
จุดพลิกผัน โชคชะตา ของธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือ "นิสัย"
อยากจะประสพผล ไม่ทำ ไม่ได้
วันเวลาจะพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า หากมนุษย์คนใด อยากพ้นชะตากรรม อยากหายโรค จะไม่มีวันประสพผลเลย ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง หลวงพ่อนิพนธ์อุปมา เหมือนลิงแก้แห ยิ่งใช้เคมี ยิ่งโดนรุมกินโต๊ะ มิเพียงไม่หาย จากหนึ่งกลายเป็นสองสาม อยากหายโรค ต้องแก้ความคิด ต้องเรียนรู้ธรรมคำสอน แล้วเอาไปทำให้เป็น นิสัย จึงจักหายโรค
วลีสั้นๆ ของพระพุทธเจ้า ที่ทุกคนที่อยากช่วยตน ต้องเรียนรู้ พิจารณา ทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติ คือคำว่า "ตัวกระทำ"
สิ่งที่เราสงสัยยิ่งนัก คนที่มีวาสนามาถึงแล้ว แต่ไม่ทำ ... คนเหล่านี้มาทำไม เพราะผลแห่งการทำเช่นนี้ รู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว เสียเวลา เสียเงิน เปล่าประโยชน์ ไปทำในส่ิงที่ตนชอบไม่ดีกว่าหรือ เพราะท้ายสุด ก็ไม่รอดเหมือนกัน จะหลอกตัวเองไปทำไม
สถานที่นี้ ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริง ไม่ใช่ลูกเต๋า มีเหลี่ยมมีคู บังให้มองไม่เห็น หากแต่ชี้ให้เห็นทางแจ้งโดยตลอด ดังนั้น ไม่อยากทำ ก็อย่าเสียเวลาเลย เพราะมันเสียทั้งคนมา ทั้งคนทำ โดยไม่ได้ผลตอบแทนอันใดเลย
ทุกวลีของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอน จึงมีค่ากว่าทองคำ เพราะนั้นหมายถึงชีวิต ของแต่ละคน ที่เรียกได้ว่า มีค่ามหาศาล กว่าสิ่งใดๆในโลก หากแต่มาแล้ว แต่ไม่อยากฟัง ฟังแล้วไม่อยากทำ จะมาทำไม เก็บสมุนไพรไว้ให้คนที่อยากฟัง ได้ฟัง แล้วอยากทำ ดีกว่าไหม นึกว่าทำบุญ
นับแต่อดีตยุคหลัง ตั้งแต่การเปิดสำนักขึ้นอีกครั้ง ในปี ๓๐ สิ่งที่เราเห็นก็เป็นเช่นนั้น การฟื้นฟูของแต่ละบุคคล ล้วนแล้วแต่ใช้เวลาไม่นาน จะมีก็แต่ผู้ที่เป็นโรคทรมาน มาในสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว กรณีแบบนี้จึงจะใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน
แล้วเกิดอะไรขึ้นในยุคนี้ ที่สรรพคุณของสมุนไพร เรียกได้ว่า ดีกว่ายุคแรกๆมากนัก
หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า นั่นคือ ความคลาดเคลื่อนของผู้ที่มา ผิดเป้าหมายวัตถุประสงค์ของเจ้าของตำรา คือพระภูมี และผู้ที่นำมา คือ แม่ชีเมี้ยน ไปแล้วนั่นเอง
ศาสตร์อันนี้ มีไว้เพื่อให้โอกาสคนได้เรียนรู้การเป็นคนดี มีวินัยธรรม โดยจะได้ผลตอบแทนเบื้องต้น นั่นคือ การหายโรค
ยุคแรกๆตั้งแต่เปิดสำนัก การรับคนปวยโดยเฉพาะคนที่อาการหนัก หลวงพ่อนิพนธ์จึงเปิดทางเลือกไว้เป็นประตูหลัก นั่นคือ การให้บวช หรือ การต้องมาพำนักพักที่สำนักเพื่อฟื้นฟูตน
นั่นหมายความว่า หลักในการฟื้นฟูที่ให้ผลชะงัด ต้องอาศัยซึ่งตัวกระทำเป็นหลัก สมุนไพรเดินตาม
กล่าวให้เข้าใจง่าย หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า การกระทำเดิมของเราท่านมันผิด ผลผิดมันจึงเกิด จึงต้องมาเรียนรู้ธรรมวินัย พิจารณา แล้วเดินตาม เมื่อความคิดถูก การกระทำถูก ผลที่เกิดย่อมถูก อันหมายถึง เราท่านต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ คนที่มาในอดีต จึงเริ่มที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นปฐมบท เรียกได้ว่า มีวินัยบางสิ่งบางอย่างผูกมัด จะทำตามใจเช่นในอดีตไม่ได้แล้ว
สิ่งที่เราเห็น หลายต่อหลายคน โดยเฉพาะคนไข้เอดส์ หรือมะเร็งสมอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงแนะให้บวช หรือ กักตนในสำนัก ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างฟื้นฟูตน
แลเมื่อทำตาม เราก็เห็นคนเหล่านั้น ฟื้นฟูตัวได้ในเวลาไม่นาน บางคนก็สึกออกไปมีครอบครัว หรือแม้แต่คนป่วยเอดส์หญิง ก็กลับไปบ้าน แต่งงาน มีลูก ก็เห็นมาแล้ว
มาวันนี้ หลายคนบ่นบอก การมามูลนิธิ กลายเป็นภาระจำยอม แลมาก็เพื่อสมุนไพร โดยไม่สนสิ่งอื่นใด นั่นหมายความว่า ไม่สนที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใดๆเลย
หลวงพ่อนิพนธ์ใช้คำว่า เราท่านมีกรรม กำลังหาที่หลบภัย นั่นคือ ที่ที่กรรมเวรเขาเว้นไว้ให้ เมื่อเราท่านเข้ามาในบริเวณที่กรรมเขาเว้น ตนก็ต้องเว้นพฤติกรรมของตนเช่นกัน
หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า พืนที่ที่กรรมเว้นไว้ให้ นั่นคือ บริเวณห้องสวดมนต์ เมื่อเข้ามาต้องมีสติ แสดงเอกลักษณ์ของพระภูมี คือ ความสงบ ขันติอดทน
พฤติกรรมนี้เป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะช่วยให้การฟื้นฟูตนสมดังหวัง
แต่ภาพที่ปรากฎ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ปากก็บอกอยากหาย แต่พฤติกรรมสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ไม่มีที่เว้นใดๆเลย
นี่แหละหลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะคนที่มาล้วนเอาความอยากของตนนำ คือ อยากหายโรค แต่เพียงอย่างเดียว ไม่เอาความอยากของพระภูมี คือ อยากได้คนดีมีธรรม การกระทำจึงยากที่จะบรรลุผล เพราะสนองแต่ความอยากของตนฝ่ายเดียว
เราจึงดูแล้ว หนทางนี้นับวันก็มีแต่โรยรา แคบเข้า เพราะประตูที่สนองความอยากของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนชี้ช่อง คือ ประตูของการบวช แม้ไม่เพื่อการหลุดพ้น แต่ก็เพื่อขอนิสัย
จุดพลิกผัน โชคชะตา ของธรรมหมวดสมุนไพรของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา คือ "นิสัย"
อยากจะประสพผล ไม่ทำ ไม่ได้
วันเวลาจะพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ว่า หากมนุษย์คนใด อยากพ้นชะตากรรม อยากหายโรค จะไม่มีวันประสพผลเลย ยิ่งแก้ ยิ่งยุ่ง หลวงพ่อนิพนธ์อุปมา เหมือนลิงแก้แห ยิ่งใช้เคมี ยิ่งโดนรุมกินโต๊ะ มิเพียงไม่หาย จากหนึ่งกลายเป็นสองสาม อยากหายโรค ต้องแก้ความคิด ต้องเรียนรู้ธรรมคำสอน แล้วเอาไปทำให้เป็น นิสัย จึงจักหายโรค
วลีสั้นๆ ของพระพุทธเจ้า ที่ทุกคนที่อยากช่วยตน ต้องเรียนรู้ พิจารณา ทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติ คือคำว่า "ตัวกระทำ"
สิ่งที่เราสงสัยยิ่งนัก คนที่มีวาสนามาถึงแล้ว แต่ไม่ทำ ... คนเหล่านี้มาทำไม เพราะผลแห่งการทำเช่นนี้ รู้ว่าแพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว เสียเวลา เสียเงิน เปล่าประโยชน์ ไปทำในส่ิงที่ตนชอบไม่ดีกว่าหรือ เพราะท้ายสุด ก็ไม่รอดเหมือนกัน จะหลอกตัวเองไปทำไม
สถานที่นี้ ไม่กลอกกลิ้ง พูดความจริง ไม่ใช่ลูกเต๋า มีเหลี่ยมมีคู บังให้มองไม่เห็น หากแต่ชี้ให้เห็นทางแจ้งโดยตลอด ดังนั้น ไม่อยากทำ ก็อย่าเสียเวลาเลย เพราะมันเสียทั้งคนมา ทั้งคนทำ โดยไม่ได้ผลตอบแทนอันใดเลย
ทุกวลีของหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอน จึงมีค่ากว่าทองคำ เพราะนั้นหมายถึงชีวิต ของแต่ละคน ที่เรียกได้ว่า มีค่ามหาศาล กว่าสิ่งใดๆในโลก หากแต่มาแล้ว แต่ไม่อยากฟัง ฟังแล้วไม่อยากทำ จะมาทำไม เก็บสมุนไพรไว้ให้คนที่อยากฟัง ได้ฟัง แล้วอยากทำ ดีกว่าไหม นึกว่าทำบุญ
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558
ทำชุ่ยหรือเปล่า
เล่าสรรพคุณของสมุนไพรเขียวมากเข้า ก็จะกลายเป็นโม้ หรือ อุตริ สมุนไพรอื่นๆก็เช่นกัน อยากจะรู้ก็สอบถามวิทยากรต่อเอง
หากแต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจคาใจ ยามทานสมุนไพรเขียว นั่นคือ เมื่อทานแล้ว มักจะมีเศษของใบยาปนมา
หลายคนพาลนึกไปว่า กระบวนการผลิต ห่วยหรือเปล่า มันจึงกรองใบยาได้ไม่หมด
ดังนั้น เวลาทาน จึงทานแต่ส่วนที่เป็นน้ำ ส่วนที่เป็นกากเหลือติดก้นแก้ว ก็ทิ้งไป
จึงย้อนอดีตมาเล่าให้ฟัง เมื่อครั้งยุคที่หลวงพ่อนิพนธ์เปิดรับคนป่วยในระยะแรกๆ ด้วยที่ทุนน้อย อาศัยการค้าขายขนม และแบ่งกำไรมาซื้อสมุนไพรทำแจก การรับคนจึงไม่มากนัก แค่หลักร้อย
กระบวนการทำสมุนไพรเขียวในการคั้นในยุคนั้น ก็ใช้ผ้าขาวบาง แล้วใช้มือคนบีบคั้นออกมา
มีอยู่วันหนึ่ง คนป่วยเห็นเช่นนั้น จึงเสนอหลวงพ่อนิพนธ์ว่า ร้านขายกระทิ เขาเลิก และบอกขายเครื่องคั้นกระทิ ที่เรียกได้ว่ากระบวนการคั้นน้ำนั้นแทบไม่เหลือ หรือ รีดออกมาได้หมด ที่สำคัญคือ ไม่มีกากปนมากับน้ำที่คั้นออกมาด้วย
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า สมุนไพรเขียว จำเป็นต้องมีกากใบยาผสมอยู่ในตัวสมุนไพร เพราะมีประโยชน์หลายประการ
หนึ่งในนั้น นั่นคือ ด้วยเป็นกาก ทำให้สามารถคงทนในระบบทางเดินอาหาร ออกฤทธิ์ได้นาน สามารถปนไปกับกากอาหาร เดินทางไปตลอดลำไส้ จวบจนทวารหนัก ทำให้รักษาไปได้ตลอดทาง การถ่ายก็จะทำได้ง่ายขึ้น
จึงเป็นประโยชน์กับคนที่ถ่ายยาก และมีอาการที่กากอาหารครูดทางเดินเป็นแผล เนื่องจากความแข็ง จึงเป็นผลดีอย่างยิ่งโดยเฉพาะในคนป่วยที่มีอาการของริดสีดวงทวาร
ดังนั้น การทำสมุนไพรเขียว จึงต้องมีกากใบยาปนมาด้วย การทานที่ถูก จึงต้องทานทั้งน้ำทั้งกาก
แลแต่เดิมก่อนหน้านั้น หลวงพ่อนิพนธ์ไม่เคยแจกกากยาที่คั้นแล้วเลย ก็จึงเริ่มแจกกากยานับแต่นั้นมา ในยามที่ใบยาเขียวขาดแคลน โดยแนะนำว่า นำไปบดให้ละเอียดอีกครั้ง แล้วคลุกเคล้ากับน้ำผึ้ง เก็บในขวดทึบแช่ตู้เย็น แล้วทาน ก็จะมีประโยชน์กับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร โดยเฉพาะริดสีดวง จนคนที่นำไปทาน หายกันเป็นที่โจษจัน การแจกกากยาเขียว จึงหยุดไม่ได้ และไม่พอแจกนับแต่นั้นมา
บทสรุป การทานสมุนไพรเขียว ที่ถูก จึงต้องทานทั้งน้ำ ทั้งกาก โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
แลการใช้กากยา ที่ทำแล้วได้ผลบอกต่อกันมา นั่นคือ การรักษาแผลที่ผิวหนัง โดยเฉพะาจำพวกสะเก็ดเงิน ก็ใช้กากยาเขียวผสมน้ำปูนใส (ปูนกินหมาก สีแดงๆ) คลุกเคล้าแล้วขยำ ทาให้ทั่วบริเวณ ทิ้งระยะเวลาพอควร ก็จะบรรเทาอาการปวดแสบร้อน และทำให้แผลแห้งเร็ว ที่สำคัญ ไม่มีรอยแผลเป็น
การทำแบบนี้ มักถูกใช้ในกรณีที่ยาตัดไม่พอ ก็ใช้วิธีนี้ทดแทน โดยเฉพาะในรายที่พื้นที่ที่เป็นมีขนาดใหญ่
วิธีนี้เราเคยเห็นเจ้าหน้าที่ศาลกาญจนบุรี ทำให้สามี ที่อาการของงูสวัด ลุกลามจากตัว ขึ้นศีรษะ จนหายมาแล้ว
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558
สามกระบวนท่า พลิกแพลงร้อยแปด
คำถามที่มักคาใจสมาชิก โดยเฉพาะคนที่มาใหม่ นั่นคือ การที่ได้เห็นว่า ไม่ว่าใครคนไหนเป็นโรคอะไร สมุนไพรพื้นฐานชุดแรก ที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดให้เป็นหลัก จนเจ้าหน้าที่ท่องขึ้นใจว่า เขียว ไพล ดำ คล้ายกันหมด
ภาษาหนังกำลังภายใน เรียกเป็นกระบวนท่าพื้นฐาน ที่ทุกคนต้องทานก่อน และต้องทานให้ได้ปริมาณ
กระบวนท่าแรก คือ สมุนไพรเขียว หรือที่เรียกว่า ยาเขียว อ.อร่าม วิทยากร มักเรียกว่า "ยาครู"
เป็นสมุนไพรที่มีรสชาด ขมจัด หรือจะเรียกสุดยอดความขมก็ว่าได้ หากใบยาที่ได้มามีความสมบูรณ์ หากแต่ความขมก็จะลดไปตามสัดส่วนของความสมบูรณ์ของใบยานั่นเอง
สมุนไพรชนิดนี้ มักจะเป็นสมุนไพรแก้วแรก ที่ทุกคนได้รับประทาน
หลวงพ่อนิพนธ์เคยอรรถาธิบายไว้ว่า ด้วยนิสัยคนเรา ที่เลือกทาน ทำให้ร่างกายขาดสารขม อันเป็นสารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย โดยเฉพาะสารขมนี้จะส่งให้ดี ทำให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงาน โดยเฉพาะพวกต่อมฮอร์โมนต่างๆ ต่อมไร้ท่อ
เมื่อขาดนานเข้า โรงงานไม่มีวัตถุดิบ ระบบร่างกายก็รวน หาสาเหตุไม่ได้ การทานยาเขียว เสมือนอัดวัตถุดิบให้โรงงาน จนเพียงพอกับความต้องการ ระบบต่างๆ ก็จะกลับมาทำงาน
ยาเขียว เพียงชนิดเดียว กลับพลิกแพลงให้คุณนานัปการ เริ่มตั้งแต่ ความเป็นพิษของตัวยาเขียว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นไม้พิษ นั่นคือ ในตัวจะมีสารพิษฆ่าคนทานได้ จึงไม่แปลกว่า ทำไมจึงต้องยอมรับในแม่ชีเมี้ยน เพราะการหาสูตรที่ลงตัว เพียงแค่ชนิดเดียว ชาตินี้ทั้งชาติยังไม่รู้จะทำได้หรือไม่ นี่มาเป็นกว่าครึ่งร้อย บอกปุ๊บใช้ได้เลย ไม่ใช่หนูทดลอง
เมื่อเป็นไม้พิษ สรรพคุณของยาเขียว จึงใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ ทำลายพิษได้ ดังนั้น มีบาดแผล ก็ใช้ยาเขียวทาได้ ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย ก็ทั้งกินทั้งทาได้
สรรพคุณอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่ามีคุณค่ามหาศาล นั่นคือ สารในต้นพญามูลเหล็ก ที่ใช้ทำยาเขียวนั้น ได้มีการวิจัยมาแล้วว่า เป็นพิชชนิดเดียว ที่มีสารที่สามารถแทรกเข้าไปในที่ชื้นได้
หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า วิทยาการอาจสามารถทำยาสมานแผลได้ หากแต่เมื่อแผลอยู่ภายในร่างกาย ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมือกต่างๆ ทำให้ตัวยาเข้าไม่ถึง โรคง่ายๆ แค่โรคกระเพาะ จึงรักษาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นั่นเอง
ด้วยคุณสมบัติของยาเขียวนี้เอง ทำให้เป็นตัวเปิดช่องไปยังแผลเหล่านั้น ที่มักเกิดจากกัดด้วยฤทธิ์ที่เป็นกรดของยาเคมี ตลอดระบบทางเดินของอาหาร ตัวสมุนไพรที่มีหน้าที่สมานแผลจึงเข้าถึงได้
หลายคนอาจสงสัย เมื่อตัวเองแจ้งว่าเป็นโรคมะเร็ง เป็นโรคกระดูก ทำไมเมื่อมาแล้ว เจ้าหน้าที่จึงยังไม่จัดสมุนไพรที่ช่วยอาการนั้นๆให้เลย ก็เพราะคาดคะเนได้ว่า คนที่มาที่นี่ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ย่อมผ่านยาเคมีมาพอสมควร ระบบทางเดินอาหารย่อมถูกทำลายไปด้วยฤทธิ์ยาเคมี ไม่มากก็น้อย
จึงต้องฟื้นฟูระบบทางเดินอาหารนั้นให้เรียบร้อยก่อน หลวงพ่อนิพนธ์ก็ตั้งเกณฑ์ว่า ทานสมุนไพรเขียวสักเดือนนึง ก็น่าจะเคลียร์แผลเหล่านั้นได้
หากทานสมุนไพร ที่มีฤทธิ์รุนแรง ในขณะที่เราท่านระบบยังไม่พร้อม มีแผล หรือ ลำไส้บางเกินไป อาจจะเกิดความทรมาน แสบร้อน จนเกิดอาการแหยงสมุนไพรได้ ความทรงจำก็จะฝังว่า ทานแล้วเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่ใช่ผลจากการทานสมุนไพร หากแต่เป็นเพราะระบบทางเดินอาหารของเราท่านยังมีปัญหานั่นเอง
ความพลิกแพลงที่สำคัญ อีกประการหนึ่งในกระบวนยาเขียว ที่หลวงพ่อนิพนธ์ขยายให้ฟัง นั่นคือ สารขมในพืช นั่นก็คือ มอร์ฟีน ธรรมชาติ ที่มีฤทธิ์ในการข่มความปวดนั่นเอง
หากแต่มอร์ฟีนบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ มีฤทธิ์ที่มากมายมหาศาลกว่าที่ได้จากการสกัดยิ่งนัก จึงไม่แปลกเลยที่คำแนะนำที่เราท่านมักได้ยิน นั่นคือ การทานให้ได้ปริมาณ
เมื่อเราท่านทานสมุนไพรเขียว ร่างกายมีสารมอร์ฟีนบริสุทธิ์ ก็สามารถไปลดอาการปวดที่เกิดได้
เรื่องเล่าขานอันเป็นความหวังของลูกหลานผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง มุ่งหวัง นั่นคือ ไม่อยากเห็นพ่อแม่ที่รักของตน นอนปวด หน้าเขียวหน้าดำ ไปจนตายต่อหน้า ด้วยอาการของโรค จึงมาอาศัยทางเลือกนี้ ก็จะเห็นว่า แม้นการมาล่าช้าไม่อาจฟื้นฟูได้ทันความเสียหายที่เกิด แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพอใจนั่นคือ คนป่วย จากไปโดยไม่มีอาการทรมาน ไม่ปวดจนทนไม่ไหว ไม่ต้องใช้มอร์ฟีน นั่นเอง
คนที่บอกเล่าว่า ทานสมุนไพรแล้วไม่ตาย นั่นมันเว่อร์แล้ว ไม่เอาเหตุเอาผล เพราะต่างคน ต่างกรรม ต่างวาระ คนที่ทานแล้วรอด เขาต้องทำอย่างไร จึงต้องเรียนรู้จากหลวงพ่อนิพนธ์
การแก้ไขเฉพาะหน้า ที่สมุนไพรเขียวถูกนำมาใช้ ก็คือ การลดอาการไข้ ที่ขึ้นสูง ด้วยความเป็นยาเย็น กรณีนี้หลวงพ่อนิพนธ์ มักจะให้ทานเป็นแก้วใหญ่ๆ ปริมาณมากพอควรกว่าการทานปกติ
แค่เล่าเรื่องสรรพคุณของสมุนไพรเขียวอย่างเดียว ก็อีกยาว
สิ่งหนึ่งที่คนมากหลายเข้าใจผิด นั่นคือ คำว่าสรรพคุณของสมุนไพร ไม่ได้หมายถึงไปแก้ไข้อาการนั้นๆ นั่นเป็นเรื่องของร่างกาย แต่สรรพคุณที่ว่านั่นคือ การทำให้ระบบของร่างกายกลับมาทำงาน เรียกภาษาชาวบ้านก็คือ ฟื้นฟูอวัยวะ และสร้างภูมิ นั่นเอง ส่วนหน้าที่รักษาฟื้นฟู ร่างกายทำเองได้ หากระบบยังทำงาน และมีวัตถุดิบ
เล่าเยอะก็ยาวไป ทิ้งท้ายหมัดเด็ดเลย ที่ทำไมต้องทานสมุนไพรเขียว หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนเรา ไม่ทานน่ะตายแน่ ถ้าทานได้ ก็ไม่ตายแน่ นั่นเอง
สมุนไพรเขียว มีหน้าที่สำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่งก็คือ ทำหน้าที่ให้ร่างกายหลั่งน้ำย่อย และเกิดความอยากอาหาร
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมวิทยากรจึงมักสอนว่า เมื่อเราท่านทานยาเขียว แล้วห้ามทานน้ำตาม และที่สำคัญ คือ ทานก่อนอาหาร
เล่าเป็นน้ำจิ้มแค่นี้ก่อน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า องค์ประกอบในการฟื้นฟูตน คือ ร่างกายพร้อม อาหารพร้อม ดังนั้น การจะฟื้นฟูตัว มิใช่ทานแต่สมุนไพร เพราะสมุนไพรไม่ใช่อาหาร อย่าเชื่อความคิด อารมณ์ตน ต้องเอาเหตุเอาผล ร่างกายต้องการอาหาร ดังนั้น ไม่ว่า อยากหรือไม่อยาก ต้องทานด้วยเหตุผล นั่นคือ ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และได้ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายต้องการ
ยามวิกฤต หากอ้างความเชื่อความศรัทธา ทาน ชีมังเจ อย่างที่ อ.อร่าม บอก ก็ยากต่อการฟื้นฟูแล้ว เพราะร่างกายขาดโปรตีนจากเนื่้อสัตว์ หรือคนเป็นอิสลาม เป็นโรคเก๊าต์ แต่ไม่ยอมทานสมุนไพรกระดูกหมู ...
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนว่า วางความเชื่อของตนไว้ก่อน ฟื้นฟูตนให้แล้วเสร็จ จะกลับไปทำเหมือนเดิม ก็ไม่เป็นไร ช่วยชีวิตตน รักษาชีวิตไว้ ่จะได้กลับไปไหว้พระเจ้าเหมือนเดิม พระเจ้าท่านไม่ว่าหรอก หากไม่มีชีวิต ก็ไม่มีคนไหว้พระเจ้าแล้ว
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558
ก้าวไปอีกขั้น
ความปรารถนาของหลวงพ่อนิพนธ์ และกลุ่มคนที่มาร่วมกิจกรรม เมื่อเห็นตรงกันในคุณค่าของสมุนไพร ก็มุ่งหวังที่จะทำให้ทางเลือกนี้ได้แพร่กระจายไปยังคนที่ต้องการมากที่สุด
หากแต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ มีหลายประการ สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาหลักนั่นคือ การผลิตสมุนไพร ในปัจจุบัน เป็นสมุนไพรสด ที่ทำให้อายุในการเก็บรักษา ให้มีคุณค่าคงเดิม มีอายุค่อนข้างจะสั้น และที่สำคัญ การนำพาและเตรียมค่อนข้างจะยุ่งยาก
ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสามารถแก้ไขด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันได้ ทั้งนี้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ปรึกษาบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการทำเครื่องจักรแก่ผู้ผลิตสมุนไพร และทดลองทำในสมุนไพรชนิดที่มีปัญหาในการพกพา
สมุนไพรหลักอย่าง ยาเขียว ทดลองทำในรูปเดียวกับชาลิปตัน ผ่านการสเปรย์ดาย แล้วเก็บในรูปเดียวกันในถุงชาลิปตัน เป็นซองๆ เวลาทานก็มีเกล็ดของน้ำปูนใส ชงกับน้ำ กลับมาเป็นยาเขียวที่ยังทรงคุณค่าได้เหมือนเดิม ผ่านการทดสอบแล้ว สามารถเก็บได้ถึงสามปี
สมุนไพรน้ำ อาทิ ยาปอด เบาหวาน ขาตั้ง ก็ทำการระเหยน้ำออก จนเข้มข้นกลายเป็นไซรับ แล้วทานทีละช้อน แทนที่จะเป็นแก้วเช่นในปัจจุบัน ขนาดของขวดก็จะเล็กลงพกพาง่าย
ดังนั้น ปัญหาการแปรรูป ก็แก้ได้ด้วยความพร้อมทางด้านการเงิน เท่านั้นเอง สามารถทำได้เมื่อพร้อม
แต่ปัญหาหลักจริงๆ อยู่ที่วัตถุดิบ คือ ใบยาเขียว ที่ประสพปัญหามาตลอดในอดีต ทำให้ปริมาณที่จะแจก ก็ตามสภาพที่เก็บได้ในแต่ละช่วงเป็นหลัก
การกลับมาคราวนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ และการได้ไปฟื้นฟูสถานที่ อันเป็นที่ที่แม่ชีเมี้ยนเปลี่ยนผ้าครองตน จากสีขาวมาเป็นสีกลัก และพาพระขึ้นถ้ำกระบอก เมื่อปี ๒๕๐๐ ที่ลพบุรี ก็พบสิ่งมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า ฟ้าดินเขาเกื้อหนุน
นั่นคือ สถานที่ที่ผ่านไปผ่านมาในอดีต แต่ไม่เคยเห็นต้นยา กลับปรากฎเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นยา นับหมื่นต้น เท่ากับว่า ฟ้าดินเขาเตรียมและเปิดทางให้แล้วนั่นเอง
หากแต่สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงเตือน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การทำแบบเดิมที่ให้คนทั้งหลาย มุ่งหวังแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว หนทางนั้นยากที่จะประสพผล
ดังนั้น หนทางดั้งเดิมที่แม่ชีเมี้ยนทำให้ดูครั้งถ้ำกระบอก จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะคนป่วยที่อาการสาหัส เจียนอยู่เจียนไป นั่นคือ การที่ให้ทานสมุนไพรไปควบคู่กับการปฏิบัติธรรม ของพระภูมี นั่นคือ ต้องมีตัวกระทำ กาย วาจา ใจ ควบคู่กันไป
บทพิสูจน์อันนี้ ทำให้ระยะนี้ คนไข้หนักที่เชื่อ ก็จะถูกชักชวน ให้เดินทางสายนี้ เรียกว่า เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เป็นกลุ่มแรก ที่จะทำให้คนทั้งหลายได้เห็น ความเฉียบขาดของอำนาจธรรม ที่ใครมาปฏิบัติและทำตาม มีอำนาจเปลี่ยนพรหมลิขิตจากร้ายกลายเป็นดีได้อย่างเฉียบขาด รวดเร็ว
ดูอย่างแม่ชีท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งขั้นสี่ รักษาจนหมดตัว หมอทิ้ง เมื่อมาเดินแนวทางนี้ ตอนมาเดินยังแทบไม่ไหว ต้องมาถือวินัย กินมื้อเดียว และต้องทำกิจกรรมอีก ตลอดวัน แต่ท่านก็สู้
ผ่านวันคือ อย่างยากลำบาก ผ่านอาการ ถ่ายเป็นเลือดเป็นกระโถน จนหลวงพ่อนิพนธ์ต้องถามว่าไหวไหม ไม่ไหวก็ไปให้หมอให้เลือด ให้น้ำเกลือ แม่ชีท่านก็สู้ มาจนวันนี้ ท่านกลับมาช่วยตัวเองได้เหมือนคนปกติ
ดูวินัยแล้วช่างโหดร้ายเหลือเกิน คนไม่มีแรง กลับให้ทานมื้อเดียว แถมยังต้องทำงาน ทำกิจกรรม ต้องสวดมนต์ ต้องฟังธรรม
แต่นี่แหละ สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนตรัสบอก ทุกข์กับวินัยของพระภูมี เพื่อใช้กรรม ดีกว่าทุกข์กับโรค
เมื่อแนวทางนี้เจริญเติบโต เป็นที่ประจักษ์ นั่นหมายความว่า แนวทางที่คนทั้งหลายจะมาเพื่อทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว มาแล้วก็หาที่นอน หาที่ช๊อป ของถูก ย่อมต้องเล็กลง อย่างแน่นอน
หลักของแม่ชีเมี้ยน จึงได้ชื่อแต่โบราณถ้ำกระบอก ว่า หลักกรรมกร กินแล้วไม่นอน .... จะมาใช้แนวทางนี้ นั่งนอนไม่ทำอะไร คอยแต่ติโน่นตินี่ ... ต่อไปคงยากแล้ว
แลเมื่อทุกคนเข้าใจ เดินตามครรลองเดียวกัน สมุนไพรก็พร้อมจะแจกจ่ายไปทุกที่ นั่นหมายความว่า มูลนิธิไทยกรุณา ก็พร้อมที่จะเปิดสาขาไปยังทุกทิศทั่วประเทศไทย ตามคำร้องขอในแต่ละภูมิภาคที่อยากให้ไป
ในอนาคต จึงน่าที่จะเป็นที่รู้กันว่า คนที่จะมาทานสมุนไพร แล้วหวังผล คนผู้นั้นต้องมีความอยากที่สำคัญ คือ อยากเป็นคนดี มิใช่อยากหายโรค เพราะคนดีเท่านั้น ที่คู่ควรได้รางวัลคือ การหายโรค เป็นของแถม ไม่ใช่โจรที่หวังมาโฉบเฉี่ยว เอาแรงที่ได้ไปทำความชั่วต่ออีกอย่างแน่นอน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนย้ำอีกครั้ง ศาสน์กำลังเกิด พระพุทธเจ้าใกล้จะประกาศตน ทุกสรรพสิ่งจึงเพิ่มความรุนแรงมหาศาล ความเลวร้ายสุดๆ กำลังมาเยือน เพื่อรอให้พระพุทธเจ้าแสดงบุญญาธิการมาดับยุคเข็ญ เมื่อกรรมมาแรง ธรรมของพระพุทธเจ้าก็แรงเช่นกัน จะมาเอาผล จากสมุนไพร โดยไม่มีตัวกระทำ วันนี้คงไม่ได้แล้ว
นั่นหมายความว่า การหายโรค ขึ้นกับตัวกระทำของคนผู้นั้นเป็นหลัก ที่จะชี้วัดว่า หายไม่หายนั่นเอง
หากแต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ มีหลายประการ สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาหลักนั่นคือ การผลิตสมุนไพร ในปัจจุบัน เป็นสมุนไพรสด ที่ทำให้อายุในการเก็บรักษา ให้มีคุณค่าคงเดิม มีอายุค่อนข้างจะสั้น และที่สำคัญ การนำพาและเตรียมค่อนข้างจะยุ่งยาก
ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะสามารถแก้ไขด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันได้ ทั้งนี้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ปรึกษาบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการทำเครื่องจักรแก่ผู้ผลิตสมุนไพร และทดลองทำในสมุนไพรชนิดที่มีปัญหาในการพกพา
สมุนไพรหลักอย่าง ยาเขียว ทดลองทำในรูปเดียวกับชาลิปตัน ผ่านการสเปรย์ดาย แล้วเก็บในรูปเดียวกันในถุงชาลิปตัน เป็นซองๆ เวลาทานก็มีเกล็ดของน้ำปูนใส ชงกับน้ำ กลับมาเป็นยาเขียวที่ยังทรงคุณค่าได้เหมือนเดิม ผ่านการทดสอบแล้ว สามารถเก็บได้ถึงสามปี
สมุนไพรน้ำ อาทิ ยาปอด เบาหวาน ขาตั้ง ก็ทำการระเหยน้ำออก จนเข้มข้นกลายเป็นไซรับ แล้วทานทีละช้อน แทนที่จะเป็นแก้วเช่นในปัจจุบัน ขนาดของขวดก็จะเล็กลงพกพาง่าย
ดังนั้น ปัญหาการแปรรูป ก็แก้ได้ด้วยความพร้อมทางด้านการเงิน เท่านั้นเอง สามารถทำได้เมื่อพร้อม
แต่ปัญหาหลักจริงๆ อยู่ที่วัตถุดิบ คือ ใบยาเขียว ที่ประสพปัญหามาตลอดในอดีต ทำให้ปริมาณที่จะแจก ก็ตามสภาพที่เก็บได้ในแต่ละช่วงเป็นหลัก
การกลับมาคราวนี้ของหลวงพ่อนิพนธ์ และการได้ไปฟื้นฟูสถานที่ อันเป็นที่ที่แม่ชีเมี้ยนเปลี่ยนผ้าครองตน จากสีขาวมาเป็นสีกลัก และพาพระขึ้นถ้ำกระบอก เมื่อปี ๒๕๐๐ ที่ลพบุรี ก็พบสิ่งมหัศจรรย์ ที่เรียกว่า ฟ้าดินเขาเกื้อหนุน
นั่นคือ สถานที่ที่ผ่านไปผ่านมาในอดีต แต่ไม่เคยเห็นต้นยา กลับปรากฎเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นยา นับหมื่นต้น เท่ากับว่า ฟ้าดินเขาเตรียมและเปิดทางให้แล้วนั่นเอง
หากแต่สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงเตือน หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า การทำแบบเดิมที่ให้คนทั้งหลาย มุ่งหวังแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว หนทางนั้นยากที่จะประสพผล
ดังนั้น หนทางดั้งเดิมที่แม่ชีเมี้ยนทำให้ดูครั้งถ้ำกระบอก จึงถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะคนป่วยที่อาการสาหัส เจียนอยู่เจียนไป นั่นคือ การที่ให้ทานสมุนไพรไปควบคู่กับการปฏิบัติธรรม ของพระภูมี นั่นคือ ต้องมีตัวกระทำ กาย วาจา ใจ ควบคู่กันไป
บทพิสูจน์อันนี้ ทำให้ระยะนี้ คนไข้หนักที่เชื่อ ก็จะถูกชักชวน ให้เดินทางสายนี้ เรียกว่า เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน เป็นกลุ่มแรก ที่จะทำให้คนทั้งหลายได้เห็น ความเฉียบขาดของอำนาจธรรม ที่ใครมาปฏิบัติและทำตาม มีอำนาจเปลี่ยนพรหมลิขิตจากร้ายกลายเป็นดีได้อย่างเฉียบขาด รวดเร็ว
ดูอย่างแม่ชีท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งขั้นสี่ รักษาจนหมดตัว หมอทิ้ง เมื่อมาเดินแนวทางนี้ ตอนมาเดินยังแทบไม่ไหว ต้องมาถือวินัย กินมื้อเดียว และต้องทำกิจกรรมอีก ตลอดวัน แต่ท่านก็สู้
ผ่านวันคือ อย่างยากลำบาก ผ่านอาการ ถ่ายเป็นเลือดเป็นกระโถน จนหลวงพ่อนิพนธ์ต้องถามว่าไหวไหม ไม่ไหวก็ไปให้หมอให้เลือด ให้น้ำเกลือ แม่ชีท่านก็สู้ มาจนวันนี้ ท่านกลับมาช่วยตัวเองได้เหมือนคนปกติ
ดูวินัยแล้วช่างโหดร้ายเหลือเกิน คนไม่มีแรง กลับให้ทานมื้อเดียว แถมยังต้องทำงาน ทำกิจกรรม ต้องสวดมนต์ ต้องฟังธรรม
แต่นี่แหละ สิ่งที่แม่ชีเมี้ยนตรัสบอก ทุกข์กับวินัยของพระภูมี เพื่อใช้กรรม ดีกว่าทุกข์กับโรค
เมื่อแนวทางนี้เจริญเติบโต เป็นที่ประจักษ์ นั่นหมายความว่า แนวทางที่คนทั้งหลายจะมาเพื่อทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว มาแล้วก็หาที่นอน หาที่ช๊อป ของถูก ย่อมต้องเล็กลง อย่างแน่นอน
หลักของแม่ชีเมี้ยน จึงได้ชื่อแต่โบราณถ้ำกระบอก ว่า หลักกรรมกร กินแล้วไม่นอน .... จะมาใช้แนวทางนี้ นั่งนอนไม่ทำอะไร คอยแต่ติโน่นตินี่ ... ต่อไปคงยากแล้ว
แลเมื่อทุกคนเข้าใจ เดินตามครรลองเดียวกัน สมุนไพรก็พร้อมจะแจกจ่ายไปทุกที่ นั่นหมายความว่า มูลนิธิไทยกรุณา ก็พร้อมที่จะเปิดสาขาไปยังทุกทิศทั่วประเทศไทย ตามคำร้องขอในแต่ละภูมิภาคที่อยากให้ไป
ในอนาคต จึงน่าที่จะเป็นที่รู้กันว่า คนที่จะมาทานสมุนไพร แล้วหวังผล คนผู้นั้นต้องมีความอยากที่สำคัญ คือ อยากเป็นคนดี มิใช่อยากหายโรค เพราะคนดีเท่านั้น ที่คู่ควรได้รางวัลคือ การหายโรค เป็นของแถม ไม่ใช่โจรที่หวังมาโฉบเฉี่ยว เอาแรงที่ได้ไปทำความชั่วต่ออีกอย่างแน่นอน
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงเตือนย้ำอีกครั้ง ศาสน์กำลังเกิด พระพุทธเจ้าใกล้จะประกาศตน ทุกสรรพสิ่งจึงเพิ่มความรุนแรงมหาศาล ความเลวร้ายสุดๆ กำลังมาเยือน เพื่อรอให้พระพุทธเจ้าแสดงบุญญาธิการมาดับยุคเข็ญ เมื่อกรรมมาแรง ธรรมของพระพุทธเจ้าก็แรงเช่นกัน จะมาเอาผล จากสมุนไพร โดยไม่มีตัวกระทำ วันนี้คงไม่ได้แล้ว
นั่นหมายความว่า การหายโรค ขึ้นกับตัวกระทำของคนผู้นั้นเป็นหลัก ที่จะชี้วัดว่า หายไม่หายนั่นเอง
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558
ค่อยๆไหลไป
หนทางในการฟื้นฟูตน มีหลายรูปแบบ หากแต่วิธีที่แน่นอน และได้ผลเฉียบขาด และรวดเร็ว หากทำได้ ย่อมต้องเป็นหนทางแห่งการบวช ทรงวินัยของพระภูมี นั่นเอง
เมื่อเริ่มเข้าพรรษา หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้พระมาจำนวนหนึ่ง คือ ๑๐ รูป มาถึงวันนี้ผ่านไปครึ่งพรรษาแล้ว
คนที่รู้ข่าว อยากหาย มีวันเวลา หลายคนก็เลือกที่จะใช้ยาแรง คือ การบวชเพื่อช่วยตนเลย เพราะรู้ดีว่าอาการของตนนั้น สาหัสขนาดไหน
พระรุ่นแรก หลายองค์ ก็เป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรง ที่หมอปฏิเสธ หรือพูดง่ายๆ ปล่อยให้ตายนั่นเอง
คนเหล่านั้น มีเวลา แลมีการกระทำที่ถูก ผลถูกก็แสดงให้เห็น ความเลวร้ายก็บรรเทาเบาบาง
คนที่สาหัส ได้รู้ข่าว ก็อยากเดินตามบ้าง มีทั้งด้วยโรค หรือ แม้นแต่การติดยาเสพติด ที่เมื่อไปฟื้นฟูที่สวนสมุนไพร ก็อยากบวชแทนคุณ บ้าง
คนเหล่านี้เสมือนสายน้ำที่ไหลมาสมทบ ทีละเล็กละน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยามนี้เป็นยามแล้ง ผลยังไม่เกิดให้เห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัด กระนั้นก็ตาม จากผลที่ทำถูก พอได้สัมผัสคนอยากบวชเป็นพระเริ่มจะหลั่งไหลมา
วันใดที่ผลเกิดเป็นรูปธรรม คนทำแล้วหายกันกลาดเกลื่อน การบวชก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดังเช่นทุกวันนี้
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เป็นสติ นั่นคือ การจะฟื้นฟูตน โดยที่ตนของตน ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือปรับเปลี่ยนพฤตืกรรมใดๆเลย ย่อมเป็นไปได้ยาก
เริ่มจากห้องสวดมนต์ บังคับตนให้อยู่ในกรรมฐานความสงบ ยังทำไม่ได้ เช่น อากาศร้อนนิดหน่อย ก็พัดแล้ว คนเหล่านี้ยากยิ่งจะทำวินัยธรรม หนทางประสพผลจึงยากยิ่ง หรือเป็นไปไม่ได้เลย
เราคิดว่า ธุดงค์ปีนี้ของพระหลวงพ่อนิพนธ์ จะได้เห็นขบวนพระพุทธกาลยาวๆ ที่มีญาติโยมเดินตามกันเป็นกิโล อีกครั้งเช่นยุคถ้ำกระบอก เช่นนั้นแน่
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดอย่างรวดเร็ว เมื่อศาสน์ใกล้เกิด พระพุทธเจ้าใกล้ปรากฎโฉม ความรุนแรง ทั้งความเลวร้าย มหันตภัย จะถาโถมเข้ามา ในทางกลับกัน ความเฉียบขาด และผลแห่งการประพฤติธรรม ก็เฉียบขาด รุนแรง เช่นกัน
ผู้ที่จะมาอาศัยขาเดียว คือ สมุนไพร ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย ถึงเวลานี้ โอกาสฟื้นฟูตน แทบจะเรียกว่า ยาก เพราะลำพังสุมนไพร ไม่เพียงพอกับความเลวร้ายที่เกิดอยู่นั่นเอง
การมาก็สูญเวลาเปล่า ที่่สำคัญ ชีวิต ก็รักษาไม่ได้
เมื่อเริ่มเข้าพรรษา หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้พระมาจำนวนหนึ่ง คือ ๑๐ รูป มาถึงวันนี้ผ่านไปครึ่งพรรษาแล้ว
คนที่รู้ข่าว อยากหาย มีวันเวลา หลายคนก็เลือกที่จะใช้ยาแรง คือ การบวชเพื่อช่วยตนเลย เพราะรู้ดีว่าอาการของตนนั้น สาหัสขนาดไหน
พระรุ่นแรก หลายองค์ ก็เป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรง ที่หมอปฏิเสธ หรือพูดง่ายๆ ปล่อยให้ตายนั่นเอง
คนเหล่านั้น มีเวลา แลมีการกระทำที่ถูก ผลถูกก็แสดงให้เห็น ความเลวร้ายก็บรรเทาเบาบาง
คนที่สาหัส ได้รู้ข่าว ก็อยากเดินตามบ้าง มีทั้งด้วยโรค หรือ แม้นแต่การติดยาเสพติด ที่เมื่อไปฟื้นฟูที่สวนสมุนไพร ก็อยากบวชแทนคุณ บ้าง
คนเหล่านี้เสมือนสายน้ำที่ไหลมาสมทบ ทีละเล็กละน้อย
หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยามนี้เป็นยามแล้ง ผลยังไม่เกิดให้เห็นเป็นรูปธรรมเด่นชัด กระนั้นก็ตาม จากผลที่ทำถูก พอได้สัมผัสคนอยากบวชเป็นพระเริ่มจะหลั่งไหลมา
วันใดที่ผลเกิดเป็นรูปธรรม คนทำแล้วหายกันกลาดเกลื่อน การบวชก็ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายดังเช่นทุกวันนี้
บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เป็นสติ นั่นคือ การจะฟื้นฟูตน โดยที่ตนของตน ไม่ต้องทำอะไรเลย หรือปรับเปลี่ยนพฤตืกรรมใดๆเลย ย่อมเป็นไปได้ยาก
เริ่มจากห้องสวดมนต์ บังคับตนให้อยู่ในกรรมฐานความสงบ ยังทำไม่ได้ เช่น อากาศร้อนนิดหน่อย ก็พัดแล้ว คนเหล่านี้ยากยิ่งจะทำวินัยธรรม หนทางประสพผลจึงยากยิ่ง หรือเป็นไปไม่ได้เลย
เราคิดว่า ธุดงค์ปีนี้ของพระหลวงพ่อนิพนธ์ จะได้เห็นขบวนพระพุทธกาลยาวๆ ที่มีญาติโยมเดินตามกันเป็นกิโล อีกครั้งเช่นยุคถ้ำกระบอก เช่นนั้นแน่
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดอย่างรวดเร็ว เมื่อศาสน์ใกล้เกิด พระพุทธเจ้าใกล้ปรากฎโฉม ความรุนแรง ทั้งความเลวร้าย มหันตภัย จะถาโถมเข้ามา ในทางกลับกัน ความเฉียบขาด และผลแห่งการประพฤติธรรม ก็เฉียบขาด รุนแรง เช่นกัน
ผู้ที่จะมาอาศัยขาเดียว คือ สมุนไพร ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย ถึงเวลานี้ โอกาสฟื้นฟูตน แทบจะเรียกว่า ยาก เพราะลำพังสุมนไพร ไม่เพียงพอกับความเลวร้ายที่เกิดอยู่นั่นเอง
การมาก็สูญเวลาเปล่า ที่่สำคัญ ชีวิต ก็รักษาไม่ได้
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558
ความจริงของสมุนไพรพระภูมี
คนทั่วไป เมื่อเป็นโรค ก็ดั้นด้นหายาหรือวิธีการรักษาให้หายโรค ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม หรืออะไรก็ได้ จุดประสงค์เดียวกัน คือ หายโรค
คนโลภ ที่รู้หลักจิตวิทยา จึงอวดอ้างสรรพคุณในสิ่งที่ตนทำว่า รักษาโรคได้ คนก็แห่แหนกันมา ยิ่งกระตุ้นด้วยความกลัว หากไม่ทำตาม อาจถึงตายได้ จากคนที่มาก ก็กลายเป็นคลื่นมหาชน หลากมาจนสร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา กับชีวิตมนุษย์นี้
หากแต่เมื่อคนเหล่านั้นเดินมาสุดทาง พบความจริง ก็สายไปเสียแล้ว กลับตัวไม่ทัน เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต จะกลับมาบอกลูกหลานก็ไม่ได้
หลายคนอาจกล่าวอ้าง ฉันเป็นโรคนั้น ฉันเป็นโรคนี้ กินแล้วหาย ทำอย่างนั้นแล้วหาย ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า นั่นไม่ใช่โรค เป็นเพียงกรรมผ่านมา เมื่อกรรมหมด มันก็หายไป
ทีนี้ ตอนเวลากรรมหมด มันหมดตรงไหน คนก็ยึดติดสิ่งนั้นว่าเป็นส่ิงที่ช่วยตน
กินยาหมอนั้น หมอนี้ ขณะยังมีกรรม กินเท่าไหร่ก็ไม่หาย ก็ว่าไม่ถูกกับหมอนั้น เปลี่ยนไปเรื่อย สุดท้าย อาจจะจบวันหมดกรรม ตอนหมอผีรดน้ำมนต์ หมอผีคนนั้น ก็เลยกลายเป็นผู้ช่วยตนไปเสียฉิบ ทั้งๆที่ความจริงคือ กรรมมันหมด มันจึงหาย
ดังนั้น คำจำกัดความ คำว่าโรค ของพระภูมี จึงหมายเฉพาะ โรคที่มาแล้วทำให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นก็หมายความว่า โรคมันก็มีชีวิต มีวันเวลา คำว่าโรคตาย นั่นหมายถึง เมื่อถึงอายุขัยของโรค มันก็จะตาย แต่มันทำให้เราท่านที่เป็นโรค ที่มันอาศัยอยู่ตายไปกับมันด้วยนั่นเอง
ความหมายของโรคตาย เมื่อดูจากสภาพร่างกาย เมื่อเป็นแล้ว มันจึงทำลายระบบของร่างกาย อวัยวะ ๓๒ ให้เสียหาย จนตายไปพร้อมกับมันนั่นเอง
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้พิจารณา ก็คือ ก็แล้วคนที่ไม่เป็น ไม่เกิดอาการนั้น คนเหล่านั้นไม่มีเชื้อหรือ ไม่ใช่ หากแต่ร่างกายเขามีภูมิ มีอวัยวะที่แข็งแกร่ง ร่างกายจึงกำจัดเชื้อได้ต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า ทรงตรัสสอนว่า ปากของคนเราจะมีเขี้ยวอยู่สองเขี้ยว เรียกว่า เขี้ยวบุญ เขี้ยวบาป ทำงานโดยผลแห่งการกระทำของเราท่านในอดีต มาดลบันดาล เมื่อทานอาหาร หรือ สิ่งใดผ่านเข้าไป ก็จะเป็นตัวกำหนดคุณแลโทษ
ยามเมื่อกรรดีมา สิ่งที่ผ่านเข้าไปก็เป็นคุณ ยามที่กรรมชั่วมา สิ่งที่ผ่านก็เป็นโทษ
ดังนั้นอย่าโทษเลย ว่าโรคที่เกิด เพราะกินเหล้า สูบบุหรี่ ทานอาหารไม่ดี ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกไม่ใช่ ไม่ใช่
เมื่อร่างกายมีความสามารถในการรักษาตนเองได้ นั่นคือ หมอในโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ร่างกายตน ไม่มีหรอกยารักษาโรค หรือ พิธีกรรมใดๆ ที่จะมาใช้รักษาโรคที่เป็นได้
ก็แล้วหน้าที่ของสมุนไพร คืออะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แลคือพหูสูตร ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้รอบครอบจักรวาล จึงบัญญัติสมุนไพร ที่ไม่ใช้เพื่อการรักษาโรคใดๆ เพราะโรคไม่ใช่ต้นเหตุ แต่เป็นปลายเหตุ
สมุนไพรที่ทรงบัญญัติ จึงแก้ที่ต้นเหตุ อันเป็นปฐมเหตุที่ร่างกายพ่ายแพ้แก่โรค นั่นคือ การถูกทำลายของระบบอวัยวะ ๓๒ ของร่างกายนั่นเอง
สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมิได้มีหน้าที่รักษาโรค หากแต่เป็นสมุนไพรที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ทำหน้าที่ฟื้นฟู ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของร่างกาย เพื่อให้กลับมาสมดุลย์ นั่นคือ ทำหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวะ ให้กลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม
กับดักอันหนึ่ง ที่เราท่านจะพบเห็น ในหนทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การแจ้งเราท่านว่า อวัยวะของเราท่าน วาย ต้องใช้วิธีการต่างๆ ไม่ว่า เครื่องมือทางการแพทย์ ฟอกไตวาย หัวใจเทียม แก้ปัญหาโรคหัวใจ ไปจนกระทั่ง วิธีแก้แบบชุ่ยๆ แก้ผ้าเอาหน้ารอด นั่นคือ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ว่าสารพัดต่อม ลำไส้ กระเพาะ ...
แต่เมื่อหลายคนมาใช้แนวทางสมุนไพร จะพบว่า เมื่อทานสมุนไพรไป อวัยวะเหล่านั้น กลับมาทำงานได้ ถึงอาจจะไม่ร้อยเปอเซ็นต์ แต่ก็ พอที่จะช่วยตนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
นั่นแสดงว่า ตราบใดที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ อวัยวะไม่มีทางวายได้ เป็นแต่เพียงสลบ หรือไม่ทำงานเท่านั้นเอง
สมุนไพรจึงมีหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวัะให้กลับมาทำงานเหมือนเดิม ไม่ใช่รักษาโรค ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ร่างกายทำได้เองอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสูตรของพระภูมี ไม่ว่าเป็นโรคอะไร ก็ให้ทานสมุนไพรที่คล้ายคลึงกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพราะทุกคนมีอวัยวะเหมือนกันเท่านั้นเอง
จะแตกต่างกันตรงที่ ความเสียหายของอวัยวะใดรุนแรงกว่ากัน ก็เน้นตรงนั้นก่อน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า หลักการรักษาโรค จึงง่ายนิดเดียว นั่นคือ ทำให้ร่างกายมีความแข็งแกร่ง อดทนต่อสภาพที่เกิด แล้วเร่งให้โรคมันตายก่อน โดยร่างกายเราท่านยังทนได้ เท่านั้นเอง
แต่ธรรมชาติ ของสิ่งมีชีวิต เมื่อรู้ว่าตนจะตาย ก็ต้องดิ้นรน โรคก็เช่นกัน ก่อนมันจะตาย จึงต้องแสดงอาการออกมาสุดๆ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเสมอว่า เมื่อใดที่ผ่านประตูนรก คือตอนลงแดงอาการของโรค แล้วทนได้ เราท่านจึงไปถึงประตูสวรรค์
เมื่อโรคแสดงอาการ แล้วล้มเราท่านไม่ลง มันก็จะตายก่อน โดยที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ นั่นจึงเรียกว่า "หายโรค"
สิ่งที่สำคัญที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติว่า พระภูมีเป็นผู้ตรัสรู้ เมื่อบัญญัติสมุนไพรมา ก็ไม่ใช่แก่ทุกคน มิฉะนั้น คนชั่ว เมื่อกรรมมา ก็จะมาทานสมุนไพรแล้วกลับไปทำชั่วอีก
หมากกลที่วางไว้ นั่นคือ ฤทฺธิ์ของสมุนไพร อุปมาดั่งมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน มีฤทธิ์ไปตามการกระทำของคนนั้นๆ
จุดประสงค์ คือ มุ่งหมายเฉพาะคนที่อยากเป็นคนดี แต่ด้วยความไม่รู้ในเรื่องศาสนา จึงพลาดผิด ได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ มาใช้ศาสตร์นี้ฟื้นฟูตน แลใช้ธรรมคำสอน ฟื้นฟูใจ ความคิด สติปัญญา เพื่อพาตนเดินในทางที่ถูกนั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไม สมุนไพรสูตรเดียวกัน เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน หรือ ทานหม้อเดียวกัน ผลจึงแตกต่างกัน
แลเป็นที่มาว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงใช้ได้กับทุกโรค
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสน์ จึงเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม ย้ำกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อ และศรัทธาในพระพุทธเจ้า พิจารณาเหตุผลแล้วทำตาม โดยพัฒนาตนเพื่อจุดหมาย คือเป็นคนดี คนที่ไม่คิดพัฒนาตน ถึงมาทานก็เสียเวลาเปล่า ทั้งผู้ทำ ผู้ทาน
ธรรมชาติของศาสน์ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ผู้ทำมีน้อย ไม่ว่าศาสน์จะเฟื่องฟูเพียงใด เช่นยุคพระโคดม ก็มีสาวกแค่หลักแสนเท่านั้นเอง
แลที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ศาสน์เป็นส่วนเกินของโลก อันหมายความว่า มนุษย์มีพรหมลิขิต เป็นผู้เกื้อหนุนชีวิตอยู่แล้ว แม้นไม่มีศาสน์ ก็ดำรงอยู่ได้
คนที่มาเดินทางตามพระภูมี คือ คนส่วนน้อย ที่เชื่อ ศรัทธา และทำตาม อยากสัมผัส ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค จึงต้องทวนกระแสโลกมา และต้องทวนกระแสนิสัยตน เป็นธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เราท่านถือ สัจจะ "ไม่โกรธ แลไม่เห็นผู้อื่นผิด" ก็เพราะเราท่านมีกรรม เมื่อมา ย่อมเป็นเหตุซึ่งกันและกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราท่านจะชนะได้ ก็ต้องอาศัยเดินตามรอยบรมครู แม่ชีเมี้ยน แลพระพุทธเจ้า อาศัย เมตตาธรรม มีให้แก่กันและกัน เราท่านจึงให้อภัย มีสติ ยามเหตุเกิด เพราะมันต้องเกิดอย่างแน่นอน ไม่มีทางหรอกที่จะเดินโดยราบรื่น บนหนทางนี้
ไม่ว่าเหตุจากอาการของโรค หรือเหตุจากบุคคลก็ตาม มันมาแน่ เพราะฉะนั้น หนทางนี้ จึงต้องอาศัยความขันติ อดทน สูง
แค่ความสงบ ในห้องสวดมนต์ ห้องอบ ตอนรับสมุนไพร ยังทำไม่ได้ ก็ยากที่จะทนเหตุอันนั้นได้ นี่แหละคือการฝึกทนเหตุ
นั่งปุ๊บ พัดปั๊บ ... หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า แค่ความร้อนนิดหน่่อยยังทนไม่ไหว จะทนกระโจมได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น จะทนความร้อนที่เกิดจากอาการของโรคได้อย่างไร แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
เพราะธรรมชาติเวลามีไข้ ความร้อนจะขึ้นสูง แค่ร้อนในห้องสวดมนต์ยังทนไม่ได้ ความร้อนขนาดนั้น จะทนได้อย่างไร ไม่มีทาง
ประการสุดท้าย สมุนไพรไม่ใช่อาหาร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ที่ร่างกายต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเตือนสติว่า "ทานอาหารได้ไม่ตาย ไม่ทานอาหารน่ะตายแน่"
คนโลภ ที่รู้หลักจิตวิทยา จึงอวดอ้างสรรพคุณในสิ่งที่ตนทำว่า รักษาโรคได้ คนก็แห่แหนกันมา ยิ่งกระตุ้นด้วยความกลัว หากไม่ทำตาม อาจถึงตายได้ จากคนที่มาก ก็กลายเป็นคลื่นมหาชน หลากมาจนสร้างความร่ำรวยได้ในพริบตา กับชีวิตมนุษย์นี้
หากแต่เมื่อคนเหล่านั้นเดินมาสุดทาง พบความจริง ก็สายไปเสียแล้ว กลับตัวไม่ทัน เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต จะกลับมาบอกลูกหลานก็ไม่ได้
หลายคนอาจกล่าวอ้าง ฉันเป็นโรคนั้น ฉันเป็นโรคนี้ กินแล้วหาย ทำอย่างนั้นแล้วหาย ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกว่า นั่นไม่ใช่โรค เป็นเพียงกรรมผ่านมา เมื่อกรรมหมด มันก็หายไป
ทีนี้ ตอนเวลากรรมหมด มันหมดตรงไหน คนก็ยึดติดสิ่งนั้นว่าเป็นส่ิงที่ช่วยตน
กินยาหมอนั้น หมอนี้ ขณะยังมีกรรม กินเท่าไหร่ก็ไม่หาย ก็ว่าไม่ถูกกับหมอนั้น เปลี่ยนไปเรื่อย สุดท้าย อาจจะจบวันหมดกรรม ตอนหมอผีรดน้ำมนต์ หมอผีคนนั้น ก็เลยกลายเป็นผู้ช่วยตนไปเสียฉิบ ทั้งๆที่ความจริงคือ กรรมมันหมด มันจึงหาย
ดังนั้น คำจำกัดความ คำว่าโรค ของพระภูมี จึงหมายเฉพาะ โรคที่มาแล้วทำให้ตาย หลวงพ่อนิพนธ์อรรถาธิบายให้ฟังว่า นั่นก็หมายความว่า โรคมันก็มีชีวิต มีวันเวลา คำว่าโรคตาย นั่นหมายถึง เมื่อถึงอายุขัยของโรค มันก็จะตาย แต่มันทำให้เราท่านที่เป็นโรค ที่มันอาศัยอยู่ตายไปกับมันด้วยนั่นเอง
ความหมายของโรคตาย เมื่อดูจากสภาพร่างกาย เมื่อเป็นแล้ว มันจึงทำลายระบบของร่างกาย อวัยวะ ๓๒ ให้เสียหาย จนตายไปพร้อมกับมันนั่นเอง
สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้พิจารณา ก็คือ ก็แล้วคนที่ไม่เป็น ไม่เกิดอาการนั้น คนเหล่านั้นไม่มีเชื้อหรือ ไม่ใช่ หากแต่ร่างกายเขามีภูมิ มีอวัยวะที่แข็งแกร่ง ร่างกายจึงกำจัดเชื้อได้ต่างหาก
หลวงพ่อนิพนธ์เล่าคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟังว่า ทรงตรัสสอนว่า ปากของคนเราจะมีเขี้ยวอยู่สองเขี้ยว เรียกว่า เขี้ยวบุญ เขี้ยวบาป ทำงานโดยผลแห่งการกระทำของเราท่านในอดีต มาดลบันดาล เมื่อทานอาหาร หรือ สิ่งใดผ่านเข้าไป ก็จะเป็นตัวกำหนดคุณแลโทษ
ยามเมื่อกรรดีมา สิ่งที่ผ่านเข้าไปก็เป็นคุณ ยามที่กรรมชั่วมา สิ่งที่ผ่านก็เป็นโทษ
ดังนั้นอย่าโทษเลย ว่าโรคที่เกิด เพราะกินเหล้า สูบบุหรี่ ทานอาหารไม่ดี ... หลวงพ่อนิพนธ์บอกไม่ใช่ ไม่ใช่
เมื่อร่างกายมีความสามารถในการรักษาตนเองได้ นั่นคือ หมอในโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ ร่างกายตน ไม่มีหรอกยารักษาโรค หรือ พิธีกรรมใดๆ ที่จะมาใช้รักษาโรคที่เป็นได้
ก็แล้วหน้าที่ของสมุนไพร คืออะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงบอกว่า นี่แลคือพหูสูตร ของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้รอบครอบจักรวาล จึงบัญญัติสมุนไพร ที่ไม่ใช้เพื่อการรักษาโรคใดๆ เพราะโรคไม่ใช่ต้นเหตุ แต่เป็นปลายเหตุ
สมุนไพรที่ทรงบัญญัติ จึงแก้ที่ต้นเหตุ อันเป็นปฐมเหตุที่ร่างกายพ่ายแพ้แก่โรค นั่นคือ การถูกทำลายของระบบอวัยวะ ๓๒ ของร่างกายนั่นเอง
สมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จึงมิได้มีหน้าที่รักษาโรค หากแต่เป็นสมุนไพรที่หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ทำหน้าที่ฟื้นฟู ธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของร่างกาย เพื่อให้กลับมาสมดุลย์ นั่นคือ ทำหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวะ ให้กลับมาทำหน้าที่ได้เหมือนเดิม
กับดักอันหนึ่ง ที่เราท่านจะพบเห็น ในหนทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือ การแจ้งเราท่านว่า อวัยวะของเราท่าน วาย ต้องใช้วิธีการต่างๆ ไม่ว่า เครื่องมือทางการแพทย์ ฟอกไตวาย หัวใจเทียม แก้ปัญหาโรคหัวใจ ไปจนกระทั่ง วิธีแก้แบบชุ่ยๆ แก้ผ้าเอาหน้ารอด นั่นคือ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ว่าสารพัดต่อม ลำไส้ กระเพาะ ...
แต่เมื่อหลายคนมาใช้แนวทางสมุนไพร จะพบว่า เมื่อทานสมุนไพรไป อวัยวะเหล่านั้น กลับมาทำงานได้ ถึงอาจจะไม่ร้อยเปอเซ็นต์ แต่ก็ พอที่จะช่วยตนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
นั่นแสดงว่า ตราบใดที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ อวัยวะไม่มีทางวายได้ เป็นแต่เพียงสลบ หรือไม่ทำงานเท่านั้นเอง
สมุนไพรจึงมีหน้าที่ฟื้นฟูระบบอวัยวัะให้กลับมาทำงานเหมือนเดิม ไม่ใช่รักษาโรค ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ร่างกายทำได้เองอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมสูตรของพระภูมี ไม่ว่าเป็นโรคอะไร ก็ให้ทานสมุนไพรที่คล้ายคลึงกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพราะทุกคนมีอวัยวะเหมือนกันเท่านั้นเอง
จะแตกต่างกันตรงที่ ความเสียหายของอวัยวะใดรุนแรงกว่ากัน ก็เน้นตรงนั้นก่อน
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงบอกว่า หลักการรักษาโรค จึงง่ายนิดเดียว นั่นคือ ทำให้ร่างกายมีความแข็งแกร่ง อดทนต่อสภาพที่เกิด แล้วเร่งให้โรคมันตายก่อน โดยร่างกายเราท่านยังทนได้ เท่านั้นเอง
แต่ธรรมชาติ ของสิ่งมีชีวิต เมื่อรู้ว่าตนจะตาย ก็ต้องดิ้นรน โรคก็เช่นกัน ก่อนมันจะตาย จึงต้องแสดงอาการออกมาสุดๆ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสอนเสมอว่า เมื่อใดที่ผ่านประตูนรก คือตอนลงแดงอาการของโรค แล้วทนได้ เราท่านจึงไปถึงประตูสวรรค์
เมื่อโรคแสดงอาการ แล้วล้มเราท่านไม่ลง มันก็จะตายก่อน โดยที่เราท่านยังมีชีวิตอยู่ นั่นจึงเรียกว่า "หายโรค"
สิ่งที่สำคัญที่สุด หลวงพ่อนิพนธ์เตือนสติว่า พระภูมีเป็นผู้ตรัสรู้ เมื่อบัญญัติสมุนไพรมา ก็ไม่ใช่แก่ทุกคน มิฉะนั้น คนชั่ว เมื่อกรรมมา ก็จะมาทานสมุนไพรแล้วกลับไปทำชั่วอีก
หมากกลที่วางไว้ นั่นคือ ฤทฺธิ์ของสมุนไพร อุปมาดั่งมีวิญญาณ รับรู้คนทำ รับรู้คนทาน มีฤทธิ์ไปตามการกระทำของคนนั้นๆ
จุดประสงค์ คือ มุ่งหมายเฉพาะคนที่อยากเป็นคนดี แต่ด้วยความไม่รู้ในเรื่องศาสนา จึงพลาดผิด ได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ มาใช้ศาสตร์นี้ฟื้นฟูตน แลใช้ธรรมคำสอน ฟื้นฟูใจ ความคิด สติปัญญา เพื่อพาตนเดินในทางที่ถูกนั่นเอง
นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไม สมุนไพรสูตรเดียวกัน เรียนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน หรือ ทานหม้อเดียวกัน ผลจึงแตกต่างกัน
แลเป็นที่มาว่า ทำไมสมุนไพรของพระภูมี จึงใช้ได้กับทุกโรค
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ศาสน์ จึงเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม ย้ำกลุ่มเล็กๆ ที่เชื่อ และศรัทธาในพระพุทธเจ้า พิจารณาเหตุผลแล้วทำตาม โดยพัฒนาตนเพื่อจุดหมาย คือเป็นคนดี คนที่ไม่คิดพัฒนาตน ถึงมาทานก็เสียเวลาเปล่า ทั้งผู้ทำ ผู้ทาน
ธรรมชาติของศาสน์ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ผู้ทำมีน้อย ไม่ว่าศาสน์จะเฟื่องฟูเพียงใด เช่นยุคพระโคดม ก็มีสาวกแค่หลักแสนเท่านั้นเอง
แลที่สำคัญ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ศาสน์เป็นส่วนเกินของโลก อันหมายความว่า มนุษย์มีพรหมลิขิต เป็นผู้เกื้อหนุนชีวิตอยู่แล้ว แม้นไม่มีศาสน์ ก็ดำรงอยู่ได้
คนที่มาเดินทางตามพระภูมี คือ คนส่วนน้อย ที่เชื่อ ศรัทธา และทำตาม อยากสัมผัส ลาภอันประเสริฐ คือ ความไม่มีโรค จึงต้องทวนกระแสโลกมา และต้องทวนกระแสนิสัยตน เป็นธรรมดา
หลวงพ่อนิพนธ์จึงให้เราท่านถือ สัจจะ "ไม่โกรธ แลไม่เห็นผู้อื่นผิด" ก็เพราะเราท่านมีกรรม เมื่อมา ย่อมเป็นเหตุซึ่งกันและกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราท่านจะชนะได้ ก็ต้องอาศัยเดินตามรอยบรมครู แม่ชีเมี้ยน แลพระพุทธเจ้า อาศัย เมตตาธรรม มีให้แก่กันและกัน เราท่านจึงให้อภัย มีสติ ยามเหตุเกิด เพราะมันต้องเกิดอย่างแน่นอน ไม่มีทางหรอกที่จะเดินโดยราบรื่น บนหนทางนี้
ไม่ว่าเหตุจากอาการของโรค หรือเหตุจากบุคคลก็ตาม มันมาแน่ เพราะฉะนั้น หนทางนี้ จึงต้องอาศัยความขันติ อดทน สูง
แค่ความสงบ ในห้องสวดมนต์ ห้องอบ ตอนรับสมุนไพร ยังทำไม่ได้ ก็ยากที่จะทนเหตุอันนั้นได้ นี่แหละคือการฝึกทนเหตุ
นั่งปุ๊บ พัดปั๊บ ... หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า แค่ความร้อนนิดหน่่อยยังทนไม่ไหว จะทนกระโจมได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น จะทนความร้อนที่เกิดจากอาการของโรคได้อย่างไร แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแล้ว
เพราะธรรมชาติเวลามีไข้ ความร้อนจะขึ้นสูง แค่ร้อนในห้องสวดมนต์ยังทนไม่ได้ ความร้อนขนาดนั้น จะทนได้อย่างไร ไม่มีทาง
ประการสุดท้าย สมุนไพรไม่ใช่อาหาร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ที่ร่างกายต้องการใช้เป็นวัตถุดิบในการฟื้นฟูตน .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเตือนสติว่า "ทานอาหารได้ไม่ตาย ไม่ทานอาหารน่ะตายแน่"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)