วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รู้แล้วไง

คนทั้งหลายทั้งปวง ทั้งโลก คงจะหาคนที่ไม่ยอมรับในบุญญาธิการ และองค์ความรู้ของพระพุทธเจ้านั้น คงจะน้อยนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ สิ่งนี้ถูกเล่าขานสืบทอดมาชั่วลูกชั่วหลาน แม้นจะผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว เรื่องราวก็ยังเป็นที่เล่าขาน ชวนชักให้คนมาค้นคว้า หาความรู้ ในศาสน์ของพระพุทธเจ้า อยู่นั่นเอง

การยอมรับ มิใช่ด้วยในเนื้อหาตำรา เป็นสำคัญ แต่ด้วยผลที่บังเกิดต่างหาก เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดเรียนรู้ แล้วทำตาม

กระนั้นก็ตาม คนทั้งหลายในโลก เมื่อได้รับรู้ แม้นจะยอมรับ แต่ผลที่มีต่อการกระทำของคนทั้งหลายนั้น กลับเป็นตรงกันข้าม คือ น้อยกว่าน้อย ที่เมื่อรู้แล้ว จะนำไปปฏิบัติ

ความจริงข้อนี้ เห็นเด่นชัด แม้นกระทั่งในยุคที่ยังมีพระชนม์อยู่ก็ตาม ก็มีสงฆ์สาวก แค่ไม่ถึงแสน แม้นในยุคนั้น เฉพาะคนอินเดีย ก็มีประชากรมากเป็นหลายร้อยล้านคน

นั่นคือธรรมชาติ ที่ต้องยอมรับ แลเมื่อย้อนมาดู มูลนิธิไทยกรุณา ก็คงตกที่นั่งเดียวกัน ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ ผลงานของแม่ชีเมี้ยน สืบรุ่นส่งต่อหลวงพ่อนิพนธ์ จนกระทั่งท่านอาสิ คงจะหาคนที่จะบอกว่า ไม่ยอมรับ ก็คงจะยาก ด้วยมีผู้คนมากมายที่ประสพผลในการฟื้นฟูตน ด้วยศาสตร์ของพระภูมีนี้ มีให้เห็นมากมายจนปฏิเสธก็คงไม่ได้นั่นเอง

เมื่อมองในยุคนี้ ผลแห่งความสำเร็จ หรือช่องทางแห่งความสำเร็จ ถูกบีบแคบลง เหลือเพียงประการเดียวด้วยแล้ว คือ การทำนิสัย หรือ ลดนิสัยตน ให้เกิดการกระทำใหม่ หรือ นิสัยใหม่ อันเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว

คนทั้งหลายที่มา ก็เสมือนถูกกำแพงมหึมา ที่ขวางตนไม่ให้ประสพผลเอาไว้ นั่นคือ นิสัยตน ดังนั้น ความรู้ต่างๆที่ได้ยินได้ฟัง มา หรือ เรื่องราวของศาสนา เอาเฉพาะที่ใช้ในการช่วยตน เมื่อเรียนรู้แล้ว .... ตัวเองทำอย่างไร

ในเมื่อปากของแต่ละคน ก็พร่ำเพ้อ อ้อนวอน ขอให้หายโรค แต่ความรู้ที่ได้ยินได้ฟัง ท่านอาสิ ชี้ว่า อยากได้ ต้องทำเอง

ความจริงที่ปรากฎ คือ รู้ว่าต้องทำเอง แต่ก็ไม่ทำ หรือ จะไปก็แบบเสียไม่ได้ ภาพที่ต่างกันอย่างเด่นชัดระหว่างคนสองยุค คือ ถ้ำกระบอก จากแผ่นดินที่มีแต่หินก่ายกอง หาที่ว่างเป็นดินได้น้อยกว่าน้อย กลายเป็นก้อนกรวดทำถนนให้เดินอย่างสะดวกสบาย แลมีผืนดินปลูกต้นไม้ สมุนไพร จนแทบไม่มีที่ว่างเลยก็ว่าได้ นั่นคือการทำเพื่อช่วยตน กับยุคนี้ ที่มีแผ่นดิน ที่แทบจะหาก้อนหินไม่ได้เลย แต่แผ่นดินก็ยังเป็นแผ่นดิน มิหนำซ้ำ ต้นไม้ที่มีอยู่เดิม กลับถูกปล่อยให้เหี่ยวเฉา ตายต้นแล้วต้นเล่า จนไร้ร่มให้พักพิง

ความรู้ที่มี จึงหาประโยชน์ไม่ได้เลย แม้นท่านอาสิจะพูดสักฉันใด ก็ไร้ค่า เพราะคนฟัง รู้แล้ว นิ่งเฉย ไม่สนหลัก "ตนพึ่งตน" ของพระภูมี รอคอยปาฏิหารย์ ไม่ต่างอะไรกับพวกที่สวดมนต์อ้อนวอนของพระเจ้าช่วย หวังว่าสมุนไพรจะช่วยตนได้ โดยที่ตนไม่ต้องทำอะไรเลย

บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนผู้ปฏิบัติว่า นิสัยของคนไทยเป็นแบบนี้ ในยุคนี้ ท่านทั้งหลายอย่าได้มีจิตสงสาร เพราะหลักของพระภูมี ใครทำ ใครได้ ... อย่าทำตนเยี่ยงพระโมคคัลลา ที่เมตตาผู้อื่นจนตนตาย อย่าทำตนเข้าตำรา "หมูเขาจะหาม เอาคานไปสอด" ศาสตร์ของพระภูมี มิได้ให้ท่านเข้าไปช่วยคนเหล่านั้น อนุญาติให้แต่ส่งความรู้ แล้วให้ทำเอง คนที่จะรอด คือคนที่ทำได้

พูดฟังง่ายก็คือ สอนแล้ว รู้แล้ว ทำไม่ทำไม่ว่ากัน ไม่ทำก็อุเบกขา ทำก็ชี้แนะว่าควรทำอย่างไร จึงเกิดมรรคเกิดผลที่สมบูรณ์

สิ่งที่เราเห็นนับแต่อดีต แม้นศาสตร์นี้จะดีสักฉันใด สมุนไพรจะเลอเลิศสักฉันใด แต่ผลเลิศที่ว่า ก็บังเกิดแก่เฉพาะผู้ที่ทำได้ เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่ามาทานสมุนไพรแล้วจะรอดทุกตัวคน ไม่ใช่ ไม่ใช่ .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า ถ้ามีคนฟังแล้วเชื่อ ทำตาม มาร้อยทำทั้งร้อย ก็รอดทั้งร้อย แต่ถ้ามาร้อย ทำแค่คนเดียว มันก็รอดแค่คนเดียว

จึงน่าสงสัย ถ้ามาแล้วไม่ทำ มาทำไม ... เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตนชอบ อยากทำไม่ดีกว่าหรือ เพราะถึงอย่างไร รู้แล้วไม่ทำ ก็ไม่รอดอยู่ดี เก็บสมุนไพรให้คนที่อยากได้ อยากทำ อยากหาย เป็นทานดีกว่า

จึงไม่แปลกเลยว่า คนที่ทำได้ พฤติกรรมย่อมเหนือมนุษย์ วิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป เพราะทำยาก เมื่อทำได้ เขาจึงเหนือโรค พ้นโรคได้ อย่างแน่นอน

แค่เปลี่ยนตนจากผู้รับ เป็นผู้ให้ .... ก็ไม่ธรรมดาแล้ว

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44