วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ถูกต้องกับถูกใจ

สมัยเรียน มีวิชาหนึ่งที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาในทางบริหาร อาจารย์ที่สอนบอกให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ แล้วก็บอกว่า สามารถแสดงความเห็นได้เต็มที่

ประเด็นหนึ่งที่ อาจารย์กำหนดนั่นคือ ให้วิจารณ์ลักษณะของพุทธศาสนา เข้าข่ายแบบระบอบใด เทียบเคียงกับที่ใช้ในปัจจุบัน บังเอิญกลุ่มเราสมาชิกติดภารกิจ จึงยกให้เราทำ ผลที่ออกมาคือ ทุกกลุ่มบอกว่า ศาสนาพุทธเทียบเคียงได้กับ ระบอบประชาธิปไตย มีกลุ่มของเราเพียงกลุ่มเดียว ที่แย้งว่า คือ เผด็จการ

ผลออกมา กลุ่มอื่นได้เกรดดีๆหมดทุกกลุ่ม ยกเว้นกลุ่มของเรา ได้เกรดต่ำสุด ทั้งๆที่อาจารย์บอกแสดงความเห็นได้เต็มที่

สิ่งที่เรากำลังชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ปากก็บอก.... แต่ผลของการตัดสินใจ ล้วนไม่ขึ้นกับความถูกต้อง แต่มักจะให้น้ำหนักความถูกใจมากกว่า

ยิ่งเรื่องของพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็น จึงชี้ทางไว้ก่อนว่า ต้อง "เอาเหตุเอาผล" มิใช่เชื่อด้วยสิ่งต่างๆ ประการทั้งปวง

แต่เดิมเราก็เห็นว่า พุทธศาสนา น่าจะเป็นประชาธิปไตย แต่ครั้นได้เข้ามาเรียนกับหลวงพ่อนิพนธ์ เห็นได้ชัดว่า มีเพียงจุดเริ่มของการเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา เท่านั้นเอง ที่เป็นประชาธิปไตย นั่นคือ พระพุทธเจ้า แสดงเหตุและผล ให้ฟัง พิจารณาแล้วตัดสินใจ เลือกหรือไม่เลือก ไม่ว่ากัน นั่นแลประชาธิปไตย ดังนั้น การมาใช้แนวทางนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า ผู้ที่มาต้องยินยอมพร้อมใจ

หากแต่เมื่อเข้ามาแล้ว ก็กลับตาลปัตร คือ เผด็จการ เต็มรูปแบบ นั่นคือ หากจะประสพผลสำเร็จ คือ พ้นทุกข์ หรือ ใช้นิสัย หรือ ความคิดของตน แม้นแต่น้อย ไม่ได้เลย วินัยของพระพุทธเจ้า บังคับเริ่มแต่กาย คือ ต้องโกนหัว ห่มผ้าเหลือง มีอัฐบริขารจำกัด ห้ามขึ้นรถ ลงเรือง ไม่รับเงิน รับทอง ฉันมื้อเดียว

การจำกัด เพื่อไปให้ถึงสุข แม่ชีเมี้ยนอุปมาวินัยของพระพุทธเจ้า ว่าเสมือน "ไม้ไผ่ลำเดียว" ดูไปคล้ายๆกับคอมมิวนิสต์ไหม เป็นรูปแบบเดียวที่พระพุทธเจ้า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว เมื่อเราท่านจะเดินก็เดินตามได้เลย

ปัญหาที่เหลือ จึงมีอยู่ประการเดียว ทางเส้นเดียวเส้นนี้ แม้นจะถูกต้อง ผู้ใดเดินตามแล้วทำได้ ย่อมประสพผลที่ตั้งใจ แต่มันไม่ถูกใจ เราท่าน หรือ สวนนิสัยเราท่านนั่นเอง หลายคนจึงไม่อยากทำ ไม่อยากเดิน

บทสรุป ท่านอาสิ ชี้หนทางที่หลวงพ่อนิพนธ์สร้าง นั่นคือ ไม้ไผ่ลำเดียว ให้เห็นชัดว่า เริ่มจากการเปลี่ยนตนเป็นพระเวสสันดร คือ ผู้ให้ แล้วพัฒนาเป็นผู้ให้สุขผู้อื่นเป็นอุปนิสัย คือ จิตอาสา แล้วท้ายสุดก็พัฒนาวิญญาณตน นั่นคือ การเดินตามวินัยของพระพุทธเจ้า บางสิ่งบางอย่างที่ทำได้

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า พิธีกรรม ที่กำหนด เหมือนเผด็จการ ไม่ทำไม่ได้ แต่ ไม่บังคับ ให้เหตุและผลในการทำ เพื่อพิจารณา หากเชื่อ ก็ควรทำตาม หรือ ถ้าไม่เชื่อ ก็ควรใช้สิทธิตั้งแต่เริ่ม แบบประชาธิปไตย คือ ไม่เอา ไม่ทำ ส่วนที่ครึ่งๆ กลางๆ อยากได้ แต่ไม่อยากทำ ท้ายที่สุด ก็ไม่ถึงฝั่ง เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง ไม่ได้ผล มีแต่หลอกตัวเองไปวันๆ ว่าฉันจะถึง แต่ไม่มีวันถึงฝั่ง

เราจึงอยากบอกว่า ถ้าผ่านประตูประชาธิปไตย คือ เลือกที่จะทำ ทำไมเราท่านไม่ทำให้สุดๆไปเลย เดินให้ตรงลำไม้ไผ่ ขืนเบี่ยงไป เฉทางโน้นที ทางนี้ที ไม่ตั้งใจ ช้าเร็วก็ต้องตกจากลำไม้ไผ่ ข้ามทะเลกรรมไม่พ้น .. คำถามจึง ทำอย่างนั้น เพื่อ ...

เมื่อเข้าโหมดเผด็จการ ก็ไม่ควรลังเล เพราะไม่ใช่หนูทดลอง พระพุทธเจ้าแลสาวก ทำให้ดูแล้ว เกิดผลแล้ว มายุคนี้ แม่ชีเมี้ยน ก็ทำให้ดู มีคนประสพผลมากมาย แต่ก็นั่นแหละ กรรมอะไรเล่า ของที่ไม่เคยมีใครประสพผลเลย เดินเข้าหามออก กลับแห่แหน กลับเลือกเดินกันมากมาย แต่สถานที่นี้ หามเข้าเดินออก ... เราท่านกลับเกี่ยงงอน เล่นแง่ แม้นจะถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจตน ... การกระทำเลยล่าช้า แต่ท่านทั้งหลาย หลวงพ่อนิพนธ์เตือนเสมอว่า ของเป็น ย่อมหมายถึง ทุกอย่างต้องมีวันเวลา สิ่งที่ทำ กำลังแข่งกับวันเวลา คือ เวลาที่กรรมเขาจะมาถึงตนของเรา ... จำไว้

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44