คนไทยมักได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชากร นับถือศาสนาพุทธมาก แลก็ดูเหมือนว่า ศาสนาพุทธในประเทศไทยนั้นรุ่งเรือง
นั่นก็ทำให้เราท่านคิดได้ว่า คนไทยส่วนใหญ่น่าจะมีความรู้ของพระพุทธศาสนากันพอสมควร ในแต่ละบุคคล
ความรู้ที่สำคัญ ที่เราเห็นว่าคนนับถือพุทธ ควรจะรู้หรือต้องรู้ เพราะมีผลแก่ตนอันมหาศาล นั่นก็คือ เรื่อง กรรม เรื่อง บุญ นั่นเอง
แต่ครั้นเมื่อเข้าไปดูรายละเอียด แทบจะหาตัวคนที่มีความรู้เหล่านี้ จริงๆ ไม่ได้เลย หลายคนอาจโต้แย้ง เพราะประเทศนี้ มีเกจิคณาจารย์มากมาย หนังสือคำสอน ก็มากมาย แต่พิจารณาเถิดว่า สิ่งเหล่านั้น ความรู้เหล่านั้น เอามาช่วยตนไม่ได้เลย
ศาสน์เป็นหลักปราชญ์ สอนให้เราท่านเชื่อในเหตุและผล เราจึงอยากสะกิดว่า ผลแห่งการทำตามหนังสือ ตำรา ที่มีกันมากหลาย คำสอนที่มีดาษดื่นในประเทศนี้ สิ่งไหน อันไหน ที่เมื่อทำตามแล้ว ยังผลให้ทุกข์บรรเทาเบาบางลง ไม่ต้องมาก แค่โรคปวดท้อง โรคกระเพาะ .... ยังไม่ต้องว่ากันถึงเวรถึงกรรม
สิ่งนี้แหละ ทำให้ความจริงปรากฎ ว่า ประเทศที่ถูกขนานนามว่า พุทธศาสนาเจริญ แท้จริงแล้ว หาเนื้อหาสาระไม่ได้เลย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มี น่าสงสัย ว่ามันคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนใช่หรือไม่
เพราะธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีอำนาจมหาศาล เหนือกรรม เหนือเวร ผู้ใดทำได้ อย่าว่าแต่หายโรคเลย พ้นโลก เหนือโลกีย์วิสัย ไม่ต้องเกิดอีกยังได้ ก็แล้วคำสอน ทุกวันนี้ ทำไมแก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ใช่หรือไม่
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ว่า ความจริงจะปรากฎ เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ อุบัติขึ้นและประกาศตนในประเทศพม่า วันนี้ เมื่อของจริงยังไม่มา ของปลอมก็สามารถอ้างเอ่ยว่า สิ่งที่ตนบอก สิ่งที่ตนกล่าว คือ ธรรมคำสอน แลก็ไม่มีใครที่จะมาบอกมายืนยันได้ว่า สิ่งนั้นปลอม แต่อย่างน้อยหลวงพ่อนิพนธ์ก็ชี้ว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้ความจริงอันนี้ดี ว่าในเบื้องหน้าต้องเป็นแบบนี้ในปลายยุค พระองค์จึงให้แว่นส่องจักรวาล ไว้เพื่อดูศาสนาของพระองค์ ว่า "ที่ใดมีธรรมคำสอนของพระองค์ เมื่อทำแล้ว ที่นั่นย่อมปรากฎ ความไม่มีโรค ด้วยเป็นสิ่งตอบแทนเบื้องต้นที่ศาสนาพึงให้แก่ผู้ทำได้"
เสียดาย น้อยคนนักที่จะเอาเหตุเอาผล แม้นความจริงจักประจักษ์ว่า สิ่งที่ตนเชื่อแล้วทำนั้น ไม่มีผลแก่ตน แม้นแต่ปวดท้องก็ยังช่วยไม่ได้ แต่ก็ทำ ก็แสวงหา เพียงเพื่อความสบายใจ แต่สิ่งที่ทำแล้วช่วยตนได้ อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย หายโรค ก็ยังได้ กับปฏิเสธไม่อยากจะทำ ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากรับรู้ ซ้ำร้าย ไม่อยากสังฆกรรมด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจเลยในพฤติกรรม ของคนทุกวันนี้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แม้นจะสอนสักฉันใดว่า "ตัวกระทำไม่ตาย ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" ก็ช่วยคนเป็นอัมพฤกต์ คนเป็นมะเร็ง ให้หายโรค แล้วตนจะไปเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ... จึงสอนให้หิ้วสมุนไพรมา หรือช่วยกันปลูก ช่วยกันดูแล แล้วให้อัมพฤกต์ มะเร็ง ทาน ... ผลอันนี้จะได้ทำให้ตนของตน ไม่ต้องไปเป็นโรคนั้นๆ ก็หาคนเดินตาม ทำตามคำสอน แทบจะไม่ได้เลย
คนนับพัน หากระเทียมโทนมาทำยาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปใช้กระเทียมธรรมดา นี่สิเรื่องแปลกแต่จริง ก็ไหนทุกคนที่มาบอกอยากหายโรค ... พื้นที่มากมาย จะปลูกมะนาว มะกรูด มะพร้าว สักคนละต้น อาทิตย์หนึ่งมารดน้ำดูแล พรวนดิน ... เหมือนยุคถ้ำกระบอก ก็มองไม่เห็น ...
ไม่แปลกใจเลยที่มักได้ยินคำรำพัน "เราจะเดินกันไปอย่างไรหนอ เมื่อคนทั้งหลายทั้งปวง ไม่เอาธรรมของพระโคดมเลย" ครั้นพอผู้อื่นชวนสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ก็แห่แหนกันไป ทั้งที่ช่วยคนให้หายปวดท้องสักนิดก็ไม่ได้ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ที่ตนปลูกช่วยผู้อื่น และตนได้ เขาไม่มอง
ถามใครเรื่องศาสนาก็บอกรู้ ... แต่จริงๆ แค่เหมือนจะรู้ ... พอให้ทำจริงเพื่อช่วยตน มันจึงไปคนละทิศ คนละทาง กับธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผลก็คือ ช่วยตนไม่ได้ ท่านอาสิจะสอน จะพูดสักฉันใด ก็บอก รู้แล้ว รู้แล้ว ....
อย่าสงสัยเลย โรคน่ะกระจอก โค่นไม่ยากเลย แต่ที่หาทางแก้ไม่ตก ก็นิสัย ความเชื่อนี่สิ