ช่วยเหลือคน บริจาคทรัพย์ ไม่เคยทำร้ายใคร มากมายหลายรูปแบบ แล้วแต่บุคคล แม้กระทั่งเข้าวัด บวชเป็นชีเป็นพระก็มากมาย
ความจริงที่ปรากฏ แก่คนดี แลสร้างความคลางแคลงใจในการทำความดีของตนนั่นคือ ทำดีขนาดนี้ ทำไมยังต้องเป็นโรค ต้องทุกขเวทนาขนาดนี้
บ้างก็เลยพาล คิดไปว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วแม่งเลยดีกว่า เห็นไหมคนที่ปล้นเขากิน โกงเขากิน ฉ้อเขากิน เห็นกันมากมายในเมืองนี้ เจริญเอาๆๆๆๆๆ
นี่แลความไม่รู้ในเรื่องศาสนา การไม่เป็นคนจริง ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้
ที่ไม่เป็นคนจริง หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ว่า กรรมเราทำไว้แล้วถึงเวลาก็ต้องรับ จะปฏิเสธสักฉันใดไม่ได้เลยหากแต่ผลกรรมในวันนี้ นั่นเป็นผลกรรมที่ทำในอดีต วันนี้ของเราตกในปล้องกรรมชั่ว ถึงวันนี้จะเป็นคนดีสักฉันใด ผลชั่วก็ปรากฎมาให้ทุกข์ อยู่นั่นเอง ส่วนผลของความดีที่ทำในวันนี้ ก็ต้องไปรอรับเอาในภายภาคหน้า และได้รับอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
ส่วนที่ไม่รู้เรื่องศาสนา ก็ผสมปนเปนึกทึกทักเอาเอง ว่าทำดีแล้วผลกรรมชั่วจะหมดไป แท้จริงแล้ว หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเป็นของโลกโลกีย์มีศักดิ์เท่ากัน ไม่ก้าวก่ายกัน ต่อให้วันนี้ทำดีสักฉันใด ทุกข์ที่เกิดจากกรรมชั่ว ก็หาน้อยลงไปสักนิดไม่
นี่แลทำไมต้องมีศาสนา แลมนุษย์ไปหาศาสนาเพื่ออะไร หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า ศาสนาเป็นองค์กรที่สาม ไม่เอาทั้งดี และชั่ว ที่ซึ่งเกิดจากนิสัยตน หากแต่ใช้ธรรมวินัยของพระภูมี มานำตนสร้างการกระทำที่เที่ยง ตามวาจาของตนที่ให้ไว้กับศาสนา ผลที่เกิด คือ บุญบารมี ทานบารมี ชนะกรรมได้ จึงมีไว้ให้คนที่อยากเปลี่ยนพรหมลิขิตแห่งตน ด้วยการนำธรรมมาพัฒนาวิญญาณของตน
หากไร้เสียซึ่งศาสนา ไม่ว่าจะทำสักฉันใด จักพบว่า เปลี่ยนพรหมลิขิตตนไม่ได้ จะพ้นทุกข์ก็ต่อเมื่อหมดปล้องกรรมเท่านั้นเอง จึงเป็นเหตุที่กล่าวว่า ทำไมโรคนี้ไม่มียารักษาโรค หากโรคนั้นเป็นโรคตาย เพราะเปลี่ยนพรหมลิขิตไม่ได้นั่นเอง
บทสรุป เมื่อมาพานพบศาสนา อยากเปลี่ยนพรหมลิขิตแห่งตน จากเป็นโรคตายด้วยโรค เป็นหายโรค และไม่ตาย หากไม่เอาธรรมของพระภูมีแล้วไซร้ จะไปกันอย่างไรหนอ
จะมีก็แต่พวกฉ้อเขากินเท่านั้นแลที่บอกว่าทำได้ ทำอย่างนี้ซิ ทำอย่างนั้นซิ กินยานี่ซิ ช่วยหายโรคได้ ท้ายี่สุดความจริงก็จักปรากฎ เสียทั้งเงิน เสียทั้งชีวิต
ไม่ว่าที่ใด พฤติกรรมใด ยาใด ที่อวดอ้าง มีหรือจะชนะกรรมได้
ก็แล้วเราท่าน อย่างที่ อ.อร่าม กล่าว บุญพามา พานพบศาสนา หากฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม ผู้ใดทำได้ นั่นแลจึงจะสมปรารถนาได้
คนดี ของศาสนา จึงไม่ใช่ดีแบบโลก ที่มีสติก็ทำ อยากทำก็ทำ แต่เป็นคนดี ด้วยการให้สัญญาใจ กล่าวแก่พระพุทธ แล้วทำได้ ตามวาจาที่ให้นั้นต่างหาก เรียกว่า ให้ “สัจจะ” แล้วประคองสติทำตาม สัญญาใจที่ให้นั้น
คนดีของศาสนา จึงเริ่มกระทำทีละน้อยๆ วันละหนึ่งชั่วโมง เช่น ไม่โกรธ 1 ชั่วโมง ไม่ติเตียนสามี หรือภรรยา 1ชั่วโมง
ใครทำตาม สัจจะ ที่ให้ไว้ได้ นั่นคือคนดี ผลแห่งการกระทำนี้ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า “เป็นบุญ ช่วยตนพ้นกรรมได้”
ก็แล้วสมุนไพรหล่ะ นั่นไม่ใช่แก่นสารของศาสนา มีไว้เพียงเป็นพี่เลี้ยง ให้คน ี่อยากเป็นคนดี แต่สภาพร่างกายไม่พร้อม จะได้มีโอกาสทำความดี สร้างบุญได้ ตามปรารถนา เท่านั้นเอง
หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่าเหมือนพี่เลี้ยง เป็นไม้เท้า พยุงให้เดินได้ เมื่อเดินได้ เขาก็เอาคืน จะพึ่งตลอดนั้นหาได้ไม่
คนที่มา แล้วเอาแต่สมุนไพร ไม่เอานิสัยธรรม บทสรุปดท้ายย่อมถึงทางตัน ถ้ากินสมุนไพร กรรมเขาทำลายด้วยโรคไม่ได้ เขาก็ทำลายด้วยอุบัติเหตุ อุบัติภัย นั่นก็คือ หนีพรหมลิขิตตนไม่พ้น การมาพบศาสนา สิ่งที่ หมาก็เสียเปล่า ช่วยตนให้พ้นพรหมลิขิตไม่ได้