ความน่าอัศจรรย์เมื่อพิจารณาแล้ว จักไม่เห็นในลัทธิความเชื่ออื่น นอกจากศาสนาพุทธ นั่นคือ แม้นจักเพิ่งบวช คนทั้งหลายทั้งปวง ก็กราบไหว้ แลเห็นเป็นของสูง
ธรรมเนียมวัฒนธรรมนี้ ย่อมบ่งบอกถึง ความเชื่อถือ ศรัทธาที่มีต่อพระในพุทธศาสนา และองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ครั้งในอดีต ที่ประทับใจไม่รู้ลืมของคนในยุคนั้น จนสอนลูกสอนหลานให้ทำตาม จวบจนปัจจุบัน แม้นจะผ่านมากว่าสองพันปีแล้วก็ตาม
หากจะตั้งคำถาม ไหว้อะไร กราบอะไร .... และที่สำคัญ ทำไมต้องกราบ ต้องไหว้ แค่เปลี่ยนเครื่องทรง โกนหัว ห่มผ้าเหลือง แล้วดี บริสุทธิ์ในทันตา อย่างนั้นหรือ
หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกคำสอนมาให้พระบวชใหม่ฟังเสมอว่า สิ่งที่คนทั้งหลายกราบไหว้ ไม่ใช่ตัวเราที่เป็นพระ แต่กราบไหว้ กิริยา แลวัตรปฏิบัตรต่างหาก
ดังนั้น สงฆ์ของพระพุทธเจ้า จึงต้องมีกิริยา และวัตรปฏิบัติเหนือคนทั่วไป ตั้งแต่เริ่มบวชเข้ามา จึงคู่ควรกับการกราบไหว้ เพราะเป็นผู้อาสา มาทำและแสดงวินัยของพระพุทธเจ้า
ด้วยหากบวชเข้ามาแล้ว แต่หาได้มีการกระทำใด เหนือกว่าคนทั่วไป ก็ยังกินหลายมื้อ ก็ยังขึ้นรถ ลงเรือ เหมือนคนทั่วไป ก็ยังใช้เงินใช้ทอง .... แล้วมันจะต่างกันอย่างไร แค่เครื่องนุ่งต่างกันเท่านั้นเอง นิสัย ใจคอ กิเลส ล้วนเหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น ... จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า เมื่อไม่มีอะไรเหนือกว่าคนทั่วไป บวชไปนานๆเข้า กายก็เจ็บ ก็เบียดเบียนผู้อื่นเอามาเลี้ยงตน
เพราะความไม่ธรรมดาของวินัยพระพุทธเจ้านี่เอง จึงหนีกรรมหนีเวรได้
บทสรุป หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ว่า ก็แล้วฆราวาสเล่า หากไม่มีการกระทำอันใด เหนือคนทั่วไป แล้วจะเอาอะไรไปหนีเวร หนีกรรม หรือหนีโรคได้ คนที่จะพ้นทุกข์ได้ จึงต้องไม่ธรรมดา จึงต้องมีที่เว้น จึงต้องมีการกระทำที่ต่างจากคนทั่วไป
ศาสตร์สมุนไพร จึงใช้ไม่ได้กับทุกคน เป็นเรื่องเฉพาะ เฉกเช่นเดียวกับธรรมของพระพุทธเจ้า แม้นจะมีอำนาจสักฉันใด ก็ใช้ได้เฉพาะกลุ่ม นั่นคือ คนที่มาฟัง พิจารณา เชื่อ แล้วทำตาม
จุดมุ่งหมาย ก็ไปในทางเดียวกัน คือ อยากพ้นทุกข์
อุปสรรคใหญ่คือ คนไม่เห็นกรรม ยังไม่ซึ้ง ว่ากรรมมีอำนาจ กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์ จึงไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแห่งตน ครั้นกรรมมาอุบัติ อยากทำก็ทำไม่ได้
คำถามที่ว่า " จะหายไหม " จึงไม่มีใครตอบให้ได้ นอกจากตนของตน .... ดูตนสิ ... มีอะไรเหนือกว่าคนทั่วไป ... บ้างไหม ที่สำคัญ ต้องมากพอ ที่กรรมเวรเขาจักเว้นให้
หายโรคง่ายนิดเดียว ให้สุขแก่เขา คิดแล้วทำ เป็นอุปนิสัย
ดังนั้น หากยังทำตนเหมือนคนทั่วไป ใช้นิสัยเดิมๆ อย่าหวังเลยว่าจะหายโรค ถึงหายจากโรคนี้ได้ หนีเสือได้ ... จรเข้ก็รองาบอยู่ข้างหน้า ... การกระทำก็สูญเปล่า
คนทั้งหลายจึงขนานนามสมุนไพรของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ว่า "ยาเป็น" ด้วยที่รู้ใจคนทาน คิดอย่างไร ทำอย่างไร ผลก็เป็นอย่างนั้น ... ทำถูกผลถูกก็ปรากฎ ทำผิดผลผิดก็ปรากฎ .... ศาสตร์นี้จึงไม่ต้องมีคนคอยควบคุม ... ไม่กลัวการหลอกลวง ... มาหลอกกิน หายแล้วก็ไป ...
ดังนั้น อย่าโมเมว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำไมไม่ช่วยเรา แต่เป็นเราต่างหาก ที่ไม่ยอมพึ่งตน ทำตนขึ้นมาได้ หวังแต่จะพึ่งผู้อื่น มาช่วยตน เหมือนคนทั่วไป รอพึ่งยา พึ่งหมอ .. ก็เข้าตำราเดียวกัน ... เดินมาหามกลับ ... ไม่ต้องสงสัย ทั้งที่ทานสมุนไพรนี่แหละ